ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
searachan
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 22 ก.ค. 2008
ตอบ: 1
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2008, 6:14 pm |
  |
มีเรื่องมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวของส่งที่ได้พบเจอ
คือมีผู้หญิงหนึ่งคนเป็นคนที่ขี้เกียจ ไม่รู้จักทำมาหากินเท่าไหร่นัก เมื่อไหร่ขี้เกียจก็ไม่ไปทำงาน ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่เธอมีดีที่รูปร่างหน้าตาที่ถูกใจฝรั่ง เอก็จะมีแฟนหลายๆคนไว้ขอเงิน หรือเผื่อไปถึงอนาคตจะได้ไปนอกจนตอนนี้เธอก็หลอกฝรั่งจนได้ไปนอกสมใจเธอ
อยากจะถามว่าทำไมบุคคลลักษณะแบบนี้ถึงได้ดีทั้งๆที่ไม่ได้ทำตัวเป็นคนดีเท่าไหร่ งานไม่ทำดีแต่จะขอเงิน หรือไม่ก็ยืมเงินเพื่อ แต่ก็ไม่ยอมทำงาน ถึงได้ดี กับคนที่ต้องทำงานหาเงินด้วยตัวเองอย่างเพื่อนอีกคนกับยังไม่ได้ดีต้องลำบาก ไม่เห็นสบายเลย
แล้วอย่างนี้กรรมจะมีจริงหรือ ความดีที่ทำคืออะไร ทำไมรู้สึกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลยกับได้ดีอยุ่สบาย แต่อีกคนที่ต้องทำทุกอย่างไม่อยากจะเอาเงินจากแฟน หรือถึงขอได้ก็ไม่ทำ เห็นอย่างนี้แล้วคนทำดีก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ แล้วมื่อไหร่คนที่ทำตัวไม่ดีจะได้รับผลนั้นๆ |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2008, 7:27 pm |
  |
เพราะเรามัวแต่คิด...ว่า
"ทำไมฉันทำดีกว่าเขา แต่ทำไมฉันไม่ได้ดีเท่าเขา"
"ต้องเป้นฉันสิ ฉันสมควรจะได้รับความดีเหล่านั้น ไม่ใช่เขา"
"ทำไมเขาไม่ลงทุนอะไรเลย เขากลับสบาย ทำไมฉันลงทุนทำความดีไปตั้งมากมาย ทำไมฉันไม่ได้รับกำไรกลับคืนมาบ้าง .. ทำไมฉันไม่ได้กำไรจากการทำความดีมากๆบ้าง"
ควาทุกข์ของคุณคือ
1. การคิดแต่เรื่องของคนอื่น เพ่งโทษผู้อื่น
2. การเห็นผู้เห็นผู้อื่นได้ดี แล้วไม่ยินดีด้วย ตรงกันข้ามกลับอิจฉา
3. การมองว่า" การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน "
ซึ่งไม่ผิด แต่ทำไม่ถูก เพราะไปเก็งผลลัพธ์ของการทำความดี
ว่าต้องตอบแทนคืนมาอย่างนั้น อย่างนี้
ลองมองดุว่าคุณเป้นผู้ทำความดีประเภทไหน
การทำความดีของคนมี 2 ลักษณะ
1. เป็ดไก่ หลงเข้ามา เราจึงช่วยเหลือเลี้ยงดูโดยเมตตา
ต่อมาเราขาดแคลนอาหาร ก็ไม่มีความคิดจะกินเป็ดไก่เหล่านั้น
2. เป็ดไก่หลงเข้ามาก็ดี หรือจงใจเลี้ยงเป็ดไก่ไว้ก็ดี
แต่เล็งเห้นผลว่า เป็ดไก่เหล่านี้ ย่อมเป้นผลประโยชน์ในอนาคต เป้นอาหาร หรือจับขายเป้นเงินได้ จึงเลี้ยงไว้
วิธีแก้ความตระหนี่ คือต้องบำเพ็ญทานบารมี
ถ้าคุณไม่เคยทำทาน ให้ทำทานบ้าง
ไม่เคยเสียสละ ให้เสียสละบ้าง
ไม่เคยตอบแทนใคร ให้ตอบแทนบ้าง
โดยคำนึงแต่ปัจจุบันขณะที่ทำความดี
จนเมื่อวันหนึ่ง ตันหาความอยากได้ผลของความดีมันลดน้อยลง
นิสัยตามล่าหาความดีมันลดลง
จึงจะรู้ว่าผลของความดีมีจริงอย่างไร |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2008, 9:48 pm |
  |
กรรมครับพี่....ตอบง่ายๆเลยครับ
ทำกรรมดีแทบตายกลับไม่ได้ดี.....เพราะกรรมดียังไม่ส่งผลครับ
ทำกรรมดีกลับได้ชั่ว.....เพราะกรรมชั่วแสดงผลครับพี่...
ทำกรรมชั่วกลับได้ดี....เพราะกรรมดีแสดงผลอยู่....เดี๊ยวกรรมชั่วก็ตามมา
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ค.2008, 11:56 pm |
  |
เราสังเกตุอะไรหยาบเกินไปนะ
เราไปนั่งสังเกตุใจเขาได้หรือว่า เขาร้อนรนหรือไม่ หรือเขามีความสุขตลอดเวลา แค่เพียงว่าได้ไปเมืองนอก มีแฟนฝรั่งมีเงินใช้ นี่มันจะดีกว่าเรา ซึ่งขยันทำงานได้อย่างไร อย่างน้อยเราก็ได้ วิริยะบารมี คือมีความเพียร
เรารู้หน้าที่ และความรับผิดชอบ เท่านี้เรามีปัญญามากกว่าเขาเท่าไร
อุปมาว่า คนๆ หนึ่ง นอนหลับฝันไปว่า ได้เงินได้ทอง ในฝันนั้นเอาไปจับจ่ายใช้สอยได้ กับอีกคนหนึ่ง ไม่ได้ฝัน แต่ทำงานหนัก ไม่ได้ไปเที่ยว
คุณว่า อย่างไร ที่เรียกว่า โชคดีกว่ากัน
คนที่ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างไร้แก่นสาร ก็เหมือนคนหลับนั้นแหละ จะเอาอะไรมาเป็นจริงเป็นจังในชีวิต ในเมื่อเขาล่องลอย ไม่มีหลักมีเกณฑ์ |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ค.2008, 8:49 am |
  |
เห็นด้วยกับ คุณ คามินธรรม ครับ
เริ่มจากการดูคนอื่นให้น้อยลง มองตัวเองให้มากขึ้น
ยากจัง แต่ผมก็พยายามทำอยู่ครับ
ส่วนท่านอื่นก็ตอบในแง่ผลกรรมและการให้ผลของกรรมได้ดีแล้วครับ
ขอบคุณครับ |
|
|
|
    |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
24 ก.ค.2008, 12:08 pm |
  |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 12:22 pm |
  |
ท่านคามินธรรกล่าวได้สมควรแล้วครับ
" เมื่อมีการคาดหวังเป็นเหตุ ผลคือ ความสมหวัง , ความผิดหวัง ย่อมเกิดขึ้น " สุดท้ายก็ตั้งอยู่ไม่ได้ครับ เพราะมัน อนิจจัง |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
มาลิศา แก้วสุวรรณ
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 05 ส.ค. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 12:58 pm |
  |
ผู้หญิงคนนี้อดีตชาติเขาเคยทำความดีไว้แน่นอนคะ ชาตินี้เขาจึงได้รับผลที่เขาทำไว้ เราก็เหมือนกันพยายามทำดีต่อไปเถอะคะเพราะเราอาจจะได้รับในชาตินี้ก็ได้ นี่ไม่ได้บอกให้ทำบุญเพื่อหวังผลนะคะ แต่สัจธรรมเราปลูกอะไรก็จะได้รับอย่างนั้นแหละคะ อย่ามัวไปมองคนอื่นนะคะ เราต้องย้อนมองส่องตนคะ สู้ สู้ คะ |
|
_________________ อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุดอย่าคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว |
|
   |
 |
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773
|
ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2008, 2:31 pm |
  |
พิจารณาจากพระพุทธวจนะ กรรมสูตร น่ะครับ
กรรมสูตรที่ ๑
[๑๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่รู้แล้ว ย่อมไม่กล่าวความสิ้นสุดแห่งกรรมที่สัตว์ตั้งใจกระทำสั่งสมขึ้น
ก็วิบากนั้นแล อันสัตว์ผู้ทำพึงได้เสวยในปัจจุบัน(ทิฏฐธรรมเวทนียะ)
ในอัตภาพถัดไป (อุปปัชชเวทนียะ)
หรือในอัตภาพต่อๆ ไป(อปราปรเวทนียะ) ..........
(อัตภาพถัดไป คือ ภพ-ชาติหน้า..... อัตภาพต่อๆไป คือ ภพ-ชาติถัดไปโน้น)
ทีนี้ ถ้ากรรมดี(หรือชั่ว)ที่เราทำในปัจจุบัน มันอาจจะไม่ให้ผลในปัจจุบันนี้เลยก็ไม่แปลก เพราะธรรมชาติการให้ผลของกรรมนั้น เขาเป็นของเขาอย่างนั้น...... เรา-ท่าน ไม่เข้าใจเองต่างหาก เลยเข้าใจว่า กฏแห่งกรรมไม่มีจริง....... ก็ ฉันทำดีในชาติปัจจุบัน ทำไมฉันถึงไม่ได้ดี....... คนนั้นทำชั่วมากมายในชาติปัจจุบัน ทำไมเขาไม่เห็นได้ผลชั่วเลย
แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีกฏใดๆในจักรวาลนี้ยุติธรรมเท่ากฏแห่งกรรมอีกแล้ว!!!
กรรมนั้น มีลำดับการให้ผลตามประเภทของกรรม
๑. ครุกรรม
(กรรมที่หนัก ต้องส่งให้ได้รับผลก่อนกรรมอื่น ๆ)
๒. อาสันนกรรม
(กรรมที่ได้กระทำในเวลาใกล้จะตาย กระชั้นชิดกับเวลาตาย )
๓. อาจิณณกรรม
(กรรมที่กระทำเสมอเป็นเนืองนิจ )
๔. กฏัตตากรรม
( กรรมเล็กน้อย )
ตรงนี้มันก็ขึ้นกับ การให้ผลของกรรม ต่างหาก ว่ากรรมใดจะมาให้ผลก่อน-หลัง...
กรรมที่ทำนี้นั้น จะให้ผลแน่ ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า หรือชาติต่อๆไป เว้นเสียแต่จะกลายเป็นอโหสิกรรม หรือผู้ที่เคยได้กระทำกรรมนั้นบรรลุอรหัตตผล ดับขันธ์ปรินิพพานไปเท่านั้น กรรมจึงจะให้ผลเพียงเฉพาะกับอัตภาพสุดท้าย แต่จะไม่ให้ผลในอัตภาพถัดมา(เช่น กรณีของพระองคุลิมาล)เพราะดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ท่านไม่เกิดอีกในภพใดๆ กรรมจึงยุติการให้ผลแค่ในภพชาติสุดท้ายนี้เท่านั้น
เรื่องของการให้ผลของกรรม ถึงเป็นเรื่อง อจิณไตย คือว่า ถ้าไม่มีญาณการประจักษ์รู้โดยตรงแล้ว จะไม่มีวันเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง....... กล่าวคือว่าจะใช้การคิดคาดเดาด้วยความคิด(สังขาร)ระดับธรรมดามาคาดเดาเอาว่ากรรมนี้นั้นจะให้ผลเมื่อใด ไม่ได้..... ถ้าขืนพยายามจะคิดให้เข้าใจทะลุปรุโปร่งในเรื่องเหล่านี้ด้วยความคิดระดับธรรมดา ผู้ที่คิดอาจจะถึงขั้นฟุ้งซ่าน เพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็ไม่อาจจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งได้......
แต่ก็ อย่าไปแปลความเป็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องกรรม หรือ พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เชื่อเรื่องกรรม ไม่ให้ศึกษาเรื่องกรรม เข้าน่ะครับ......
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมไว้แน่นอนครับ
เพียงแต่ เรื่อง กรรมวิบาก(การให้ผลของกรรม)ต้องเป็นการประจักษ์ด้วยญาณของตนเอง จึงจะทะลุปรุโปร่ง
ถ้ายังไม่มีญาณด้วยตนเอง ก็ควรเชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน ปลอดภัยดี |
|
|
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
12 ส.ค. 2008, 11:41 am |
  |
วิจารณ์แบบชาวบ้านนะ คุณบอกเธอไม่เห็นทำอะไรเลย ขี้เกียจงานก็ไม่ทำ ดีแต่ขอเงินเพื่อนใช้ ,หลอกฝรั่ง จนได้ไปเมืองนอก ที่คุณเล่าเรื่องเกี่ยวกับเธอมาทั้งหมดนั้น มันคือการทำงานอย่างหนึ่งขอเธอ คุณคิดว่าเธอไม่ลำบากหรือ ลำบากนะ ที่ต้องคอยแต่งเรื่องโกหกพกลม บางครั้งอาจต้องเอาตัวเข้าแลก(ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่) เพื่อให้ได้เงินมาใช้ เพื่ออนาคตที่สดใสของเธอ คือการได้ไปเมืองนอก คุณว่าทำแบบเธอแล้วสบาย แต่ถ้าให้คุณทำบ้าง คุณคงไม่เอาใช่ไหม อยากจะบอกว่า ทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นของตนเอง ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ ท่านจะเลือกกรรมดี หรือกรรมชั่ว (กรรมคือการกระทำ) ซึ่งย่อมส่งผลต่อตัวผู้กระทำ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าภพที่แล้ว, ภพนี้, หรือภพต่อ ๆ ไป ศึกษาจาก พุทธประวัติ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เถิด
อยากให้คุณเมตตาเธอคนนั้นเถิด อย่าเก็บเอาเปรียบเทียบ แล้วน้อยอกน้อยใจเลย ชีวิตจะไม่มีความสุข ทำปัจจุบันของตนให้ดีที่สุด โดยไม่เบียดเบียนใคร นั้นดีแล้ว ทำกรรมดีคิดแต่ในสิ่งที่ดี แล้วผลจ ะส่งให้คุณจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าท้อในการทำความดี น้อมนำธรรมะเป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจให้คุณ จากสหายธรรมของคุณ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|