Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สมถะและการเจริญวิปัสสนา อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 7:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณตรงประเด็นค่ะ

-- เดี๋ยวไว้ว่างๆจะเข้ามาสนทนาค่ะ เนี่ยเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน อ่านสิ่งที่คุณตรงประเด็นพูดมาแล้ว พอจะเข้าใจค่ะ

-- ยังไงก็ขอบอกว่าคำว่า " พิจรณา กับดูตามความเป็นจริง " มันต่างกับ "การกำหนดรู้ลงไป"ค่ะ เดี๋ยวคุณเห็นรายละเอียดของบทความ แล้วคุณจะร้องอ้อ เหมือนกับที่คนหลายๆคนมาใช้ศัพท์แบบผิดๆกัน ถ้าใครอ่านแล้วมีเคืองหรือขุ่นใจ ขออภัยด้วยค่ะ

-- แล้วจะนำเรื่อง หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจากพระสูตร มาให้อ่านค่ะ ขออภัยด้วยค่ะที่ไม่ได้เขียนชื่อท่านเจ้าของบทความ ท่านปัญญานันโท เป็นผู้เขียนบทความนี้ค่ะ

-- ภาษาไทยมันดิ้นได้ค่ะ ถ้ารูปประโยคผิดไป แต่ตรงกับพระไตรปิฏกค่ะ

ยังไงก็ยินดีรักษาปริยัติให้คงเดิมไว้ค่ะ อนุโมทนาค่ะคุณตรงประเด็น
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ทศพล
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 10 ก.พ. 2008
ตอบ: 153
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
"ธรรมทาน คือ ทานอันสูงสุด"
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"

http://www.wimutti.net
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 7:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณตรงประเด็นค่ะ

อ้างอิง

อ้างอิงจาก:
คุณคิดเอาเองนี่คะ ท่านก็เขียนไว้อยู่แล้วว่า เจริญวิปัสสนา ท่านไม่ได้เขียนเลยว่า เจริญสติปัฏฐาน 4


ท่านเจ้าของบทความ เขียนดังนี้ครับ
(ผมใช้สีแดง เวลาอ้างอิง ความเห็นของบุคคล....ใช้สีเขียว เวลาอ้างอิงคัมภีร์ระดับรอง....ใช้สีน้ำเงิน เวลาอ้างอิงพระไตรปิฎก)

๒. เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นได้แก่ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก่อน โดยการพิจรณากายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม


การกำหนดพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ....ที่ท่านเจ้าของบทความ กล่าวถึงนี้คือ การเจริญสติปัฏฐานครับ

-- อ่านดีๆค่ะ ดิฉันบอกแล้วว่า ถ้าใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง การตีความจะผิดไปทันทีค่ะ ท่านเขียนว่า "การกำหนดพิจรณา" ไม่ได้เขียนว่า "กำหนดรู้ลงไปค่ะ"

-- ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวค่ะ ที่เขียนคำว่า" เจริญสติปัฏฐาน 4" หมายถึงการทำวิปัสสนา แต่พอได้อ่านประโยคที่ท่านหลายๆท่านลอกมาจากครูบาฯอีกที มันหมายถึงการเจริญสติ เพราะมีแต่คำว่า " กำหนดรู้" ดิฉันได้อ่านข้อมูลจากตำราต่างๆก็ได้แต่ร้องเฮ้อ .... ใช้ภาษาไทยกันผิดๆ มันก็เลยกลายเป็นข้อถกเถียงไม่รู้จบ

ยกตัวอย่างมาให้อ่านค่ะ มาให้เปรียบเทียบ

จากตำราหนึ่งเขียนว่า การเจริญสติปัฏฐานกล่าวถึงความหมายของสติปัฏฐาน อารมณ์ของสติปัฏฐาน และวิธีเจริญสติปัฏฐาน ๔ ตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงการเจริญสติปัฏฐานไว้ในทีฆนิกายมหาสติปัฏฐานสูตรนี้ เป็นพระสูตร (ที.มหา.๑๐/๓๗๒-๔๐๕/๒๔๘-๒๖๙) พระสุตรนี้เป็นพระสุตรที่สำคัญมากในพระพุทธศาสนา เพราะแสดงแนวทางการปฏิบัติคือ การเจริญสติ และแสดงผลที่ได้รับคือ วิปัสสนาปัญญาที่รู้แจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังมีพุทธดำรัสที่ตรัสรับรองว่า "ผู้ที่มีปัญญาไม่แก่กล้าจะบรรลุเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ได้ภายใน ๗ ปี ส่วนผู้ที่มีปัญญาแก่กล้าจะบรรลุภายใน ๗ วัน " พระดำรัสนี้ทำให้อนุมานว่านักปฏิบัติสามารถบรรลุเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีได้โดยการปฏิบัติในเวลาไม่นานนัก

พระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐานไว้ในอารัมภกถาของมหาสติปัฏฐานสูตรว่า

" เอกาโย อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ นี้เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อระงับความเศร้าโศกและความคร่ำครวญ เพื่อดับความทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุอริยมรรค เพื่อรู้แจ้งพระนิพพาน"

องค์ประกอบของสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่

๑.กาเย กายานุปัสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา
ตามกำหนดรู้อาการของกายอย่างหนึ่งในบรรดาอาการกายที่ปรากฏอยู่ได้แก่ การตามรู้ลมหายใจ การตามรู้อริยาบทใหญ่ทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน การตามรู้อริยาบทย่อยต่างๆ เช่น การเหยียด การคู้ฯลฯ

กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฌาโทมนสฺสํ
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ (ให้สังเกตุว่า ท่านใช้ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นในกายของผู้ปฏิบัติต้องตั้งสติกำหนดตาม

อันนี้ยกตัวอย่างมาให้อ่านคร่าวๆ

กับประโยคนี้ อีกบทความหนึ่ง ของท่านปัญญานันโท

มหาสติปัฏฐานสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับภิษุทั้งหลายว่า ทางนี้เป็นทางเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ พิจรณาเห็นกายในกาย พิจรณาเห็นเวทนาในเวทนา พิจรณาเห็นจิตในจิต พิจรณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
(จากพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง. ทีฆนิกาย มหาสติปัฏฐานสูตร)



แค่นี้ก่อน เดี๋ยวมาสนทนาใหม่ค่ะ แค่ ๒ ประโยคนี่ก็น่าจะเห็นความแตกต่าง ถ้าอ่านให้ดีๆ ระหว่าง " กำหนดรู้" กับ" พิจรณา" แต่ท่านที่นำ " กำหนดรู้ " มาเขียนในแนวว่าเป็นการทำวิปัสสนา ท่านเขียนรวมๆ ไม่แยกออก คนอ่านถ้าอ่านไม่ละเอียดจะทำให้สับสนได้ค่ะ กว่าจะเขียนจบก็เล่นเอามึนกับตัวหนังสือเหมือนกันค่ะ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง

แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 05 ส.ค. 2008, 9:45 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 9:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณตรงประเด็นและทุกท่านค่ะ

ดิฉันขอแยกเป็นคำๆน่ะค่ะ ตรงไหน ทุกคนคิดว่า น่าจะเป็นแบบที่จะเป็นเสนอข้อคิดเห็นมาได้ค่ะ

-- การพิจรณาที่ประกอบไปด้วยสติ การกระทำคือ โยนิโสมนสิการ ใน กาย เวทนา จิต ธรรม(อันนี้ยังมีความคิดอยู่ในการพิจรณา)

-- ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น การกระทำคือ อะไร ตรงไหนเกิดก็ดูไปตามความเป็นจริง ในกาย เวทนา จิต ธรรม

-- สองข้อแรกคือการทำวิปัสสนา

-- เจริญสติ การกระทำคือ รู้ลงไปตรงๆ ในกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นการฝึกสติแบบไม่อาศัยสมมติบัญญัติช่วย

-- การกำหนดรู้ การกระทำคืออาศัยสมมติบัญญัติให้จิตมีที่เกาะ เพื่อรั้งให้จิตทำงานช้าลง เพื่อสติจะได้เกิดเร็วขึ้น เช่นใช้คำว่า "หนอ" ต่อท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นใน กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อสติ สัมปชัญญะทำงานได้ดี สมมติบัญญัติก็จะหายไปเอง

-- สองข้อหลังนี่เป็นการฝึก"สติ" แบบสติที่คนทั่วๆไปมี ให้กลายเป็นสติปัฏฐาน จากสติปัฏฐาน ก็กลายเป็นมหาสติปัฏฐาน
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง

แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 05 ส.ค. 2008, 10:29 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ตรงประเด็น
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ก.ค. 2006
ตอบ: 773

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 9:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณ คุณwalaiporn ครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 9:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจรณา กับดูตามความเป็นจริง " มันต่างกับ "การกำหนดรู้ลงไป"
1พิจารณา คือ ทำให้รู้แจ้งแตกฉานเช่นญาน 1พิจารณารูป นาม
ว่า เที่ยง หรือเป็นทุกข์ยังไร
2การกำหนดรู้ลงไป" คือการตรึกถึงสิ่งนั้น ให้เห็นถึง อนิจจัง หรือ อนัตตา เป็นการทำ ก่อน พิจารณา นะ แต่เป็น ขั้นก่อน
เข้าใจ ครับ... เศร้า
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 9:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


ถ้าผู้ใดจะทำทางวิปัสสนา

ให้ตั้งกายให้ตรง ทำสติไว้เฉพาะหน้า ไม่ให้เผลอ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย อย่าให้เกยกันมาก แต่พอหัวแม่มือซ้ายกับนิ้วชี้ขวาจรดกัน แล้วหลับตาภาวนาว่า “สัมมาอะระหัง” หลับตาแล้วมันมีกลเม็ดอยู่อย่างหนึ่ง คือเหลือบตาขึ้นข้างบนเหมือนอย่างไปข้างหลัง กลับมองลงไปในกลางตัว ตามหลอดลมหายใจ เพราะมันเป็นรูกลวงลงไปตั้งแต่เพดานจนถึงสะดือ สุดลมหายใจที่อยู่เพียงสะดือตรงนั้น เรียกว่า “ที่สิบ” เหนือสะดือขึ้นมาสองนิ้วมือ เรียกว่า “ที่ศูนย์” เป็นที่ตั้งสติ เอาเห็น จำ คิด รู้ ทั้งสี่นี้ลงไปหยุดนิ่งอยู่ที่นั่น เพราะที่ตรงนั้นมีดวงธรรมประจำอยู่ทุกคน ธรรมดวงนี้สำหรับทำให้เกิดเป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงจากไก่ สว่างเหมือนแสงไฟ ให้ลงไปนิ่งนึกอยู่แต่ตรงนั้นอย่าไปทางไหน ดินถล่มฟ้าทลาย คอขาดบาดตายก็อย่าตกใจ ให้นิ่งแน่นอยู่เหนือสะดือสองนิ้วมือนั้นให้ได้ ซ้ายขวาหน้าหลัง ไม่ไป ล่างบน ไม่ไป นิ่งอยู่กึ่งกลางกาย ข้างใน ข้างนอก อย่าออกไป ถ้าออกข้างนอก ถึงธรรมเกิดขึ้น สว่างได้ ก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส ไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนูปกิเลสนี้เป็นของภาคดำ ไม่ใช่ของภาคขาว





o

เมื่อกายสงบดีแล้ว หรือเกิดตัวเบาขึ้น นั่นเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เมื่อเกิดความสุขกายขึ้น เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน, ถ้าเกิดแสงสว่างขึ้นที่เหนือสะดือสองนิ้วมือ จะเล็กหรือจะใหญ่ก็ตาม ประมาณสักเท่าดวงดาวหรือไข่แดงของไก่ เป็นอุคคหนิมิตขึ้นอย่างนั้นแล้ว รักษาไว้ นี่เรียกว่า ปฐมมรรค ถ้าใสอย่างกระจกส่องหน้าอย่างนั้นหละเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าขยายเป็นปฏิภาคออกไปใหญ่เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้ ก็จะเห็นกายในกายผุดขึ้นในกลางดวงนั้นเหมือนอย่างกายมนุษย์เราไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด (ในกลางกายมนุษย์ละเอียด มีกายทิพย์) กายนี้สำหรับไปเกิดมาเกิด กายนี้ถ้าหลุดจากกายมนุษย์หยาบ (กายเนื้อ) เมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น แต่ต้องพูดถึงกายนี้ให้รู้เรื่องกันเสียก่อน เพราะเป็นกายไปเกิดมาเกิด เป็นกายสมุทัย กายนี้เมื่อมาเกิดเข้าครรภ์บิดามารดานั้น สูงถึงแปดศอก มาเข้าครรภ์บิดาก่อน ถ้าจะเป็นหญิงก็เข้าทางช่องจมูกซ้าย ถ้าจะเป็นชายก็เข้าทางช่องจมูกขวา เข้าไปอยู่เหนือศูนย์สะดือสองนิ้วมือของบิดาก่อน แล้วมารดาจึงตั้งครรภ์ขึ้นทีหลัง ตั้งครรภ์ด้วยกันทั้งสองคนจึงรักบุตรด้วยกันทั้งคู่ บิดามารดาร่วมประเวณีกันเข้า ถ้ายังไม่ตกสูญก็ยังไม่เกิด ถ้าตกสูญเมื่อไรก็เกิดเมื่อนั้น
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 7:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิง

"การกำหนดรู้ลงไป" คือการตรึกถึงสิ่งนั้น ให้เห็นถึง อนิจจัง หรือ อนัตตา เป็นการทำ ก่อน พิจารณา นะ แต่เป็น ขั้นก่อน
เข้าใจ ครับ...

-- ขอบคุณค่ะคุณบุญชัย เพิ่งเคยได้ยินเนี่ย เป็นความรู้ใหม่ค่ะว่า คำว่า "กำหนดรู้ลงไป" หมายถึง การตรึกถึงสิ่งนั้น ( ความคิด )

-- คำว่า "กำหนดรู้ลงไป" ที่ดิฉันนำมาพูดนั้นหมายถึง การฝึกเจริญสติ โดยใช้สมมติบัญญัติเข้ามาช่วย คือใช้คำว่า"หนอ" เช่น เวลากำลังเดินก็ขวา .. ย่าง ... หนอ ... ซ้าย... ย่าง...หนอ... หรือเวลาจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องกำหนดรู้ลงไปทุกครั้ง ไม่ใช่แบบรู้ลงไปในการกระทำทันทีเลย ไม่ใช่แบบนั้น การที่ใช้" หนอ" ก็เพื่อรั้งจิตให้ทำงานช้าลง เพื่อสติ สัมปชัญญะ จะได้เกิดเร็วขึ้น ที่เขาเรียกว่า สติทันจิตน่ะค่ะ ถ้าถามว่า ฝึกแบบไหนที่สามารถสร้างสติ สัมปชัญญะให้เกิดขึ้นได้เร็วกว่ากัน อันนี้ดิฉันตอบได้เลยว่า ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นค่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบ รูปแบบนี่แล้วแต่คนจะถูกจริต เพราะคนที่ฝึกแบบใช้สมมติบัญญัติเข้าช่วย พอสักวันหนึ่ง สติ สัมปชัญญะเขากล้าแข็งพอ สมมติบัญญัติที่ใช้ในการกำหนดเพื่อสร้างสติ มันก็จะหายไปเองค่ะ มันจะไปรู้อยู่ในจิต ไม่ว่าจะยก จะย่าง จะเหยียบ จะกดฯลฯ ทุกย่างก้าวอริยาบทที่เดินมันจะตัดขาดออกจากกัน ถ้าสติ สัมปชัญญะไม่มากพอ รู้แบบนี้ไม่ได้หรอกค่ะ

-- นี่แหละภาษาสมมติบัญญัติ การตีความหมายในการใช้งานเลยไปคนละเรื่องกันเลย ถ้าเราเข้าใจมันซะ มันก็จบไม่ต้องมานั่งถกกัน ก็เขาถูกสอนมาแบบนั้น ส่วนเราถูกสอนมาแบบนี้ ต่างคนต่างรู้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่มีใครถูกและผิด เราก็เลยได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในการสนทนากันค่ะ

-- ส่วนการทำวิปัสสนา ที่คุณนำให้อ่าน เพิ่งรู้เป็นครั้งแรกค่ะว่า ธรรมกาย ทำแบบนี้ เพราะเท่าที่เคยอ่านของคุณตรีธา ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสด ท่านเขียนไว้ ไม่เห็นเหมือนกับที่คุณนำมาให้อ่านเลยค่ะ ไม่ได้คิดติติงหรือเพ่งโทษ แค่ออกความคิดเห็นเฉยๆ ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
EQUANIMITY
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 ส.ค. 2008
ตอบ: 14
ที่อยู่ (จังหวัด): Ayudhya

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 2:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ร้องไห้
 

_________________
ส.พุทธบุตร.
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 9:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ เจริญในธรรม ทุกๆ ท่าน อมิตพุทธ พุทโธ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
 www.Stats.in.th