ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2008, 1:04 pm |
|
โปเต้ พิมพ์ว่า: |
คุณคามินธรรม
หาคำว่าเคืองไม่เจอในคำตอบของคุณคามินธรรมไม่เจอจริงๆค่ะ
สงสัยจะอยู่ลึกมากๆในใจของคุณ walaiporn
(ขออนุญาติแซวเล็ก" )
|
- ขอบคุณที่ให้สตินะคับ
คุณโปเต้ลึกซึ้งนะคับเนียะ ลึกซึ้งมากๆ
ให้สติผมได้เป็นอย่างดี
ตอนเขียนผมก็เคืองจริงๆ คงลึกมากจริงๆอย่างว่า จนอาจจะดูไม่ออก
ขออโหสิทุกท่านคับ คุณ walaiporn ด้วยนะคับ ขออโหสิกรรมด้วยคับ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2008, 1:36 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
กลาง คือ การวางเฉยต่อสิ่งที่รู้
ไม่ว่าจะรู้จะเห็นอะไรจากการเจริญจิตภาวนา .... ต้องวางเฉยเท่านั้น
แค่รับรู้ ... และวางเฉย
นี่คือหัวใจของการเจริญวิปัสสนาทุกสำนัก
....ถ้าทำเกินนี้อาจจะบ้าได้ โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ได้เห็นของแปลกประหลาดพิศดาร แล้วตันหาอยากจะทราบมันเกิดขึ้น...
ผู้รู้ ก็เลยเก็บเสื้อผ้า หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามของแปลกไปเลย กู่ไม่กลับ
คามินธรรม02 สิงหาคม 2008, 4:27 pm |
ที่อ้างอิง => กลางคือการวางเฉยต่อสิ่งที่รู้
กับ ผู้รู้ => ผู้รู้ ก็เลยเก็บเสื้อผ้า หอบ
ผ้าหอบผ่อนหนีตามของแปลกไปเลย กู่ไม่กลับ
น้องคามินคงมองไม่เห็น ที่กรัชกายถามไว้=>
อ้างอิงจาก: |
อ้างอิงจาก:
กลางคือการ วางเฉยต่อสิ่งที่รู้
ไปจัดที่จัดทางจัดแถวจัดกลางให้มัน แสดงว่าบังคับได้ เหมือนเครื่องมือ
เวิร์ด
อ้างอิงจาก
ผู้รู้
"ผู้รู้" นี่ใครหรอ ช่วยขยายความหน่อยครับ
กรัชกาย: 02 สิงหาคม 2008, 4:46 pm |
อยากรู้มากๆเลยว่า ผู้รู้ เป็นต้น ที่ถาม เป็นใคร (อะไร) ช่วยอธิบายที |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2008, 3:48 pm |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
ที่อ้างอิง => กลางคือการวางเฉยต่อสิ่งที่รู้
กับ ผู้รู้ => ผู้รู้ ก็เลยเก็บเสื้อผ้า หอบ
ผ้าหอบผ่อนหนีตามของแปลกไปเลย กู่ไม่กลับ
น้องคามินคงมองไม่เห็น ที่กรัชกายถามไว้=>
อ้างอิงจาก: |
อ้างอิงจาก:
กลางคือการ วางเฉยต่อสิ่งที่รู้
ไปจัดที่จัดทางจัดแถวจัดกลางให้มัน แสดงว่าบังคับได้ เหมือนเครื่องมือ
เวิร์ด
อ้างอิงจาก
ผู้รู้
"ผู้รู้" นี่ใครหรอ ช่วยขยายความหน่อยครับ
กรัชกาย: 02 สิงหาคม 2008, 4:46 pm |
อยากรู้มากๆเลยว่า ผู้รู้ เป็นต้น ที่ถาม เป็นใคร (อะไร) ช่วยอธิบายที |
คุณกรัชกายอย่าแกล้งถามผมเลย
เดี๋ยวแอบมายัดข้อหาว่าผมเป้นพวกลงรถเมล์ป้ายสะพานมัฆวานให้ผมอีก
ผมไม่เคย และไม่ชอบเกลือกกลั้วความสกปรกแบบนั้น
ผมไม่ชอบการคุยแบบแบบแกล้งถามแบบนี้
มันเป็นการพูดกดผู้อื่นลง กดคุณค่าเขาลง เ็ป็นวาจาทุจริต
ความจริงตอบไปหมดแล้วนะครับ
ทั้งตอบอย่างกว้าง ตอบอย่างละเอียด
ทั้งตอบตรงๆ ทั้งตอบกระทู้อื่น
เรื่องการศึกษาวิปัสนาด้วยภาษานั้น เอาไว้แค่ให้รู้เป้นแนวทางเฉยๆ
ถ้าคุยกันแล้วมันเข้าใจได้ตรงนี้ โดยไม่ต้องเจริญจิตภาวนา
พระพุทธเจ้าคงไม่บอกให้ภาวนาแน่ๆใช่ไหมครับ
ท่านคงไม่ยกย่องว่าการเจริญจิตภาวนาตามแนวสติปฏฐาน 4 เป็นทางสายเอก
การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ว่าสำนักไหน
ก็ต้องมี ผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้ ด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าเราไม่ติดภาษาเกินไป เราจะพบ 2 อย่างนี้ ในทุกสำนัก เพราะมันถูกระบุไว้ในพระสูตร
ผู้รู้ กับสิง่ที่ถูกรู้ มันละเอียดพิศดาร
ผู้รู้มีชื่อแตกต่างไป ทำงานแตกต่างกันไปเมื่อความรู้มากขึ้น และสิง่ที่ถูกรู้ละเอียดขึ้น
สิ่งที่ถูกรู้ มีนับไม่ถ้วน มีรูปมีนามมหาศาล ถึงอธิบายให้ชัดไม่ได้
และไม่ใช่หน้าที่ต้องจำว่ามันคืิอะไร ไม่ใช่หน้าที่จะไปตั้งชื่อ
ไม่ใช่หน้าที่จะไปพิสูจน์ทราบว่ามันคืออะไร
จึงเป้นความชาญฉลาดอย่างที่สุดที่หลวงปู่ดุลย์ใช้คำว่า ผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้
มันเป้นภาษาง่ายๆ ซึ่งครอบคลุมได้หมด ทั้งวิปัสนาแบบหยาบๆที่ใช้สมองคิด หรือวิปัสนาญานของจิตผู้รู้
ภาษาง่ายๆ กินใจความครบถ้วนนี่แหละ ช่วยทำให้เราไม่คิดมาก
ช่วยไม่ใหเถลไถลไปในเรื่องไม่ใช่สาระ
การลืมหรือสละคำแค่ 2 คำนี้ ง่าย
แต่พวกชอบสาละวนแต่กับคำศัพท์ ยิ่งรู้มาก ยิ่งสละสมมุติพวกนี้ยาก ยิ่งหารูปหานามไม่เจอ
เพราะสมมุติแบบนี่แหละ บังรูปนามเอาไว้
ยิ่งสมมุติละเอียด ยิ่งตีความแตกละเอียดเท่าไหร่ ยิ่งวิจัยมากเท่าไหร่
ยิ่งเหมือนโบกปูนชั้นดีละเอียดๆ เนียนๆ ทับรูปทับนามเอาไว้
ผมไม่แปลกใจเลย เมื่อย้อนกลับไปนึกว่า ทำไมคนสมัยพระพุทธเจ้า ถึงโสดาบันกันง่ายนัก แค่ฟัง แค่มอง แค่อะไรเล็กๆน้อยๆก็โสดาบันๆๆ
เพราะเขาโชคดี ที่ไม่คิดมาก และไม่มีอะไรให้คิดมาก สมมุติบัญญัติน้อย
แล้วได้มีโอกาสพบเจออภิมหาครูอย่างพระพุทธเจ้า
ท่านชี้นิดนึง ก็พากัน โสดาบัน กันเลยทีเดียว |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
โปเต้
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2008, 4:18 pm |
|
กราบขออภัยคุณ walaiporn ด้วยค่ะ กับความผิดพลาดของโปเต้ ทุกอย่าง
อ้างอิงจาก: |
สุดท้ายขอถามคุณโปเต้หน่อยครับว่า คุณใช้กรรมฐานอะไร ? |
ส่วนมากจะดูจิตค่ะ
ขออภัยด้วยนะคะ ที่แสดงความเห็นอย่างนั้น
เพราะอ่านจากที่เจ้าของกระทู้ปฏิบัติมาแล้วเหมือนเห็นตัวเอง
ก็เลยทึกทักเอาอย่างนี้
ตอนนี้คุณเจ้าของกระทู้ก็คงจะมึนตึบ กับคำแนะนำของผู้รู้ทั้งหลายที่ยังคงอภิปรายกันอยู่ ว่าไหนหนอจะถูกต้อง
ขออภัยอีกครั้งกับการใช้ภาษาไทยของโปเต้ด้วยนะคะ ที่อาจมีผิด มีพลาดไปบ้าง ทั้งที่เกิดขึ้น และเติบโตอยู่ในเมืองไทย แล้วก็เรียนภาษาไทยมาโดยตลอด |
|
_________________ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
03 ส.ค. 2008, 7:47 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
คุณกรัชกายอย่าแกล้งถามผมเลย
เดี๋ยวแอบมายัดข้อหาว่าผมเป้นพวกลงรถเมล์ป้ายสะพานมัฆวานให้ผมอีก
ผมไม่เคย และไม่ชอบเกลือกกลั้วความสกปรกแบบนั้น
ผมไม่ชอบการคุยแบบแบบแกล้งถามแบบนี้
มันเป็นการพูดกดผู้อื่นลง กดคุณค่าเขาลง เป็นวาจาทุจริต
|
คิดไปโน่นน้องคามิน
กรัชกายต้องการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมเข้าใจยาก ให้เป็นรูปธรรมเข้า
ใจง่ายมองเห็นง่ายขึ้น จึงยกตัวอย่างเช่นนั้น มิมีเจตนากดให้คุณลง
ไปเกลือกกลั้วกับผู้ หรือ สิ่ง ปฏิกูลอย่างที่เข้าใจ ซึ่งคนละประเด็นกับ
เรื่องที่เราสนทนากันขณะนั้น
คห. นั้นเราสนทนากันเชิงเปรียบเทียบการปฏิบัติแบบใช้คำภาวนากับวิธีดู
จิต ถูกไหม จึงเปรียบเทียบให้เป็นบุคคลาธิษฐานเห็นง่าย
เหมือนคำว่า มรรค มีผู้นำมาพูดบ่อยๆ แต่พูดคลุมว่า มรรค มรรค
กรัชกายเปรียบมรรคว่าเหมือนคนรู้วิธีพายเรือ พายเป็นก็มีมรรค
พายไม่ เป็นก็ไม่มีมรรค เจตนาต้องการสื่อเหมือนกรณีแรก
เมื่อนำศัพท์ธรรมมาพูดหรือสนทนากัน ผู้พูดควรรู้สารัตถะบ้างก็ดี
จะได้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังไทยๆเรา ความเห็นส่วนตัวนะครับอาจผิดก็ได้
เมื่อเปิดใจให้คุณดูอย่างนี้แล้ว สบายใจหรือยังครับ
หากยัง กรัชกายขออภัย
แต่บอกได้ว่ามิมีเจตนาอย่างที่คิด
กลับมาคำถามเดิม ผู้รู้
ผู้รู้ บอร์ดธรรมะหนึ่งพูดบ้อยบ่อย แต่ยังไม่มีคำอธิบายว่า ผู้รู้ คือ
อะไร ได้แก่อะไร
ประเด็นผู้รู้นี้ กรัชกายไม่รู้จริงๆนะครับ มิใช่รู้แล้วแกล้งถาม
ถามเพราะอยากรู้ สงสัยมานานแล้ว
ว่าเป็นอะไร ขันธ์ไหน ในบรรดาขันธ์ 5 หรือไม่จัดเป็นขันธ์ใดๆ
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อคุณก็ไม่รู้ว่า ผู้รู้ คืออะไร เหมือนๆกัน
ถือว่าเราไม่เคยพูดเรื่องนี้กันก็แล้วกันนะครับ
ต่อไปจะไม่ถามประเด็นนี้อีก |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 12:14 am |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
กลับมาคำถามเดิม ผู้รู้
ผู้รู้ บอร์ดธรรมะหนึ่งพูดบ้อยบ่อย แต่ยังไม่มีคำอธิบายว่า ผู้รู้ คือ
อะไร ได้แก่อะไร
ประเด็นผู้รู้นี้ กรัชกายไม่รู้จริงๆนะครับ มิใช่รู้แล้วแกล้งถาม
ถามเพราะอยากรู้ สงสัยมานานแล้ว
ว่าเป็นอะไร ขันธ์ไหน ในบรรดาขันธ์ 5 หรือไม่จัดเป็นขันธ์ใดๆ
|
- หนังสือ, mp3 เสียง, หนังสือ PDF
ทุกอย่างหาได้จาก www.wimutti.net
มันละเอียดมากพอที่คุณกรัชกายจะเข้าใจได้
- ่ ผู้รู้ ... จะแจ่มชัดเมื่อปฏิบัติ
ผู้รู้ คืออะไร จะเข้าใจอย่างถ่องแท้เมื่อปฏิบัติ
- ผู้รู้ มันไม่นิ่ง มันฉลาดขึ้นตลอดเวลา ...
ผู้รู้ มีตั้งแต่เ่พิ่งหัดตั้งไข่ จนเป้นผู้รู้ระดับอริยะ
ปัญหาคือ คุณกรัชกายให้ผมอธิบายว่า ผู้รู้ คืออะไร จะเข้าใจผู้รู้ให้ถ่องแท้เด๊่ยวนี้ทั้งหมดเลย...จึงเป้นไปไม่ได้
ไม่มีทางใดๆ จะอธิบายให้เข้าใจถ่องแท้ด้วยภาษาทั้งปวง
แต่หลวงพ่อปราโมช สวนสันติธรรม
สามารถทำให้คุณเข้าใจได้ โดยที่คุณไม่ต้องอ้าปากถามเลย เพราะถ้าจะอ้าปากเมื่อไหร่ หลวงพ่อจะตัดบททันที และทุกครั้งที่ท่านแกล้งคุณ คุณจะเห้นผู้รู้
ใช่ไหมคับคุณโปเต้
...........................................
ถ้าบอกว่า ยกแขนก็รู้
ผู้รู้ คือ รู้สึกว่ายกแขน ........ แขนกำลังยก คือสิ่งที่ถูกรู้
แต่นี่คือผู้รู้แบบหยาบๆ เพราะยังปรุงคำว่าแขนใส่เข้าไป
แต่ด้วยวิธ่การเดียวกันนี้ วันหนึ่งจะเห้นว่าแขนไม่ใช่แขน ไม่ใช่ของเรา
คุณสิริกร มีผู้รู้ละเอียดขึ้น เห็นไปไกลกว่าคำว่าผู้รู้แบบแขนยก
...........................................
ิ
ลอง..ดูจิต ดูสิคับ ... ดูมันทื่อๆ ซื่อๆ แบบนี้แหละ
ตอนทำก็ไม่ต้องสงสัยนัก ไม่ต้องไปสนใจอะไรขันธ์ อะไรโอ่ง
แล้วจะได้มรรค(จิตผู้รู้ตั้งแต่โสดาบัน)เร็วมาก
ลงท้ายแล้ว การเจริญสติปัฏฐาน ต้องได้ผลเหมือนกันทุกสำนัก
วิธีจะพิศดารยังไงก็ตาม แต่จะได้ผลลัพธ์เดียวกัน
www.wimutti.net
หรือคุณกรัชกาย จะอ่านจากหลวงปู่ดุลย์เลยก็ได้
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6690
ถ้ายังไม่เข้าใจว่าการให้ได้มาซึ่งผู้รู้คืออะไร ก้ต้องลงมือทำ
พูดยังไงก้ต้องลงท้ายที่ลงมือปฏิบัติอยู่ดีนะคับ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 2:33 am |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
เหมือนคำว่า มรรค มีผู้นำมาพูดบ่อยๆ แต่พูดคลุมว่า มรรค มรรค
กรัชกายเปรียบมรรคว่าเหมือนคนรู้วิธีพายเรือ พายเป็นก็มีมรรค
พายไม่ เป็นก็ไม่มีมรรค |
- มรรคชาวบ้าน ก็อย่างหนึ่ง เช่นมรรคมีองค์ 8บ้าง มรรคานู่นนี่นั่น
หรือไปค้น google มาแปะเอาไว้เยอะๆ ให้งงๆ ดูน่าเชื่อถือก็ได้
แต่มรรคแบบนี้ ไม่ใช่มรรคสู่นิพพาน
มันเป้นมรรคหยาบๆ เป็นอาหารเสริม เป้นมรรคเบื้องต้น มรรคแบบใช้สมองคิด
มรรคที่เป้นมรรคของนิพพาน คือมรรคของจิต ในการเจริญสติปัฏฐาน
- มรรค ของจิตภาวนา ก็คือ "ทาง" ของจิต คือการเจริญสติปัฏฐาน 4
การเจริญสติปัฏฐาน ต้องการให้ทราบแค่ 5 คำ
1. รูป
2.นาม
3.อนิจจัง
4.ทุกขัง
5.อนัตตา
- การเข้าใจเด็ดขาดเรื่องรูป+นามนี่แหละ ที่เรียกว่ามรรค
- "เข้าใจเด็ดขาด" = เข้าใจในไตรลักษณ์(ของรูปและนาม)
- "เข้าใจ "= มี 2 แบบ
.................1. เข้าใจจากการคิด (สมอง เป็นผู้คิด)
.................2. เข้าใจจากการรู้ (ญาน เป็นผู้รู้)
1. เข้าใจจากการคิด(ปัญญาแบบคิด)
เป็นอนุบาล เป็นพื้นฐาน เป็นจุดเริ่มต้น เป็นอุบาย เป็นเครื่องมือช่วย
2.เข้าใจจากการรู้ (ปัญญาแบบญาน)
คือผลที่ได้จาก(การเจริญสติปัฏฐานด้วย)การคิดก่อนนั่นแหละ
จนจิตเกิดปฏิรูปขึ้น ก็จะเห็นญานรู้ชัดเจน แล้วญานจะทำหน้าที่ของมันเอง
ญานรู้อะไร .?... ก็ 5 คำข้างบน
มันจะรู้อยู่แค่นั้น ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น วนเป็นพันล้านร้อบก็รู้อยู่แค่นั้น
ผ่านญาน 16 18 32 บ้าบอคอแตกอะไรก็ตาม ... ญานมันก็รู้แค่นั้น
อะไรที่มากกว่านั้นคืออุปกรณ์เสริม อาหารเสริม ของแถม
ใครมีอะไรพิเศษ แค่รู้ว่ามันมี ก็พอ
... ถ้าไม่รู้จักพอ มันจะกลายเป็นวิปัสนูกิเลส คือความหลงที่้ร้ายแรง แก้ยาก
........................
มรรคทั้งพระสูตร ... มันต้องการแค่นี้แหละคับ
ศาสนาพุทธดีหรือเสื่อม วัดกันตรงนี้ ตรงที่คนเข้าใจสติปัฏฐานจากการปฏิบัติ
ไม่ใช่จำนวนผู้ทรงไตรปิฏก
คนที่ชอบพูดเยอะๆเรื่องมรรค ชอบเขียนเยอะๆ ชอบบาลีเยอะ
ชอบมรรคแบบ google , มรรค cut & paste.......
...... พวกนี้เขาไม่รู้จักมรรคจริงๆหรอก เพราะมรรคของเขามันเป้นมรรคสมองคิด ... ไม่ใช่มรรคแบบญานมันรู้
ถ้าคนปฏิบัติ จะพูดเรื่องสติปัฏฐานได้ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องพึ่งบาลีเลยก็ได้
ปลาก็รู้เรื่องปลา..... เต่าก็รู้เรื่องเต่า
ปลาไม่มีทางรู้เรื่องเต่า .... ถ้าไม่ปฏิบัติ
ได้แต่ฟังเต่าเล่าๆเรื่องบนบกมา.... แม้แต่ปลาที่ฉลาดที่สุด ที่มันบอกว่ามันเข้าใจแล้ว ... ความจริงไม่เลย |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
โปเต้
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 10:42 am |
|
อ้างอิงจาก: |
แต่หลวงพ่อปราโมช สวนสันติธรรม
สามารถทำให้คุณเข้าใจได้ โดยที่คุณไม่ต้องอ้าปากถามเลย เพราะถ้าจะอ้าปากเมื่อไหร่ หลวงพ่อจะตัดบททันที และทุกครั้งที่ท่านแกล้งคุณ คุณจะเห้นผู้รู้
ใช่ไหมคับคุณโปเต้ |
โปเต้ดูจิตมาตั้งแต่ก่อนที่จะรู้จักท่านค่ะ
เคยกราบท่านครั้งเดียว แต่ความที่นั่งหน้าสุด และตั้งใจสัมผัสท่านเต็มที่
ก็เลยได้เห็นชัดถึงคำว่าสติ ซึ่งเป็นสติที่คมชัด รู้ทั่วพร้อม
แล้วก็สว่าง โล่ง เบา แล้วพอได้ลุกออกไปนั่งด้านหลัง ความชัดนี้ก็เบาลงไปเยอะ
เอ.. ถ้าแยกรูป แยกนาม เห็นจิตได้ ก็น่าจะเห็นผู้รู้นะคะ
ซึ่งผู้รู้นี้ ก็คืออะไรที่เรายึดว่าคือเรา คือตัวตนของเรา
คงเป็นปัจจัตตัง อย่างคุณคามินธรรมว่า
ผู้ปฏิบัติสามารถรู้ได้ด้วยตัวของตัวเอง เช่นความโกรธ ความดีใจ
คนอื่นจะไม่ทราบด้วยว่าเรากำลังโกรธ หรือดีใจ ถ้าเราสามารถเก็บมันไว้ได้
และไม่มีใครอื่นสัมผัสได้ |
|
_________________ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 11:10 am |
|
น้องคามิน
การนำชื่อหลวงปู่-หลวงพ่อนั่นโน้นขึ้นประกอบการสนทนาของเรา พักไว้
ก่อนดีกว่า
(ยก เว้นพระพุทธเจ้า โดยยกพุทธพจน์ประกอบด้วย อย่างนี้ โอ เค)
แต่นำเอาแต่หลักหรือรูปแบบที่ตนกำลังใช้ปฏิบัติอยู่ขึ้นสนทนา ทั้งตนก็
มีความมั่นใจในแนวทาง
นั้น ใครถามได้ตอบได้ ว่าวิธีนี้ๆปฏิบัติเช่นนี้ๆ ปฏิบัติแล้วเป็นไป
เพื่อความดับทุกข์พ้นทุกข์ได้จริง ตรวจสอบเทียบเคียงกับพุทธพจน์+
อรรถกถาแล้วลงกัน อย่างนี้ใช้ได้
เหตุเพราะรูปแบบปฏิบัติปัจจุบันนี้มีมากมาย ยากที่ผู้ศึกษาใหม่
จะตัดสินใจได้เองวิธีไหนถูก-ผิด
เมื่อตนอ้างชื่ออาจารย์ เพื่ออะไรก็สุดแท้แต่ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายหนึ่ง
สอบเข้าจะกระทบอัตตา ของผู้ซึ่งให้ความนับถือท่านเหล่านั้น
หลบได้หลบเลี่ยงได้ก็ดี กรัชกายยังไม่เคยอ้างชื่ออาจารย์สักที
เดียว ใครถามก็ไม่บอก เพราะเราสนทนากันด้วยหลักการที่ตนใช้
ปฏิบัติอยู่ อีกทั้งตนของตนก็ตรวจสอบวิธีปฏิบัติของตนด้วยพุทธพจน์
คลิปอาจารย์ที่คุณอ้างมากรัชกายก็ฟัง
http://www.baanaree.net/
(เพิ่งเลิกดูหยุดฟังหลังจากลง IE version ใหม่ ดูคลิปไม่ได้จึงหยุด)
กรัชกายไม่หลงมัวเมายึดติดรูปใดๆอย่างหัวทิ่มหัวตำเกินเหตุ เพราะ
นั่นเป็นเพียงแนวทาง หรือวิธีการเท่านั้น ยังไม่ใช่สัจธรรม
กรัชกายศึกษาเกือบทุกแนวทาง (เท่าที่เห็น)ที่เผยแพร่ทางเน็ตเวลานี้
เมื่อก่อนเห็นอ่านแล้วผ่าน แต่หลังจากมีผู้ถามว่าแนวทางการปฏิบัติ
ในเมืองไทยมีกี่อย่างไรบ้าง
เออ..จึงได้คิด จึงรวบรวมไว้ที่นี่
http://www.free-webboard.com/view.php?user=vipassanatipani&wb_id=27&topic=คำบริกรรมภาวนา
http://www.free-webboard.com/view.php?user=vipassanatipani&wb_id=28&topic=รวมสภาวะของผู้เริ่มภาวนา |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 11:17 am |
|
อ้างอิงจาก: |
ฯลฯ
เคยกราบท่านครั้งเดียว แต่ความที่นั่งหน้าสุด และตั้งใจสัมผัสท่านเต็มที่
ก็เลยได้เห็นชัดถึงคำว่า สติ ซึ่งเป็นสติที่คมชัด รู้ทั่วพร้อม
แล้วก็สว่าง โล่ง เบา แล้วพอได้ลุกออกไปนั่งด้านหลัง ความชัดนี้ก็เบาลงไป
โปเต้: 04 สิงหาคม 2008, 10:42 am |
คุณโปเต้ครับ ไม่มีอะไร เรียกเฉยๆ
หากเป็นเมื่อก่อนคงถามว่า สติในความเข้าใจของคุณมีลักษณะ
อย่างนั้นหรอ มันยังอิงๆอะไรอยู่น๊า
ไม่ต้องตอบก็ได้ แต่ถ้าตอบต้องตอบให้ถูกหลักธรรม |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
โปเต้
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 12:34 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
หากเป็นเมื่อก่อนคงถามว่า สติในความเข้าใจของคุณมีลักษณะ
อย่างนั้นหรอ มันยังอิงๆอะไรอยู่น๊า |
คือ ความรู้ชัดที่ไม่มีสิ่งคลุมเครือ
เหมือนกับการมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งชัดเจน โดยไม่มีกระจกที่ฝ้ามัวมากั้นค่ะ
ตรงนี้ อาจจะมีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน อาจเนื่องด้วยภาษา หรือการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เพราะมันเป็นปัจจัตตังที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เหมือนกับรสชาติ ที่มีทั้งหวานแหลม หวานหอม หวานมัน
ถ้าไม่มีประสบการณ์ที่ร่วมกันมาก่อนในลักษณะนั้นๆ ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ค่ะ
ขออนุญาติยุติเรื่องที่ทำความเข้าใจกันไม่ได้ไว้แค่นี้นะคะ
ขออภัยอีกครั้งค่ะ ที่มีความสามารถไม่เพียงพอ |
|
_________________ สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 12:52 pm |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
น้องคามิน
การนำชื่อหลวงปู่-หลวงพ่อนั่นโน้นขึ้นประกอบการสนทนาของเรา พักไว้
ก่อนดีกว่า
(ยก เว้นพระพุทธเจ้า โดยยกพุทธพจน์ประกอบด้วย อย่างนี้ โอ เค)
แต่นำเอาแต่หลักหรือรูปแบบที่ตนกำลังใช้ปฏิบัติอยู่ขึ้นสนทนา ทั้งตนก็
มีความมั่นใจในแนวทาง
นั้น ใครถามได้ตอบได้ ว่าวิธีนี้ๆปฏิบัติเช่นนี้ๆ ปฏิบัติแล้วเป็นไป
เพื่อความดับทุกข์พ้นทุกข์ได้จริง ตรวจสอบเทียบเคียงกับพุทธพจน์+
อรรถกถาแล้วลงกัน อย่างนี้ใช้ได้
เหตุเพราะรูปแบบปฏิบัติปัจจุบันนี้มีมากมาย ยากที่ผู้ศึกษาใหม่
จะตัดสินใจได้เองวิธีไหนถูก-ผิด
เมื่อตนอ้างชื่ออาจารย์ เพื่ออะไรก็สุดแท้แต่ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายหนึ่ง
สอบเข้าจะกระทบอัตตา ของผู้ซึ่งให้ความนับถือท่านเหล่านั้น
หลบได้หลบเลี่ยงได้ก็ดี กรัชกายยังไม่เคยอ้างชื่ออาจารย์สักที
เดียว ใครถามก็ไม่บอก เพราะเราสนทนากันด้วยหลักการที่ตนใช้
ปฏิบัติอยู่ อีกทั้งตนของตนก็ตรวจสอบวิธีปฏิบัติของตนด้วยพุทธพจน์
คลิปอาจารย์ที่คุณอ้างมากรัชกายก็ฟัง
http://www.baanaree.net/
(เพิ่งเลิกดูหยุดฟังหลังจากลง IE version ใหม่ ดูคลิปไม่ได้จึงหยุด)
กรัชกายไม่หลงมัวเมายึดติดรูปใดๆอย่างหัวทิ่มหัวตำเกินเหตุ เพราะ
นั่นเป็นเพียงแนวทาง หรือวิธีการเท่านั้น ยังไม่ใช่สัจธรรม
กรัชกายศึกษาเกือบทุกแนวทาง (เท่าที่เห็น)ที่เผยแพร่ทางเน็ตเวลานี้
เมื่อก่อนเห็นอ่านแล้วผ่าน แต่หลังจากมีผู้ถามว่าแนวทางการปฏิบัติ
ในเมืองไทยมีกี่อย่างไรบ้าง
เออ..จึงได้คิด จึงรวบรวมไว้ที่นี่
http://www.free-webboard.com/view.php?user=vipassanatipani&wb_id=27&topic=คำบริกรรมภาวนา
http://www.free-webboard.com/view.php?user=vipassanatipani&wb_id=28&topic=รวมสภาวะของผู้เริ่มภาวนา |
การจะอ้าง หรือไม่อ้าง ครูอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อนั้น
ผมเห็นด้วยครึ่งเดียว
การอ้างนั้นไม่ได้อ้างให้เชื่อ ไม่ได้เอา Brand ที่ท่านเหล่านั้นมีต้นทุนอยู่ มารับรองความเห้นผม ... เปล่าเลย แต่อ้างให้ลองศึกษา
ผมอ้างเพราะ....
1. ต้องการให้เห็นว่า มันมีความเหมือนอย่างไร (intersections)
2. ต่างอย่างไร (differentiates)
หลักการเหมือนกันหมด แต่วิธีการต่างกัน
ผมพบในภายหลังว่า ท่านเหล่านี้สอนเหมือนกันหมด
เพียงแต่ใช้จริตในการสอนที่แตกต่างกันไป
หลวงปุ่ดุลย์
(ต่อมาหลวงพ่อปราโมช ผู้เป็นศิษย์ท่าน) อาจจะแหวกแนวไปนิดหนึ่ง
คนอื่นเขาเอาตามพระสูตร คือเอาการดูลมหายใจให้ได้ความสงบ
จนเกิดฌาน
แล้วค่อยดูฌานไปตามจริง
แต่หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อปราโมช พาดูตอนปัจจุบันนี้เลย
เช่นยืน เดิน นอนนั่ง รวมถึงการบริกรรมพุทโธ เพื่อเป็นอุบายสอนจิต ให้เห็นผู้ร
ู้
หลวงปู่เทียน
ความจริงวิธีแบบหลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่เทียนก้ทำ แต่ใช้จริตแบบท่าน
ถ้าอ่านวิธีสมาธิหลวงปู่เทียน ท่านจะสอนให้หงายมือ ยกมือ จับพุง
โดยเอาอากัปกริยาเหล่านั้นแหละ มาใช้เป็นจุดสนใจในการฝึกความรู้สึก
การเดินจงกรม
ก็เป็นการใช้ร่างกายที่เคลื่อนไหว เพื่อให้จิตสนใจในอากัปกริยาเหล่านั้น
ไม่ต่างจากแคะขี้มูก หรือเต้นแอโรบิก
เต้นแอโรบิก อาจจะเร็วเกินไป สติตามดูไม่ทัน
การเดินจงกรม มันต้องเดินช้า ทำให้สติตามทันรูปร่างที่ค่อยๆเปลี่ยนๆไปของเรา
สติจึงเรียนรู้ว่ารูปนั้นไม่เที่ยง (ไม่ใช่คิด)
การกำหนดรู้ลมหายใจ
ก็ไม่ต่างอะไรเลย สิ่งที่ถูกรู้ ก็คือลมหายใจ
นานเข้าๆ เกิดสมาธิ ....... กายก็หาย เราไม่รู้สึกว่ามีกายอยู่ นั่งบ่อยๆจึงเกิดความรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา มันหายไปได้ เหลือแต่จิต
คราวนี้เมื่อโลกนี้เหลือแต่จิต จิตก็ไม่มีอะไรให้ดู นอกจากดูจิต
ซึ่งก้คือ สภาวะปรุงแต่งต่างๆที่เกิดขึ้นจากจิต หรือเรียกว่าฌาน
พูดง่ายๆว่า ในโลกที่ไร้ร่างกายนี้ จิตเป้นผู้สร้างภาพทุกสิ่งทุกอย่าง
เราก้ต้องนั่งดูว่ามันสร้าง ... ไม่ใช่ดูว่ามันวิจิตรแค่ไหน
แต่ให้คอยดุว่า มันเกิด มันมีระยะเวลาตั้งอยู่ มันดับไป
เราต้องการให้จิตรู้แค่นั้น ... ไม่ใช่สนใจภาพที่จิตสร้างขึ้น
ก้ต้องทำอย่างนี้หลายๆพันหลายหมื่นรอบ
จนจิตมันหน่ายที่จะดู เพราะเราพามันดูไตรลักษณ์ไม่รู่กี่รอบๆ
แต่ปัญหาคือคนฝึกจากการดูฌาน มันไม่แข็งแรงเหมือนคนดูจิต
เพราะคนดุจิตเขาถูกฝึกให้โง่แต่แรก พอเจออะไรเขาก็จะท่องจนขึ้นใจเลยว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ... รู้เฉยๆ รู้เฉยๆพอ
เมื่อถูกฝึกมาให้ซื่อแต่แรก ก็เลยผ่านความพิศดารเหล่านั้นไปได้รวดเร้ว
แต่คนฝึกดุลมหายใจ มักจะถูกโปรแกรมไว้แล้วว่า เราจะเจอญานอะไรบ้าง
นู่น นี่ นั่น .. ก็เลยคอยสนใจว่าเจอหรือยัง
เปรียบเหมือนคนนั่งรถเมล์ คอยสังเกตุแต่ป้าย อ่านป้าย ว่าถึงไหนแล้ว
บางคนสงสัยจัด เจอป้ายตาทิพยืเลยแวะดู ... ก็เลยจบข่าว
แต่คนดุจิตทื่อๆ ซื่อๆ เขาแข็งแรงกว่า เขาถูกสอนให้ไม่สน แค่รู้ว่าเห้นป้าย
ไม่ได้สนใจว่ามันเขียนอะไร แค่รุ้ว่าป้ายมา แล้วก็ไป เกิดแล้วดับ
เขาเลยไปได้ไว
สรุป
ถ้าเราเข้าใจสติปัฏฐานจริงๆ จากการปฏิบัติ
เราจะค้นพบความเหมือนเหล่านี้ ในทุกๆอาจารย์
และเมื่อกลับมาที่พระสูตร จะเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋เลยว่า
พระสุตรนี้จำเป้นต้องเขียนละเอียด ต้องเป๊ะ
แต่มันเป้นไปไม่ได้ที่จะเห็นธรรมในธรรม หรือเห็นจิตในจิต ได้ทันที
เพราะการเห้น ธรรมในธรรม จิตในจิต ... ผู้เห็นคือญาน ไม่ใช่สมองคิดเอา
เพราะการคิด ไม่ได้ช่วยให้ไปนิพพาน
แต่ญานนี่แหละ ผู้รู้ ผู้พาเข้านิพพาน
การเรียนรู้ด้วยการทำกริยาท่าทางต่างๆ ของอาจารย์ต่างๆ
ล้วนอุบายที่คิดค้นขึ้น เพื่อให้คนที่มีจริตต่างๆ ได้ฝึกญานแบบหยาบๆก่อน
เมื่อญานหยาบแจ่มชัด ญานละเอียดจะเกิดเอง
เปรียบญานเหมือนคนเรียนจบอนุบาล มันก็พร้อมจะเรียนประถม
เมื่อจบประถมมันก้พร้อมจะเรียนมหาลัย
ค่อยๆละเอียดขึ้น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 08 ส.ค. 2008, 5:26 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 12:57 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
ฯลฯ พอได้ลุกออกไปนั่งด้านหลัง ความชัดนี้ก็เบาลงไป |
พอลุกออกไปนั่งด้านหลัง ความชัด (ของสติ) นั้นก็เบาลงไป
สติแบบนี้ คุณโปเต้ถอยห่างไปอีกๆๆ ถอยๆๆๆ สุดท้ายกลับบ้าน
สติแบบนี้มิหมดไปเลยหรอครับนี่
พอมีเวลาลองศึกษาเรื่อง สติ หรือ สัมมาสติ หรือ สติปัฏฐาน ตามหลัก
คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ที่นี่ครับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13497 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 1:05 pm |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
พอลุกออกไปนั่งด้านหลัง ความชัด (ของสติ) นั้นก็เบาลงไป
สติแบบนี้ คุณโปเต้ถอยห่างไปอีกๆๆ ถอยๆๆๆ สุดท้ายกลับบ้าน
สติแบบนี้มิหมดไปเลยหรอครับนี่
พอมีเวลาลองศึกษาเรื่อง สติ หรือ สัมมาสติ หรือ สติปัฏฐาน ตามหลัก
คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ที่นี่ครับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13497 |
สติไม่หมดหรอกคับ มันไม่ใช่ของที่ใช้แล้วหมดไปแบบผงซักฟอก
สติมันสร้างได้
ธรรมชาติของสติมันแผ่วได้
เผลอได้เป็นปกติ
ขาดได้เป็นธรรมดา
เพราะสติที่ต่อเนื่อง ตื่นรู้ตลอดเวลา เกิดทันจิตที่ไม่ดี
มันเป้นสติของพระอริยะ หรือตั้งแต่โสดาบัน เป็นสติที่มีญานรู้อยู่
ผมกับคุณโปเต้ ยัง baby อยู่
แต่ความเผลอ ความแผ่ว ความหลงนี่แหละ เป้นครูที่ดีมาก
จำเป้นต้องเผลอ เพื่อจะได้รู้ว่าแตกต่างจากตอนไม่เผลออย่างไร |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 3:13 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
การจะอ้าง หรือไม่อ้าง ครูอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อนั้น
ผมเห็นด้วยครึ่งเดียว
คามินธรรม : 04 สิงหาคม 2008, 12:52 pm |
คุณเชื่อหรือว่าหลวงปู่หลวงพ่อที่คุณเอ่ยชื่อมานั้นพูดถูก คุณรู้ได้อย่างไร
ครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 3:27 pm |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
อ้างอิงจาก: |
การจะอ้าง หรือไม่อ้าง ครูอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อนั้น
ผมเห็นด้วยครึ่งเดียว
คามินธรรม : 04 สิงหาคม 2008, 12:52 pm |
คุณเชื่อหรือว่าหลวงปู่หลวงพ่อที่คุณเอ่ยชื่อมานั้นพูดถูก คุณรู้ได้อย่างไร
ครับ |
ปฏิบัติจึงรู้ เห็นจริงตามนั้น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 3:57 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
ปฏิบัติจึงรู้ เห็นจริงตามนั้น |
แสดงว่าคุณรู้เห็นตามนั้นแล้ว |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 4:28 pm |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
อ้างอิงจาก: |
ปฏิบัติจึงรู้ เห็นจริงตามนั้น |
แสดงว่าคุณรู้เห็นตามนั้นแล้ว |
เป็นเช่นนั้น |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 4:53 pm |
|
ที่ว่า
ที่เห็นว่า เป็นเช่นนั้น เช่นนั้นคือสิ่งใดฤๅ และมันเป็นเช่นไร |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
04 ส.ค. 2008, 5:56 pm |
|
กรัชกาย พิมพ์ว่า: |
ที่ว่า
ที่เห็นว่า เป็นเช่นนั้น เช่นนั้นคือสิ่งใดฤๅ และมันเป็นเช่นไร |
ถ้าจะให้ตอบ
มันกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีก
เราคุยกันเหมือนหนูถีบจักร
ที่ตอบได้ ตอบหมดแล้ว
ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว
คนอยากรู้ เขาไม่ทำแบบนี้
คนอยากรู้จริง เขาจะต้องพิสูจน์
ถ้าความรู้ฉีดเข้าเส้นเลือดได้ เขาคงปั๊มขายกันเต้มไปหมด
เพราะคนขี้เกียจจะรู้มีเยอะ คงขายดี |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
|