Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
เพียรสร้างความดี (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
หนังสือธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164
ตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 1:46 pm
เพียรสร้างความดี
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ต่อไปนี้จะแสดงถึงเรื่อง สัมมัปปธาน ๔
ปธาน คือ ความเพียรที่จะทำคุณงามความดี
การทำคุณงามความดีมีหลัก ๔ ประการ
จึงเรียกว่า สัมมัปปธาน ๔ อันได้แก่
๑. ภาวนาปธาน
เพียรพยายามสร้างคุณงามความดี สร้างบุญกุศลให้เกิดมีขึ้นในตน
๒. อนุรักขนาปธาน
คือ รักษาความดีที่สร้างขึ้นมาแล้วนั้นไว้อย่าให้ความดีนั้นเสื่อมสูญไป
๓. ปหานปธาน
คือละความชั่วที่มีอยู่ในตัวของตน
๔. สังวรปรธาน
ห้ามความชั่วที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้นอีก
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ สร้างความดีให้มีขึ้นแล้วก็รักษาไว้
ความชั่วที่มีอยู่ให้ละเสีย แล้วห้ามไม่ให้ความชั่วอื่นเกิดขึ้นมาอีก
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164
ตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 1:48 pm
วันนี้อธิบายถึงข้อต้นเสียก่อน คือ ภาวนาปธาน
คำว่า ภาวนา คือ การทำให้มันมีขึ้น เจริญขึ้น
อย่างเช่นจิตของเราไม่เคยหัดให้มันเป็นสมาธิ
เราก็หัดให้มันเป็นสมาธิให้เกิดมีขึ้นมา
หรือจิตของเรายังไม่เคยละกิเลส
คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็มาหัดละ
รวมความแล้ว ภาวนาปธาน คือ ความเพียรที่จะเจริญคุณงามความดี
ให้เกิด ให้มีขึ้นในตนทุกๆ วิถีทาง
ความดีทั้งหลายที่เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ตน และคนอื่น
ก็พากันสร้างให้มันเกิดขึ้น
การที่จะเอาใจใส่เจริญคุณงามความดีนั้น
ต้องเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ด้วยใจของตนเองเสียก่อน
หากไม่เห็นคุณประโยชน์ด้วยใจของตนเอง
แล้วจะไปบังคับให้สร้างขึ้นมานั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164
ตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 1:49 pm
ส่วนการสร้างความดีนั้นเกิดขึ้นในผู้มีจิตเป็นธรรม
โดยเฉพาะแนวทางที่จะสร้างคุณงามความดี
มีหลักอยู่ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา
การทำทาน ในจิตคิดอยากจะสละ มีสิ่งใดไม่ว่ามากหรือน้อย
ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ไม่ว่าอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล
หากมีมาแล้วก็พยายามที่จะสละ จาคะ ทำบุญทำทาน
ถึงสิ่งนั้นยังไม่ทัน แต่เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็มุ่งมั่นอยากทำ
มีความเพียรพยายามจะทำอยู่ตลอดเวลา
ตั้งเอาการทำทาน เป็นหลักเป็นประธานว่า เราจะทำทาน
การรักษาศีล ศีล ๕ หรือศีล ๘ เป็นของฆราวาส
ศีล ๑๐ ศีล๒๒๗ เป็นของสามเณรและภิกษุ
หากว่ารักษาศีล เพราะเห็นคุณประโยชน์ของศีล
ตั้งใจงดเว้นจากโทษ ๕ ประการ โทษ ๘ ประการ เช่นนี้
เป็นการสร้างคุณความดี
ไม่ได้ถือว่า ศีลลงโทษทัณฑกรรมบีบบังคับ ให้เราเดือดร้อนเป็นทุกข์
ถ้าหากว่าคนใดเห็นศีลเป็นเครื่องบีบบังคับลงโทษทัณฑกรรม
ให้เดือดร้อนเป็นทุกข์แล้ว
คนนั้นจะรักษาศีลได้ยากที่สุด
ถึงรักษาศีลก็สักแต่ว่ารักษาศีล ท่านเรียกว่า โคปาลศีล
คล้ายๆ กันกับว่าเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
ตอนเช้าก็ต้อนออกไปหากินหญ้าตามทุ่งนาตามที่ต่างๆ
แล้วก็คอยแต่จะให้มันมืดค่ำ จะได้ต้อนมาเข้าคอกเข้าแหล่ง
การรักษาศีล โดยคอยที่จะให้เวลาผ่านไปเร็วๆ
อยากให้พ้นวันพ้นคืน อย่างนี้ถึงเข้าไปอยู่วัด
ก็ไม่ได้เห็นคุณค่าประโยชน์ในการอยู่วัด
เพราะจิตใจยังประหวัดอยู่ในบ้าน
อยากให้สว่างเร็วๆ จะได้กลับบ้าน
ทำนองนี้เรียกว่า รักษาศีลเหมือนกับเลี้ยงวัวเลี้ยงความ
ศีลแบบนี้ไม่บริสุทธิ์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเรียกว่าดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรักษาศีลเลย
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164
ตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 1:49 pm
ส่วนผู้ที่เห็นชัดในใจว่าการรักษาศีลเป็นการงดเว้นจากโทษต่างๆ
มิใช่เป็นการบีบบังคับให้เราเดือดร้อนเป็นทุกข์
ไม่ได้มัดมือมัดเท้า ไม่ได้ผู้มัดรัดรึง แล้วเอาไปใส่ทุ่นใส่ตรวนไว้
แท้จริงการรักษาศีลนั้นคล้ายๆ กับว่าสร้างกำแพง ๕ ชั้น ๘ ชั้น
ไว้ป้องกันไม่ให้อันตราย มาทำร้ายเรา
อุปมา เปรียบเหมือน เราเข้าไปในป่าลึกอัน
มีสัตว์ร้ายอันตรายต่างๆ มีเสือ เป็นต้น
ไปค่ำมืดในป่าต้องค้างแรมกลางห้วย
กลางทางที่เสือเคยจับคนไปกิน
หากว่าเราไปถึงที่เช่นนั้น แล้วมีคนมาทำห้องทำเรือนดีๆ
ไว้ให้เรานอนหรือกั้นกำแพงไว้ให้เรานอน
จะ ๗ ชั้น ๘ ชั้น หรือ ๒๐ ชั้น อะไรก็ตาม
สมมติว่ามีกำแพงกัน ๗ ชั้น (คนโบราณ แต่ก่อนภัย
ก็ภาวนากำแพง ๗ ชั้น จะพ้นภัยอันตราย
กำแพง ๗ ชั้น ก็ไม่ใช่อะไร
พุทฺโธ เม นาโถ ธมฺโม เม นาโถ สงฺโฆ เม นาโถ อมฺหากํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนั่นเอง)
คนที่ไปนอนป่าอยู่นั้น ถ้ามีกำแพงกั้น ๗ ชั้นแล้ว
นอนหลับสนิทที่สุดไม่กลัวอะไรเลย
เช่นเดียวกันผู้ที่รักษาศีลทโดยเห็นว่าศีลเป็นกำแพง
ป้องกันไม่ให้มีอันตราย ก็จะเกิดความสุข เมื่อมีศีลเกิดขึ้นในตน
ศีลจึงเป็นปราการห้ามไม่ให้เราทำชั่ว
ฉะนั้น ถ้าเห็นว่าศีลเป็นปราการ
เป็นกำแพงป้องกันตัวของเราไม่ให้ทำชั่วแล้ว
เราก็มีศีลอยู่เป็นเครื่องอบอุ่นเย็นใจ
ไปมาที่ไหนๆ ก็เย็นใจ
เมื่อเห็นสัตว์ที่เคยอยากจะฆ่าเขาเอามาแกงกิน
มาทีหลังพอนึกอยากจะฆ่าขึ้นมา ระลึกถึงศีลได้
ศีลเลยเป็นกำแพงปราการป้องกันไว้ ไม่ให้ทำ ไม่ให้ล่วงละเมิด
เห็นของเขา คิดอยากจะลักขโมย
ซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยลักเคยขโมยของเขา แย่งของเขามา
พอเรามีศีลเป็นเครื่องอยู่ เราระลึกถึงศีลมันก็งดได้ นี่เบื้องต้น
ศีลป้องกันเราแล้วจากประพฤติผิดมิจฉาจารไม่ว่าประการใดๆ
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164
ตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 1:51 pm
ศีล ๘ ประการก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ศีล ๒๒๗ ก็ดี
ไม่ใช่ว่ามีเป็นเครื่องบีบบังคับ
ให้เรากระดุกกระดิกไม่ได้หรือขยับตัวไม่ได้
ที่แท้จริงศีลเป็นกำแพงป้องกันเราไว้
จากความชั่ว ๕ ชั้น ๘ ชั้น ๑๐ ชั้น ๒๒๗ ชั้น ต่างหาก
ถ้าเราคิดได้พิจารณาได้อย่างนี้จะเป็น สีลานุสสติ
ระลึกถึงศีลของตนอยู่ตลอดเวลา
ศีลจะกลายเป็น ภาวนา ไปในตัว
เป็นการบำเพ็ญคุณงามความดี
ถ้าหากเข้าใจคุณประโยชน์และเห็นชัดในใจด้วยตนเองแล้ว
การสร้างความดีนั้นง่ายไม่ต้องมีคนอื่นบังคับ
ไม่ต้องให้คนใดคนหนึ่งตักเตือนว่ากล่าว
แต่ถ้าเราไม่เห็นด้วยตนเอง
ต้องให้คนอื่นคอยกำชับตักเตือนแนะนำ
หรือช่วยป้องกันอยู่ตลอดเวลานั้น มันเป็นเรื่องลำบาก
หากยังไม่รู้ก็ยังไม่หมดหวัง เพราะทำไปด้วยความไม่รู้
เมื่อคนอื่นตักเตือนก็ยินดีพอใจ
เปรียบเหมือนกับกำแพงที่มันพังลงไปสักแห่งหนึ่ง
คนอื่นเขาเห็นเข้า ก็เตือนว่าเสือจะเข้าไปตรงนี้แหละ
เราเห็นแล้วเราก็รีบปิดเสีย ซ่อมแซมให้มันดี
เมื่อทำผิดพลาดหรือทำความชั่ว
คนอื่นหวังดีตักเตือนเข้า
จะรู้สึกขอบคุณเขาอย่างยิ่งและตั้งใจทำดีต่อไป
ถ้าหากผู้ที่ยังไม่เห็นคุณประโยชน์ของการรักษาศีล
รักษาหลบๆ หลีกๆ ทำสักแต่ว่าทำ
งดเว้นจากโทษนั้นๆ เพราะกลัวคนอื่นจะเห็น
ไม่ใช่เจตนาที่เป็นบุญเป็นกุศลจากใจ
ไม่เห็นคุณประโยชน์ด้วยตนเองแท้ๆ
แบบนี้หากว่าได้โอกาสเข้าเวลาใดแล้วด้วยตนเองแท้ๆ
แบบนี้หากว่าได้โอกาสเข้าเวลาใดแล้ว จะกล้าทำชั่ว
คนที่ทำความชั่ว จะเดือนร้อนในตัวของตน
เรียกว่า ละจากความดีด้วยความชั่ว
ถือเอาความชั่วเป็นความดีของตน ความชั่วนี่สกปรก
ศีลไม่มีการสกปรก
จะทำเมื่อใดใสสะอาดอยู่ตลอดเวลาสะอาดทั้งภายนอกภายใน
ผู้มีศีลธรรมรู้จักอ่อนน้อมเคารพนับถือ
รู้จักกราบรู้จักไหว้ในสถานที่ควรกราบควรไหว้
ท่านี้มันก็งามขึ้นมาแล้ว
ความงามอย่างนี้ประดับได้ในคนทั่วไปหมด เป็นความงามลึกซึ้ง
ส่วนสายสร้อยต่างหูหรือเครื่องประดับเพชรนิลจินดา
เอามาประดับแวววาวไปทั้งตัว
คนเข้าใจว่างาม ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่งามของคน
แต่งามของเพชรพลอยต่างหาก
เมื่อเอาของอันนั้นมาผูกไว้ เลยเข้าใจว่าคนงาม
ถ้าหากเราใช้ศีลเป็นเครื่องประดับ
คือ เรามีสัมมาจรยาวัตรระมัดระวังสังวร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดมิจฉาจาร
ท่านว่า สีล คนฺโธ อนุตฺตโร
ศีลเป็นเหมือนยิ่งกว่าดอกไม้ของหอม
มีกลิ่นฟุ้งขจรไปในที่ต่างๆ
ดอกไม้ถึงจะหอมมันก็ไปตามลม
มีแต่ผู้มีศีลนั้น หอมทวนลม อยู่ใกล้หรืออยู่ไกลก็พยายามไปหา
เหมือนแมลงภู่แสวงหาดอกไม้ ไกลแสนไกลมันก็ไปเคล้ากินเกสร
เอาไว้เป็นประโยชน์แก่ตน
คนผู้เห็นคุณค่าของศีล ถึงแม้ว่าจะอยู่ในถิ่นฐานใด
จะเอาศีลเป็นเครื่องประดับตนเองตลอดกาล
ดมกลิ่นของศีลหอมหวนชื่นอกชื่นใจอยู่ตลอดเวลา
ศีลเป็นของหอม ที่ผู้ไม่มีปัญญานั้นเหม็น เลยกลายเป็นของเหม็น
นี่เป็นเรื่องการภาวนา คือ เจริญความดีให้เกิดมีขึ้นในตน
เมื่อได้ฟังแล้วพากันจดจำ
นำเอาไปพิจารณาอีกทีหนึ่ง
จนเห็นชัดด้วยตนเอง
แล้วตั้งใจปฏิบัติ โดยอาศัยความไม่ประมาท
จะสามารถนำความสุขความเจริญให้เกิดมีแต่ตน
-------------------------------------------------------------------------
จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที่ 5 ฉบับที่ 57 สิงหาคม 2548
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara43.htm
chill
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008
ตอบ: 85
ตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 7:49 am
อนุโมทนานะคะ
_________________
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
หนังสือธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th