ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 3:37 pm |
|
เมื่อรู้จักกสิณตามแบบในคัมภีร์แล้ว
ต่อไปท่านแสดงวิธีเจริญสมาธิโดยใช้อานาปานสติกรรมฐานเป็นตัวอย่าง
อ่านแล้วพิจารณาประเด็นนี้ดีดี เพราะถกเถียงเห็นแย้งกันทุกบอร์ด
หวังว่าคงได้ข้อคิดจากตัวอย่างนี้มากทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ติดภาพ
สมาธิ หรือ สมถะผิดๆ แบบข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 3:49 pm |
|
ตัวอย่างวิธีเจริญสมาธิ
เมื่อได้กล่าวถึงหลักทั่วไปของวิธีเจริญสมาธิไว้แล้ว ก็เห็นควรแสดง
ตัวอย่างวิธีเจริญสมาธิไว้สักอย่างหนึ่งด้วย
และบรรดากรรมฐาน 40 อย่างนั้น ในที่นี้ขอเลือกแสดงอานาปานสติ
เหตุผลที่เลือกแสดงอานาปานสติเป็นตัวอย่าง มีหลายประการ เช่น
-เป็นวิธีเจริญสมาธิที่ปฏิบัติได้สะดวกยิ่ง เพราะใช้ลมหายใจซึ่งเนื่องอยู่
กับตัวของทุกคน ใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่ในทันทีที่ต้องการ ไม่ต้อง
ตระเตรียมวัตถุอุปกรณ์อย่างพวกกสิณ เป็นต้น ในเวลาเดียวกันก็เป็น
อารมณ์ประเภทรูปธรรม ซึ่งกำหนดได้ชัดเจนพอสมควร ไม่ละเอียดลึก
ซึ้งอย่างกรรมฐานประเภทนามธรรมที่ต้องนึกขึ้นมาจากสัญญา และถ้า
ต้องการปฏิบัติอย่างง่ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดอะไร เพียงเอาสติ
คอยกำหนดลมหายใจที่ปรากฏอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดแยกแยะพิจารณา
สภาวธรรมอย่างพวกธาตุมนสิการ เป็นต้น ผู้ที่ใช้สมองเหนื่อยแล้ว ก็
ปฏิบัติได้สบาย |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ส.ค. 2008, 3:55 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 3:51 pm |
|
-พอเริ่มลงมือปฏิบัติ ก็ได้รับผลเป็นประโยชน์ทันทีตั้งแต่ต้นเรื่อยไป
ไม่ต้องรอจนเกิดสมาธิที่เป็นขั้นตอนชัดเจน กล่าวคือ กายใจผ่อนคลาย
ได้พัก จิตสงบสบายลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ ทำให้อกุศลธรรมระงับ
และส่งเสริมให้กุศลธรรมเกิดขึ้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 3:54 pm |
|
-ไม่กระทบระเทือนต่อสุขภาพ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงประสบการณ์
ของพระองค์เองว่า
เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ (คือ อานาปานสติสมาธิ) มาก
กายก็ไม่เมื่อย ตาก็ไม่เมื่อย (สํ.ม.19/1329/401)
ไม่เหมือนกรรมฐานบาง อย่างที่อาศัยการยืน การเดิน หรือการเพ่ง
จ้อง แต่ตรงข้ามอานาปานสติกรรมฐานนี้ กลับเกื้อกูลแก่
สุขภาพ ทั้งช่วยให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างดี
และระบบการหายใจที่ปรับให้เรียบเสมอประณีตด้วยการปฏิบัติธรรมฐาน
นี้ ก็ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น
ขอให้นึกอย่างง่ายๆ ถึงคนที่วิ่งมาหรือขึ้นลงที่สูงกำลังเหนื่อย
หรือคนตื่นเต้นตกใจ เกรี้ยวกราด หวาดกลัว เป็นต้น ลมหายใจ
หยาบแรงกว่าคนปกติ บางทีจมูกไม่พอ ต้องหายใจทางปากด้วย
ในทางตรงข้าม คนที่กายผ่อนคลาย ใจสงบสบาย ลมหายใจ
จะละเอียดประณีตกว่าคนปกติ การบำเพ็ญอานาปานสติสมาธิ
ช่วยทำให้กายใจสุขสงบ จนลมหายใจละเอียดประณีตลงไปเรื่อยๆ
ยิ่งกว่านั้นอีก จนถึงขั้นที่แทบจับไม่ได้เลยว่ามีลมหายใจ
ในเวลานั้นร่างกายดำรงอยู่ได้ดีโดยใช้พลังงานน้อยที่สุด ไม่เรียกร้อง
การเผาพลาญ เตรียมความสดชื่นไว้ในแก่การทำกิจในเวลาถัดไป
และช่วยให้แก่ช้าลง หรือช่วยให้ทำงานได้มากขึ้นพร้อมกับที่สามารถ
พักผ่อนน้อยลง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 3:59 pm |
|
-เป็นกรรมฐานข้อหนึ่งในจำนวนเพียง 12 อย่างที่สามารถให้สำเร็จผล
ในด้านสมถะได้จนถึงขั้นสูงสุด คือ จตุตถฌาน และส่งผลให้ถึง
อรูปฌาน กระทั่งนิโรธสมาบัติก็ได้ จึงจับเอาเป็นข้อปฏิบัติหลักได้
ตั้งแต่ต้นจนตลอด ไม่ต้องพะวงที่จะหากรรมฐานอื่นมาสับเปลี่ยน
หรือ ต่อเติมอีก
มีพุทธพจน์เสริมว่า เพราะฉะนั้นแล หากภิกษุหวังว่า เราพึงบรรลุ
จตุตถฌาน...พึงมนสิการอานาปานสติสมาธินี้แลให้ดี...หากภิกษุหวังว่า
เราพึงก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้า
เนวสัญญานาสัญญายตนะเถิด... เราพึงก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
โดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธเถิด ก็พึงมนสิการ
อานาปานสติสมาธินี้แลให้ดี
(ดูรายละเอียดที่ สํ.ม.19/1329-1345/401-404 ....อนึ่งพึง
สังเกตว่า ตามมติของพระอรรถกถาจารย์ อานาปานสติ ไม่สามารถ
ให้ผลถึงอรูปได้ เพราะอรูปฌานต้องอาศัยกสิณ...เช่น วิสุทธิ.2/132) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 4:02 pm |
|
-ใช้ได้ทั้งในทางสมถะและวิปัสสนา คือจะปฏิบัติเพื่อมุ่งผลฝ่ายสมาธิ
แน่วไปอย่างเดียวก็ได้
จะใช้เป็นฐานปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานครบทั้ง 4 อย่างก็ได้
เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่เอื้ออำนวยให้สามารถใช้สมาธิจิตเป็นสนามปฏิบัติ
การของปัญญาได้เต็มที่***
*** ที่จัดเป็นส่วนหนึ่งของกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ
ที.ม.10/274/325; ฯลฯ .... ที่ระบุวิธีปฏิบัติให้ได้ครบสติปัฏฐาน 4
คือ ในอานาปานสติสูตร, ม.อุ.14/289/195 ฯลฯ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 4:34 pm |
|
^
^
คำอธิบายอานาปานสติกรรมฐานสั้นๆ ห้องบน บอกว่าโยคีผู้ใช้ลมหายใจ
เข้าออก จะมุ่งแต่สมาธิอย่างเดียวก็ได้
จะใช้ลมหายใจเข้าออก เจริญสติปัฏฐาน 4 จนครบก็ได้ กล่าวไว้ชัดเลย
ตัวอย่างมุ่งสมาธิอย่างเดียว คือ ผู้ใช้พุทโธ ลมเข้า ภาวนา "พุท"
ลมออกภาวนา "โธ" ไม่กำหนดรู้อารมณ์อื่นๆ พุทโธๆๆไป
อย่างนี้มุ่งสมาธิอย่างเดียว ซึ่งท่านแนะนำพร่ำสอนกันมาอย่างนี้
แต่เมื่อต้องการจะให้เป็นสติปัฏฐาน 4 ก็ภาวนา เวทนา จิต ธรรม
ร่วมด้วย อารมณ์ไหนเกิดก็ภาวนาอารมณ์นั้นสิ่งนั้นด้วย ไม่ปล่อยให้ผ่าน
เลยไป |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 4:47 pm |
|
ผู้ใช้พอง-ยุบ เป็นกรรมฐาน เมื่อมุ่งแต่สมาธิอย่างเดียว แบบพุทโธแบบ
สอนกันดั่งเดิม ก็ภาวนาอยู่แค่พอง-ยุบ พองหนอ ยุบหนอ แค่นี้
แต่เมื่อต้องการให้เข้าเป็นสติปัฏฐาน 4 อย่างครบ ก็ภาวนา พอง-ยุบ
ด้วย เวทนาด้วย จิตด้วย ธรรมด้วย ตามสมควรตามเหตุปัจจัยใน
ขณะนั้น สภาวะใดเกิดไม่ปล่อยให้สภาวะนั้นผ่านไป ภาวนาสภาวะนั้น
ด้วย
วิธีปฏิบัติยืดหยุ่นได้ พลิกแพลงได้ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 4:56 pm |
|
มีเว็บบอร์ดหนึ่ง อธิบายธรรมผิดพลาดคลาดเคลื่อนเสียหายหมด
เช่นที่อธิบายเกี่ยวกับสติปัฏฐานไว้ท่อนหนึ่งว่า
--เวทนาเป็นกรรมฐานที่ตามรู้ ตามดูแบบไม่จมตามสภาวะได้ยากครับ.
ผมว่า คุณภาวนาเคร่งเครียดมากเกินไป ขอให้ลองแบบอื่น หรือลด
ความจงใจลงครับ
...ครูบาอาจารย์
ท่านเทียบกรรมฐานเป็นสองกลุ่มคือ
1 กาย กับ เวทนา
2 จิต กับ ธรรม
แบบที่ 1 เหมาะกับพวกที่ฝึกได้ลำดับของฌาน หากฝึกไม่ได้ให้ดูจิต
แบบที่ 2 เหมาะกับพวกดูจิต ครับ
http://larndham.net/index.php?showtopic=32101&st=10
ไปแยกสติปัฏฐานเป็นท่อนๆ แล้วอธิบายเข้าข้างตนเอง
ชอบยกขึ้นอ้างกันจังสติสติสติ
เมื่อถูกถามว่าทำอย่างไรเล่า สติจะเกิดปัญญาจึงจะเจริญ
ตอบไม่เป็นแล้ว บ้างก็โยกไปอดีตชาติบ้าง บ้างก็มันจะเกิดเอง
เป็นต้นบ้าง
สรุปก็ คือ ไม่มีหลักในการปฏิบัติธรรม |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ส.ค. 2008, 5:05 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 5:03 pm |
|
-ดูต่อ
-เป็นวิธีเจริญสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมาก ทรงสนับสนุนบ่อย
ครั้งให้พระภิกษุทั้งหลายปฏิบัติ และพุทธองค์เองก็ได้ทรงใช้เป็น
วิหารธรรมมากทั้งก่อนและหลังตรัสรู้
ดังพุทธพจน์บางแห่งว่า
ภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติสมาธินี้แล เจริญแล้ว ทำให้มาก
แล้ว ย่อมเป็นสภาพสงบ ประณีต สดชื่น เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็น
สุข และยังอกุศลธรรมชั่วร้ายที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบไปได้
โดยพลัน เปรียบเหมือนฝนใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล ยังฝุ่น
ละอองที่ฟุ้งขึ้นในเดือนท้ายฤดูร้อนให้อันตรธานสงบไปโดยพลัน
ฉะนั้น
(วินย.1-178/131 ฯลฯ ) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 5:07 pm |
|
ภิกษุทั้งหลาย...เมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง พึงกล่าวถึงอานาปานสติสมาธิ
ว่า เป็นอริยวิหาร (= ธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยะ) ก็ได้
ว่าเป็นพรหมวิหาร (= ธรรมเครื่องอยู่ของพรหม) ก็ได้
ว่าเป็นตถาคตวิหาร (= ธรรมเครื่องอยู่ของตถาคต) ก็ได้
ภิกษุเหล่าใดเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตผล ปรารถนาภาวะปลอด
โปร่งโล่งใจ (โยคเกษม) อันยอดเยี่ยม อานาปานสติสมาธิ
ที่ภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย
ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว... อานาปานสติ
สมาธิ ที่ภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว ทำให้/มากแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อความอยู่สุขสบายในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) และเพื่อ
สติสัมปชัญญะ (สํ.ม.19/1366-7/413) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 5:09 pm |
|
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์ ชื่อ
อิจฉานังคละ ใกล้อิจฉานังคลนคร ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้
ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่
ตลอดไตรมาส (สามเดือน) ใครๆ ไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้นแต่
ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว...ครั้งนั้นแล เมื่อล่วงเวลาสามเดือน
แล้ว พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นแล้ว ตรัสกะภิกษุทั้ง
หลายว่า หากว่า อัญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลาย จะพึงถามพวกเธอ
อย่างนี้ว่า พระสมณโคดม อยู่จำพรรษาด้วยวิหารธรรมไหน โดยมาก
เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่อัญเดียรถีย์ปริพาชก
เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคประทับ
จำพรรษาด้วยอานาปานสติสมาธิโดยมาก
(สํ.ม.19/1373-4/415) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
บัวหิมะ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 5:41 pm |
|
อนุโมทนาบุญจ้า คุณกรัชกาย |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
12 ส.ค. 2008, 10:04 pm |
|
ดูกรอานนท์ ธรรมหนึ่งคืออานาปานสติสมาธิ ภิกษุเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว ย่อมยังสติปัฏฐาน 4 ให้บริบูรณ์
สติปัฏฐาน 4 อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังโพชฌงค์ 7
ให้บริบูรณ์
โพชฌงค์ 7 อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมยังวิชชาและ
วิมุตติให้บริบูรณ์
(สํ.ม.19/1373-4/415)
บอร์ดใหม่
http://fws.cc/whatisnippana/index.php |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
|