Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ไม่น่าปรารถนาที่มักเกิดกับนักศึกษาธรรมะ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2008, 5:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คัดลอกจากคู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ วัดระฆังโฆสิตาราม

พฤติกรรมเบี่ยงเบนที่ไม่น่าปรารถนาที่มักเกิดกับนักศึกษาธรรมะ
และผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหาย


ก.ทำตัวอ่อนต่ออุปนิสัย เป็นคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ขาดระเบียบวินัย ขาดความกระตือรือร้น ในการทำกิจต่าง ๆ ให้ครบถ้วนและดียิ่งขึ้น กลายเป็นคนอ่อนศักยภาพ ที่เรียกว่า ถูกพระสัทธรรมเหยียบ เหมือนถูกมนต์สะกด บางคนบางท่าน เกิดจิตวิปลาส เป็นผู้ที่สังคมไม่ยอมรับ เพราะประพฤติปฏิบัติผิดต่อพระธรรมวินัย นั่นเอง

ข.มีพฤติกรรม สวนกระแสพระสัทธรรม เช่น
๑)อติมานี มีมานะจัด มีนิสัยหยาบกระด้าง (ปากร้าย ชอบทะเลาะ เบาะแว้ง ) บุคคลอื่นแนะนำตักเตือนไม่ได้
๒)โกธาภิภูโต มักโกรธ หงุดหงิดรำคาญง่าย ไร้เหตุผล
๓)พหุภาณี พูดมาก ไม่รู้จักกาลเวลา ไม่เลือกสถานที่ และบุคคล ขาดความสุภาพ
๔)สาเถยยมายาวี เป็นคนเจ้าเล่ห์ มารยา มีเจตนาแอบแฝงที่ไม่ดี หน้าด้าน ไม่รู้จักอาย เป็นคนแก้อยาก
๕)ปาปิจฺโฉ มีความมักมาก แสวงหาปัจจัย โดยไม่ชอบธรรม ชอบคลุกคลี ในทางที่ไม่เหมาะสม
๖)ถทฺธี เป็นคนตระหนี่ เหนียวแน่น ชอบกอบโกย ชอบสะสม ชอบใช้อภิสิทธิ์ หรือวางอำนาจเหนือบุคคลอื่น มีอัธยาศัยคับแคบ ไม่ต้องการเห็นคนอื่นดีกว่าตน
๗)อามิสาภิมุขี เป็นคนเห็นแก่ประโยชน์จำเพาะหน้า มุ่งหน้าแต่เรื่องลาภสักการะ ชื่อเสียง ยศตำแหน่ง เป็นต้น
๘)สทฺธมฺมปฏิมุขี หันหลังให้พระสัทธรรม คือ ไม่ชอบฟังพระสัทธรรม ชอบหมกหมุ่นแต่ในเรื่องเดรัจฉานกถา หรือ ไม่ให้ความสำคัญแก่พระสัทธรรม สนใจและให้ความสำคัญแต่ในเรื่องทางโลก (โลกาธิปไตย หรือ โลกานุวัฒน์ ) หรือเอาความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ เป็นเครื่องตัดสิน (อัตตาธิปไตย) ขาดความมั่นคงและความเคารพยำเกรง ในพระสัทธรรม
๙)มุฏฐสฺสติ ขาดจิตสำนึกในความเป็นกัลยาณชน ขาดความยั้งคิด ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกระแสกิเลส
๑๐) อคมฺภีรปญฺโญ มีความคิดไม่เฉียบแหลม มีวิสัยทัศน์คับแคบ มองโลกในแง่ร้าย ขาดโยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาเหตุผลและเหตุการณ์ให้รอบคอบ

ซึ่งพฤติกรรมเบี่ยงเบนเหล่านี้ ก็ทำให้ผู้ที่เข้ามาศึกษา หรือ ปฏิบัติในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เสื่อมถอยจากบารมีธรรมที่จะพึงได้ พึงถึง หรือ ทำให้บารมีธรรมเก่าเสื่อมสูญหมดไป บารมีธรรมใหม่ ก็ไม่เกิดขึ้น ผลสุดท้าย กลายเป็นคนตาบอดหมดบุญไป

ฉะนั้นผู้หวังความเจริญในพระธรรมวินัย ขององค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงสำเหนียกศึกษา และตั้งความเคารพยำเกรงในพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว อย่างหนักแน่น ยกพระธรรมวินัย เป็นหลักเป็นที่ตั้ง เป็นประธาน ที่เรียกว่า ธัมมาธิปไตย แล้วศึกษาและปฏิบัติไปตามสมควรแก่เหตุผลของธรรมนั้น ๆ ที่ เรียกว่า ธัมมานุธัมมมปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามหลักแห่งความเจริญ ๕ ประการคือ

๑. สกฺกจฺจํ ธมฺมํ สุสฺสูสํ การตั้งใจฟังพระสัทธรรมโดยเคารพ หมายความว่า ในขณะที่ฟังธรรมใดอยู่ก็ตาม ก็ตั้งใจฟัง มีความเคารพยำเกรงในพระธรรมที่ฟัง เคารพในบุคคลผู้แสดงธรรม เคารพในสถานที่ที่ฟังธรรม เคารพในบุคคลผู้ร่วมฟังธรรม ไม่ทำกิจอย่างอื่นในเวลาฟังธรรม ที่เป็นการไม่เคารพในพระธรรม ด้วยการสำเหนียกว่าเป็นบุญของเราเหลือเกิน ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีอัตภาพครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่บกพร่อง ทั้งได้พบพระพุทธศาสนา ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะสิ่งเหล่านี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
กิจฺโฉ มนุสฺสปฺปฏิลาโภ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่มีอาการครบบริบูรณ์ เป็นการยาก เพราะหลายคนเกิดมา มีอาการไม่ครบบริบูรณ์ ไม่บกพร่องทางกาย ก็บกพร่องทางจิตใจ หรือ ทั้ง ๒ อย่าง
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวินํ การมีชีวิตอยู่รอดไปวันหนึ่ง ๆ ของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นการยาก เพราะโลกเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากมาย

กิจฺฉํ สทฺธทฺมสฺสวนํ การได้ฟังพระสัทธรรม คำสอนของสัตบุรุษ มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ก็เป็นการยาก เพราะการที่จะหาบุคคลที่จะตั้งใจศึกษาและปฏิบัติให้รู้ ให้เข้าใจ โดยถูกต้องและเกิดความแจ่มแจ้ง แล้วนำความจริงนั้นมาบอก มาสอน มาอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย โดยไม่ใส่ความคิดความเห็นของตน ที่เป็นการบิดเบือนพระสัทธรรมเข้าไป ก็เป็นการยาก

กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การอุบัติเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นเหตุอันสัตว์ได้โดยยากยิ่ง เพราะผู้ที่จะบำเพ็ญบารมี เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น ต้องทำด้วยความหนักแน่น และใช้เวลานานหลายโกฏิกัปป์

๒. สกฺกจฺจํ ธมฺมํ ปริยาปุนํ สำเหนียกศึกษา ท่องบ่น สาธยาย พระธรรมวินัย โดยเคารพ ได้แก่ เคารพยำเกรงในพระธรรมวินัยที่ศึกษาเล่าเรียน เคารพในผู้ให้การอบรมสั่งสอน เคารพในสถานที่เรียน เคารพในบุคคลที่เรียนด้วยกัน

๓. สกฺกจฺจํ ธมฺมํ ธารณํ ทรงจำข้ออรรถ ข้อธรรม ที่สำคัญ ๆ ไว้ให้ได้ เหมือนกับบุคคลที่บรรจงประคับประคองรักษาแก้วมณีอันมีค่าไว้ ไม่ให้สูญหายไป โดยคิดว่า พระธรรมวินัยนี้ เป็นสิ่งมีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด

๔. สกฺกจฺจํ ธาตานํ ธมฺมานํ อตฺถํ อุปปริกฺขนํ หมั่นเพ่งพิจ พิจารณาเนื้อความของข้อธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้อย่างดีแล้วนั้นเนือง ๆ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ความหมายของข้อธรรมนั้น ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น

๕. สกฺกจฺฉํ อตฺถมญฺญาย ธมฺมมญฺญาย ธมฺมานุธมฺมํ ปฏิปตฺติ ขวนขวายปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่เหตุผล หรือ เหมาะสมกับขอบเขตพระธรรมนั้น ๆ ไม่ผิดเพี้ยน หรือเกินขอบเขตของธรรมนั้น ๆ จนเสียธรรมไป

เมื่อบุคคลปฏิบัติให้ครบบริบูรณ์ทั้ง ๕ ข้อแล้ว ก็จะมีความเจริญในพระสัทธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าขาดตกบกพร่องไปข้อใดข้อหนึ่ง ก้ไม่เจริญเท่าที่ควร หรือเกิดความเสื่อมถอย ดังกล่าวแล้วได้

ฉะนั้น การที่คนจะเป็นดังภาชนะทองคำ เพื่อให้สามารถรองรับและทรงไว้ได้ ซึ่งพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงคุณค่า ที่เปรียบประดุจน้ำมันพญาราชสีห์นั้น ต้องทำกิจทุกอย่าง
๑)ด้วยความหนักแน่นมีระเบียบวินัย
๒)ด้วยความเคารพยำเกรง มีหิริและโอตตัปปะ
๓)ด้วยการสร้างจิตสำนึกในความเป็นกัลยาณชน
๔)ด้วยปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

ก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพ ทั้งทางด้านร่างกาย (บุคลิกภาพ) และด้านจิตใจ (มารยาท จรรยาบรรณ) ให้ดียิ่งขึ้นไป และมีความเจริญรุ่งเรืองในพระสัทธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างยั่งยืน

ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาที่ถูกต้อง
๑.ทำให้ทราบถึงหลักธรรมอันเป็นแก่นแท้ หรือ หัวใจพระพุทธศาสนา ทำให้เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริง
๒.ทำให้เข้าใจเรื่องธรรมชาติของชีวิตและโลกมากขึ้น
๓.ทำให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม ตามความเป็นจริง อันเป็นความรู้ที่มีอยู่เฉพาะในคำสอนของพระพุทธศาสนาเท่านั้น
๔.ทำให้เกิดปัญญา ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ อันเป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐเป็นประทีปส่องทางให้ดำเนินไปสู่พระอมตะมหานิพพานได้โดนสวัสดิภาพ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 31 พ.ค.2008, 4:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่นะคับ
ช่วยให้ไว้เอาไว้สำรวจตัวเอง ไม่หลงทาง

แต่บางทีอดไม่ได้คับ อยากเขกกะโหลกบางคนสักโป๊กสองโป๊ก
อยากจะพูดไปให้รู้ว่าอะไรของจริง อะไรพิสูจน์ได้ ใครแน่ๆกว่าใคร เป้นต้น

ครั้นอ่านธรรมะนี้แล้ว ทำให้วางความคิด วางอารมณ์นั้นลง ได้ง่ายขึ้น สบายขึ้น
รู้สึกว่า .. "สงวนขอบเขตอยู่กับตัว แต่พอตัว ให้รู้ตัว " ... ดีที่สุดแล้ว

ขอบคุณคับ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2008, 9:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีเกจิอาจารย์บางท่านในอดีต อย่างท่านพุทธทาส ที่มีทัศนคติที่เป็นลบกับนักศึกษาพระอภิธรรม มาภายหลังท่านจึงมีอคติกับพระอภิธรรมปฏก อภิธัมมัตถสังคหะ วิสุทธิมรรค ฯลฯ

กลายเป็นว่า ถ้าใครศึกษาพระอภิธรรม จะพลัดไปสู่ธรรมดำ ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิอย่างรุนแรง


หวังว่าชาวพุทธทุกท่านคงแยกให้ออกนะครับ ระหว่างตัวบุคคล กับ พระสัทธรรม


ใช่ว่าคนทุกคนที่ศึกษาพระอภิธรรม จะเป็นคนดีได้ทั้งหมด หรือ เลวทั้งหมด



จากลานธรรมเสวนา

http://larndham.net/index.php?showtopic=31840&st=84

จาก หนังสือ ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน หน้า92


นักอภิธรรมอ้างผู้อื่น-ด่าผู้อื่น

ถาม: ทีนี้ ผมสงสัยว่าทำไมคนที่อ้างตนว่าเป็นนักอภิธรรม แล้วชอบไปอ้างคำของคนอื่น เพื่อด่าคนอื่นด้วยเล่าครับ?

ตอบ: นั่นคุณสงสัย เป็นเรื่องของคุณ ผมไม่ต้องตอบดอก
คนที่เป็นนักอภิธรรมนี้ ปรากฏว่ายังมีที่ด่าคนเก่ง โกรธเก่ง โกรธง่าย โกรธเร็ว หาเรื่องหาเลศได้มาก. และบางทีทำอะไรรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องผัวเมีย เรื่องกามารมณ์ด้วย.นี่ไม่ต้องตอบดอก ไม่ต้องตอบเพราะมันจะเป็นเรื่องด่าคนอื่นไปอีก.

โดยคุณตรงประเด็น


---------------------------------------------------------------

อภิธรรมคืออะไร? โดยท่านพุทธทาส (40หน้าแรก)
http://larndham.net/index.php?showtopic=11582&st=0


ทีนี้ถ้าว่าเกินไปกว่านั้น ก็ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ ขอให้ระวังให้ดี มันจะเผลอถึงกับใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ แสวงหาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ โดยใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือ อย่างนี้แล้วหมดเลย. มันผิดความประสงค์ มันผิดอะไรหมด ขอให้ระวังในส่วนนี้ด้วย ว่าประโยชน์มันจะเลยขอบเขตไปถึงอย่างนี้. ถ้ามันถึงอย่างนี้แล้วนักอภิธรรมนั้นจะตกอยู่ในธรรมดำ มีจิตใจประกอบไปด้วยกิเลส หวงแหน หรือว่าขายเป็นสินค้า หรือว่าใครไปแตะต้องเข้านิดเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ. อาตมาพูดประโยคเดียวว่าอภิธรรมมิได้อยู่ในรูปของพุทธวจนะ นี้ถูกด่าตั้งกระบุงโดยพวกที่หวงอภิธรรม. นี่คือมันหลงยึดมั่นถือมั่นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปแล้ว.

ทีนี้เลยไปกว่านั้น ก็ว่าเดี๋ยวนี้ถูกเขาใช้อภิธรรมเป็นเครดิตของสำนักวิปัสสนา. สำนักวิปัสสนาไหนต้องยกอภิธรรมขึ้นป้ายเป็นเครดิต เอามาเรียนกันก่อน เป็นนักอภิธรรมกันก่อน. ครั้งพุทธกาลไม่เคย และไม่เกี่ยวกันกับนักวิปัสสนา. อภิธรรมเป็นข้าศึกกันกับวิปัสสนา; เดี๋ยวนี้เอาอภิธรรมมาเป็นป้าย เป็นยี่ห้อ เป็นเครื่องมือ โฆษณาชวนเชื่อของวิปัสสนา.


------------------------------------------------------------------


แต่ที่ผมสังเกต การสนทนาที่ลานธรรมเสวนา ผมกลับเห็นว่า บุคคลที่ยึดถือ คำสอนของเกจิอาจารย์รุ่นหลัง ต่างหาก กลับมีพฤติกรรม ที่เบี่ยงเบนมาก ๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ยนีร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 03 เม.ย. 2008
ตอบ: 6

ตอบตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2008, 1:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่น่าคัดมาแต่บางตอนนะ ทำให้เข้าใจได้ไม่หมด
และการที่เราเข้าใจไม่ถ่องแท้ แล้วขยายความคิดออกไปจะทำให้สบสน

ลองอ่น หรือฟัง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิวธ ดู
ท่านพุทธทาสกล่าวได้ดีมาก


คุณค่าของปริยัติ
http://www.buddhadasa.com/freethinkbook/theory.html

****นี่เป็นแค่ตัวอย่าง ถ้าจะเข้าใจ ควรอ่านทั้งหมดและตรึกตรองดูเอง*******************
ขอเราท่านทั้งหลาย จงคิดดู ด้วยน้ำใจ อันยุติธรรม เป็นกลางๆ เถิด
คิดดูทั้ง นักปริยัติ (คันถธุระ) และ นักปฏิบัติ (วิปัสสนาธุระ) จงคิดดูให้เห็น
ตามที่เป็นจริง คือ ความจริง ที่เห็นกันอยู่ อย่างทั่วไปว่า เมื่อแผนที่ หรือ
แนวทางไม่มีแสดงแล้ว เราจะเดินไปได้อย่างไร เราคงตายเสียก่อน
เป็นหลายชาติ กว่าจะพบความจริง ไม่ใช่ว่าโลกนี้อยู่เฉยๆ ก็มี พระสัมมา
สัมพุทธเจ้า โผล่ขึ้นมาได้ ก่อนหน้านั้น เป็นเวลานาน เหลือที่จะนาน ได้มี
ผู้คิดค้น หาความจริง คือ ความพ้นทุกข์ หรือ ความสุขแล้ว ทิ้งร่องรอยไว้
ให้แก่กัน ๆ สืบมา หลายหมื่นชั่วอายุคน จึงเกิด พระพุทธเจ้าขึ้น เป็นจอมยอด
ของนักคิดค้น เป็นคนสุดท้าย ของคนพวกนั้น สำหรับยุคหนึ่งๆ

ทีนี้ เรามองกันเฉพาะ ครูปริยัติ ที่บริสุทธิ์แท้ ไม่คดโกง ล่อลวงใคร
แต่ไม่ดำเนินตนให้ก้าวหน้าต่อไปในการปฏิบัติ อีกวาระหนึ่ง ท่านเหล่านี้
เปรียบเหมือน ผู้ที่ศึกษารู้แผนที่ได้อย่างถูกต้องเพียงพอแล้ว ไม่เดิน แต่
สมัครเขียนแผนที่ ขายผู้อื่นเรื่อยๆ ไป เป็นอาชีพ แม้จะถูกติเตียนบ้าง
โดยธรรมเนียมว่า เป็น "มดแดงแฝงมะม่วง" บ้างก็ตามทีเถิด แต่ผู้จะเดิน
ควรรู้สึก ขอบคุณท่านเหล่านี้บ้าง ในการที่ท่านเป็นผู้สืบวงศ์ สืบประเพณี
ไว้ จนตกทอดกันมาถึงในยุคนี้ และทำให้เราผู้จะเดินได้รับความสะดวก.

ข้าพเจ้าเอง รู้สึกเคารพรักท่านเหล่านี้ อยู่ส่วนหนึ่ง จึงใคร่จะขอให้
ท่านทั้งหลาย ที่เป็น เพื่อนสหธรรมิก ผู้ที่สนใจ วิปัสสนา อย่าเป็น
คนบ้าวิปัสสนา จนเหยียดผู้อื่นที่การกระทำของเขาได้ช่วยเรามาแล้วในตัว,
และขอให้เป็นผู้เคารพธรรมยิ่งกว่ากิเลสที่บัดซบของตนเอง โดยทำตน
เป็นผู้เพ่งหาแต่ฝ่ายดีด้านเดียวเถิด ท่านก็จะพบคุณค่าอันเลอเลิศของปริยัติ
ได้ด้วยตนเอง เป็นแน่แท้.

จงมองให้เห็นคุณค่าอันเลอเลิศของปริยัติอันจริงแท้ ที่พวกนักวิปัสสนาโง่ๆ
ในสมัยปัจจุบันนี้ มองไม่เห็น แล้วมิหนำซ้ำ กลับดูถูกเหยียดหยาม,
ให้เห็นเสีย โดยเร็วเถิด. ๑

ขณะพักแรมที่ปันตาราม นครศรีธรรมราช
๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๙

--------------------------------------------------------------------------------

๑. บทความชิ้นนี้ ทำให้ผู้เขียนได้รับบัตรสนเท่ห์ ด่าว่าอย่างหาชิ้นดีมิได้ จาก บุคคลบางคน แม้ที่เป็นบรรพชิต และขอร้องให้คณะธรรมทาน ลงมติ ขับผู้เขียนเรื่องนี้ ออกจากกลุ่มชาวคณะธรรมทานให้ได้.

คัดจาก หนังสือ ชุมนุมข้อคิดอิสระ พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ ครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๓๘ โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 03 มิ.ย.2008, 5:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าเอง รู้สึกเคารพรักท่านเหล่านี้ อยู่ส่วนหนึ่ง จึงใคร่จะขอให้
ท่านทั้งหลาย ที่เป็น เพื่อนสหธรรมิก ผู้ที่สนใจ วิปัสสนา อย่าเป็น
คนบ้าวิปัสสนา จนเหยียดผู้อื่นที่การกระทำของเขาได้ช่วยเรามาแล้วในตัว,
และขอให้เป็นผู้เคารพธรรมยิ่งกว่ากิเลสที่บัดซบของตนเอง โดยทำตน
เป็นผู้เพ่งหาแต่ฝ่ายดีด้านเดียวเถิด ท่านก็จะพบคุณค่าอันเลอเลิศของปริยัติ
ได้ด้วยตนเอง เป็นแน่แท้.

จงมองให้เห็นคุณค่าอันเลอเลิศของปริยัติอันจริงแท้ ที่พวกนักวิปัสสนาโง่ๆ
ในสมัยปัจจุบันนี้ มองไม่เห็น แล้วมิหนำซ้ำ กลับดูถูกเหยียดหยาม,
ให้เห็นเสีย โดยเร็วเถิด.


ขณะพักแรมที่ปันตาราม นครศรีธรรมราช
๑๙ พฤษภาคม ๒๔๗๙


นี่คือการแสดงความเห็นอย่างหนึ่งของท่านพุทธทาส ที่มองคนอื่นว่าเป็นคนโง่ ๆ แต่ท่านก็ได้อธิบายให้ผู้ฟังได้เข้าใจไม่


ดังเช่น เรื่อง นรกสวรรค์ ท่านก็กล่าวตู่พระพุทธองค์ ว่า ทรงเอออวยกับศาสนาพราหมณ์ในสมัยนั้น เพราะพิสูจน์ให้คนโง่ ๆ ในยุคนั้น ซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนไม่ได้ ก็เลยเอออวยไปด้วย

เทวดามีจริงหรือ โดยท่านพุทธทาส
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

จะสังเกตคนที่ศึกษาผลงานของท่าน และเชื่อท่าน จึงมีพฤติกรรมที่ดูถูก ความเห็นของผู้อื่น ยึดถือคำสอนของอาจารย์เป็นใหญ่


อ้างอิงจาก:
ไม่น่าคัดมาแต่บางตอนนะ ทำให้เข้าใจได้ไม่หมด
และการที่เราเข้าใจไม่ถ่องแท้ แล้วขยายความคิดออกไปจะทำให้สบสน


คุณ ยนีร มีโอกาสคัดลอก พระอภิธรรมคืออะไร และ ปฏิจจสมุปบาท ผลงานของท่านพุทธทาส ที่กล่าวตู่พระพุทธพจน์ และ อรรถกถา มาลงแบบเต็ม ๆ ด้วยนะครับ

อ้างอิงจาก:
จากหนังสือ "อภิธรรมคืออะไร" ท่านพุทธทาสได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์ว่า
--------------------------------------------------------
เดี๋ยวนี้อย่าไปเข้าใจว่า คำสอนทั้งหมดในคัมภีร์อภิธรรมนั้นมันเป็นอภิธรรมแท้ของพระพุทธเจ้า เรื่องสวรรค์ข้างบนนรกข้างล่างใต้ดิน นี้เลิกกันเสียที ขอร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าสวรรค์ข้างบน นรกข้างใต้นี้เลิกกันเสียที มันโง่เกินไป เพราะว่ามันไม่มีข้างบนข้างล่าง โลกกลมๆนี้ มันมีจุดดูดอยู่ที่ตรงกลางแล้วมันดูดเข้าหาจุดๆนี้เพราะฉะนั้นข้างนอกออกไปมันเป็นข้างบน ข้างฝ่ายนี้มันเป็นข้างล่างรอบตัว เอาส้มโอสักลูกหนึ่ง ฝังแม่เหล็กที่แรงมากๆไว้ตรงศูนย์กลางส้มโอ แล้วก็เอาตุ๊กตาที่ทำด้วยเหล็กตัวเล็กๆมากๆ มาติดไว้รอบส้มโอเลย แล้วคุณจะรู้ว่าไม่มีข้างบนข้างล่าง นี่แหละความรู้สึกว่าข้างบนข้างล่างนี้คือความหลอกลวงของ Gravity ของโลก พวกที่บินไปถึงโลกพระจันทร์เขารู้เรื่องนี้ดี แล้วเขาจะหัวเราะพวกอภิธรรมที่มัวสอนอยู่ว่าสวรรค์ข้างบนนรกข้างล่าง ฉะนั้นเลิกมันได้แล้ว เรื่องสวรรค์ข้างบนนรกข้างล่างนี้ มันเป็นเรื่องที่เลิกกันได้แล้ว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เฉลิมศักดิ์1
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 272
ที่อยู่ (จังหวัด): ระยอง

ตอบตอบเมื่อ: 03 มิ.ย.2008, 5:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ประวัติพระอภิธรรม และ สาระน่ารู้ โดยคุณกุหลาบสีชา สาธุ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14797&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=&sid=3e44281e212d5acd9043c171b5fad520

----------------------------------------------------------

มี่ตรงไหนที่ตรงกับท่านพุทธทาสกล่าวหา แนะนำด้วยนะครับ คุณ ยีรน และศิษย์ท่านพุทธทาส

อ้างอิงจาก:
จากลานธรรมเสวนา

http://larndham.net/index.php?showtopic=31840&st=84

จาก หนังสือ ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน หน้า92


นักอภิธรรมอ้างผู้อื่น-ด่าผู้อื่น

ถาม: ทีนี้ ผมสงสัยว่าทำไมคนที่อ้างตนว่าเป็นนักอภิธรรม แล้วชอบไปอ้างคำของคนอื่น เพื่อด่าคนอื่นด้วยเล่าครับ?

ตอบ: นั่นคุณสงสัย เป็นเรื่องของคุณ ผมไม่ต้องตอบดอก
คนที่เป็นนักอภิธรรมนี้ ปรากฏว่ายังมีที่ด่าคนเก่ง โกรธเก่ง โกรธง่าย โกรธเร็ว หาเรื่องหาเลศได้มาก. และบางทีทำอะไรรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องผัวเมีย เรื่องกามารมณ์ด้วย.นี่ไม่ต้องตอบดอก ไม่ต้องตอบเพราะมันจะเป็นเรื่องด่าคนอื่นไปอีก.

โดยคุณตรงประเด็น

---------------------------------------------------------------

อภิธรรมคืออะไร? โดยท่านพุทธทาส (40หน้าแรก)
http://larndham.net/index.php?showtopic=11582&st=0


ทีนี้ถ้าว่าเกินไปกว่านั้น ก็ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ ขอให้ระวังให้ดี มันจะเผลอถึงกับใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ แสวงหาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ โดยใช้อภิธรรมเป็นเครื่องมือ อย่างนี้แล้วหมดเลย. มันผิดความประสงค์ มันผิดอะไรหมด ขอให้ระวังในส่วนนี้ด้วย ว่าประโยชน์มันจะเลยขอบเขตไปถึงอย่างนี้. ถ้ามันถึงอย่างนี้แล้วนักอภิธรรมนั้นจะตกอยู่ในธรรมดำ มีจิตใจประกอบไปด้วยกิเลส หวงแหน หรือว่าขายเป็นสินค้า หรือว่าใครไปแตะต้องเข้านิดเดียวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ. อาตมาพูดประโยคเดียวว่าอภิธรรมมิได้อยู่ในรูปของพุทธวจนะ นี้ถูกด่าตั้งกระบุงโดยพวกที่หวงอภิธรรม. นี่คือมันหลงยึดมั่นถือมั่นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปแล้ว.

ทีนี้เลยไปกว่านั้น ก็ว่าเดี๋ยวนี้ถูกเขาใช้อภิธรรมเป็นเครดิตของสำนักวิปัสสนา. สำนักวิปัสสนาไหนต้องยกอภิธรรมขึ้นป้ายเป็นเครดิต เอามาเรียนกันก่อน เป็นนักอภิธรรมกันก่อน. ครั้งพุทธกาลไม่เคย และไม่เกี่ยวกันกับนักวิปัสสนา. อภิธรรมเป็นข้าศึกกันกับวิปัสสนา; เดี๋ยวนี้เอาอภิธรรมมาเป็นป้าย เป็นยี่ห้อ เป็นเครื่องมือ โฆษณาชวนเชื่อของวิปัสสนา.

------------------------------------------------------------------
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 9:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดันกระทู้ อุๆๆๆ
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 9:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เดี๋ยวรอให้เคลียร์ธุระ ทางอื่นเสร็จเดี๋ยวผมจะมาถกธรรมด้วย
ผมนับถืออาจารย์คือ ท่านพระพุทธทาส และ หลวงตามหาบัว
แล้วจะอธิบายให้ฟังว่า พฤติกรรมที่เบี่ยงเบนนั้นเป็นอย่างไร

อภิธรรม แท้จริง จำเป็นต้องมีหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหรือไม่ ขัดขวางปุถุชนหรือไม่ ทำให้เพิ่มอัตตาต่อผู้ศึกษาอภิธรรมหรือไม่
นั้นแหละประเด็น
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 11:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรามาถกเรื่องเนื้อหาสาระ ไม่ยึดบุคลลาธิฐาน คงไม่กระทบกับอัตตาใครมากนัก

ผมเองศรัทธาท่านพุทธทาสเป้นการส่วนตัว

ท่านที่ไม่ศรัทธาก็แย้งได้

ผู้ศรัทธาก็มีสิทธิแสดงความคิดเห็น

บนเส้นทางปัญญา

เรียนถามท่านเฉลิมศักดิ์1ว่า

แล้วที่ท่านสอนเรื่องตัวกู ของกู กับเรื่อง อานาปานะสติ

ท่านเฉลิมศักดิ์1มีความคิดเห็นอย่างไร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความคิดของท่านพุทธทาสคือ

นักเรียนอภิธรรมส่วนใหญ่ตามที่ท่านก็เรียนมาด้วยนั้นขาดการปฏิบัติจริง

เอาแต่โต้แย้งกันด้วยตรรกศาสตร์ไปวันหนึ่งๆเท่านั้น

แต่พระสัทธรรมต้องเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ

อีกทั้งไม่ควรติดข้างการจิตนาการกับเรื่องที่ยังไม่รู้ไม่เห็น

กรรมก็คือการกระทำ ที่เห็นในปัจจุบันนี้ก่อน

อย่าเพิ่งฝั่นเฝือ

อยากฟังความคิดเห็นท่านกรัชกาย


ท่านกรัชกาย งานเข้าแล้วครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

mes พิมพ์ว่า:

ท่านกรัชกาย งานเข้าแล้วครับ


พักนี้งานเข้ากันหลายคน
คุณ mes ระวังจะมีงานกะเขามั่งนะคับ งานหนักด้วย


กระเทือนโลกธาตุกันเลยทีเดียวเชียวนะจะบอกให้
กระเทือนกันไปโม๊ด
5555555
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
พักนี้งานเข้ากันหลายคน
คุณ mes ระวังจะมีงานกะเขามั่งนะคับ งานหนักด้วย


เด๋วกำลังหาผ้าโพกหัวไมเจอ!
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ขันธ์
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมคิดว่า ท่านกรัชกราย และ คุณคามินหางานเองมากกว่านะครับ

เพราะทั้งคู่ ต่างตั้งกระทู้ขึ้นเอง แถมเอ่ยชื่อขันธ์เสียด้วย

ดิ้นกันอยู่ไม่สุขเอง ส่วน นาย mes คุณเป็นฝ่ายเดียวกับ คามินและคุณ guest ได้อย่างไร ในเมื่อคุณ กล่าวหาพระหลวงตา ส่วน คามินและคุณ guest บอกว่า หลวงตาเป็นพระอรหันต์

แต่สุดท้าย คุณ กรัชกรายมาบอกผมว่า ไม่ควรไปเอ่ยชื่อพระอริยะ
แต่ดันไปกระทบ เข้ากับ สามคนเลย คือ คามิน guest และ mes แต่แปลกนะ ไม่ยักกะเถียงกัน

แถม คุณ guest มาบอกผมว่า ระวังเอ่ยชื่อหลวงตาไม่ดี และ คุณ คามินมาสนับสนุน แต่คุณ mes ออกมาว่าหลวงตาในเชิงเสียหาย กลับไม่มีใครพูด

โธ่ ผมหละไม่รู้จะตลกพวกคุณอย่างไรแล้ว นี่แหละครับคนมีธรรม อีรุงตุงนังกันเอง จะมาด่าผมว่าผม กลายเป็นด่ากันเองไปในตัว 555
 

_________________
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 12:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์

..............................................................................................................................................
สาธุ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 1:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณคามินธรรมทายอย่างกับตาเห็น

คุณขันธ์ครับ นี่กระทู้ใหม่แล้วครับ

ผมเกรงใจท่าน จขกท

ไปที่นี่ดีกว่าครับ



http://www.dhammajak.net/board/posting.php?mode=newtopic&f=1
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 1:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

walaiporn พิมพ์ว่า:
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์

..............................................................................................................................................
สาธุ


ทายว่า นี่ก็เดี๋ยวงานเข้าคับ
ฟันธง ! ฉับๆๆๆ


ผมไปซื้อหวยก่อนนะ
เดี๋ยวได้รางวัลแล้วจะจัดทัวร์ไปฟังธรรมกัน
5555
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 2:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้าวเหรอ .... มีงานพิเศษให้ทำด้วยหรือคะ อ่ะล้อเล่นค่ะ



-- แบบว่า เห็นว่า ความหมายดีน่ะค่ะ ทุกสรรพสิ่งมันไม่เที่ยง เหตุมี ผลย่อมมี ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล มองแค่นั้นเองค่ะ วิธีแก้แบบชาวบ้าน ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกค่ะ ไปตบด้วยมันก็ดัง ปล่อยให้ตบลมตบแล้งไปคนเดียว พอเมื่อยมือก็หยุดไปเอง ไม่เมื่อยวันนี้ วันหน้าก็ต้องเมื่อยสักวัน แต่ถ้าเราไปตอบสนอง มันก็ดังอยู่เรื่อยค่ะ

-- มีเรื่องเล่าให้ฟังค่ะ พอดีครูบาฯของดิฉันในสมัยก่อน ท่านเคยได้ปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อพุทธทาส ท่านเล่าเรื่องการปล่อยวางในสไตล์หลวงพ่อพุทธทาสให้ฟังค่ะ เรื่องก็มีดังนี้ มีชาวบ้านคนหนึ่ง เขาสงสัยเรื่อง " การปล่อยว่าง" ต่อไปเป็นคำสนทนาระหว่างชาวบ้านกับหลวงพ่อพุทธาสค่ะ

ชาวบ้าน : หลวงพ่อครับ การปล่อยวางคืออะไรครับ แล้วต้องทำยังไง
หลวงพ่อพุทธาส : รู้จักขี้ไหม
ชาวบ้าน : รู้จักครับ
หลวงพ่อฯ : เวลาเราขี้ออกไป เราจะเอามันไหม?
ชาวบ้าน : ไม่เอาครับ
หลวงพ่อฯ : นั่นแหละคือการปล่อยวาง

เอวังด้วยประการล่ะฉะนี้
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 3:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

http://larndham.net/index.php?showtopic=12605

http://larndham.net/index.php?showtopic=12605&st=40

http://larndham.net/index.php?showtopic=12605&st=33


http://www.larntum.in.th/cgi-bin/kratoo.pl/010533.htm

ลองอ่านกันดู
 


แก้ไขล่าสุดโดย mes เมื่อ 17 ส.ค. 2008, 4:34 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 3:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

mes พิมพ์ว่า:
http://larndham.net/index.php?showtopic=12605

http://larndham.net/index.php?showtopic=12605&st=40

http://larndham.net/index.php?showtopic=12605&st=33



ลองอ่านกันดู



ตะลึงเลยคับคุณพี่
ตะลึงเพราะงงอย่างยิ่ง

เดี๋ยวได้ใช้แล้วจะไปอ่านคับ 555
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mes
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 5:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

http://larndham.net/index.php?showtopic=12596&st=11


http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/Y3174075/Y3174075.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง