Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 คำสอนของอาจารย์ท่านหนึ่ง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Keita
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 24 ม.ค. 2008
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 25 ม.ค. 2008, 7:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้อความข้างล่างนี้เป็นคำสอนของ อ.นภาจรีนะคะ อ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างคะ ^_^

สนทนาธรรม
1)ถาม ชะตากรรมของมนุษย์ใครเป็นผู้กำหนด
ตอบ กรรมเป็นตัวกำหนด
2)ถาม กรรมคืออะไร
ตอบ กรรมคือการกระทำของตน
กระบวนการของกรรม เกิดจากกิเลส (โลภ,โกรธ,หลง) ทำให้เกิดการกระทำ เมื่อกระทำแล้วมีผลของกรรมนั้นเรียกว่า วิบากกรรม(ผล)
3)ถาม กรรมมีกี่ชนิด
ตอบ แบ่งแบบง่ายๆมี3 ชนิด คือ 1.โมนกรรม(เกิดที่ใจ) 2.วจีกรรม(เกิดที่วาจา) 3.การกรรม(เกิดจากการปฏิบัติ)
*มโนกรรมสำคัญที่สุด เพราะเมื่อเกิดที่ใจทำให้พูดออกมาทำให้ปฏิบัติทางกาย
*ใจที่ดีจึงเกิดกรรมที่ดี

บันทึกท้ายสนทนาธรรม
ขอให้ศิษย์รักจงระวังความคิด เพราะความคิดก่อให้เกิดการกระทำ
ขอให้ศิษย์รักจงระวังการกระทำ เพราะการการกระทำทำให้เกิดนิสัย
ขอให้ศิษย์รักจงระวังนิสัย เพราะนิสัยทำให้เกิดบุคลิกภาพ
ขอศิษย์รักจงระวังบุคลิกภาพ เพราะบุคลิกภาพจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรม

มนุษย์จึงมีตนเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต
ศิษย์รักจงทำแต่ความดี สร้างกุศลอย่างสม่ำเสมอ มีเมตตาต่อสัตว์โลก ชีวิตจะพบแต่ความสุขรุ่งเรืองเจริญ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 25 ม.ค. 2008, 8:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Keita พิมพ์ว่า:
ข้อความข้างล่างนี้เป็นคำสอนของ อ.นภาจรีนะคะ อ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้างคะ ^_^

สนทนาธรรม
1)ถาม ชะตากรรมของมนุษย์ใครเป็นผู้กำหนด
ตอบ กรรมเป็นตัวกำหนด
2)ถาม กรรมคืออะไร
ตอบ กรรมคือการกระทำของตน
กระบวนการของกรรม เกิดจากกิเลส (โลภ,โกรธ,หลง) ทำให้เกิดการกระทำ เมื่อกระทำแล้วมีผลของกรรมนั้นเรียกว่า วิบากกรรม(ผล)
3)ถาม กรรมมีกี่ชนิด
ตอบ แบ่งแบบง่ายๆมี3 ชนิด คือ 1.โมนกรรม(เกิดที่ใจ) 2.วจีกรรม(เกิดที่วาจา) 3.การกรรม(เกิดจากการปฏิบัติ)
*มโนกรรมสำคัญที่สุด เพราะเมื่อเกิดที่ใจทำให้พูดออกมาทำให้ปฏิบัติทางกาย
*ใจที่ดีจึงเกิดกรรมที่ดี

บันทึกท้ายสนทนาธรรม
ขอให้ศิษย์รักจงระวังความคิด เพราะความคิดก่อให้เกิดการกระทำ
ขอให้ศิษย์รักจงระวังการกระทำ เพราะการการกระทำทำให้เกิดนิสัย
ขอให้ศิษย์รักจงระวังนิสัย เพราะนิสัยทำให้เกิดบุคลิกภาพ
ขอศิษย์รักจงระวังบุคลิกภาพ เพราะบุคลิกภาพจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรม

มนุษย์จึงมีตนเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต
ศิษย์รักจงทำแต่ความดี สร้างกุศลอย่างสม่ำเสมอ มีเมตตาต่อสัตว์โลก ชีวิตจะพบแต่ความสุขรุ่งเรืองเจริญ


Buddha ตอบ......
คำตอบของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการคัดค้าน และมิใช่เป็นการอวดอ้าง แต่จะตอบตามประสบการณ์ ที่ทุกคนล้วนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง แม้แต่ตัว อ.นภาจรี ก็ตามที

คำว่า ชะตากรรม นั้น หมายถึง การกระทำ ตามลักษณะ และหรืออัธยาศัย ทั้งที่ตัวเองหรือผู้อื่นชอบ หรือไม่ชอบก็แล้วแต่ (ถอดความจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
ดังนั้น ชะตากรรมของมนุษย์นั้น มีสิ่งที่เป็นตัวกำหนด หรือมีสิ่งที่ปัจจัยกำหนดอย่างมากมายหลายประการ ตั้งแต่ กรรมพันธ์ การได้รับการขัดเกลาทางสังคม สภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้าน ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ลักษณะการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ฯลฯ สิ่งที่ได้กล่าวไป จะเป็นตัวกำหนด ชะตากรรม ของมนุษย์ คือ จะเป็นสิ่ง หรือเป็นปัจจัยที่จะกำหนด การการทำ ตามลักษณะ และหรืออัธยาศัย ทั้งที่ตัวเองชอบหรือผู้อื่น ชอบหรือไม่ชอบ

กรรม คือ การกระทำถูกต้อง แต่การกระทำซึ่งในความหมายที่แท้จริงแล้วสิ่งที่จะทำให้เกิดชะตากรรมนั้น ไม่ใช่อยู่ที่เฉพาะการกระทำของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว การกระทำของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของตัวเอง การกระทำของผู้อื่น การกระทำของสรรพสิ่งต่างๆ อันเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของเรา ล้วนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ก่อให้เกิดความทุกข์ ความสุข

กรรม หรือ การกระทำนั้น ล้วนย่อมเกิดขึ้นได้ ทั้งทางกาย วาจา และใจ ทั้ง 3 อย่างนั้น การกระทำทางกายสำคัญที่สุด รองลงไป ก็คือ ทางวาจา และรองลงไป ก็คือทางใจ
ที่เขาเรียงตามลำดับไว้ ว่า กาย วาจา และใจ ไม่ใช่ ใจ วาจา และกาย คือ เขาเรียงไว้ว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ไม่ใช่เรียงอย่างที่ อ.นภาจรี กล่าวไว้
เพราะการกระทำทางกายนั้น มีผลทำให้เห็นเป็นรูปธรรม ถ้ากระทำทางกายดี ก็ดีสำหรับตัวผู้กระทำ ถ้ากระทำทางกายไม่ดี ก็มีผลดีต่อผู้กระทำ แต่ การกระทำของผู้อื่น ก็ย่อมมีผลต่อตัวเรา หรือมีผลต่อบุคคลอื่นๆด้วยเช่นกัน (อันนี้ไม่อธิบายเพราะเห็นและรู้กันอยู่แล้ว)
ทางวาจา ก็คล้ายทางกาย แต่จะเบากว่าทางกาย
ทางใจ ไม่มีผลต่อผู้อื่น แต่จะมีผลต่อตัวเองในทางระบบการทำงานของสรีระร่างกาย แต่ทางใจ ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำทางกาย และวาจาได้ เช่นกัน
ซึ่งมีน้อย ถ้าจะเทียบกับทางกาย เพราะส่วนใหญ่พฤติกรรมทางใจ ที่มีก็ได้แค่อิจฉา โกรธ เกลียด รัก ชอบ แต่ไม่แสดงออก อย่างนี้เป็นต้น
ลืมอธิบายไปนิดหนึ่ง อาจมีผู้โต้แย้ง โดยเฉพาะ อ.นภาจรี ผู้สอน
คำว่า การกระทำทางใจนั้น ไม่ใช่หมายถึง ความคิด แต่หมายถึง ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นในใจ และเป็นความรู้สึกซึ่งเป็นผลจากการได้ประสบ ได้สัมผัส ทางอายตนะ เช่น โกรธ เกลียด รัก ชอบ ฯ อย่างนี้เป็นต้น
แต่สิ่งที่ไม่ใช่การกระทำทางใจ อันได้แก่ เมื่อเห็นแล้วอยากได้ อยากกิน อยากตบ อยากตี อยากพูด อยากเล่น อยากดู ไม่ใช่การกระทำทางใจ เป็นเพียงความคิดเพียงชั่วขณะที่สามารถหายไปได้ และเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการกระทำทางกาย
ซึ่งแตกต่างจากการกระทำทางกาย
(ทำความเข้าใจหน่อยขอรับ อธิบายยาก)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
น้ำใส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53

ตอบตอบเมื่อ: 28 ม.ค. 2008, 9:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กุศลกรรมบท ๑๐ มีดังนี้
๑.ไม่ฆ่าสัตว์
๒.ไม่ลักทรัยย์
๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. ไม่พูดโกหก
๕.ไม่พูดส่อเสียด
๖.ไม่พูดคำหยาบ
๗.ไม่พูดเพ้อเจ้อ
๘. ไม่คิดอยากได้ของผู้อื่นมาโดยทุจริต
๙.ไม่คิดพยาบาทปองร้ายเขา
๑๐. มีสัมมาทิฏฐิ

กุศลกรรมบทข้อ ๘ และ ๙ เห็นได้ชัดเป็นมโนกรรม

เจตนา คือ กรรม ถูกต้องมั๊ยครับ เรามาดูต่อ

เมื่อเราผัสสะกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เกิดความพอใจ หรือ ไม่พอใจ หรือ เฉยๆ

พอใจ คือมีราคะ ,ไม่พอใจ คือมี ปฏิฆะ, อันนี้เคือ สังโยชน์ (เฉยๆ ก็ยังมี อวิชชา)

ถ้าพอใจมากขึ้น เกิดเป็นความอยาก ไม่พอใจ มากขึ้น ก็เกิดเป็น ความโกรธ อันนี้เป็น กิเลสวัฎฎ์

ถ้าอยากมากขึ้นจนมี เจตนา อยากได้โดยทุจริต อันนี้ เป็น กรรมวัฎฎ์ (เข้าสู่ อกุศลกรรมบท ดังข้างต้น) หรือ โกรธ มากจนมีเจตนาปองร้าย หรือคือ พยาบาท เช่นกันเป็น กรรมวัฎฎ์ (เข้าสู่ อกุศลกรรมบท ดังข้างต้น)

พระโสดาบัน ยังละ ราคะ ปฏิฆะ, 2 สังโยชน์นี้ไม่ได้

พระสกิทาคามี ทำให้เบาบาง

พระอนาคา ละได้ขาด เหลืออีก 5 มี มานะ และ อวิชชา ฯลฯ

****
ตอบตามประสาคนโง่นะครับ อย่าถือสา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Keita
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 24 ม.ค. 2008
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2008, 2:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณค่า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bai_pai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 09 ก.พ. 2008
ตอบ: 39
ที่อยู่ (จังหวัด): kyeongki-do, korea

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2008, 2:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2008, 1:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2008, 8:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง