Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...สู้เพื่อลูก...วอเตอร์ ลี สุดยอดคุณพ่อแห่งปี... อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2008, 12:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


Image

Image

Image

Image

Image


เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก Pantip.com


หลายคนที่ได้ดูรายการจับเข่าคุย ทางช่อง 3 ของคุณสรยุทธ สุทัศนจินดา
เมื่อวันจันทร์ ที่ 19 และ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
คงจะน้ำตาไหลและรู้ซึ้งถึงความหมายคำว่า "พ่อ" มากขึ้น …
ทั้งนี้เพราะคุณวอลเตอร์ ลี และ คุณนก
แขกรับเชิญรายการได้นำเรื่องราวชีวิตที่พวกเขาต่อสู้เพื่อน้องไซ ลูกคนที่ 3
ที่มีปัญหาตั้งแต่กำเนิด มาถ่ายทอดความรู้สึกผ่านรายการ


คุณวอลเตอร์ ลี พ่อผู้ที่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายที่กำลังเกิดมานั้นจะพิการ
เนื่องจากตลอดเวลาที่ คุณนก ภรรยาตั้งครรภ์นั้น ทั้งคู่ได้ไป ultra sound
ดูแล้วว่าลูกที่อยู่ในครรภ์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีสิ่งผิดปกติหรือไม่
สิ่งที่พบคือลูกน้อยของพวกเขามีไม่มีร่างกายผิดปกติ

แต่แล้ว ณ วันที่น้องคลอดออกมามันทำให้คุณวอลเตอร์ ลี
ต้องอึ้งไม่คาดคิดว่าลูกชายจะมีแขนแค่ข้าง ส่วนขาก็ไม่มี …
ส่วนคุณนกเองก็โทษตนเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องเกิดมาแบบนี้
โทษตัวเองตลอดว่าทำไมตัวเองไม่รู้ว่าน้องมีปัญหาก่อนในขณะมีครรภ์ …
ซึ่งคุณวอลเตอร์ ลี เองก็คอยให้กำลังใจภรรยา
และจับมือกับภรรยาพร้อมจะต่อสู้ต่อไปเพื่อน้องไซ


คุณวอลเตอร์ ลี พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่พ่อคนหนึ่งจะทำให้ลูกตัวเองกลับมาเดินได้บ้าง
โดยเขายืนยันว่าน้องจะต้องได้รับโอกาสไม่ต่างจากเด็กธรรมดา
"อย่างน้อย ... น้องจะต้องลุกยืนเองได้"
พร้อมๆ กับการให้กำลังใจกันและกันกับคุณนก เพื่อต่อสู้ให้น้องไซเดินได้…
ส่วนคุณนก ก็บอกกับตัวเอง ว่า
เราโชคดีแล้ว ... ที่น้องยังมีสมองที่โอเค เราโชคดีแล้ว ...
ที่พ่อน้องยังเป็นแบบนี้ เราโชคดีแล้ว …
"และถึงวันนี้ยังบอกตัวเองเสมอว่า
ยังต้องเดินต่อไปอีกไกล เราหยุดไม่ได้แล้ว"


ตลอดปีที่ผ่านมาคุณวอลเตอร์ ลี ได้เสาะหาผู้ช่วยเหลือจากกลุ่ม
และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก
ทั้งปรึกษาหารือกันผ่านอินเตอร์เน็ตจากทวีปหนึ่งสู่อีกทวีปหนึ่ง
คุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษากระดูกและกล้ามเนื้อของเด็ก
ถึงกรณีของน้องไซ และโอกาสที่เขาจะยืนได้ เดินได้
ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถูกบอกให้เพียงอดทน รอ และเฝ้าดู
เขาจะไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างน้อยที่สุด สมองของน้องไซก็เป็นปกติดี
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
… "ลูกยืนได้และเดินได้" คือสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดต่างหาก


และแล้ววันหนึ่งฝันของคุณ วอลเตอร์ ลี ก็เป็นจริง
เมื่อมีคู่สามีภรรยาผู้มีใจเมตตา
ได้แนะนำ ศาสตราจารย์คาร์ลสเทน (Carsten) แห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษากระดูกและกล้ามเนื้อเด็กให้รู้จัก
เขาจึงเดินทางไปประเทศเยอรมนีทันทีเพื่อปรึกษาปัญหาของน้องไซ
ทั้งนี้ศาสตราจารย์คาร์ลสเทน และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า
ด้วยวิธีการรักษาของเขา เขามั่นใจถึง 80%
ว่าน้องไซจะต้องยืนและเดินได้แน่นอน
หลังจากนั้นคุณวอลเตอร์ ลีก็ปรึกษากับภรรยา
เพราะนี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของครอบครัวเรา
และยังต้องคำนึงถึงการใช้เงินก้อนโตอีกด้วย ในการรักษานี้นกต้องเดินทางไปอยู่กับน้องไซที่เยอรมนีตลอดการรักษาของเขา
แล้วในช่วงเวลาที่เธอต้องจากบ้านไปล่ะ ใครจะเป็นคนดูแลลูกๆ อีก 2 คนน้องวี
และน้องมิกที่เมืองไทย และในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อ
จะรักษาน้องไซไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

วันนี้น้องไซ ก็ได้รับการทำกายภาพบำบัด และรักษาจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว
คุณวอลเตอร์ ลี และคุณนกหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้
ลูกชายของพวกเขาจะสามารถยืนได้ และเดินได้

ทีมงานกระปุกดอทคอม ขอเป็นกำลังให้ คุณวอลเตอร์ ลี
และครอบครัวมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป และขอให้น้องไซ ยืนและเดินได้เร็วๆ ค่ะ…
หากใครที่กำลังมีปัญหา หรือท้อแท้ในชีวิต
ก็อยากให้อ่านเรื่องราวของคุณวอลเตอร์ ลี เป็นข้อคิด เพื่อที่จะมีกำลังใจต่อไป …
โลกไม่เคยที่จะหยุดหมุน เพื่อรอให้เราเสียใจกับเรื่องราวต่างๆ เลย
เมื่อไหร่ที่เรากำลังทุกข์ใจ หรือเสียใจนั้น โลกไม่ได้หยุดนิ่งด้วย
แต่มันยังหมุนไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ต่างๆ ก็ยังคงดำเนินไป
อยากให้ทุกคนมีหวัง มีกำลังใจ แม้โอกาสที่หวังไว้จะมีโอกาสน้อยนิดที่จะเป็นจริง
แต่หากเราไม่หยุดนิ่ง หมุนไปตามเรื่อยๆ หาทางสู้ ไม่ท้อถอย
เราก็จะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ สู้ๆ ค่ะ ^-^

Image

Image

Image

Image

Image

Image

อย่างไรก็ตาม สำหรับเจตนาของคุณวอลเตอร์ ลี ที่มากออกรายการในครั้งนี้
เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้เกี่ยวข้อง
หรือผู้ที่กำลังประสบปัญหาอยู่จะได้มีแนวทางต่อไป
และก่อนที่คุณวอลเตอร์ ลี จะมาออกรายการถ่ายทอดเรื่องราวดังกล่าวนี้ เขาได้เขียนเมล์ฉบับหนึ่งขึ้นมา และส่งเป็น Forward mail
ถ่ายทอดให้กับเพื่อนๆ และคนรู้จัก ทั้งนี้เพื่ออยากให้กรณีของเขา และครอบครัว
เป็นกรณีศึกษาสำหรับคนอื่นๆ และให้คนที่กำลังมีปัญหา
หรือท้อแท้ได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเองต่อไป …
โดย ในใจความ Forward mail ระบุดังนี้




สวัสดีครับ ….

นี่ไม่ใช่อีเมล์ขยะ แต่กรุณาอ่านดูก่อนแล้วส่งต่อไปยังทุกๆ คนที่คุณรู้จัก

หากคุณเป็นพ่อเป็นแม่ และ/หรือ เป็นผู้นำ หัวหน้า
และ/หรือ เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย (ผมเองเป็นทั้งหมดดังที่กล่าวมาครับ)
ข้อมูลนี้น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับคุณ

ตัวผมชื่อ วอลเตอร์ ลี (Walter Lee)
ผมอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 เป็น CEO ของบริษัทเวนเจอร์เท็ค มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
ภรรยาของผมชื่อคุณนก เรามีลูกแสนน่ารักด้วยกัน 3 คน คือ น้องวี น้องมิก และน้องไซ …
ครอบครัวของเราอยู่กรุงเทพฯ

น้องไซ ลูกคนสุดท้องตอนนี้อายุ 15 เดือนแล้ว
(ผมมักจะเรียกเขาว่า ศาสตราจารย์ตัวน้อยของผม)
เขาเป็นเด็กที่ร่าเริงมาก
ตอนที่เขาเกิดมานั้น เขามาพร้อมกับแขนข้างซ้ายที่สมบูรณ์ 1 ข้าง
แขนขวาครึ่งแขน ไม่มีขาขวา
แต่มีขาซ้ายที่ผิดรูปกับเท้าซ้ายที่มีนิ้วเท้าเพียง 3 นิ้ว
ซึ่งไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับข้อต่อ
นอกจากนั้นแล้ว เขาก็น่ารักเหมือนเด็กทารกทั่วไป

เขาทำให้ครอบครัวเรารวมทั้งทางโรงพยาบาล
(ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำในเรื่องนี้ของโลกเลยทีเดียว)
ต้องประหลาดใจอย่างมาก ในวันที่เขาเกิดมาในเช้าของวันที่ 30 กันยายน 2006
(ครับ เราตรวจอันตราซาวนด์แล้ว
ตอนที่อายุครรภ์ของนกเข้าสัปดาห์ที่ 18 และตอนนั้นก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ)


3 เดือนแรกหลังจากที่น้องไซเกิดมา เป็นช่วงที่ดึงครอบครัวเราเข้ามารวมตัวกัน
น้องวีอายุ 3 ขวบ น้องมิจอายุขวบเดียว และแม่นก
ซึ่งยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองอุ้มท้องน้องไซถึง 9 เดือน
อยู่ภายใต้ความดูแลและคำแนะนำของคุณหมออย่างใกล้ชิด จะไม่รู้เลยถึงความผิดปกตินี้
ภรรยาผมร้องไห้เกือบตลอดเวลาที่ดูแลลูกๆ ทั้ง 3 คน


ทั้งหมดที่ผมต้องการคือ ให้ครอบครัวของผมมีความสุข

ผมจะไม่เสียเวลามาช็อคและโศกเศร้าอีกต่อไป



ผมรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ผมจะต้องปลุกจิตวิญญาณของตัวเอง
เพื่อเริ่มเดินสู่เส้นทางแห่งการค้นพบ
เข้าไปสู่มิติที่ผมไม่เคยมองเห็นมาก่อนในชีวิตนี้
ซึ่งน้องไซเป็นคนนำมาสู่ผู้ชายแก่ๆ คนนี้

Image

Image

Image

Image

Image

Image

Image





ก่อนอื่น ผมมีสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จอยู่ 3 ประการ คือ

1. ผมต้องฟื้นฟูจิตใจของนกกลับมา
เพราะโอกาสแห่งความสำเร็จจะริบหรี่ลง หากปราศจากเธอ

2. ผมต้องแน่ใจว่าน้องไซลูกน้อยของผมจะเป็นเด็กร่าเริงและมีความสุข
ความสดใสร่าเริงจะนำมาซึ่งการมองโลกในแง่ดี
ถ้าปราศจากการมองโลกในแง่ดีแล้ว
การบำบัดรักษาใดๆ สำหรับน้องไซก็คงมีโอกาสสำเร็จน้อยลง

3. ผมต้องแน่ใจว่า น้องไซไม่รู้สึกสูญเสียสิ่งใดก็ตามที่เขามีสิทธิ์ที่ได้รับ
ได้ประสบถ้าเขาเกิดมาพร้อมแขนขาครบสมบูรณ์


นกเลิกร้องไห้หลังจากที่เคยร้องไห้ทุกวันในช่วง 3 เดือนแรก
นกเข้มแข็งขึ้นมาก และเธอก็รู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะช่วยบำบัดรักษาน้องไซ
ก็คือต้องเยียวยารักษาพวกเราก่อน เราปรึกษาพูดคุยกันมาก
แล้วเราก็เพียรพาน้องไซออกเที่ยวนอกบ้านบ่อยๆ
ไม่ใช่เพราะเราอยากไปเที่ยวชมเมือง
แต่เราต้องการเคยชินกับปฏิกิริยาของคนภายนอก
เมื่อมองมายังครอบครัวของเรา
ไม่ว่าจะ สงสัย ประหลาดใจ เห็นใจ หรือรู้สึกปนๆ กัน


การได้ออกไปด้วยกันบ่อยๆ และพูดคุยกันอยู่เสมอๆ ถึงเรื่องนี้
เป็นวิธีรักษาที่ดีมาก และเราก็มีความสุขที่จะพูดว่า พวกเราเข้มแข็งขึ้น
และค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน
ผมคิดว่าผมบรรลุความประสงค์ข้อแรกแล้ว

น้องไซเป็นเด็กที่สนุกสนานและมีเรื่องให้เราประหลาดใจอยู่เสมอ
เขาเรียนรู้ที่จะหยิบคว้าสิ่งต่างๆ เขาคลานไปทุกที่ที่เขาต้องการ
เขากลิ้งม้วนตัวเหมือนลูกบอล ว่ายน้ำโดยปราศจากความกลัว
ทานอาหารได้สารพัด หัดพูดด้วยเสียงน่ารักตามประสาทารก เล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับพี่ชายของเขา
คลานขึ้นบันไดด้วยตัวของเขาเอง
นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าผมบรรลุความปรารถนาข้อที่ 2 แล้วเช่นกัน


ตลอดปีที่ผ่านมาเราเดินทางไปยังโรงพยาบาลมากมายหลายแห่งทั่วโลก
เสาะหาผู้ช่วยเหลือจากกลุ่มและองค์กรต่างๆ
ปรึกษาหารือกันผ่านอินเตอร์เน็ตจากทวีปหนึ่งสู่อีกทวีปหนึ่ง
คุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษากระดูกและกล้ามเนื้อของเด็ก
ถึงกรณีของน้องไซ และโอกาสที่เขาจะยืนได้ เดินได้
ครั้งแล้วครั้งเล่าผมถูกบอกให้เพียงอดทน รอ และเฝ้าดู
เขาจะไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างน้อยที่สุด สมองของน้องไซก็เป็นปกติดี
นั่นไม่เพียงพอสำหรับผมหรอก!!

ผมก็รู้อยู่ว่าน้องไซสามารถไปไหนมาไหนด้วยรถเข็น
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ
ผมต้องการให้เขามีทางเลือกที่จะยืนและเดินได้
เมื่อเขาต้องการ ความปรารถนานี้ของผม
จึงนำผมไปสู่การตามหาหนทางที่จะค้นพบวิธีสำหรับน้องไซ

ในประเทศไทยมีผู้พิการมากกว่า 2 ล้านคน ส่วนมากไม่สามารถแม้แต่จะเป็นส่วนหนึ่งในกระแสหลักของสังคม
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เลือกที่จะเป็นเช่นนั้น
ผมว่านะ ผู้พิการส่วนมากจะหลบเลี่ยงการเข้าสังคม
นั่นเป็นเพราะสังคมหลบเลี่ยงพวกเขา
ถือเป็นความโชคร้าย บางครั้งก็ด้วยความไม่รู้

มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษากระดูกและกล้ามเนื้อเด็กอยู่ท่านหนึ่ง
คือ ศาสตราจารย์คาร์ลสเทน (Carsten) แห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก
ผมรู้จักท่านโดยการแนะนำของคู่สามีภรรยาผู้มีใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
ผมจึงเดินทางไปประเทศเยอรมนีเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ศาสตราจารย์คาร์ลสเทน และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกกับผมว่า
ด้วยวิธีการรักษาของเขา เขามั่นใจถึง 80 % ว่าน้องไซจะต้องยืนและเดินได้แน่
พวกเขาพาผมดูการทำงานของเขา
พร้อมกับวินิจฉัยอาการของน้องไซ ว่าเขาควรจะทำอะไร
เมื่อไหร่ และอย่างไรในการรักษาน้องไซ
สำหรับอนาคตอันใกล้ (ได้แก่ 7 ทรีตเม้นท์ใน 5 ปี
เพื่อผลที่แม่นยำของทรีตเม้นท์แต่ละครั้ง
น้องไซจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 4 – 6 สัปดาห์) ผมฟังแล้วรู้สึกตื้นตันใจมากและกลับมามีความหวังใหม่อีกครั้ง
นี่แหละ คือสิ่งที่ผมเสาะหามาตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา

ผมบอกคุณหมอว่าผมต้องกลับเมืองไทยเพื่อไปปรึกษากับภรรยาก่อน
เพราะนี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของครอบครัวเรา
และยังต้องคำนึงถึงการใช้เงินก้อนโตอีกด้วย ในการรักษานี้นกต้องเดินทางไปอยู่กับน้องไซที่เยอรมนีตลอดการรักษาของเขา
แล้วในช่วงเวลาที่เธอต้องจากบ้านไปล่ะ ใครจะเป็นคนดูแลลูกๆ อีก 2 คนน้องวี
และน้องมิกที่เมืองไทย และในที่สุดเราก็ตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อ
จะรักษาน้องไซไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


Image

Image

Image

ผมนึกถึงผู้พิการนับล้านคนในประเทศไทย …

นี่จะเป็นสิ่งที่พัฒนาความเป็นอยู่ของคนในชาติให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยกระดับคุณค่าของคนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นี่จะเป็นการนำความรู้ทางการแพทย์
ซึ่งเยอรมนีได้ก้าวล้ำเราไปหลายปีมายังที่นี่ ที่ประเทศไทย


หากผมสามารถจ่ายค่ารักษาให้แก่วิธีการนี้เพื่อรักษาเด็ก 1 คน
แล้วทำไมขั้นตอนการรักษา
ตลอดจนรายละเอียดข้อมูลที่มีคุณค่าจะไม่ถูกเผยแพร่ต่อไปล่ะ เพื่อประโยชน์แก่ผู้พิการนับแสนในประเทศไทย ที่สามารถใช้วิธีการนี้ได้
ส่วนผู้ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายมากพอที่จะใช้วัตถุดิบสุดยอดอย่างที่ใช้ในเยอรมนีได้ ก็อาจจะใช้ไม้หรือไม้ไผ่ที่เรามีอยู่แล้วที่นี่
สิ่งสำคัญก็คือ ความเข้าใจและการได้เรียนรู้วิธีรักษานี้


(กรณีของน้องไซซึ่งถือเป็น 1 ในล้าน
เพราะการเจริญเติบโตของแขนขาของเขาเป็นแบบเดาสุ่ม
และข้อต่อก็ไม่เข้าที่อีกด้วย ซึ่งเราจะรักษาได้ง่ายกว่ามาก ถ้าแขนขาช่วงบนหรือช่วงล่างของเขามีข้อต่อเข้าที่)
หลักการก็คือ หากแพทย์ในเยอรมนีมีความมั่นใจถึง 80% ในการรักษาน้องไซ
ฉะนั้น หากในกรณีที่อาการน้อยกว่าน้องไซ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะรักษาให้หาได้มากขึ้น

ผมไม่รู้ว่าจะนำเอกสารเกี่ยวกับการรักษา ที่เป็นประโยชน์นี้ไปใช้ในขั้นตอนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงในอนาคตอย่างไร
ผมจึงเขียนข้อความนี้ขึ้นมา เพื่อชักชวนให้ทุกท่านเข้ามามีส่วนร่วมกับผมในการที่จะช่วยเหลือผู้พิการนับล้าน.
ให้พวกเขาได้มีโอกาสที่พวกเขาเคยไม่ได้รับ

หากคุณหรือองค์กรของคุณผู้มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สถาบันทางการแพทย์ จะสามารถเรียนรู้ขั้นตอนการบำบัดรักษาน้องไซ
(ซึ่งจะเริ่มในเดือนมีนาคม 2551)
หรือใช้ข้อมูลนี้เพื่อการช่วยเหลือผู้พิการ ได้โปรดติดต่อผม

คุณสามารถติดต่อผมได้ที่ walterlee@ventuna.com

บุญรักษาครับ

วอลเตอร์ ลี และครอบครัว



ข้อมูลจาก...
Image

ที่มา : รายการจับเข่าคุย ทางช่อง 3

คัดลอกจาก...
http://hilight.kapook.com/view/24474

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง