Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ศึกษาอาการของจิต...(หลวงพ่อปัญญานันทะ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
หนังสือธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
อนาลัย
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 14 มี.ค. 2008
ตอบ: 7
ตอบเมื่อ: 09 มิ.ย.2008, 11:29 pm
ศึกษาอาการของจิต
วันนี้จึงใคร่จะพูดเกี่ยวกับในเรื่องของจิตหรือใจของเราอีกสักเล็กน้อย คือว่าอาการของจิตที่มันเกิดขึ้นกับความรัก เกิดความชัง
เกิดความหลง เกิดความโกรธ เกิดความเกลียดอะไรต่างๆ ถ้าแบ่งเป็นประเภทแล้ว ก็แบ่งเป็นสองส่วน คือประเภทที่เป็นกุศล
เป้นเรื่องของการปรุงแต่ง ไม่ใช่มีตัวตนที่แท้จริงอะไร มันเกิดเพราะการปรุงแต่งของสิ่งทั้งหลาย เพราะว่าร่างกายของเรานี้
หรือในชีวิตตัวตนของเรานี้ โดยสมมตินี้มันมีประตูที่จะนำสิ่งภายนอกเข้าไป คือเรามีตาสำหรับดูรูป มัหูสำหรับฟังเสียง มีจมูก
สำหรับดมกลิ่น มีลิ้นสำหรับลิ้มรส มีกายและมีประสาททั่วร่างกาย ที่จะคอยรับรู้เรื่องอะไรต่างๆ ที่มากระทบทางกาย
ทีนี้เมื่อตาเห็นรูปใจพลอยรับรู้ สามอย่างนี้รวมตัวกันเข้า ท่านเรียกตามภาษาธรรมมะว่า เกิดผัสสะ การประชุมพร้อมกันทั้งสาม
เรื่องนี้ เกิดเป็นผัสสะ แล้วต่อจากนั้นก็เกิดอาการเวทนาขึ้นในใจเรา มีความสุข มีความทุกข์ หรือบางทีก็มีเฉยๆ แล้วต่อจากนั้น
ก็มีความอยากได้ในเรื่องนั้น อยากจะมี อยากจะเป็น หรืออยากไม่มีไม่เป็น ความอยากของมนุษย์เราเมื่อรวมแล้วย่อๆสั้นๆ
สำคัญที่สุดมันมีสองเรื่องเท่านั้นเอง อยากดึงเข้ามา อยากผลักออกไป วันหนึ่งๆนี้เราต้องดิ้นรนกับเรื่องอย่างนี้มากมาย ในของ
บางอย่างเราชอบใจ เราก็อยากจะดึงเข้ามาให้เป็นของเรา ให้อยู่กับเรา ไม่อยากให้ทรุดโทรม ไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง อยากจะ
ให้มีอยู่ เป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป แต่ถ้าหากว่าสิ่งใดเราไม่ชอบใจ เราก็เกิดความผลักดันเพื่อให้สิ่งนั้นออกห่างจากตัวเรา ถ้ามัน
ไม่ออกไปเราก็เกิดความทุกข์ เพราะสิ่งนั้นไม่ได้ดังใจ แม้ในเรื่องที่เราอยากจะเอาเข้ามานี่มันก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่ได้ดัง
ใจมันเป็นทุกข์
คนเราเป็นทุกข์สองเรื่องนี้ คือทุกข์เพราะไม่ได้ดังใจในส่วนที่อยากจะมี อยากจะเป็น มั้งในส่วนที่ไม่อยากจะมี ไม่อยากจะเป็น
แต่ว่าสิ่งนั้นมันผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตของเรา เมื่อไม่ได้ดังใจเรา เราก็เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน คนที่ได้เกิดความทุกข์ในเรื่องนี้
ก็เพราะความโง่เขลาเป็นมูลฐาน ภาษาธรรมมะท่านเรียกว่า อวิชชา คือความไม่รู้ชัดในความเป็นจริงในเรื่องนั้นๆ เหมือนกับ
ไฟเทียนที่เราจุดบูชาพระ มันลุกเป็นเปลวอยู่ได้ก็เพราะยังมีไส้น้ำมัน ถ้าไส้กับน้ำมันยังพร้อมอยู่ มันก็ยังเป็นเปลวไฟอยู่ เราดู
ไหแล้วก็นึกว่าเป็นของแท้ของจริงแต่ความจริงนั้นเป็นเรื่องปรุงเรื่องแต่ง ไม่ควรเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนอะไรนัก ในเรื่อง
เกี่ยวกับชีวิตของเรานี้ก็เหมือนกัน เรื่องรูปเราก็เห็นว่ามันปรุงแต่งแท้ๆ ไม่มีอะไรเป็นตัวที่แน่นอน มันมีอาการประกอบกันเข้า
เท่านั้น
ยึดถือใจเป็นตนนี้ร้ายหนักหนา
ทีนี้เรื่องของใจสำคัญนักหนา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ยึดถือร่างกายเป็นตนนั้นยังไม่ร้าย แต่ยึดถือใจเป็นตนนี้ร้ายนักหนา
เพราะยึดถือใจเป็นตนนั้นมันจะหลอกเราตลอดเวลา ทำให้เกิดความยุ่งอยู่ในทางจิตของเราตลอดเวลา"
พระพุทธพจน์ข้อนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า แม้ใจก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นตัวตนที่แท้จริง มันเป้นเรื่องประกอบกันเข้า เกิดดับๆ
อยู่ตลอดเวลา ความคิดอันหนึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็ดับไป เช่นความรักเกิดขึ้นในใจของเรา เพราะได้เห็นสิ่งที่เรา
ชอบใจ เห็นรูปที่พอใจ ได้กลิ่นได้รสที่ชอบใจ เราก็เกิดมีความรักในสิ่งนั้นความรักที่เกิดขึ้นในใจของเรานั้น มันก็เกิดขึ้นขณะ
จิตหนึ่งแล้วมันก็ดับไป แต่ว่ามันเกิดต่อไปอีก
ทำไมถึงได้เกิดต่อไปเพราะเราเองเป็นผู้ที่เราเพิ่มเชื้อเข้าไปอยู่ตลอดเวลา
การเพิ่มเชื้อก็คือการนึกถึงภาพนั้น
นึกถึงรูป นึกถึงเสียง ถึงกลิ่น ถึงรส ถึงการสัมผัสนั้นๆ เรามานึกอยู่ตลอดเวลา เมื่อมานึกถึงความรักก็เกิดขึ้น เหมือนคนที่มี
เพื่อนเกิดชอบใจเป็นคู่รัก ถ้าคิดถึงมันก็เกิดอารมณ์เรื่อยไปไม่จบสิ้น อันนั้นจึงเกิดการปรุงแต่งในใจของเรา คือว่าของเก่าที่ใจ
เก็บ เพราะว่าใจของเรานี้ชอบสะสม ชอบเก็บเรื่องอะไรต่างๆ ไม่ปล่อย ไม่วาง ทำไมจึงชอบเก็บ ชอบสะสม ชอบสะสมก็เพราะ
ได้ผึกมาอย่างนั้นได้อบรมมาอย่างนั้น
ตั้งแต่ตัวเล็กๆพอรู้เดียงสา คุณพ่อคุณแม่ ปู่ย่าตายายสอนให้เราเก็บกันทั้งนั้น สอนให้เรายึดเราถือทั้งนั้นว่านั่นของหนู นี่ของหนู
หนูชื่อนั้น หนูลูกคนนั้น หลานคนนั้นอะไรต่างๆ ถ้าหากภาพแห่งนามธรรมนั้นเป็นรูปเข้าแล้ว ก็จะโตกว่าภูเขาใหญ่ๆเสียอีก ที่เรา
รวมเข้าไว้ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่นี้ มันมากมายก่ายกองเหลือเกินทีเดียว นี้คือการเก็บของใจ
เมื่อใจได้เก็บอารมณ์ประเภทต่างๆไว้ แม้ไม่มีเสียงกลิ่นรสให้ปรากฎเฉพาะหน้า แต่ใจก็นั่งคิดนั่งฝัน นึกถึงเรื่องเก่า ภาพเก่า
ถึงอดีตที่ผ่านมา ที่เราพูดกันว่า อดีตที่ผ่านมานั้นทำให้เราเศร้าใจ ทำให้เราดีใจ หรือว่าเราพูดว่า แหม! นึกถึงเรื่องนั้นแล้ว
สบายใจเหลือเกิน นึกแต่เรื่องอดีตเราได้กระทำอะไรไว้ เป็นความดีความงาม เราก็เอามานั่งคิดนั่งฝัน คิดฝันแล้วเราก็สบายใจ
เวลานึกถึงเรื่องไม่ดีไม่งาม เราคิดแล้วท้อใจเป็นทุกข์เดือดร้อน
อยู่กับปัจจุบัน
คนเราเป็นทุกข์นี่บางทีมันก็ไม่น่าจะเป็นทุกข์อะไรเลย เรื่องมันยังไม่มา แต่เที่ยวฝันไปนึกไป สร้างภาพไป กลัวจะเป็นอย่างนั้น
กลัวจะเป็นอย่างนี้ เช่นคนรักลูกมากลัวลูกจะตาย กลัวลูกจะเป็นไข้ กลัวลูกจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงเหตุการณ์อย่างนั้น
มันก็ยังไม่มี แต่ว่าเรานั่งคิดฝันไปคนเดียว แล้วก็นั่งเศร้าใจไปคนเดียว หรือว่าเรามีทรัพย์สมบัติของเรา เราก็กลัว...ไปกลัว
ว่า แหม นี่ถ้ากูตายไปแล้ว ใครจะเอาไปก้ไม่รู้ ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ลูกมันจะรักษาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แหม ! สิ่งนี้มีค่ามีราคาหา
ไว้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตายไปแล้วถ้ามันจะสูญเปล่า เราคิดอย่างนั้นอย่างนี้แหละแล้วก็ฌป็นทุกข์ เป็นทุกข์เรื่องทรัพย์สมบัติ
กลัวลูกจะรักษาไม่ได้ กลัวจะไม่มีใครใช้สอยดูแล...เรานั่งเป้นทุกขืไป บางทีก็ดูร่างกายของตัวเองแล้วก็กลัวไป กลัวจะเป็น
โรคมะเร็งบ้าง กลัวจะเป็นเบาหวานบ้าง กลัวจะเป้นอย่างนั้น กลัวมันจะเป็นอย่างนี้ สร้างความกลัวขึ้นในใจโดยไม่ได้เรื่องอะไร
ไม่มีเหตุมีเรื่องอะไร แต่ว่านั่งกลัว นั่งคิดไปคนเดียว
อารมณ์ประเภทนี้แหละ ที่เกิดขึ้นในใจของเราบ่อยๆ แล้วจะทำให้คนนั้นเป็นโรคประสาท กินไม่ได้ นอนไม่หลับด้วยความวิตก
กังวล หรือว่าใครเกิดไปไหน สมมติว่าลูกเดินทาง จะเดินทางไกล ไปเชียงใหม่ ไปสงขลา นั่งรถไป เราไปนั่งเป็นทุกข์กลัวรถจะ
ตกราง ฤดูนี้ฝนตกมากเดี๋ยวทางจะเสีย ถนนจะลื่น รถจะคว่ำ นั่งเป็นทุกข์อยู่ ส่วนลูกที่นั่งไปในรถหัวเราะหัวใคร่ดูภาพสองข้าง
ทางสบาย แต่ว่าคุณแม่นั่งทุกข์อยู่ที่บ้าน แล้วมันเรื่องอะไร เคยเป็นไหมอาการเช่นนี้ ญาติโยมลองคิดดูซิ เรามีมั่งไหม อาการ
เช่นนี้นะเคยเกิดขึ้นในใจบ้างหรือไม่ เราอย่าได้ไปคิดให้มันยุ่งในเรื่องนั้นมากเกินไป สมมติว่ามันจะเป็นไปจริงๆ เราจะห้ามได้
ไหม เช่นไฟจะไหม้บ้านนี้จะห้ามได้ไหมหรือว่าสิ่งนั้นมันจะเจ็บจะป่วยจะตายขึ้นมา เราจะไปห้ามได้ไหม เราลองคิดดูด้วยหลัก
ธรรมดาข้อนี้ เราก็พอจะตอบกับตัวเองได้ว่า มันเป็นเรื่องเหลือวิสัย เพราะพระก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่าสิ่งทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจ
ของใคร เป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ว่าเป็นอย่างนั้น อย่าเป็นอย่างนี้ บังคับไม่ได้ เราก็อย่าไปฝืนบังคับมัน แต่เรา
ดูมันไปด้วยปัญญา เช่นเวลาเราเกดความเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ดูมันไปเรานึกถึงพระธรรมคำสอน ที่พระท่านได้บอกไว้ให้เรา
พิจารณาในอภิณหปัจจเวกขณ์ให้พิจารณาทุกวันๆว่า เราจะแก่เป็นะรรมดา เราต้องเจ็บต้องไข้เป็นะรรมดา เราจะต้องพราก
จากของรักของชอบใจเป็นธรรมดาเหมือนกัน
ที่เบ่าว่าคนๆหนึ่งไปหาพระสังฆราช แล้วก็บอกว่า ขอให้อยู่ต่อไป อย่าด่วนตายไปเสียก่อน ดิฉันอายุ 60 ปี จะได้นิมนต์ไปฉัน
สมเด็จพระสังฆราชว่า ไอ้พวกแกมันบ้าทั้งโคตรอย่างนี้แหละ ท่านด่าเข้าให้อย่างนั้น ท่านหาว่าบ้าทั้งโคตรว่างั้น ทำไมท่านถึงว่า
อย่างนั้น เป็นเพราะไม่รู้จักธรรมะธัมโม คนเจ็บหนักอยู่อย่างนี้แล้วจะมาพูดว่าขอให้อยู่ต่อไป ดิฉันอายุ 60 แล้ว จะได้นิมนต์
ไปฉันด้วย ท่านจึงได้ว่าเอาดังกล่าว ไม่เรียนรู้ธรรมะเสียบ้างมัวแต่ยุ่งแต่เรื่องอะไรอื่น ไม่คิดถึงสังขาร ไม่คิดถึงความจริงของ
ชีวิตว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างไร
ทีนี้ถ้าเราได้คิดถึงเรื่องกฎธรรมดาของความจริงที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว เราก็พอจะรู้ว่า อ้อ...นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรที่จะ
ฝืนได้ เราก็เพียงแต่ดูๆ มันไป ดูความเจ็บความป่วย แล้วเอาความเจ็บความป่วยนั้นเป็นอารมณ์สำหรับพิจารณาเป็นกัมมัฎฐาน
ต่อไป เราก็ไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องร้อนในทางจิตใจมากเกินไป ร่างกายกระสับกระส่าย แต่ใจไม่กระสับกระส่าย ไม่มีวามทุกข์ใน
เรื่องนั้น นี่เป็นการเพ่งมองด้วยปัญญา อันนี้จะช่วยให้เราเกิดความสุขความสงบในทางจิตได้ประการหนึ่ง
คัดลอกจากหนังสือ ธรรมครองเรือน คุณสมบัติของผู้ครองบ้าน - ครองเรือน ธรรมานุสรณ์ หลวงพ่อปัญญานันทะ พระภิกษุ 4 แผ่นดิน
_________________
( ^ - ^ )
อนาลัย
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 14 มี.ค. 2008
ตอบ: 7
ตอบเมื่อ: 09 มิ.ย.2008, 11:33 pm
แบบว่ามือใหม่หัดพิมพ์กระท่อนกระแท่นบ้างนะคะ เป็นคำสอนที่ประทับใจอยากให้ท่านอื่นๆได้อ่านบ้างค่ะ
_________________
( ^ - ^ )
สายลม
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245
ตอบเมื่อ: 10 มิ.ย.2008, 7:03 pm
อนุโมทนาสาธุครับ
_________________
"อย่าลืมตัว อย่าลืมปัจจุบัน อย่าลืมปฏิบัติ"
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 11 มิ.ย.2008, 10:16 am
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณอนาลัย
ธรรมะสวัสดีค่ะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
หนังสือธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th