Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นิยายเรื่อง กำเนิดชีวิต อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 9:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่มา ผลบุญคือพลังชีวิต
เรื่องอจินไตย พระศาสดาทรงกล่าวว่า เป้นเรื่องที่ไม่ควรคิด เพราะคิดแล้วอาจจะเป็นเหตุให้เป้นบ้าได้ แต่ที่จะนำมาพูดกับท่านทั้งหลาย เพราะจริงอยู่ เรื่องบางเรื่องที่สมัยก่อนถือว่าไม่ควรคิด ด้วยเหตุที่ยังไมม่มีศาสตร์ หรือวิทยากการความรู้ที่น่าเชื่อถือ มารองรับอย่างเพียงพอ แต่ถึงปัจจุบันความเจิรญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้รุดหน้าไปไกลมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมาย จึงนับว่าเป็นฐานรองรับอย่างเพียงพอ ต่อการคิดที่กว้างขวางขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นทฤษฎีการเกิดขึ้นของจักรวาล มนุษย์ในปัจจุบันจุบันรู้สึกว่ายอมรับได้ เพราะมีคณิตศาสตร์ และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มารับรอง
ท่านไม่สงสัยบ้างเหรือ ว่าท่านเกิดมาทำไม ชีวิตของท่านมีมาเพื่อประโยชน์อะไรมาดูกัน.... ต่อไปนี้ถือว่าเป็นนิยายนะ นี่อะไร "สสาร" เราสัมผัส รับรู้ มองเห็นได้ไหม ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่า สสาร และพลังงานเป้นของอย่างเดียวกัน และ
สามารถเเปรเปลี่ยน
ไปมาระหว่างกันได้ ท่านจำทฤษฎีนี้ได้ไหม ทฤษฎีก้องโลกของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ E= mc2 ;เมื่อ c เป็นค่าคงที่ คือค่าความเร็วของแสง และ m คือขนาดของมวล ซึ่งเป็นตัวแปร ฉะนั้นขนาดของพลังงาน คือ E จึงเป็นปฏิภาคโดยตรงกับขนาดของมวล คือ m ซึ่งเป็นตัวแปรใช่ไหม นั่นก็หมายความว่า "พลังงานกับวัตถุ คือสิ่งๆ เดียวกัน " ถ้าใครจำกรณีที่สหรัฐอเมริกา นำระเบิดปรมาณู ไปทิ้งที่เมือง ฮิโรชิมาและนางาซากิ ในปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ ยูเรเนียมที่มวลถึงขั้นวิกฤติ ก่อให้เกิดปฎิกิริยา ปล่อยพลังงานมหาศาลออกมาทำลายล้างเมือง ฮิโรชิมา และนางาซากิ จนราบเป้นหน้ากลอง นอกจากนี้ยังมีทฤษฎียังมีทฤษฎีหนึ่งที่มารองรับ ทฤษฎีนั้นกล่าวว่า ในระดับอนุภาคหรือเล็กลงไปอีก สิ่งที่เรียกว่า "แสง "มันจะประพฤติตัวเอง เป็นทัง พลังงานและเป้นทั้งอนุภาคด้วย เขาเรียกว่า ทฤษฎีควอนตัม
สิ่งที่กล่าวนี้ สำหรับบางท่านที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หรือทางฟิสิกส์มา อาจจะฟังแล้วเข้าใจยาก แต่จริงๆแล้ว กำลังจะบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์มีความเชื่อว่า ในโลกนี้มีแต่เพียงสสารและพลังงาน และทั้งสสารและพลังงาน ก็ คือของอย่างเดียวกัน แต่นักฟิสิกส์ก้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า "ชีวิตคืออะไร"
ขอให้ท่านลองพิจารณาแนวคิดเรื่องชีวิตต่อไปนี้ "ชีวิต ก็คือรูปแบบหนึ่งของพลังงาน เป้นหน่วยหนึ่งของพลังงานที่สามารถรู้และสั่งสมความรู้ได้ " หนึ่งหน่วยของพลังงานนี้ เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีขนาดแค่ไหน มีหน้าตาเป้นอย่างไร แต่หนึ่งหน่วยของพลังงานนี่เเหละ ที่มันเริ่มต้นเรียนรู้ เริ่มแปลงสภาพ จากพลังงานโง่เง่าไม่ใช่ชีวิต จนกระทั่งกลายเป็นชีวิต
เห็นภาพตรงนี้ชัดเจนขึ้น ให้มาดูภายในร่างกายของเรา ถ้าเราเรียนวิชาชีววิทยาหรือวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ เมื่อสำรวจลงไปในระดับจุลภาคด้วยกล้องจุลทรรศน์ เราจะเห็นว่า ร่างกายนี้ประกอบด้วยหน่วยชีวิตขนาดเล็กที่สุดที่เรียกว่าเซลล์จำนวนมากมายมหาศาล รวมตัวกันทำหน้าที่ต่างๆ ภายในร่างกาย เซลล์แต่ละเซลล์จัดว่าว่าเป้นหน่วยหนึ่งของชีวิต ยกตัวอย่างเซลล์ประสาท ซึ่งประกอบด้วยแก่นแกน คือ นิวเคลียส ผนังเซลล์ และอะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ภายในเซลล์ กับทั้งสายใยประสาทที่ยืดยาวออกไปจากผนังเซลล์ ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดหรือรับส่งกระแสประสาท จะเห็นว่ามันกิน คือสามารถรับสารอาหารจากภายนอกเข้าไปสู่ตัวมันได้ มันทำงาน คือ รับส่งกระแสประสาทประจุไฟฟ้าชนิดต่างๆ ได้สิ่งที่สามารถทำหน้าที่หรือทำงานได้ แน่นอนจะต้องมีอะไรอะไรบางอย่างที่มาควบคุมบงการ เป็นไปได้ไหม ที่จะกล่าวว่า เซลล์แต่ละเซลล์ ล้วนมีสิ่งคล้ายคลึงกับจิตของเรานี้ ควบคุมบงการอยู่
ร่างกายโดยรวมของเรา ก็มีจิตของเรา เป็นผู้ควบคุมบงการแล้วสิ่งที่ควบคุมบงการการทำงานของเซลล์เหล่านั้น มันคืออะไร เป็นไปได้ไหมที่มันคือสิ่งที่กำลังจะพัฒนาไปสู่ความเป็นจิต เป็นไปได้ไหม ที่มันคือธาตุกึ่งธาตุรู้ หรือหนึ่งหน่วยของพลังงานที่กำลังพัฒนาขึ้นมา จากความเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ที่ปราศจากความรู้ใดๆ (จิตเดิมแท้ในความหมยของมหายาน) แล้วก็รู้มากขึ้นๆ จนถึงระดับหนึ่ง ที่สามารถ ควบคุมบงการเซลล์เหล่านั้นได้ เซลล์ของต้นไม่ เซลล์ในร่างกายของสัตว์ต่างๆ ถูกควบคุมบงการโดยสิ่งที่ผู้เขียนบัญญัติว่า "กึ่งธาตุรู้" ทำไมถึงบัญญัติเรียกว่าเป็นเพียง"กึ่งธาตุรู้" ก็เพราะกึ่งธาตุรู้เหล่านั้น มันไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นอิสระโดยเอกเทศได้ มันต้องอยู่เป็นหมู่ เป็นพวก เป็นอาณานิคม ที่ภาอังกฤาเรียกว่า โคโลนี ทำงานเชื่อมโยงเกื้อหนุนระหว่างกัน และกึ่งธาตุรู้ เหล่านี้แหละ ที่มีวิวัฒนาการต่อไป เริ่มเรียนรู้มากขึ้นๆ
ติดตามตอนต่อไป
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
kokorado
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2008, 9:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากเซลล์เดิมตายไป ก็ไปอุบัติในเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นเซลล์เส้นเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์สมอง หรือเซลล์อวัยวะอื่นๆ ทดแทนเรียนรุ้กันไปเรือ่ยๆ ท้ายที่สุดก็จะมีวิวัฒนาการขึ้นไป จนกระทั่งสามารถควบคุมบงการสิ่งมีชีวิตประเภทเซลล์เดียว ชนิดที่สามารถอยุ่รอดภายนอกได้ตนเอง เช่นอะมีบา พารามีเซียม โปรตัวซัว หรืออะไรต่างๆได้
