Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปาณาติบาตที่ไม่บาป อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2008, 3:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

๑.ปาณาติบาตที่ไม่บาป

ปรัศนี: การทำให้คนหรือสัตว์ตายโดยไม่มีเจตนาแห่งการฆ่า ก็เป็นบาปด้วยสิกขาบทปาณาติบาตนั้น มีตัวอย่างเช่นอะไรบ้าง และมีหลักมาจากไหนครับ? พวกที่ถือศาสนาอื่น ที่สอนว่า ฆ่าสัตว์บาป หรือกลับจะเป็นบุญไปเสียอีกในเมื่อพระพุทธศาสนาเราสอนว่า ฆ่าสัตว์เป็นบาป ดังนี้ ผู้ฆ่าในศาสนาโน้นจะบาปตามหลักศาสนานี้หรือไม่ครับ?

หลวงพ่อพุทธทาส: นี่ผู้ฟังจับใจความของปัญหาในข้อนี้ให้ได้เสียก่อน คือว่า อาตมาพูดไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่า การทำสัตว์ตาย ก็จะขาดศีล ปาณาติบาต ข้อที่ ๑ นั้นมันต้องมีเจตนาฆ่านะ ไม่ใช่เจตนาอย่างอื่น นี่เป็นบัญญัติขึ้นว่า มีเจตนาอย่างนั้น แล้วพยายามอย่างนั้น แล้วทำจนตายนั้น ก็ขาดศีลข้อนี้โดยตรง หรือแม้แต่เป็นบางส่วนที่ร่วมมือ ใจความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เจตนานั้นมันนึกในใจใครจะไปรู้ของใคร ฉะนั้น จึงวางไว้เป็นหลักว่า แล้วแต่เจตนา

ที่จะยกตัวอย่างที่รุนแรงที่สุด ก็เช่นว่า เพชฌฆาตเขาต้องประหารชีวิตคนตามคำสั่งของศาล เพชฌฆาตคนนี้จะขาดศีลปาณาติบาตข้อหนึ่งหรือหาไม่?

ถ้าเราตอบตามหลักนี้ก็ว่า แล้วแต่เจตนาของเพชฌฆาตคนนั้น ถ้าเป็นเพชฌฆาตที่ไม่ได้รับการอบรมศึกษาอะไร มันทำไปด้วยความโกรธแค้นเจตนาจะฆ่าให้ตายด้วยความโกรธแค้น หรืออะไรก็ตาม มันก็ต้องขาดศีลข้อปาณาติบาต แต่ถ้ามันเป็นเพชฌฆาตที่ได้รับการอบรมสั่งสอนดี ไม่มีเจตนาจะฆ่า มีเจตนาแต่จะปฏิบัติเพื่อความยุติธรมในโลก มันมีความบริสุทธิ์ใจอย่างนี้จริงๆ ไม่มีเจตนาฆ่า เพชฌฆาตคนนี้ไม่ขาดศีลปาณาติบาต มันต้องมีเจตนาจะฆ่า เช่น เราจะซื้อปลากระป๋องมากินอย่างนี้ แล้วจะมาปรับให้เราเป็นบาปเพราะว่าเขาต้องฆ่า หรือมีส่วนให้เขาฆ่ามากขึ้น อย่างนี้ไม่มีเหตุผล

การไปซื้อปลากระป๋องมากิน ไม่ใช่มีเจตนาจะฆ่า ถ้าเทียบเท่านี้ปรับให้เป็นบาปละก็ไม่ต้องกินอะไรกันละ กินข้าวก็ต้องบาป เพราะว่าการกินข้าวนั้น ทำให้ต้องมีการไถนา เมื่อมีการไถในระหว่างรอยไถนั้น มันแดงฉานไปด้วยเลือดของสัตว์มากมาย คือมันต้องตายจะตายมากกว่าที่ไปฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ทีละตัวเสียด้วยซ้ำไป ตัวเล็กตัวน้อย ไส้เดือน ตัวอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันตายมากมายในรอยไถ แล้วคนกินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขาย จะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถ แล้วคนที่กินข้าว กินข้าวสารที่เขาทำขายจะต้องพลอยเป็นบาป เพราะสัตว์ตายในรอยไถหรือไม่? คนกินข้าวมันไม่มีเจตนาจะฆ่าสัตว์เช่นเดียวกับคนซื้อปลากระป๋องมากิน ก็ไม่ได้เจตนาจะฆ่าสัตว์ มันก็ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต ถ้ามีความบริสุทธิ์ใจจริงๆ มันก็ไม่ด่างไม่พร้อยอะไรเลย เว้นแต่เขาจะอุตริ จะเกิดสงสัยขึ้นมามีจิตหม่นหมอง ก็คงจะด่างพร้อยไปบ้าง

อนึ่ง ถ้าว่ามีเจตนาอย่างอื่น ไม่ใช่เจตนาฆ่าก็ไม่บาปด้วยปาณาติบาต หรือไม่ขาดศีล เรายังต้องทำอะไรหลายอย่างที่ทำให้สัตว์ตายโดยไม่ต้องเจตนา เช่น เป็นพวกตัวพยาธิกินยาถ่าย ถ้ากินเพียงเพื่อรักษาชีวิต ป้องกันตัวเองมันก็ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ไม่ต้องบาป แต่ว่าบางคนมันโกรธ โกรธตัวพยาธิกินยาเจตนาฆ่าตัวพยาธิจริงๆ มันก็ต้องขาดศีลเพราะมันเจตนาฆ่าตัวพยาธิในท้อง ไส้เดือนก็ดี ตัวตืดก็ดี ต้องทำใจให้ดีๆ นะ ไม่เช่นนั้นจะขาดศีล

ถ้ามีเจตนาโกรธแค้น กูจะฆ่ามึง นี่มันก็ต้องขาดศีล แต่ถ้าเจตนาตั้งไว้บริสุทธิ์ เพียงเพื่อต่อสู้ป้องกันชีวิตตนเองอย่างนี้ พระเจ้า พระสงฆ์ก็กิน แม้แต่พระอรหันต์ก็ฉันยาถ่าย ซึ่งทำให้พยาธิในท้องต้องตายไปไม่มากก็น้อย

ที่จะเป็นปัญหามากก็เช่นว่า แมวเห็นหนูก็จะตะครุบกิน นี่พวกที่เถรตรงก็ว่าแมวบาป แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็บาป อย่างนี้ เราก็มีความเห็นด้วยไม่ได้ แมวไม่มีเจตนาฆ่าหนู มันจะกินเท่านั้น แต่พวกอาจารย์บางพวก บางกลุ่มเขาจัดให้แมวนี้เป็นบาป เป็นเวรตกนรก ผูกพันกันกับหนูกลับไปกลับมา เรียกว่า มันขาดศีล แต่อาตมาเห็นว่า แมวไม่มีเจตนาฆ่า มันมีความรู้สึกแต่จะกินเท่านั้นแหละ เห็นหนูก็คือเห็นอาหาร เป็นอาหารก็กินเท่านั้นแหละ แต่ความหมายของคำว่า "ฆ่า" ฆ่าให้ตาด้วยความโกรธนั้นมันไม่มี นี่ไปคิดดูเถิดว่า การทำให้ตายโดยไม่มีเจตนานั่นนะไม่เป็นบาป ไม่ขาดศีลปาณาติบาต นี้เราทำอะไรได้ ที่ทำให้สัตว์ตายโดยไม่เจตนานั้นมันทำได้

ทีนี้ ตอนหลังมีปัญหาว่า พวกที่ถือศาสนาอื่น บางศาสนา เขาบัญญัติว่า ไม่บาป ฆ่าสัตว์ไม่บาป ไม่ได้บัญญัติว่าบาป เช่น คริสเตียนที่ไม่ได้บัญญัติว่าฆ่าสัตว์บาป บัญญัติแต่ฆ่าคน แม้แต่พระในศาสนาโรมันคาธอลิคนี้ก็ยังยิงปืน เป็นบาทหลวงนี่แหละก็ยิงนกอยู่ เพราะว่า ศาสนาของเขาไม่ได้บัญญัติว่าบาป และบางศาสนาอย่าออกชื่อ เขาว่าจะได้บุญเสียอีก การฆ่าสัตว์ตัวนั้นตายเอาเนื้อมาแจกจ่ายเลี้ยงคนก็ได้บุญ แล้วเขามีพิธี มีความหมายที่ว่า จะส่งสัตว์ที่ถูกฆ่านี้ไปสู่สวรรค์โดยเร็ว ดีกว่าที่จะให้มันมารอเวลาอยู่เสียเวลาเปล่าๆ ช่วยให้มันไปสู่สวรรค์เร็วๆ ฉะนั้นการฆ่าสัตว์ก็ได้บุญไม่ใช่บาป นั้นเป็นเรื่องของศาสนาอื่น ส่วนพุทธศาสนาไม่ได้สอนอย่างนั้น ถ้ามีเจตนาฆ่าแล้วก็บาป.

ทีนี้มีปัญหาขึ้นมาว่า ผู้ที่ทำตามหลักศาสนาอื่นที่ว่าไม่บาป และได้บุญนั้นน่ะ เขาจะกลายเป็นคนบาปตามหลักในพุทธศาสนาหรือไม่?

ข้อนี้ขอตอบเสี่ยงต่อการถูกด่า ซึ่งมีปากไสวไปพร้อมที่จะด่า ว่ามันบาปหรือไม่บาปตามศาสนาของเขา เพราะว่าบาปหรือบุญนี้เป็นเรื่องของศีลธรรม เป็นเรื่องของการบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมของธรรมชาติ นี่ช่วยฟังให้ดี ช่วยเป็นพยานด้วยนะ อาตมาต้องถูกด่า ถูกด่าที่พูดอย่างนี้ ช่วยเป็นพยานด้วย ว่าถ้าบาปก็บาปตามที่เขาถือศาสนานั้น หรือไม่บาปก็ไม่บาปตามที่เขาถือศาสนานั้น นี้เป็นเรื่องศีลธรรมที่บัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถธรรมของธรรมชาติที่เป็นแต่เพียงทรงแสดง ฉะนั้น เราถือศาสนาไหน พระศาสดาแห่งศาสนานั้นได้บัญญัติว่าอย่างไร เราก็เชื่อตามนั้น เพราะเรานับถือ เมื่อเชื่อตามนั้น จิตก็เป็นไปตามนั้น เรารู้สึกว่าบาปก็บาป เรารู้สึกว่าไม่บาปก็ไม่บาป แล้วแต่บทบัญญัติ ผู้ถือศาสนาอื่น จะไปพลอยมีบุญมีบาป ด้วยศาสนาอื่นอีกศาสนาหนึ่งนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบัญญัติไว้ต่างกัน แล้วจิตใจของเราก็เชื่อมั่นในศาสนานั้นๆ เป็นความรู้สึกของจิตใจตามบทบัญญัติที่มนุษย์แต่งตั้งขึ้น ไม่ใช่สัจธรรม หรือปรมัตถธรรมของธรรมชาติ เช่น หลักธรรมะอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ศีลปาณาติบาตเป็นต้น ฉะนั้น จึงขอตอบว่า ที่เขาทำบาปในศาสนาอื่น จะมาบาปในศาสนาอื่นก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่มันตรงกัน เมื่อบัญญัติไว้ต่างกัน ขัดแย้งกัน มันก็เป็นบุญเป็นบาปไปตามศาสนาที่เขาถือ นี่จะตอบอย่างนี้และมีหลักอย่างนี้ เพราะว่านี่เป็นศีลธรรม ที่เป็นการบัญญัติแต่งตั้ง ไม่ใช่สัจจธรรมของธรรมชาติ มีปัญหาอะไรต่อไปอีก?
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2008, 8:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีแล้ว ชอบแล้ว
เห็นด้วยทั้งปวงกับอาจารย์พุทธทาส


แต่เข้าใจว่า สายวิปัสนาจะมีอะไรละเอียดกว่านี้ใช่ไหมคับ
้รบกวนท่านเหล่านั้นช่วยอธิบายให้แตกละเอียด ให้ได้ขบคิดด้วยคับผม
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เมธี
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ค.2008, 8:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สงสัยครับ

คือเรื่องแมวกะหนู ถ้าแมวกินหนู ไม่บาปจริง แต่จะมีวิบากกรรมหรือเปล่าครับ
หรือจะเป็นเรื่องการจองเวรอ่ะครับ ตามเรื่องข้างล่างนี้เลยครับ
-----------------------------------
น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน


เพราะว่า ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้
ย่อมไม่สงบระงับด้วยเวร
แต่เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวร
นี้เป็นธรรมเก่า

ถ้าเราได้อ่านอรรถกถา ก็จะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เพราะท่านได้เล่าเรื่องประกอบพุทธภาษิตนี้ไว้ด้วย อ่านแล้วสนุกมากเช่นเรื่องที่เป็นเหตุให้ตรัสธรรมบทบทนี้ ดังจะนำมาเล่าไว้โดยย่อเพื่อเป็นตัวอย่าง ต่อไปนี้

กำเนิดยักษิณี
มีบุตรของผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง หลังจากที่พ่อตายแล้ว ต้องทำงานคนเดียว มารดาสงสารจึงคิดจะหาหญิงสาวมาเป็นภรรยาให้ แม้เขาจะปฏิเสธอย่างไรมารดาก็ไม่ยอม ในที่สุด จึงต้องแต่งงานกับหญิงคนหนึ่ง บังเอิญหญิงที่เขาแต่งงานด้วยเป็นหมัน มารดากลัวว่าจะไม่มีใครสืบต่อวงศ์ตระกูล จึงบอกว่าจะหาหญิงสาวคนอื่นมาให้ใหม่
ขณะนั้น หญิงหมันได้ยินคำนั้นจึงเกิดความกลัวขึ้นว่า “ถ้าสามีมีภรรยาใหม่และมีลูกให้เขา ภรรยาใหม่จะต้องใช้เราอย่างทาสเป็นแน่ เราควรจะหาสาวน้อยสักคนหนึ่งมาเสียเองจะดีกว่า” เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงไปขอสาวน้อยคนหนึ่งมาเป็นภรรยาของสามี
ต่อมา หญิงหมันกลัวว่า ถ้าภรรยาน้อยมีบุตรจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ของสามี (ตามธรรมเนียม) จึงคิดหาอุบายที่จะไม่ให้ภรรยาน้อยมีบุตร วันหนึ่ง จึงไปบอกภรรยาน้อยว่าถ้าตั้งครรภ์เมื่อไรก็ให้บอก พอภรรยาน้อยตั้งครรภ์ก็ได้บอกแก่นาง
ตอนแรก หญิงหมันก็ทำทีเป็นใจดี โดยการนำข้าวน้ำมาเลี้ยงดูอย่างดี พอภรรยาน้อยตายใจก็แอบผสมยาทำแท้งลงไปในอาหาร ในที่สุดครรภ์ก็แท้ง ครั้งที่ ๒ ครรภ์ก็แท้งอีก พวกเพื่อน ๆ ของภรรยาน้อยจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อทราบเรื่องว่าทุกครั้งที่ตั้งครรภ์จะต้องบอกให้หญิงหมันรู้ ทุกคนก็รู้ทันทีว่าหญิงหมันผสมยาทำแท้งให้นางกิน ครั้งต่อไปจึงห้ามมิให้บอกเรื่องตั้งครรภ์แก่หญิงหมัน
ครั้งที่ ๓ หญิงหมันถามอย่างไร ภรรยาน้อยก็ไม่บอก เมื่อครรภ์แก่ขึ้น ๆ หญิงหมันได้โอกาสจึงแอบผสมยาทำแท้งลงไปในอาหาร ภรรยาน้อยซึ่งมีครรภ์แก่กินเข้า ครรภ์ก็แท้งอีก แต่ครั้งนี้ เนื่องจากครรภ์แก่ทำให้นางได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัส และถึงแก่ความตายในที่สุด ก่อนตายนางผูกอาฆาตว่า
“เจ้าทำให้ลูกข้าตายถึง ๓ คน ครั้งนี้ข้าเองต้องตาย เกิดชาติหน้า ขอให้ข้าเกิดเป็นนางยักษิณี ได้เคี้ยวกินลูกของเจ้า”
ผูกอาฆาตจองเวรเสร็จนางก็ตายไปเกิดเป็นแมวที่บ้านหลังนั้นนั่นเอง
ฝ่ายสามีทราบเรื่องเข้าก็โกรธจัด จึงทุบตีหญิงหมันลงศอกตอกเข่าจนหญิงหมันตายคาที่ และได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน
ผลัดกันจองเวรคนละชาติ
แม่ไก่ตกฟองทีไร แมวก็ดอดมากินเกลี้ยงถึง ๓ ครั้ง ครั้งสุดท้ายกินแม่ไก่ด้วย
แม่ไก่จึงจองเวรว่า “ตายแล้วขอให้ข้าได้กินลูกของเจ้า” พอตายไปก็ไปเกิดเป็นแม่เสือ ฝ่ายแมวได้ไปเกิดเป็นแม่เนื้อ
พอแม่เนื้อคลอดลูก แม่เสือก็แอบมากินถึง ๓ ครั้ง ครั้งสุดท้ายกินแม่เนื้อด้วย
แม่เนื้อจึงจองเวรว่า “ตายไปขอให้ได้กินลูกของมันบ้าง” แล้วตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายแม่เสือได้ไปเกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี ต่อมานางได้สามี ขณะคลอดบุตรอยู่ในห้อง นางยักษิณีได้แปลงร่างเป็นเพื่อนรักของนางเข้าไปในห้องแล้วจับเด็กกินถึง ๒ ครั้ง
ครั้งที่ ๓ นางได้หนีไปคลอดบุตรที่อื่น ขากลับได้เดินผ่านมาทางวิหารที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ฝ่ายนางยักษิณีก็ตามจองล้างจองผลาญมาถึงวิหารนั้นพอดี แต่เข้าวิหารไม่ได้เพราะมีเทวดาคอยรักษาอยู่ พระพุทธเจ้าจึงให้ท่านพระอานนท์
ไปเรียกนางยักษิณีมาแล้วตรัสสอนไม่ให้ผูกเวรกัน เป็นคาถาหรือบทกวี ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เวรทั้งหลายย่อมไม่สงบระงับด้วยเวร แต่เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวร (ขุ.ธ.อ. ภาค ๒ กาลียักขินีวัตถุ)
------------------------------------

หรือว่า ศีลไม่ขาด แต่ก็มีวิบากรรม(ผลของการกระทำ)ได้ครับ

อีกเรื่อง ของหลวงพ่อจรัญ ที่ท่านเคยไม่ตั้งใจสาดน้ำร้อนโดนแมว หรืออะไรนี่แหละครับ แล้วท่านบอกว่าตอนท่านบวชแล้วท่านยังต้องได้รับวิบากกรรมตรงนั้นเลย



รบกวนผู้รู้ช่วยตอบด้วย

ส่วนเรื่องบุญบาปตามศาสนานั้น

ที่ท่านพุทธทาสพูดมาถูกต้องเลยครับ ศาสนานี้บอกว่าเป็นบาป อาจไม่บาปในอีกศาสนาก็ได้ แต่ท่านบอกว่าตามบัญญัตินะครับ

ถ้าเป็นความจริงตามปรมัตถธรรมของธรรมชาติ ท่านไม่ได้พูดว่าตามปรมัตถธรรม

ผมคิดว่า ความจริงตามปรมัตถธรรมมีเพียงหนึ่งเดียวเพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับว่าใครจะบัญญัติไว้ยังไง

ศาสนานี้บอกบาป แล้วอีกศาสนาบอกเป็นบุญ เป็นไปไม่ได้ครับ ไม่งั้นผมเปลี่ยนศาสนาไปเรื่อยๆครับ เพื่อทำอะไรจะได้ไม่เป็นบาป

ถ้ามันเป็นบาป ยังไงก็เป็นบาปครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2008, 7:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเมตตา ต่อสัตว์โลกย่อมนำสุข และผลบุญอันยิ่งใหญ่
--------------------------------------------------------------------------------

ความทุกข์ยากกำลังครองโลก กำลังครองไทยแม้รู้สึกเช่นนี้ ก็ควรถือเป็นโอกาสดีที่จะได้อธิษฐานใจเป็นบุญเป็นกุศ ลช่วยตนเอง และช่วยประเทศชาติบุญมีจริง ผลบุญมีจริง กุศลมีจริง ผลแห่งกุศลมีจริง ก่อนอื่นขอให้พยายามทำใจให้เชื่อเสียก่อน

เชื่อเพื่อประโยชน์ของตนเอง อย่าไปห่วงว่าจะเป็นการงมงายโง่เขลาในการมาเชื่อสิ่ง ที่แลไม่เห็นด้วยสายตา เชื่อ แล้วก็ทำ ทำบุญทำกุศล ด้วยวิธีที่สบายมาก คือทำใจให้ยินดีในการจะไม่เบียดเบียนชีวิตทั้งหลายหม ด ที่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติศีลข้อที่ ๑ นั่นเอง ศีลที่เป็นกำลังไม่มีที่เปรียบจริง.

ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องเล่า ที่มีผู้เคยได้ยินได้ฟังได้รับรู้มาแล้วเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องกำลังยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์ของศีลข้อที่ ๑ นี้ คือข้อละเว้นไม่ทำลายชีวิตสัตว์การให้ชีวิตสัตว์นี้แ หละ

เรื่องก็คือ สามเณรรูปหนึ่งที่อยู่ปฏิบัติธรรมกับครูอาจารย์ มีความประสงค์จะไปเยี่ยมบ้าน ที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้ไปกราบลาอาจารย์ท่านผู้เป็นอาจารย์นั้นปฏิบัติธรร มจริงจนได้อำนาจจิตอัศจรรย์ สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดแก่ชีวิตของศิษย์สาม เณรได้ เมื่อสามเณรมาขออนุญาต ก็อนุญาตด้วยดี ด้วยความรู้ด้วยว่าสามเณรจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว เพราะหมดอายุแล้ว

แต่วันหนึ่งสามเณรก็กลับมาท่านผู้เป็นอาจารย์แปลกใจท ี่สิ่งที่รู้เห็นว่าจะจากไปไม่กลับมิได้เป็นความจริง จึงขอให้สามเณรเล่าเรื่องระหว่างการเดินทางกลับบ้านโ ดยตลอด สามเณรเล่าถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่งว่า ขณะเดินไปนั้นพบปลาตัวหนึ่งเกยแห้งกำลังใกล้ตาย สามเณรได้ซ้อนไปปล่อยในน้ำ ปลาก็มีกำลัง มีชีวิตรอดอยู่ได้ และสามเณรเองก็พ้นจากความตาย

การให้ชีวิตจึงมีผลอัศจรรย์ทันที ถ้าเป็นการให้ชีวิต โดยไม่เป็นผู้ทำลายเสียเอง ผลย่อมยิ่งใหญ่กว่า กำลังของศีลย่อมปรากฏให้เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าแน่ นอน โดยเฉพาะการทำให้ชีวิตตนเองยืนยาวอยู่

: แสงส่องใจ ส.ค.ส. ๒๕๔๑
: สมเด็จพระญารสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๑ ครับ ทุกท่าน..

อยากให้เพื่อน ๆ ได้ลอง ได้ดู คลิปวีดีโอ ชี่วิตที่น่าหดหู่ของสัตว์ โลก ซึ่งเป็นเคยเป็น เพื่อนสนิท ญาติมิตร พี่น้อง พ่อแม่ ของเราในอดีตชาติมาหลากหลายภพก่อน ๆ จะเข้าใจถึงความหดหู่

http://www.tamdee.net/dhamma/play.asp?QID=105
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.ค.2008, 8:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กลอนสะกิดใจ

สัพเพ สัตตา เสียงร้องขอ ชีวิตจิตหวั่นไหว

เสียงห่ำหั่น เข่นฆ่า น่าสยอง

เสียงซวบซาบ ดาบคมเชือด เลือดไหลนอง

เสียงกรีดร้อง สะท้านจิต สะกิดใจ

เสียงสัพเพ สัตตา พาให้คิดว่าชีวิตนี้ มีค่า กว่าสิ่งไหน

อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย
ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน

ท่องสัพเพ สัตตา มาแต่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ ้แค่ผิวเผิน

ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา

สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา ูและหมูหมา

ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานมา ให้คนกิน

มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด
มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน

เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น

พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น

เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี

มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส สดใส หลายหลากสี

ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน

เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์

ท่องสัพเพ สัตตา มาทุกวัน
เมตตากัน โปรดอย่าฆ่า และอย่ากิน


ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์




 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปกรณัม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 52
ที่อยู่ (จังหวัด): ขอนแก่น

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.ค.2008, 7:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ
 

_________________
คนที่ไม่ทำงานไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่!
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง