ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.ค.2008, 1:18 pm |
  |
คุณตอบไม่ได้หรอก เพราะสิ่งทีคุณเขียนมาทั้งหมด เกิดจากจิตเภทของคุณ
ไมมีความจริง เป็นจริงแม้แต่น้อย
คุณอย่าสีซอเลย เพราะคุณฟังเสียงซอไม่รู้เรื่องหรอก
ที่ผมไม่พยายามตอบโต้คำด่าทอเสียดสีจากคุณเพราะถือสุภาษิตที่ว่า
อย่าไปถือคนบ้า อย่าไปว่าคนเมา
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเวไนยสัตว์ไว้ว่า
อเสวนาจพาลนัง
การไม่เสวนากันคนพาล เป็นมงคลอย่างหนึ่ง
จึงขอจบการสนทนา
เท่าที่ได้ทำหน้าที่มานั้นผู้อ่านได้รู้ได้เห็นแล้วว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด |
|
|
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.ค.2008, 2:43 pm |
  |
ฮ่า ฮ่า ฮ่า คารมดี แต่ปัญญานิ่ม(ขออภัยนะที่เขียนตรง จะได้ไม่ต้องอ้อมค้อม)
ข้าพเจ้าตอบคุณไปแล้วทุกคำถาม บางคำถามที่ไม่ตอบนั้้น ก็เพราะมันมีคำตอบอยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว คุณไปพิจารณาเอาเองเถอะนะ
แล้วคุณก็หัดอ่านภาษาไทย และทำความเข้าใจ กับบริบทของภาษาให้ดี ก็แล้วกัน
ไม่รู้ใครบ้าใครเมากันแน่ ขนาดเขียนให้อย่างชัดเจนแล้วว่า อะตอม ไม่สามารถชั่งเป็นน้ำหนักได้ เขาใช้เป็นเพียงการสมมุตว่ามีน้ำหนักนั่นน้ำหนักนี้ คุณยังโอ้อวดความรู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ ดวงจิตเลย ไม่เกี่ยวข้องกับ กระทู้เรื่องเจ้ากรรมนายเวรด้วยซ้ำ เพราะ มันจะมีน้ำหนักหรือไม่มีน้ำหนัก ก็ไม่เกี่ยว เพราะการรู้เรื่องน้ำหนักไม่ได้ทำให้คุณเกิดความรู้ความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับดวงจิตเลย มีแต่อยากชนะ อยากโอ้อวด ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปพิจารณาตัวเองเถอะคุณ แล้วก็ไปพบจิตแพทย์บ้างนะ พล่ามเหมือนคนบ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า |
|
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.ค.2008, 4:43 pm |
  |
ไม่รู้ใครบ้าใครเมากันแน่ ขนาดเขียนให้อย่างชัดเจนแล้วว่า อะตอม ไม่สามารถชั่งเป็นน้ำหนักได้ เขาใช้เป็นเพียงการสมมุตว่ามีน้ำหนักนั่นน้ำหนักนี้ คุณยังโอ้อวดความรู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ ดวงจิตเลย ไม่เกี่ยวข้องกับ กระทู้เรื่องเจ้ากรรมนายเวรด้วยซ้ำ เพราะ มันจะมีน้ำหนักหรือไม่มีน้ำหนัก ก็ไม่เกี่ยว เพราะการรู้เรื่องน้ำหนักไม่ได้ทำให้คุณเกิดความรู้ความเข้าใจอะไรเกี่ยวกับดวงจิตเลย มีแต่อยากชนะ อยากโอ้อวด ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไปพิจารณาตัวเองเถอะคุณ แล้วก็ไปพบจิตแพทย์บ้างนะ พล่ามเหมือนคนบ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ข้อเขียนของคุณเองเปรียบเทียบกันดู
ตอบ...
เจ้ากรรมนายเวร ไม่ได้เกิดจาก การปรุงแต่งของจิตในตัวเรา
แต่เป็นดวงจิตอีกดวงจิตหนึ่ง ที่สอดแทรก หรือแอบแฝงอยู่ในตัวเรา ถ้าจะกล่าวในทางหลักการแพทย์ ดวงจิตของเจ้ากรรมนายเวรนั้น น่าจะเป็นพันธุกรรม หรือเป็นเซลล์ หรือ การที่เราได้รับเชื้อโรคบางอย่างเข้าสุ่ร่างกาย หรือ อาจเป็นเพราะเราถูกดวงจิต หรือนิวเคลียส ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศไหลเข้าสู่ร่างกาย แล้วเจริญเติบโต หรือเข้าผสมผสานกับเซลล์ที่หัวใจ
(ที่ได้กล่าวข้างต้น เป็นเพียงข้อแสดงความคิดเห็น อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณในการคิดพิจารณา)
เพราะบุคคลที่มีเจ้ากรรมนายเวรแอบแฝงอยู่นั้น จะไม่รู้สึกตัว หรือไม่รู้เลยว่า ตัวเองมีเจ้ากรรมนายเวรแอบแฝงอยู่ ต่อเมื่อตัวเองเกิดการกระทำหรือมีพฤติกรรม ทั้งกายวาจาและใจที่เบี่ยงเบน ผิดปกติ ออกไปแล้ว พอรู้สึกตัว ก็จะคิดว่าไม่น่าทำอย่างนั้น ไม่น่าพูดอย่างนั้น แต่ยังมีข้อยกเว้น ว่า บางคนไม่มีเจ้ากรรมนายเวรอยู่แต่กระทำไปโดย อุปนิสัย ที่ได้รับการขัดเกลามา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าบุคคลใด เมื่อได้กระทำหรือมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น และระลึกได้ว่า ไม่ควรกระทำ นั่นแสดงว่า มีเจ้ากรรมนายเวรแอบแฝงอยู่ (กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านและคิดพิจารณา เพราะเป็นความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์เฉพาะบุคคล ไม่อาจเชื่อได้ว่ามีจริงเป็นจริง)
อะตอม มีน้ำหนัก และไม่ใช่เรื่องสมมุติ
คุณใหญ่มันไม่รู้เรื่อง |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 10:34 pm |
  |
ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าจะรู้ว่า เจ้ากรรมนายเวรนั้นมีอยู่จริง และข้าพเจ้าสามารถมองเห็นเจ้ากรรมนายเวรของทุกคนที่มีอยู่ได้ (อันนี้อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณ) (เพราะเป็นความสามารถพิเศษ อันมีติดตัวตั้งแต่ข้าพเจ้าจำความได้
เอาอะไรมาพิสูจน์ว่าไม่เป็นการอวดอ้างอุตริมนุษย์ |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 10:38 pm |
  |
ข้าพเจ้าบอกตามตรงเลยว่า ข้าพเจ้าเอง แม้จะมองเห็น แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือช่วยเหลือบุคคลนั้นๆให้หลุดพ้นจาก เจ้ากรรมนายเวร ยกเว้นภรรยา และลูกหลาน
ผลของกรรม ที่เรียกว่าวิบาก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าไม่สามารถหลุดพ้นได้
บุคคลย่อมเป็นทายาทของกรรมตนเองที่ก่อ |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 10:41 pm |
  |
เหตุเพราะ เจ้ากรรมนายเวรนั้น คือ ดวงจิตที่มีแรงอาฆาตแค้นกับบุคคลนั้นๆ และสิงสถิตแอบแฝงอยู่ ณ. หัวใจของบุคคลนั้นๆ ข้าพเจ้ามักจะมองเห็นเป็นดวงตาและใบหน้า สถิตอยู่ในหัวใจของบุคคลนั้นๆ ซึ่ง บุคคลที่มีเจ้ากรรมนายเวรสิงสถิตอยู่ มักจะเป็นบุคคลที่มีศีลธรรมน้อยกว่าปกติ มีการฝึกสมาธิน้อย หรือไม่สนใจเลย ที่ข้าพเจ้ารู้ ก็เพราะว่า ถ้าบุคคลใด มีกิเลสมาก ศีลธรรมน้อย สมาธิน้อย บุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะบริเวณหัวใจจะเป็นสีดำ ผสมกับสีใสคล้ายแสงของหลอดไฟแบบไส้ทังสเตน เล็กน้อย ถ้าบุคคลใดมีศีลธรรมมาก สมาธิดี บริเวณหัวใจจะมีสีใสคล้ายแสงของหลอดไฟแบบไส้ทังสเตน มาก มีสีดำน้อย ในที่นี้ จะไม่กล่าวถึงทั่วร่างกาย
อันนี้เป็นพวกไสยศาสตร์
ของศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าตรัสว่าวิบากกรรมนั้นคื่ออายตนะของตนนั่นเอง |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 10:44 pm |
  |
เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งเป็นดวงจิตดวงหนึ่งที่มีความอาฆาตแค้นต่อบุคคลนั้น (ข้าพเจ้าเองไม่ทราบว่า เขามีความอาฆาตแค้นอะไรกัน เพราะไม่เคยถาม รู้แต่เพียงว่า ถ้าข้าพเจ้าพยายามจะเปล่งฉัพพรรณรังสีไปให้เขา ในที่นี้หมายถึงเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรของบุคคลนั้นก็จะติดต่อสื่อสารกับข้าพเจ้าบอกกับข้าพเจ้าประดุจการขอร้องบ้าง แบบโกรธๆบ้างว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว)
อันนี้ขี้โม้เห็นๆ |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 11:10 pm |
  |
จิตวิญญาณ ก็คือ อะตอม อันประกอบไปด้วยนิวเคลียส (ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถมองเห็น)
จิต ที่กล่าวกันในพระพุทธศาสนานั้นหมายถึง จิต และ เจตสิก
จิตนั้น คือ วิญญาณ คื่อ ความรู้ หรือ รับรู้
เจตสิก คื่อ เวทนา คื่อ ความรู้ลึก
สัญญา คื่อ ความจำ
สัวขาร คื่อ การคิดปรุ่งแต่ง
อะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของธาตุ ประกอบด้วยแกนกลางที่เรียกว่า นิวเคลียส คื่อนิวตรอน ซึ่งประกอบด้วยโปรตรอน และอิเลคตรอน
โดยอิเลคตรอนจะโคจรเป็นวงโคจรรอบๆนิวเคลียส ในแต่ละวงโคจรจะมีอิเลคตรอนจำนวนเฉพาะ โดยมีสูตรว่าชั้นที่เท่าไหร่จะสามารถมีอิเลคตรอนได้กี่ตัว อิเลคตรอนตัวที่อยู่ในชั้นรอบนอกสุดจะสำคัญที่สุดเพราะจะเป็นตัวอกาะเกียวกับอะตอมตัวอื่นๆกลายเป็นธาตุและสารประกอบ
จำนวนโปรตรอน และ อิเลคตรอนที่แตกต่าง คื่อ ธาตุต่างๆ
ส่วน จิต นั้น คื่อ การรับรู้ ความรู้ลึก ความจำ การคิดปรู่งแต่ง ไม่ใช่วัตถุ จึงไม่มีนิวเคลียส
เราจึงชั่งน้ำหนักของจิตไม่ได้ เราช่าง ความจำ ความสุข ความทุกข์ ว่าหนักกี่ไมโครกรัมไม่ได้
การที่กล่าวว่าจิตคื่ออะตอมที่ประกอบด้วนิวเคลียสจึงเป็นเรื่องโกหก
อะตอมของจิตก็ไม่มีในโลก |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 11:20 pm |
  |
ดังนั้น เจ้ากรรมนายเวร จึงไม่ใช่สิ่งนอกเหนือจากขันธ์ 5 เพียงแต่ ดวงจิตของเจ้ากรรมนายเวรนั้น ก็คือนิวเคลียสตัวหนึ่ง หรือหลายตัว ทำปฏิกิริยา ณ.ที่หัวใจ กลายเป็นคลื่นหัวใจ ส่งต่อไปที่สมอง สมองส่งต่อไปยังอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวไปนี้ ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการเกิดการทำงานตามระบบ
เจ้ากรรมนายเวรในความหมายที่กล่าวนั้นคื่ออายตนะ
คลื่นหัวใจก็เกิดจากการบีบการคลายของหัวใจ
ดูเหมือนคนที่กล่าวอ้างถึงการทำปฏิกริยยาของสารเคมีเกรรมนายเวรจะคิดถึงคลื่นวิทยุหรือรังสีอะไรสักอย่าง
ไม่เคยมีเอกสารจากวงการใด หรือศาสนาใดๆเลยที่กล่าวถึงปฏิกริยานี้
อ้างถึงวงการแพทย์ยิ่งไปกันใหญ่ |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 11:39 pm |
  |
ส่วนคำถามของคุณนั้น ข้าพเจ้าจะตอบแบบโมเม สเตชั่นว่า
1 มวลอะตอม นั้น มีน้ำหนัก เฉลี่ย บวก ลบ คูณ หาร ตามน้ำหนักตัว ไม่หักลบพวกน้ำ พวกเลือด ก็จะหนักประมาณ 0.00000001 ไมโครกรัม
ส่วน น้ำหนัก 1 ดวงจิต นั้น จะประกอบไปด้วย หลายมวลอะตอม หมายความว่า ดวงจิต ประกอบไปด้วย นิวเคลียส หลายตัว เพราะต้องมีเซลล์ หลายเซลล์ประกอบกัน มีน้ำหนักประมาณ 0.0000001 ไมโครกร้ม ตัวเลขนี้อาจคลาดเคลื่อน ถ้าคุณอยากรู้น้ำหนักที่แท้จริง ก็ให้ไปถาม
สูตินารีแพทย์ ว่า อสุจิ ของ ผุ้ชาย หนึ่งตัว มีน้ำหนักเท่าไหร่ คงได้คำตอบที่แน่นอนนะคุณ
(อนึ่งท่านทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่าน อย่าคิดว่า คุณผู้ถามเป็นโรคจิตนะขอรับ
และก็อย่าคิดว่า ผู้ตอบ เป็นโรคจิตเหมือนกันนะขอรับ ที่ตอบไป อิงหลักวิชาการทั้งนั้นขอรับ แต่ก็คงมีผิดบ้าง ถูกบ้าง เพราะมันไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ขอรับ)
จิตกลายเป็น อสุจิไปเสียแล้ แถมยังมี เลือด มีน้ำ ต่างหาก
ขอยกตัวอย่างแนวคิดเรื่องเจตสิกในพระอภิธรรมปิฎกมาแสดงดังนี้
แนวคิดเรื่องเจตสิกในพระอภิธรรม
เจตสิก คือสิ่งที่ประกอบกับจิตได้ เป็นธรรมชาติที่อาศัยจิตเกิด การที่อาศัยจิตเกิดขึ้นนี้ ไม่เหมือนกับต้นไม้ ที่อาศัยพื้นแผ่นดินเกิด เพราะพื้นแผ่นดินกับต้นไม้นั้น พื้นแผ่นดินเป็นฐานรองรับ และต้นไม้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินที่รองรับนั้น ซึ่งพื้นแผ่นดินจะต้องปรากฏขึ้นก่อน เพื่อเป็นฐานรองรับให้ต้นไม้เกิดภายหลัง และการเกิดขึ้นของต้นไม้นั้นก็เป็นคนละส่วนกับพื้นแผ่นดิน คือต้นไม้ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดิน
เจตสิกที่อาศัยจิตนั้น มีสภาพเหมือนอาจารย์กับศิษย์ คือ ทั้งอาจารย์และศิษย์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน เมื่อมีอาจารย์ก็ต้องมีศิษย์ หรือมีศิษย์ก็ต้องมีอาจารย์ ถ้าเว้นอาจารย์เสียแล้ว ศิษย์ย่อมมีไม่ได้ หรือถ้าเว้นศิษย์เสียแล้ว อาจารย์ก็ย่อมมีไม่ได้เช่นเดียวกัน
1. ความหมายของเจตสิก
เจตสิก หมายถึง ธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้มีความเป็นไปต่าง ๆ (ขุนสรรพกิจโกศล 2510 : 2-3) อาการที่ประกอบกับจิตนั้น มีลักษณะ 4 ประการ คือ
1. เกิดพร้อมกับจิต 2. ดับพร้อมกับจิต 3. มีอารมณ์เดียวกับจิต 4. อาศัยวัตถุเดียวกับจิต
จิตและเจตสิกที่อิงอาศัยกันนี้ ถ้าเปรียบจิตเป็นน้ำ เจตสิกเป็นสีแดง ผสมกันเป็นน้ำแดง เมื่อผสมกันแล้วไม่สามารถแยกน้ำออกจากสีแดงได้ฉันใด จิตและเจตสิกก็ไม่สามารถแยกออกจากกันเป็นอิสระได้ฉันนั้น สภาวธรรม รวม 4 ประการของเจตสิก มีดังนี้
1. ลักษณะของเจตสิกคือ มีการอาศัยจิตเกิดขึ้น
2. กิจการงานของเจตสิกคือ เกิดร่วมกับจิต
3. ผลงานของเจตสิกคือ รับอารมณ์อย่างเดียวกับจิต
4. เหตุที่ทำให้เจตสิกเกิดขึ้นได้ คือ การเกิดขึ้นของจิต
เจตสิกนี้แม้ว่าจะเป็นสิ่งปรุงแต่งจิต ให้จิตมีพฤติกรรมเป็นไปตามลักษณะของเจตสิกก็ตาม แต่ก็ต้องถือว่าจิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน เพราะเจตสิกเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยจิตเกิด ไม่ว่าจะเป็นความพอใจ ความไม่พอใจ ความรัก ความเกลียด ความสงบ หรือฟุ้งซ่าน ล้วนเป็นคุณสมบัติของเจตสิกทั้งสิ้น แต่เจตสิกเกิดขึ้นเอง และแสดงพฤติกรรมเองไม่ได้ ต้องอาศัยจิตเป็นตัวแสดงพฤติกรรมแทน
จึงกล่าวได้ว่า ธรรมชาติของเจตสิกนั้น เกิดพร้อมกับจิต หรือประกอบกับจิตเป็นนิตย์ หรือธรรมชาติ ที่ประกอบกับจิตเป็นนิตย์ ชื่อว่า เจตสิก
การที่ต้องแบ่งจิตออกไปมากมายนั้น เพราะเจตสิกที่ประกอบจิต มีประเภทต่าง ๆ กัน จิตสัมพันธ์กับโลกภายนอก โดยการเข้าไปรับรู้โลกเป็นอารมณ์ แต่การรับรู้นั้นต้องอาศัยเจตสิกที่เป็นตัวกระทบอารมณ์ครั้งแรก(ผัสสะเจตสิก) เป็นต้น และเจตสิกอื่น ๆ ก็จะร่วมปรุงแต่งจิตให้เป็นไปในอาการต่างๆ
การปรุงแต่งของเจตสิก ที่เกิดพร้อมกับจิตนั้น ทำให้จิตมีความสามารถในการรู้อารมณ์พิเศษแตกต่างกันออกไป เช่น รู้เรื่องของกามคุณอารมณ์ เรื่องของรูปฌาน อรูปฌาน จนถึงรู้นิพพานอารมณ์
ที่กล่าวว่าเจตสิก คือ กลุ่มนามธรรมที่เกิดในจิต โดยเป็นไปเนื่องกับจิตหมายถึง กลุ่มธรรมอันมีผัสสะเป็นต้นนั้น มีความเป็นไปของกลุ่มธรรม ที่คล้ายเป็นอันเดียวกับจิต ด้วยลักษณะมีการเกิดขณะเดียวกับจิตนั่นเอง ข้อความนี้แสดงว่า เหมือนดั่งดอกไม้ ที่เนื่องอยู่ในขั้วเดียวกัน ในช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง
สภาพธรรม คือเจตสิก มีใจเป็นผู้นำ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ
หมายความว่า ผัสสะ เป็นต้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีจิต แต่จิตเป็นไปได้ แม้จะไม่มีเจตสิกบางดวงเกิดร่วม เช่น กลุ่มปัญจวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นได้แม้ไม่มีวิตกเจตสิกร่วมด้วย เป็นต้น จึงควรกล่าวว่า เจตสิกเนื่องกับจิต แต่ไม่ควรกล่าวว่าจิตเนื่องกับเจตสิก
พระบาลีว่า “ สำเร็จด้วยใจ” หมายความว่า ถูกจิตกระทำให้สำเร็จ กล่าวคือ เป็นอาการของจิต
2. ประเภทของเจตสิก
เจตสิกมีลักษณะที่แตกต่างกัน รวม 52 ลักษณะ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ (จากแผนผังเรื่องเจตสิก)
1 2 3 4
2.1 อัญญสมานาเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายกลาง ๆ ที่สามารถเข้าประกอบกับจิตได้ ทั้งกลุ่มกุศลจิต กลุ่มอกุศลจิต และกลุ่มจิตที่ไม่ใช่กุศล / อกุศล (อัพยากตะจิต)
อัญญสมานาเจตสิกมี 13 ดวง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม(แถว) ได้แก่
1. กลุ่มเจตสิกแถวบน 7 ดวง เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตทั่วไปทุกดวง (89 หรือ121ดวง) เจตสิกกลุ่มนี้เวลาเข้าประกอบ จะเข้าพร้อมกันทั้ง 7 ดวง แยกจากกันไม่ได้ จึงเรียกเจตสิกกลุ่มนี้ว่า สัพพสาธารณะเจตสิก 7
2. กลุ่มเจตสิกแถวล่าง 6 ดวง เป็นกลุ่มเจตสิกที่เข้าประกอบได้กับจิตทั่วไปเช่นกัน แต่เวลาเข้า ประกอบ จะเข้าไม่พร้อมกันก็ได้ แยกกันประกอบได้ เจตสิกกลุ่มนี้เรียกว่า ปกิณณกะเจตสิก 6
2.2 อกุศลเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายอกุศล เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น กลุ่มอกุศลจิต มี 14 ดวง แบ่งเป็น 5 กลุ่ม(แถว) ความหมายของแต่ละดวง จะกล่าวในบทต่อไป ในที่นี้จะแสดงเพียงชื่อของกลุ่ม และเจตสิกในกลุ่มก่อน กล่าวคือ
1. กลุ่มโมหะเจตสิก 4 ดวง(โมจตุกะ 4) ได้แก่ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ
2. กลุ่มโลภะเจตสิก 3 ดวง(โลติกะ3) ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ มานะ
3. กลุ่มโทสะเจตสิก 4 ดวง(โทจตุกะ 4) ได้แก่ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ
4. กลุ่มที่ทำให้หดหู่ ท้อถอย(ถีทุกะ2) ได้แก่ ถีนะเจตสิก มิทะเจตสิก
5. กลุ่มความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา1) ได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิก (มีเพียง 1 ดวง)
2.3 โสภณเจตสิก หมายถึง กลุ่มเจตสิกฝ่ายดีงาม เป็นกลุ่มที่ประกอบได้กับโสภณจิต (ยกเว้นกลุ่มอกุศลจิต และกลุ่มอเหตุกจิตแล้ว จิตที่เหลือชื่อว่าโสภณะจิต) โสภณเจตสิกมี 25 ดวง แบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้
1. โสภณสาธารณะเจตสิก 19 ได้แก่ สัทธา สติ หิริ โอตัปปะ..... เป็นต้น
2. วิรตีเจตสิก 3 ได้แก่ สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตะเจตสิก สัมมาอาชีวะเจตสิก
3. อัปมัญญาเจตสิก 2 ได้แก่ กรุณาเจตสิก มุฑิตาเจตสิก
4. ปัญญาเจตสิก 1 ได้แก่ ปัญญาเจตสิก หรือปัญญินทรีย์เจตสิก
การที่จิตและเจตสิกจะประกอบกันได้จำต้องมีคุณสมบัติที่คล้ายกัน จึงอยู่ในที่เดียวกันได้ เช่น โลภะเจตสิก จะต้องประกอบได้กับโลภะมูลจิตเท่านั้น เมื่อประกอบกันแล้วโลภะจิตดวงนี้จึงจะสามารถแสดงอำนาจความอยากได้ออกมา โทสะเจตสิกก็ต้องประกอบกับโทสะมูลจิตเท่านั้น โทสะเจตสิกจะ ประกอบกับโลภะจิตไม่ได้ เพราะเป็นสภาพธรรมที่ตรงข้ามกัน คือ โลภะเจตสิกมีสภาพติดใจในอารมณ์ ส่วนโทสะเจตสิกมีสภาพประทุษร้ายทำลายอารมณ์ จึงเข้ากันไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน เจตสิกฝ่ายอกุศล ก็จะเข้ากับโสภณเจตสิกก็ไม่ได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป ธรรมชาติของเจตสิกนั้นเกิดพร้อมกับจิต หรือประกอบกับจิตเป็นนิตย์ เมื่อประกอบแล้ว ทำให้จิตเป็นบุญ(กุศล) หรือเป็นบาป(อกุศล) ตามการเข้าประกอบ เจตสิกแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ เจตสิกฝ่ายกลาง เข้าได้กับจิตทุกกลุ่ม เรียกว่า อัญญสมานาเจตสิก มี 13 ดวง กลุ่มที่ 2 คือ เจตสิกฝ่ายอกุศลได้แก่ อกุศลเจตสิกมี 14 ดวง เข้าได้กับ กลุ่มอกุศลจิตเท่านั้น กลุ่มสุดท้ายคือเจตสิกฝ่ายดีงาม เข้าได้กับกลุ่มโสภณจิตเท่านั้น โสภณเจตสิกมี 25 ดวง |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 6:08 pm |
  |
ดวงจิตที่ผู้อ้างถึง อ่านดูแล้วจับความได้ว่าเขาคิดว่ามีลักษณะเหมือนดวงวิญญาณ หรื้อผี ในภาพยนต์
ความจริงที่กล่าวเอาไว้ในพระไตรปิฎกพอยกมาให้เข้าใจเพื่อมิให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้อ่านได้รับรู้ในสิ่งที่ถูก
จิตของคนเมื่อใกล้ตาย หรือ จุติ จะกลายเป็นจิตไร้สำนึกเรียกว่าจุติจิตและจะกลายเป็นปฏิสนธิจิตในทันทีเมื่อตายลง
คื่อระหว่างจุติจิตกับปฏิสนธิจิตต่อเนืองกัน หรือเกิดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน หรืออาจจะเรียกว่าพร้อมกันก็ได้
ไม่ได้มีดวงจิตใดๆที่ล่องลอยดังที่ผู้ตั้งกระทู้กล่าวอ้าง
มีแต่ที่ปฏิสนธิไปเป็นเทพ หรือ พรหม เป็นต้น ที่มีวิธีเกิดคื่อการผุดขึ้น เรียกว่าโอปติกะ ซึงเกิดแล้วจะโตทันทีมีรูปร่างเกือบเหมือนมนุษย์ร่างเดิมของตนเองที่มีวัยประมาณอายุ20ปี
อีกประการหนึ่งที่ผมได้ยกเอาเจตสิกมาเป็นตัวอย่างข้างบนเนืองจาก
เจตสิตถือเป็นสังขาร เป็นเจตนา เป็นเจตจำนน เป็นกรรมนั่นเอง ซึ่งเข้ากันกับกระทู้
จุดประสงค์ที่ต้องมาแสดงความคิดความเห็นก็เพื่อแสดงความถูกต้องเอาไว้
มิได้อวดฉลาดแต่ประการใด
หากท่านใดมีข้อท้วงติงด้วยเหตุผล ก็ยินดีรับฟังด้วยความเคารพ โดยยึดหลักที่ว่า
การมีกัลยาณมิตรเปรียบเสมือนอรุณรุ่งของความสำเร็จทีเดียว |
|
|
|
   |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 9:05 pm |
  |
060 กรรมเก่ากรรมใหม่
ปัญหา นิครนถนาฏบุตร ศาสนาแห่งศาสนาเซนเห็นว่าสุขทุกข์ หรืไม่สุขไม่ทุกข์ที่มนุษย์ได้รับอยู่ในปัจจุบัน ย่อมเป็นผลของกรรมเก่าที่ตนทำไว้ในอดีตทั้งสิ้น ฉะนั้นทุกคนจึงตกเป็นทาสของกรรมอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง วิธีแก้ต้องบำเพ็ญตบะ กำจัดกรรมเก่าและไม่ทำกรรมใหม่ เมื่อเป็นผู้ไม่มีกรรมอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงจะพ้นทุกข์ได้เด็ดขาดดังนี้ พระพุทธองค์ทรงมีทรรศนะอย่างไร ?
พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเข้าไปหานิครนถ์ผู้มีวาทะ....... ทิฐิ อย่างนี้แล้วถามว่า ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ จริงหรือที่มีข่าวว่า พวกท่านมีวาทะอย่างนี้...... ว่า ปุริสบุคคลนี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ก่อน....... พวกนิครนถ์นั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้วย่อมยืนยัน เราจึงถาม..... อย่างนี้ว่า...... พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้มีแล้วในก่อนมิใช่ไม่ได้มีแล้ว ? นิครนถ์เหล่านั้นตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ทำบาปกรรมไว้ในก่อน มิใช่ได้ทำไว้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบละหรือว่า เราทั้งหลายได้ทำบาปกรรมอย่างนี้ พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่าพวกท่านทราบละหรือว่า ทุกข์เท่านี้เราสลัดได้แล้ว หรือว่าทุกข์เท่านี้เรายังจะต้องสลัดเสีย หรือว่าเมื่อทุกข์เท่านี้ เราสลัดแล้ว จักเป็นอันว่าเราสลัดทุกข์ได้หมด ? พวกนิครนถ์ตอบว่า ไม่ทราบ เราถามว่า พวกท่านทราบการละอกุศลธรรม การบำเพ็ญกุศลธรรมในปัจจุบันละหรือ ? พวกนิครนถ์ตอบว่าไม่ทราบ
“เรากล่าวว่า ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ...... เมื่อเป็นเช่นนี้ นิครนถ์ผู้มีอายุไม่บังควรจะพยากรณ์ว่า ปุริสบุคคลนี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง....... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน
“ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ...... สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้นพวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบอันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า....... สมัยนั้นพวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า..... อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า...... เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุไม่บังควรจะพยากรณ์ว่า...... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่จนทำไว้ก่อน
“...... ถ้าสมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า..... สมัยนั้นเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า..... พึงหยุดได้เอง... เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ควรจะพยากรณ์ได้ว่า....... ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่จนทำไว้ก่อน
“ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ...... ก็เพราะเหตุที่สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า.... สมัยนั้นพวกท่านจึงเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า พวกท่านนั้นเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า...... อันเกิดแต่ความเพียรเองทีเดียว....
“ดูก่อนนิครนถ์ผู้มีอายุ......พวกท่านจะพึงปรารถนาไม่ได้ดังนี้ว่า กรรมใดเป็นของให้ผลในปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในชาติหน้า..... กรรมใดเป็นของให้ผลในชาติหน้า ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบัน....... กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นสุข...... กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นทุกข์..... กรรมใดเป็นของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น..... ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น ความพยายามของพวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ไร้ผล ความเพียรก็ไร้ผล.....
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ก็เป็นผู้ได้ทำกรรมชั่วไว้ในก่อนแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี้ ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุที่อิศวร (เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) เนรมิตให้พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้ถูกอิศวรชั้นเลวเนรมิตมาแน่....... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้มีความบังเอิญชั่วแน่..... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะอภิชาติ พวกนิครนถ์ก็ต้องเป็นผู้มีอภิชาติเลวแน่... ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความพยายามในปัจจุบันเลวแน่ ในบัดนี้พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบเห็นปานนี้......
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรความพยายามจึงจะมีผล ความเพียรจึงจะมีผล ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เอาทุกข์ทับถมจนที่ไม่มีทุกข์ทับถม ๑ ไม่สละความสุขที่เกิดโดยธรรม ๑ ไม่มีผู้หมกมุ่นในความสุขนั้น ๑ เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า ถึงเรานี้จะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเริ่มตั้งความเพียร วิราคะย่อมมีได้ด้วยการตั้งความเพียร...... เมื่อวางเฉยบำเพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ย่อมมีได้...... เธอจึงเริ่มตั้งความเพียร..... และบำเพ็ญอุเบกขา..... แม้อย่างนี้ ทุกข์นั้นก็เป็นอันเธอสลัดได้แล้ว.......”
เทวทหสูตร อุ. ม. (๓-๑๒)
ตบ. ๑๔ : ๒-๑๔ ตท. ๑๔ : ๑-๑๒
ตอ. MLS. III : ๓-๑๑ |
|
|
|
   |
 |
Buddha
บัวบาน

เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 8:47 pm |
  |
เจ้ากรรมนายเวรนั้นมีอยู่จริง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขยั้นขยอให้ใครเชื่อ และไม่ได้ตั้งกระทู้เพื่อสร้างความเชื่อ แต่เป็นการเขียนกระทู้ขึ้นมาเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเอาตามหลักความเป็นจริง ที่พิสูจน์ได้
ถ้าท่านทั้งหลายพิสูจน์ไม่ได้ แล้วท่านทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่ ก็ตามแต่ใจของท่านทั้งหลาย
เพราะมีเพียงข้าพเจ้าเท่านั้นที่สามารถรับสัมผัส จากเจ้ากรรมนายเวรได้ ก็เท่านั้น |
|
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
16 ก.ค.2008, 8:54 pm |
  |
ผมเข้าไปค้นคว้าอสุจิจากตำราสูจินาแพทย์แล้วไม่พบว่าอสุจิคื่อจิต
จึงรบกวนขอให้คุณอ้างอิงว่าเป็นเอกสารใด อยู่ตรงใหน |
|
|
|
   |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
10 ส.ค. 2008, 2:52 am |
  |
อ่านไปอ่านมา เหมือนพวกท่านเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันและกันนะ อมิตพุทธ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|