ตอนนี้เเหละที่เราถือว่า มันเป็น ธาตุรู้ เพราะมีนสามารถอยู่ได้โดยอิสระของมันเอง เราเอาเกณฑ์ที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่ กึ่งธาตุรุ้ นั้นสามารถพัฒนาขึ้นไป จนสามารถอุบัติในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก จำพวกสัตว์เซลลืเดียวที่สามารถอยู่ได้โดยอิสระ เมือ่นั้นเราจะถือว่า มันคือ ธาตุรู้ แต่เป็นธาตุรุ้ชนิดเริ่มแรก เป็น จิตปฐมภูมิ ที่พร้องจะพัฒนาต่อไป
ธาตูรู้ชนิดเริ่มแรกหรือจิตปฐมภูมินั้น เริ่มต้นจากที่สามารถควบคุมบงการร่างกายของมัน ซึงก็คือเซลล์ๆเดียว อันมีอวัยวะต่างๆที่ประกอบไปด้วยสสารและพลังงาน ซึ่งแน่นอน การดำรงชีวิตอยู่ในโลก ย่อมหนีไม่พ้นจากภาวะแห่งความกระทบกระทั่ง การเบียดเบียนกัน
เมื่อถูกเบียดเบียน อย่างเช่นมีชีวิตรูปแบบอื่นที่มีอำนาจมากกว่ามาทำร้าย มาจับมันกินเป็นอาหาร มันก้จะแสวงหาวิที่จะอยู่รอดมันเรียนรู้มากขึ้ๆ ฉลาดขึ้น ซับซ้อนขึ้น มันจึงมีวิวัฒนาการ อย่างเช่น สร้างขนขึ้นมารอบๆ ตัวมัน เพื่อทีจะรับรุ้ความรู้สึกให้รวดรเวขึ้น จึงทำให้หนีได้เร็วขึ้น แล้วมันดิ้นรนไปเพื่ออะไร ทำไมต้องหนี ก้เพราะมันหนีทุกข์ หนีเพื่อยู่รอด เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมถือว่า การมีชีวิตอยู่รอดคือความสุข
มันวิวัฒนาการไต่เต้าขึ้นมา จากธาตุรู้ที่สามารถควบคุมบงการๆด้เพียงแค่สัตว์เซลล์เดียว ซึงมีความสลับซับซ้อนต่ำ และพัฒนาขึ้นไปจนสามารถควบคุมสัตว์ที่มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ควบคุม แมงกระพรุน ปลา สัตว์ครึ่ง บกครึ่งน้ำ สัตว์เลือยคลาน สัตวเลี้ยงลูกด้วยนม จนกระทั่งไต่เต้าขึ้นไปจนถึงความเป็นคน
แน่นอน ถ้าหามมันยังมีวิวัฒนาการมาไม่ถึง พึ่งพัฒนาขึ้นมาเป้นเพียงแค่แมงกระพรุน มันจะมีสิทธิไหม ที่จะไปควบคุมบงการสิ่งมีชีวิตที่มีความสลับซับซ้อนอย่างเช่นมนุษย์ได ย่อมเป็นไปไม่ได้ มันต้องค่อยๆไต่เต้าพัฒนาการเรียนรู้ของมันขึ้นไปเป็นลำดับ ซึงจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา หรือรอบของการเวียนว่ายตายเกิดอย่างมหาศาล จรนกว่าจะสามารถสั่งสมความรู้ หรือสติปัญญา มากเพียงพอที่จะควบคุมบงการชีวิต
ชนิดที่มีรูปแบบซับซ้อนเช่นมนุษย์ได้
แต่ธาตุรู้หรือจิตวิญญาณ ที่เคยควบคุมบงการสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ที่มีความสลับซับซ้อนสูง อาจจะตกต่ำ ต้องมาควบคุมสันว์ที่มีความสลับซับซ้อนต่ำได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในยุค ไอ เอ็ม เอฟ มีบ้างไหมทีเศรษฐีพันล้านต้องตกยาก คือจนลงมาจนต้องไปขายก๋วยเตียว ส่วนอีกคนหนึ่ง ก พ่อก็ขายก๋วยเตียซ ปู่ก็ขายก๋วยเตียว ไม่มีความรุ้อะไรนอกจากการขายก่วยเตี๋ยว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คืออดีตเสรษฐีพันล้าน ยือนลวกก๋วยเตี๋ญวอยู่ไม่ห่างกัน สองร้านขายก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน ถามว่าคนทั้งสองคนคิดเหมือนกันหรือเปล่า
ถ้าวันหนึ่งเหตุปัจจัยหรือองค์ประกอบครบถ้วน คนที่เคยเป็เศรษฐีพันล้าน จะกลับไปยืนอยู่ในฐานะเศรษฐีพันล้านได้ไหม ย่อมได้...
แต่ลูกพ่อค้าขายก๋วยเตียซ ที่ยืนลวกก๋วยเตียวตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณพ่อ จนถึงเขานั้น ถามว่ามีสิทธิ์ขึ้นไปยืนอยู่ในฐานะเศรษฐีพันล้านได้เหมือนเช่นคนที่เคยเป็นเศรษฐีพันล้านได้ไหม ก้ไมม่ทางเป็นไปได้ เพระรอบของความรุ้มันไม่พอ แค่คิดล้านเดียว ก็ยังคิดไม่ค่อยจะออกเลย และจะให้ไปคิดพันล้าน มีหวังปวดหัวตาย นั่นคือรอบของการเรียนรู้มันไม่เสมอกัน
ธาตุรู้ หรือจิตต ที่อุบัติในสัตว์ชั้นที่สูงกว่า อาจจะตกต่ำมาอุบัติอยู่ในภาวะแห่งสัตว์ชั้นที่ต่ำกว่าได้ แต่ครั้นเมือ่มันสามารถวิวัฒนาการจนถึงความเป็นมนุษย์เมื่อไร มันจึงจะวิวัฒนาการต่อไป จนสามารถสร้างภพของจิต ไปปฏิสนธิเกิดขึ้นในสุคติโลกสวรรค์ เป็นพรหมเทพ เทวดา ได้ เพราะความเป้นพรหมเทพเทวดานั้น ล้วนมาจากจินตนาการของมนุษย์ เพื่อเสวยผลจากการสลายข้อมูลในส่วนที่มีเจตนาเป็นกุศล ส่วนนรก เปรต อสุรกาย ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นจินตนาการของมนุษย์ เพือ่เสวยผลจากการสลายข้อมูลในส่วนที่มีเจตนาเป็นอกุศล
ฉะนั้นนกรและสวรรค์ของสัตว์ที่ไม่เคยมีวิวัฒนาการมาถึงความเป็นมนุษย์ย่อมไม่มี แล้วถ้าจะเปรียบเทียบว่า อะไรคือนรกและสวรรค์ของมัน นรกของมันก็ควรจะได้แก่ การที่สัตว์นั้นต้องตกต่ำไปอุบัติขึ้น ในภาวะแห่งสัตว์ชั้นที่ต่ำกว่า หรือมีความสลับซับซ้อนน้อยกว่าที่มันเคยมีวิวัฒนาการไปถึง ส่วนสวรรค์ของมันก้ควรได้แก่ การทีสัตว์นั้นสามารถไปเกิดในขั้นสูงสุที่มันเคยวิวัฒนาการไปถึง
พรหมเทพเทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย คือผลจากจินตนาการของมนุษย์ หรือสัตว์ที่เคยถึงความเป้นมนุษย์เท่านั้น แม้ในบางครั้งจะมีเทวดาที่นิรมิตกายเป็นสัตว์อยู่บ้าง เช่น เอราวัณเทพบุตร ผู้ทำหน้าที่เป้นช้างทรงถวายพระเกียรติให้แก่พระอินทร์ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นผลจากความบีบคั้นของกรรม ในนรกเช่นเดียวกัน พวกสัตว์นรกบางจำพวก ปรากฏเป้นครึ่งคนครึ่งสัตว์ในนรก ก็เพราะกรรมบังคับ กัมมชรูปบังคับให้ปรากฏเป็นสุนัข ทั้งๆที่วิญญาณนั้นก็เป้นวิญญาณของมนุษย์
การเกิดเป้นเทวดา เป็นการเกิดในภพของจิตแบบโอปปาติกะกำเนิด เกิดมาเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มรูปแบบทันที เป้นเทพบุตรสุดหล่อ นารีสุดสวย แล้วจะหล่อจะสวยกันไปทำไม ก็เพื่อความสุข มันสร้างเท่าที่มันพอใจ ไม่ให้ดูทุเรศ เพราะความทุเรศนั้นมันไม่สามารถนำความสุขมาให้ได้ เราเชื่อว่า ถ้าเราหน้าตาดี หล่อสวย เราสามารถ เอาความหล่อความสวยของเราไปเป็นเหยื่อล่อ เราอยากได้ร่างกายที่งดงาม เพื่อเอามาเป็นเหยื่อล่อความสุข นั่นคือ สิ่งทีเราปรารถนาแท้จริง คือความสุขตามคุณค่าที่เรา(โง่)ตั้งไว้ต่างหาก
ในอนาคต สสารตรงนี้ ก้อนอิบก้อนหินดินทรายตรงนี้ มันก้อาจมีวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นพลังงาน จากพลังงานกลายเป้นชีวิต เป็นกึ่งธาตุรุ้ เป็นธาตุรูปบมภูมิ แล้ววิวัฒนาการขึ้นมาจนถึงความเป็นมนุษย์ จนถึงวันหนึ่งข้างหน้า กอาจจะรู้แจ้งจบกิจ กลายเป้นพระอรหันต์เจ้า เป็นพระพุทธเจ้า ดูเข้าไปสิ คนที่เรารักในอนาคตอาจอยู่ที่นี่ ในหินดินทรายเหล่านี้ ตราบใดที่เรายังโง่เง่า เฝ้าลุ่มหลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็อาจจะไปหลงรักเขาก็ได้

THE END
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 02 ส.ค. 2008, 6:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
จากเซลล์เดิมตายไป ก็ไปอุบัติในเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นเซลล์เส้นเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์สมอง หรือเซลล์อวัยวะอื่นๆ ทดแทนเรียนรุ้กันไปเรือ่ยๆ ท้ายที่สุดก็จะมีวิวัฒนาการขึ้นไป จนกระทั่งสามารถควบคุมบงการสิ่งมีชีวิตประเภทเซลล์เดียว ชนิดที่สามารถอยุ่รอดภายนอกได้ตนเอง เช่นอะมีบา พารามีเซียม โปรตัวซัว หรืออะไรต่างๆได้


ไม่ค่อยเข้าใจความหมายครับ

เท่าที่ทราบ

เซลของเนื้อเยื้อใดจะพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื้อนั้นครับ นอกจากสเต็มเซล

อ้างอิงจาก:
"สสาร" เราสัมผัส รับรู้ มองเห็นได้ไหม ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่า สสาร และพลังงานเป้นของอย่างเดียวกัน และ
สามารถเเปรเปลี่ยน
ไปมาระหว่างกันได้


ต้องขอทราบวัตถุที่แปรเปลี่ยนมาจากพลังงานสักตัวอย่างครับ (ในทางทฤษฎีย้อนกลับนั้นใช่ครับ)

ความรู้เท่าที่มีคื่อ

วัตถุที่มีความเร็วเข้าใกล้แสงจะกลายเป็นพลังงานมหาศาล

หรือการแตกตัวของโมเลกุลของธาตุจะเกิดพลังงานมหาศาสเช่นเดียวกันเช่นพลังงานปรมาณู

แต่จะนำพลังงานมาสังเคราะห์เป็นวัตถุ ต้องขอความรู้จากท่านเจ้าของกระทู้


ในทางวิทยาศาสตร์นั้นมีวัตถุอยู่ 2ประเภทคื่อ

อินทรีย์วัตถุ จะประกอบขึ้นด้วยธาตุ 4ตัว หรื่อมหาภูติ 4 คื่อ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน อ๊อกซิเจน และไนโตรเจน

ปฐมภูมิที่ธาตุทั้ง 4 รวมตัวกันเป็นจุดแรกของชีวิตคื่อ แอมมิโนเอสิก คื่อสารพื้นฐานตั้งต้นของโปรตีน

อนินทรีย์วัตถุ คื่อธาตุทั้งหลายรวมทั้งมหาภูติ 4 ด้วย

ส่วนเรื่องวิวัฒนาการ ในหนังสือห้วงมหรรณพของท่าน มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนอธิบายชัดเจนที่สุดครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 02 ส.ค. 2008, 6:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สืบเนืองจากข้างต้น

ท่านเจ้าของกระทู้อาจตอบเรื่องชูปเปอร์โนวา หรือการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่ก่อเกิดจักรวาลขึ้นมา

ก็คงเป็นตัวอย่างได้

แต่ พลังงานนั้นมาจากใหน

มีอะไรเป็นมูลการณ์

กระบวนการเป็นอย่างไร

แต่ผมไม่เชื่อว่า Mc2 = E
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2008, 9:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นบทความที่อ่านไม่รู้เรื่องมากที่สุดครับต้องกราบขออภัยด้วยครับ .... เศร้า
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง