ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
kokorado
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 12:10 am |
  |
อยากถามว่าการปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาอิสลาม กับคริสต์ตายไปจะสวรรค์หรือเปล่า ถ้าเขายังทำบาปอยู่ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 12:38 am |
  |
kokorado พิมพ์ว่า: |
อยากถามว่าการปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาอิสลาม กับคริสต์ตายไปจะสวรรค์หรือเปล่า ถ้าเขายังทำบาปอยู่ |
ผมเจอวิญญาณมานับหมื่นครั้ง จำนวนเป็นแสนๆดวง ผมขอตอบคุณดังนี้
รุ่นน้องผมที่ตายไปแล้วคนหนึ่งชื่อ ตี่ ... 2 ปีก่อนที่เขาจะตาย ตี่จะแต่งงานกับชาวคริสต์ที่เคร่งศาสนามากๆ
ฝ่ายหญิงต้องการให้ตี่เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ โดยหารู้ไม่ว่า ตี่ เป็นคนเคร่งศาสนาพุทธเหมือนกัน
เขาไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ ในที่สุดฝ่ายหญิงก็เลยต้องยินยอมแต่งงาน
โชคร้ายที่ฝ่ายหญิงรถคว่ำตาย 2 วันก่อนการแต่งงาน ตัวตี่ก็เป็นมะเร็งในลำใส้ ตายในอีก 2 ปีต่อมา
พอตี่ตาย ผมทำกรรมฐานแผ่เมตตาให้ตี่ ตี่หายไปหลายวันในปรโลก สุดท้ายก็กลับมา เขามา
สัมผัสตัวผม ซึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์รู้ว่า ใครอยู่ในภพภูมิไหน เนื่องจากผมเจอวิญญาณมาเยอะจนนับไม่ได้
ผมรู้ทันทีว่า ตี่ อยู่ในสวรรค์ที่ไม่ใช่สวรรค์ของชาวพุทธ ไอ้ตี่คนนี้มันเคร่งศาสนาสุดๆ ผมมั่นใจ
เกิน 100%ว่า ถ้าพระเจ้าไม่ใช่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้ตี่มันไม่ยอมอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์แน่นอน
คราวนี้มาถึงศาสนาอิสลามบ้าง น้องผมเป็นชาวพุทธ และเป็นผู้ช่วยทูตในอิหร่าน เขาสวดมนต์
ทุกวัน เขามีความสามารถในการรับรู้ภพภูมิของวิญญาณเหมือนกัน แต่อาจไม่ถึงขั้นผม
เขายืนยันว่า พอเขาสวดมนต์แผ่เมตตาในบทสวดมนต์ของไทย เหล่าวิญญาณในอิหร่าน
ที่อยู่ในระแวกนั้นมาหาเขาเพื่อขอบคุณ วิญญาณเหล่านั้นบอกว่า บทสวดมนต์ของไทย ทำให้เขาอิ่มและมีความสุข
มาก ไม่เหมือนอาหารที่ชาวอิหร่ายถวายแด่พระเจ้า
พวกเขาได้รับด้วย แต่ไม่อิ่มและมีความสุขเหมือนบทสวดมนต์ของไทย
ผมโม้เสียเพลิน คราวนี้ขอตอบปัญหาของคุณ
ศาสนาอิสลามก็เหมือนกับศาสนาพุทธเถรวาท ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ขึ้นสวรรค์ ลงนรกเหมือนกัน
ศาสนาคริสต์นั้น พระเยซูทรงไถ่บาปในอดีตชาติของคนนั้นไปแล้ว แต่ถ้าคนคริสต์ทำบาปในชาตินี้
แล้วมิได้สำนึกบาป ตายไปเขาก็ลงนรกเหมือนกัน
ศาสนาพุทธเถรวาทก็มีการสำนึกบาปเหมือนศาสนาคริสต์ พระพุทธเจ้าเรียกว่า การการล่วงบาปกรรม
ลองไปอ่านกระทู้ ทำบาปไปแล้ว ทำอย่าไรจึงจะทำให้วิบากกรรมเบาบางลง
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16563 |
|
|
|
  |
 |
kokorado
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 1:21 am |
  |
การไถ่บาปของพระเยซูทำได้จริงๆเหรอ แล้วที่ว่ากรรมย่อมติดตัวผู้นั้นเหมือนเงาตามตัวมันจะไม่ค้านกันเหรอ อีกอย่างเราเกิดมานับอสงไขยม่ถ้วนแล้วจะล้างหมดเหรอ พระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าสมณดคดมยังต้องรับกรรมที่ทำในอดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้มีผู้ที่มีฤทธิ์ธานุภาพขนาดล้างบาปได้ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 7:50 pm |
  |
kokorado พิมพ์ว่า: |
การไถ่บาปของพระเยซูทำได้จริงๆเหรอ แล้วที่ว่ากรรมย่อมติดตัวผู้นั้นเหมือนเงาตามตัวมันจะไม่ค้านกันเหรอ อีกอย่างเราเกิดมานับอสงไขยม่ถ้วนแล้วจะล้างหมดเหรอ พระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าสมณดคดมยังต้องรับกรรมที่ทำในอดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้มีผู้ที่มีฤทธิ์ธานุภาพขนาดล้างบาปได้ |
พระเยซูเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนาคริสต์ก็จริง แต่พระเยซูก็เป็นพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์มหายานท่านก็ทำเหมือนพระอมิตตาภพุทธเจ้า คือ นำดวงวิญญาณบาปบุญต่างๆไปไว้ในเขตอภัยทาน หรือดินแดนของท่าน
พระอรหันต์บางองค์ของไทย ท่านก็ทำเขตอภัยทานของท่าน วิญญาณที่เข้าไปในนี้ บาปกรรมเข้ามาใ
ห้รับผลไม่ได้ แต่ถ้าพระอรหันต์เข้านิพพานไป วิญญาณดวงนั้นก็เสร็จครับ
นี่เป็นเหตุให้พระอมิตตภพุทธเจ้า และพระเยซูเข้านิพพานยังไม่ได้ ไม่งั้นแดนสุขาวดี และสวรรค์ของพระคริสต์
ก็ต้องล่มสลายลง |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
13 ก.ค.2008, 8:14 pm |
  |
kokorado พิมพ์ว่า: |
การไถ่บาปของพระเยซูทำได้จริงๆเหรอ แล้วที่ว่ากรรมย่อมติดตัวผู้นั้นเหมือนเงาตามตัวมันจะไม่ค้านกันเหรอ อีกอย่างเราเกิดมานับอสงไขยม่ถ้วนแล้วจะล้างหมดเหรอ พระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าสมณดคดมยังต้องรับกรรมที่ทำในอดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้มีผู้ที่มีฤทธิ์ธานุภาพขนาดล้างบาปได้ |
ลืมตอบไป
1. พระเยซูรับบาปในอดีตชาติของชาวคริสต์ ไวน์นั้นแทนโลหิตของเรา(พระเยซู) ปังปอนชิ้นเล็กแทน
ร่างกายของเรา(พระเยซู) นี่เป็นเงื่อนไขของการเข้าไปสู่ดินแดนสวรรค์ของพระคริสต์
2. "กรรมย่อมติดตัวผู้นั้นเหมือนเงาตามตัวมันจะไม่ค้านกันเหรอ"
นั่นคือ วิญญาณดวงนั้นต้องลงมาเกิดในสังสารวัฏนะครับ แต่นี่วิญญาณดวงนั้นอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์แล้ว
ศาสนาพุทธเถรวาทของเรา สมมุติสงฆ์ก็ไม่ยอมรับแดนสุขาวดีของพระอมิตตาพุทธ เพราะตีความ
ไม่ได้ว่า ไม่อยู่ในสังสารวัฏได้อย่างไร ในทั้ง 2 ดินแดนนั้น จะปฏิบัติและบรรลุธรรมที่นั่นเลย
"เกิดมานับอสงไขยม่ถ้วนแล้วจะล้างหมดเหรอ"
นี่ก็เป็นเรื่องของผู้อยู่ในสังสารวัฏครับ
"พระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าสมณดคดมยังต้องรับกรรมที่ทำในอดีตไม่ใช่เหรอ หรือว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้มีผู้ที่มีฤทธิ์ธานุภาพขนาดล้างบาปได้"
พระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าสมณดคดม เกิดในโลกซึ่งเป็นสังสารวัฏ ก็ต้องรับกฎเกณฑ์ของสังสารวัฏ
ถ้าพระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าสมณดคดม เกิดในแดนสุขาวดีของพระอมิตตาพุทธ พวกท่านก็ไม่อยู่
ภายใต้กฎแห่งกรรมตามปกติ |
|
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
14 ก.ค.2008, 5:39 pm |
  |
RARM พิมพ์ว่า: |
ขอถามตามประสาคนไม่รู้จริงครับ
เราจะละอวิชชาด้วยอะไรครับ
 |
อวิชชา คือ ไม่รู้ครับ ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ แต่กลับไปรู้ในสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็นต้องรู้( สิ่งที่ควรรู้นั้นหมายถึง อริยสัจ คือ ความทุกข์ เหตุเกิดแห่งทุกข์ การดับทุกข์ เหตุแห่งการดับทุกข์ )
การจะละอวิชชานั้นก็คือต้องรู้แจ้งในอริยสัจครับ |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
15 ก.ค.2008, 1:12 pm |
  |
จิตเดิม กับพระนิพพาน ไม่น่าจะเป็นอันเดียวกันนะครับ ผมว่า พระนิพพานเหมือนบ้านครับ ส่วนจิตนั้นคือผู้อาศัย จิตเดิมนั้นว่างเปล่า ใส สะอาด จนหาที่เปรียบไม่ได้ครับ |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 12:27 am |
  |
ดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆบัง กับดวงอาทิตย์ที่ไม่ถูกเมฆบัง มันก็คือดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน
คนที่เห็นว่ามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง คือ มีจิตเดิม และมีพระนิพพาน นั้นยังไม่เห็นความเป็นพุทธะในตัวเอง |
|
|
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
17 ก.ค.2008, 9:33 am |
  |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า: |
ดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆบัง กับดวงอาทิตย์ที่ไม่ถูกเมฆบัง มันก็คือดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน
คนที่เห็นว่ามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง คือ มีจิตเดิม และมีพระนิพพาน นั้นยังไม่เห็นความเป็นพุทธะในตัวเอง |
เป็นเช่นนั้นหรอกหรือครับ กระผมเองก็ไม่ทราบแน่ว่าเป็นยังไงเพราะว่าจำมาในสัญญาน่ะครับ ส่วนแท้จริงแล้วจะเป็นอย่างไรกระผมก็ปรารถนาที่จะเห็นจริงอยู่ครับ ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ หากธรรมใดอันเป็นธรรมที่จริงแท้ที่ท่านได้รู้ก็ขอให้กระผมได้รู้ถึงธรรมนั้นด้วยเถิด |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 8:17 pm |
  |
RARM พิมพ์ว่า:
ขอถามตามประสาคนไม่รู้จริงครับ
เราจะละอวิชชาด้วยอะไรครับ
.............................................................................
จากโสฬสธรรมค่ะ
คนที่ ๑ อชิตมาณพ ทูลถามปัญหา ๔ ข้อ
ถาม โลก คือ หมู่สัตว์ใหญ่ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงอยู่ในที่มืด? เพราะอะไรเป็นเหตุ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ? พระองค์ทรงตรัสว่า อะไรเป็นเครื่องฉาบไล้ให้สัตว์โลกติดอยู่ และอะไรเป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น?
ตอบ โลก คือ หมู่สัตว์ใหญ่ อันอวิชชาคือ ความไม่รู้แจ้ง ปิดบังไว้แล้ว จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด เพราะ ความอยากมีประการต่างๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ เรากล่าวว่า ความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่และกล่าวว่า ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น
ถาม ขอทรงตรัสบอกว่า อะไรเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยาก อันเป็นดุจกระแสน้ำ หลั่งไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้ เพราะธรรมอะไร?
ตอบ เรากล่าวว่า สติ เป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยากนั้น และความอยากนั้นจะละได้เพราะ ปัญญา
ถาม ปัญญา สติกับนามรูป จะดับไป ณ ที่ไหน?
ตอบ เราจะแก้ปัญหาที่ท่านถามถึงที่ดับนามรูปสิ้นเชิง ไม่มีเหลือแก่ท่าน เพราะ วิญญาณดับไปก่อน นามรูปจึงดับไป ณ ที่นั้นเอง
ถาม ชนผู้มีธรรมได้พิจรณาเห็นแล้ว และชนยังผู้ศึกษาอยู่ 2 พวกนี้ มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ข้าพระเจ้าขอทูลถามถึงความประพฤติของชน 2 พวกนั้น พระองค์มีพระปัญญาแก่กล้า ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพระเจ้าเถิด
ตอบ ภิกษุผู้มีธรรมได้พิจรณาเห็นแล้ว และชนผู้นั้นยังต้องศึกษาอยู่ ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอริยาบท |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 8:31 pm |
  |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า
พระเยซูเป็นผู้ให้กำเนิดศาสนาคริสต์ก็จริง แต่พระเยซูก็เป็นพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์มหายานท่านก็ทำเหมือนพระอมิตตาภพุทธเจ้า คือ นำดวงวิญญาณบาปบุญต่างๆไปไว้ในเขตอภัยทาน หรือดินแดนของท่าน
พระอรหันต์บางองค์ของไทย ท่านก็ทำเขตอภัยทานของท่าน วิญญาณที่เข้าไปในนี้ บาปกรรมเข้ามาให้รับผลไม่ได้ แต่ถ้าพระอรหันต์เข้านิพพานไป วิญญาณดวงนั้นก็เสร็จครับ
นี่เป็นเหตุให้พระอมิตตภพุทธเจ้า และพระเยซูเข้านิพพานยังไม่ได้ ไม่งั้นแดนสุขาวดี และสวรรค์ของพระคริสต์ ก็ต้องล่มสลายลง
.........................................................................
คุณพลศักดิ์ เป็นพระอรหันต์หรือคะ ขออภัยที่ถามเช่นนี้ เพราะสงสัย รู้ถึงขนาดพระอมิตตภพุทธเจ้ากับพระเยซู ว่ายังเข้านิพพานไม่ได้ นั่งทางในดูหรือคะ ถ้านั่งทางในครูบาฯท่านถือว่าเป็นแค่นิมิตนะคะ หรือว่าฤทธิ์ของฌานเหมือนพระเทวทัติ มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ครูบาฯท่านบอกว่าให้ดูในตัวให้มากๆ .....เพียงจะบอกว่า สัญญาก็คือสัญญาหากยังไม่ละ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสัญญา สัญญาก็จะวนๆอยู่ในสัญญา บังเอิญดิฉันก็มีสัญญาค่ะ แต่สัญญาของดิฉันคือไม่เอา |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
ratchadapa
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 05 ม.ค. 2008
ตอบ: 84
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 9:23 pm |
  |
walaiporn พิมพ์ว่า: |
.........................................................................
คุณพลศักดิ์ เป็นพระอรหันต์หรือคะ ขออภัยที่ถามเช่นนี้ เพราะสงสัย รู้ถึงขนาดพระอมิตตภพุทธเจ้ากับพระเยซู ว่ายังเข้านิพพานไม่ได้ นั่งทางในดูหรือคะ ถ้านั่งทางในครูบาฯท่านถือว่าเป็นแค่นิมิตนะคะ หรือว่าฤทธิ์ของฌานเหมือนพระเทวทัติ มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ครูบาฯท่านบอกว่าให้ดูในตัวให้มากๆ .....เพียงจะบอกว่า สัญญาก็คือสัญญาหากยังไม่ละ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสัญญา สัญญาก็จะวนๆอยู่ในสัญญา บังเอิญดิฉันก็มีสัญญาค่ะ แต่สัญญาของดิฉันคือไม่เอา |
ดีจังที่คุณ Walaiporn ถาม สงสัยมาหลายกระทู้แล้วค่ะ อยากถามด้วยค่ะ
อีกอย่างหนึ่ง เรื่องนิพพานเป็นอัตตาของคุณพลศักดิ์ จะเชื่ออย่างไรก็เป็นสิทธิของคุณเอง ไปล่วงเกินท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต ว่าท่านทำสัทธรรมปฏิรูป การประทุษร้ายผู้ไม่ประทุษร้าย มีวิบากที่แสบเผ็ดนะคะ มีอหังการ มมังการและมานะเต็มเพียบเช่นนี้ พระอนาคามียังไม่ได้เป็นเลยค่ะ ไม่ต้องคิดถึงอรหันต์ |
|
_________________ พวกเธอจงยินดีในความไม่ประมาท
จงระมัดระวังจิตของตน
จงถอนตนออกจากหล่มกิเลส
เหมือนพญาช้างติดหล่ม
พยายามช่วยตัวเอง |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2008, 9:30 pm |
  |
สวัสดี ใบไม้นอกกำมือ หรือ นายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์
ผมมาที่นี่เพราะ มีคนจุดธูปเรียก |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 7:46 am |
  |
ผมคิดว่าเราๆควรมีเมตตา มีความรักให้กันดีกว่า
พี่เขามี IQ มากอยู่ สัญญาก็แจ่มแจ๋ว
ธรรมชาติของคนฉลาดมากๆ .. มักจะมั่นใจมาก ยึดถือมาก
จะเปลี่ยนแปลงอะไรยากหน่อย
ถ้าคุณพลศักดิ์จะยึดถือต่อไปดังที่เชื่อเราก็ควรเคารพในความต่างนี้
แต่คุณพลศักดิ์ ก้ต้องเคารพในของเดิม ที่เขามีอยู่
จะเพ่งโทษ ปฎิวัติปัดเปลี่ยนของเถรวาทปัจจุบัน ที่เขามีวิถีความเชื่อของเขาอยู่
ก็เห็นว่าเป็นความไม่พอดี นำมาซึ่งความขัดแย้ง
เมื่อเห็นต่าง สามารถแยกนิกายได้ ตั้งศาสนาใหม่ยังได้
แต่จะปฏิรูปของเดิมอันนี้ไม่ควร
ถ้าจะมองให้ออก
เรากำลัง export (ส่งออกนอก) กันอยู่ประมาณหนึ่ง ใช่ไหมคับ
ธรรมทั้งหลายรู้ได้แบบ ปัจจัตตัง , สันทิฏฐิโก มิใช่หรือ
ี |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 2:05 pm |
  |
คุณ"walaiporn"ครับ
คำถามของคุณ
คุณพลศักดิ์ เป็นพระอรหันต์หรือคะ ขออภัยที่ถามเช่นนี้ เพราะสงสัย รู้ถึงขนาดพระอมิตตภพุทธเจ้ากับพระเยซู ว่ายังเข้านิพพานไม่ได้ นั่งทางในดูหรือคะ ถ้านั่งทางในครูบาฯท่านถือว่าเป็นแค่นิมิตนะคะ หรือว่าฤทธิ์ของฌานเหมือนพระเทวทัติ มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ครูบาฯท่านบอกว่าให้ดูในตัวให้มากๆ .....เพียงจะบอกว่า สัญญาก็คือสัญญาหากยังไม่ละ ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสัญญา สัญญาก็จะวนๆอยู่ในสัญญา บังเอิญดิฉันก็มีสัญญาค่ะ แต่สัญญาของดิฉันคือไม่เอา
...... 1. เมื่อ 3 ปีก่อน ในเว็บเมเนเจอร์ถามผมว่า ผมบรรลุโสดาบันแล้วหรือ ผมก็ตอบว่า ใช่ ปรากฏคน
รุมด่าผมแหลกเลย
ในเว็บพันธ์ทิพ ก็ถามผมด้วยคำถามเดียวกัน ผมก็ขอไม่ตอบ ในเว็บพลังจิต ผมก็โดนคำถามว่า ผม
บรรลุถึงขั้นไหนแล้ว ผมก็เลี่ยงตอบเขาว่า พระมหาโพธิสัตว์กวนอิมท่านเรียกผมว่า เพื่อน
พระพุทธเจ้าในพระนิพพานเรียกผมว่า บารมีธรรมโพธิสัตว์
2. นิมิตมีทั้งนิมิตที่เป็นจริงมาจากเทพ พรหม และผู้ที่อยู่ในนิพพาน และมีนิมิตเทียม
3. ผมไม่ได้ต้องการเข้านิพพานครับ ทุกข์นั้นเกิดจากความคิดปรุงแต่ง และเกิดจากการไปยึดมั่น
ถือมั่น ว่าเป็นตัวกู ของกู พระโพธิสัตว์มหายานท่านต่างเป็นอรหันต์ทั้งสิ้น แต่ท่านไม่ยอมเข้านิพพาน
เอาความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์เข้ามาในจิตอีก |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 2:17 pm |
  |
คุณ "ratchadapa"
ข้อความของคุณ
อีกอย่างหนึ่ง เรื่องนิพพานเป็นอัตตาของคุณพลศักดิ์ จะเชื่ออย่างไรก็เป็นสิทธิของคุณเอง ไปล่วงเกินท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต ว่าท่านทำสัทธรรมปฏิรูป การประทุษร้ายผู้ไม่ประทุษร้าย มีวิบากที่แสบเผ็ดนะคะ มีอหังการ มมังการและมานะเต็มเพียบเช่นนี้ พระอนาคามียังไม่ได้เป็นเลยค่ะ ไม่ต้องคิดถึงอรหันต์
เพราะพระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตฺโต ท่านทำสัทธรรมปฏิรูป ยังไงล่ะครับ พระพุทธองค์จึงส่งผมมา
ไม่เช่นนั้นสัทธรรมของจริงของพระพุทธเจ้ามีหวังปถุชนไม่มีทางรู้แน่นอน
นิพพานเป็นอัตตาแน่นอน ความหมายของอัตตาก็อยู่ในอนัตตลักขณะสูตรนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า สิ่งที่จะเป็นอัตตาได้ต้องมีลักษณะดังนี้ :
" สิ่งใดเที่ยง, ไม่มีทุกข์, ไม่ปรวนแปรเป็นธรรมดาสามารถบังคับบัญชาให้เป็นอย่างใจหวังได้
สิ่งนั้นก็ย่อมเป็น อัตตา " |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 2:30 pm |
  |
คุณ "ratchadapa" ครับ
อนัตตลักขณสูตร
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร เรื่องอนัตตาในขันธ์ ๕ ต่อเหล่าพระปัญจวัคคีย์ทั้ง๕ จนสำเร็จพระอรหันต์[๒๐]
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา(ไม่มีตัวตน ที่เป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง - ไม่ใช่ตัวใช่ตนแท้จริง - หรือกล่าวอีกอย่างที่มีความหมายเดียวกันว่า มีตัวตนแต่ไม่เป็นแก่นเป็นแกนแท้จริง)ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ(แปรปรวน เช่น เจ็บป่วย) และบุคคลย่อมไม่ได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. (กล่าวคือ ถ้ารูปนั้นเป็นของตัวของตนจริงๆแล้วไซร้ จะต้องควบคุมบังคับได้ตามปรารถนา ต้องควบคุมบังคับให้ไม่แปรปรวนหรือดับไปตามสภาวธรรมได้ด้วยตัวตนของตนเองอย่างแท้จริงและแน่นอน)
เวทนาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้นเวทนาจึง เป็นไปเพื่ออาพาธ(แปรปรวน) และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด เวทนาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สัญญาเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่าสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้วสังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่าวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้นวิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่าวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ตามคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่จะเป็นอัตตาได้ สิ่งนั้นจะต้องไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และพึงได้ในสิ่งนั้นว่า จงเป็นอย่างนี่เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 2:42 pm |
  |
คุณ "ratchadapa" ครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสว่า อายตนะ(นิพพาน) นั้น มีอยู่ ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่. ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง
ย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น.
ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ
เป็นการอุบัติ. อายตนะนั้นหาที่ตั้ง อาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
ขุ.อุ.๒๕/๑๕๘/๒๐๖-๒๐๗
แล้วอะไรล่ะคืออายตนะนิพพาน? - คำตอบอยู่ในปารมิตาหฤทัยสูตร
ในปารมิตาหฤทัยสูตร พระโพธิสัตว์อวโอกิเตศวรตอบพระสารีบุตรว่า ธรรมกายก็คือปรัชญาปารมิตา
ซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต
ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาล
อ่านข้อความเต็มๆใน
http://community.buddhayan.com/index.php?PHPSESSID=66652f8cc605d391c892f2bdc630bd60&topic=321.msg1335#msg1335
ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน ธรรมกาย ไม่อาพาธ ไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ และธรรมกาย
สามารถเป็นอย่างนี่เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย
ธรรมกายคือ อัตตา ครับ ส่วนขันธ์ 5 คือ อนัตตา |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 2:53 pm |
  |
คุณ "ratchadapa" ครับ
อนัตตลักขณสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
(โยนิโสมนสิการจากปฎิจจสมุปบาท และพระไตรลักษณ์ จะพบความจริงได้ด้วยตนเองในที่สุดว่า
สุขทุกข์เพราะความไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ในที่สุดทั้งสิ้น)
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
(ในเมื่อรู้แล้วว่า มันเป็นตัวทุกข์ แล้วไปเก็บไปเอามันว่า เป็นของตัวของตนทำไมให้เป็นทุกข์)
ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า
ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
......................................................................................
ผมยกอนัตตลักขณสูตรมาเต็มๆเลย เพื่อจะชี้ให้คุณเห็นว่า
1. พระพุทธเจ้าพูดถึงขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเป็น อนัตตา
2. พระพุทธเจ้าพูดถึงความหมายของอัตตา เอาไว้ด้วย แต่ตัวนี้ผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพานจะรู้
และเข้าใจได้ เมื่อผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพานแล้ว ไปอ่านพระไตรปิฎกอีกครั้ง จะตรัสรู้ธรรม
ด้วยตนเองเลยว่า สิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตายนั้น มีขันธ์หรือกายเหมือนกัน เรียกว่า
ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย อายตนะนิพพานก็คือธรรมกายนี่เอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เที่ยง....ที่ผมกล่าวว่า
" สิ่งใดเที่ยง, ไม่มีทุกข์, ไม่ปรวนแปรเป็นธรรมดาสามารถบังคับบัญชาให้เป็นอย่างใจหวังได้
สิ่งนั้นก็ย่อมเป็นอัตตา "
คุณไม่เข้าใจตอนนี้ ก็คงไม่เป็นไร สักวันหนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่งเมื่อคุณมีบุญบารมีพร้อมจะเข้าถึงแก่นธรรม
คุณย่อมเข้าใจเอง ผมไม่อยากไปยัดเยียด หรือบังคับอะไรให้คุณ ผู้เป็นบัญฑิตที่ใช้สมองคิด
และตีความพระไตรปิฎกอย่างเดียว ให้เชื่อตามผม
คุณ "ratchadapa" ครับ
อ่านข้อความสุดท้ายซิครับ
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าาข้า
ตอนนี้ ผมจะลองถามใหม่ว่า
ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา
นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?
คุณจะตอบว่าอะไรครับ
ข้อนั้นควรเลย พระพุทธเจ้าข้า
สรุป "อัตตา"ที่พระพุทธเจ้าพูดถึงนั้น ไม่ใช่อัตตาทางโลก อัตตาทางโลกไม่มี อัตตาทางโลกเป็นอุปทาน
หรือมายา มันจึงเป็นอนัตตา แต่มีอัตตาแท้ๆอีกตัวหนึ่งที่พระพุทธเจ้าให้ความหมายไว้ว่า สิ่งที่จะเป็นอัตตา
ได้ต้องเที่ยง ไม่มีอาพาธ ไม่แปรปรวน เป็นไปได้ดังใจหวัง
นอกจากนี้ ผมขอนำคำเทศน์ของ สมเด็จพระสังฆราช
อริยวงศาคตญาณ (แพติสูรเทโว) มาลงด้วย เพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษากัน
"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็น
นิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา" |
|
|
|
  |
 |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
20 ก.ค.2008, 3:05 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
สวัสดี ใบไม้นอกกำมือ หรือ นายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์
ผมมาที่นี่เพราะ มีคนจุดธูปเรียก |
สวัสดีครับคุณขันธ์ ไม่ทราบคุณปราบมารหรือเปล่าครับ ตอนเช้าผมพึ่งchatคุยกับเขา ตอนนี้เขา
เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วนะครับ เขาบอกมีคนนำคำตอบในกระทู้ผมไปตั้งกระทู้ในเว็บพลังจิต ผมคงเข้าไป
ตอบกระทู้ไม่ได้ เพราะถูกแบนไม่ให้เข้าเว็บนั้นอีก เข้าไปทีไรเจอประโยคนี้อย่างเดียว
ข้อความจากบอร์ด
You have been banned for the following reason:
ควบคุมความสงบ
Date the ban will be lifted: ไม่เคย |
|
|
|
  |
 |
|