Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หยุด ! กินหมูกะทะ.. อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.พ.2008, 5:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หยุด ! กินหมูกะทะ..

-----------------------------------------------------------------

หมูหนึ่งตัวถูกเลี้ยงเพียงไม่กี่เดือน ก็สามารถขายได้แล้ว เพราะปัจจุบันนี้การเลี้ยงสัตว์ จะมีสารเคมีและฮอร์โมนผสมในอาหาร เร่งให้สัตว์เลี้ยงเจริญเติบโต

และอ้วนท้วนสมบูรณ์เร็วขึ้น ไม่ว่าหมูหรือไก่ คนที่กินเนื้อหมูเนื้อไก่บ่อยก็จะอ้วน โดยเฉพาะเด็กที่ชอบกินไก่ทอด ก็จะเป็นเด็กที่อ้วนและโตเกินวัย

หมูย่างเกาหลี เป็นที่นิยมของคนไทย เปิดร้านอยู่ที่ไหน คนเต็มแน่นทุกร้าน ในราคา 69-99 บาทต่อคน กินได้ไม่จำกัด

มองดูทุกคนในร้าน กินกันอย่างมีความสุขเอร็ดอร่อยด้วยชิ้นเนื้อและเครื่องใน แต่เบื้องหลังของชิ้นเนื้อที่รับประทาน คือความตายของหมูและสัตว์น้อยใหญ่

หมูจำนวนมากถูกขังรวมไว้ในคอกเดียวกัน ทุกตัวก็ดูอิสรเสรี มีความอบอุ่น ทักทายกันตามประสาหมูๆ

จนถึงเวลาเข้าสู่ยามวิกาล ประมาณ 5 ทุ่ม

คนกลุ่มหนึ่ง เขาจะสวมกางเกงขาสั้น รองเท้าบูท มีผ้าขาวม้าคาดศีรษะ ร่างกายทะมัดทะแมงเดินเข้าไปใน คอกหมูคนหนึ่งถือไม้เหลี่ยมอันเหมาะมือ คนหนึ่งถือมีด และถังใบย่อม

สัตว์น้อยผู้น่ารักเริ่มรู้ชะตาชีวิตของตน ด้วยสัญชาตญาณว่าความตายกำลังจะมาถึง ทุกตัวต่างแตกตื่น เบียดเสียดกันเพื่อที่จะหาที่พึ่งพิง...

นักฆ่าเหล่านี้ เขาฆ่าและทำบาปจนเคยชิน จึงมองไม่เห็น ถึงความน่ารักน่าสงสาร เงินที่เป็นค่าจ้างหนึ่งร้อย หรือ สองร้อย บาทต่อตัวรออยู่ตรงหน้า

เขาจึงเดินรี่เข้าไปหากลุ่มสัตว์เหล่านั้น พร้อมกับแยกตัวหนึ่งตัวใด เมื่อไหร่ที่หัวมันโผล่มาเด่นชัด ไม้เหลี่ยมในมือตีลงกลางแสกหน้ามันอย่างสุดแรง เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ไกลเป็นกิโลเมตรก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

เพียงมันล้มลงไปบนพื้น มีดปลายแหลมก็จ้วงแทงที่ลำคอ และบีบเค้นเลือดลงในถังที่รองรับจนหมดกาย ปล่อยร่างให้ดิ้นชักกระตุกอยู่บนพื้น

ชีวิตเหล่านั้นยังคงหายใจรวยระริน เพชฌฆาตก็เอาตะขอเหล็กเกี่ยวที่ฟันมัน ลากคอไปรอข้างนอกด้วยอาการชักกระตุกอย่างไม่สนใจใยดี นักฆ่าจะทำเช่นนี้ประมาณ 4-5 ตัว

เขาจึงวางไม้ลง และนำหมูที่ฆ่าแล้วไปลงในกระทะ น้ำร้อนทั้งๆ ที่ยังชักกระตุกอยู่

จากนั้นก็นำมาขูดขนทั้งตัว แล้วตัดหัวเอาเชือกผูกขาทั้งสี่ให้หงายท้องขึ้น เอามีดเล่มใหญ่ที่คมกริบผ่าท้องควักตับไตไส้พุงออกมากอง

จากนั้นก็ถูกผ่าซีกแยกจากกัน นั่นคือ เสร็จสิ้นสำหรับกรรมวิธีในการฆ่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อหมูหนึ่งตัว หมูที่ถูกผ่าซีก เนื้อยังสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน

หากท่านที่ยังมีเมตตาจิต

ได้เห็นได้ยินสภาพการณ์ฆ่าหมู และเสียงร้องเช่นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า ท่านจะไม่กล้ากินเนื้อหมูอีกต่อไป

เพราะเขาถูกฆ่าด้วยความโหดร้าย ชีวิตต้องตายทั้งเป็น เพื่อนที่อยู่ในคอกมองเห็นเพื่อนตายต่อหน้า จิตคงกระเจิดกระเจิงด้วยความหวาดกลัว

แต่เขาก็ไม่มีทางหนีรอดและขอร้องได้ รอเพียงว่าใครถูกฆ่าก่อนฆ่าหลัง ทุกตัวในคอกต้องถูกฆ่าหมด ด้วยสภาพเดียวกัน

คอกหนึ่งสิบยี่สิบตัว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็กลายเป็นชิ้นส่วนออกมาตั้งแผงรอคนซื้อ สดๆ ร้อนๆ

หมูตัวหนึ่งมีหนึ่งชีวิตหนึ่งจิตญาณ บาปกรรมนั้นใครเป็นผู้รับ จากคนเลี้ยง คนฆ่า คนขาย คนกิน ใครรับบาปกรรมมากกว่ากัน ลองคิดดู...?

คนเลี้ยงๆ เพื่อขาย คนฆ่าๆ เพื่อค่าจ้าง คนขายๆ เพื่อเงิน คนซื้อๆ เพื่อกิน ก็แบ่งกันไป ฟ้ายุติธรรม ทุกคนมีส่วนร่วม หากไม่มีคนกิน คงไม่มีคนฆ่า ไม่มีคนเลี้ยง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาตรัสว่า...

“เราฆ่าวัวฆ่าควายเป็นประจำ เราก็ต้องไปเกิดเป็นวัวเป็นควายให้เขาฆ่า เราฆ่าอะไร เราก็ต้องไปเกิดเป็นอย่างนั้น”

“เพื่อมาชดใช้กัน เป็นวัฏฏะที่ต้องหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปหลายชาติ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะชดใช้หมด”

คัดลอกจากหนังสือ : หยุด ! ก่อนสายเกิน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 3:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กินไปเถอะท่าน หมูกระทะ ไม่เป็นไรหรอก

สารพิษที่ตกค้าง จะถูกร่างกายจัดการ (ถ้าไม่กินต่อเนื่อง ร่างกายกำจัดออกสบายๆ)
สกปรกก็ล้าง ทำความสะอาดซะ

บาป ข้าพเจ้าเคยตั้งกระทู้ในเว๊บ ต่างๆ ก็สรูปว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ยินดี ไม่สนับสนุน เราซื้อกิน ไม่มีไม่ซื้อ ไม่บอกให้เอามาขาย ไม่สนับสนุนให้เขาฆ่าเอามาขาย เขามาขายเราจึงซื้อ ไม่บาป เมื่อไหร่จะเข้าใจกันเสียที่

ท่านกำลังทำให้อาชีพที่ต้องเลี้ยงตัวของใครหลายๆคนถูกคนอื่นๆดูถูก ยี่งเฉพาะหมูกระทะ เขาทำอาชีพสุจริตเลยละ ไม่ค้าชีวิต ไม่ค้ายาพิษ ไม่ค้าอาวุธ ฯลฯ แล้วจะมารณรงค์ไม่ให้เขาทำ มันบาปนะท่าน
สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 5:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สัพเพ สัตตา อะเวราโหนตุ
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่ามีเวรซึ่งกันและกันเลย

สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌาโหนตุ
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

สัพเพ สัตตา อนีฆา โหนตุ
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่ามีความลำบาก จงอย่างมีความเดือดร้อน จงอย่างมีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปริหะรันตุ
จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกภัยทั้งสิ้นเทอญ

มนุษย์ เวลาอยากกินเนื้อสัตว์
มนุษย์ ก็จะฆ่าเพื่อที่จะได้ลิ้มลอง
รสชาติของเนื้อสัตว์ต่างๆ
ที่มนุษย์ลืมสังเกตุไป
เพราะมันคือซากศพของสัตว์ต่างๆ นั่นเอง

การแผ่เมตตาเกิดขึ้น
เรากินเค้าเข้าไป
เค้าอยู่ในตัวเรา
เราแผ่เมตตาให้เค้า
ทุกคำพูดที่ มนุษย์พูดออกมา
รับผิดชอบอะไรบ้าง

บอกให้สัตว์ทั้งหลายอย่ามีเวรซึ่งกันและกัน
บอกให้สัตว์ทั้งหลายอย่ามีความพยาบาทซึ่งกันและกัน
บอกให้สัตว์ทั้งหลายอย่ามีความเดือนร้อนซึ่งกันและกัน
บอกให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข
บอกให้สัตว์ทั้งหลายรักษาตนให้พันจากภัยทั้งสิ้นเทอญ

นี่หรือคือสิ่งที่เราสำนึกได้ เราจะแผ่เมตตาให้เค้าทำไมกัน
ในเมื่อตัวเอง เป็นผู้สร้างกรรม ขึ้นมาทั้งหมด
คำแผ่เมตตา นี้ก็กลายเป็นสมมุติขึ้นมาถึงความผิดบาปที่ได้กระทำ

แต่มนุษย์ก็ยังคงจะทำอยู่เรื่อยๆ ต่อไป
ไม่มีสัตว์ใดๆ หลงเหลือรอด
ลิ้นเล็กๆ ของมนุษย์เรานั้น
กวาดได้ทั้งบนบก บนฟ้า ในน้ำ
ช่างกว้างใหญ่จริงๆ เลย

สงสารพวกเขาเหล่าสัตว์นั้นเถิด
เกิดมาใช้กรรมก็เพียงแต่เท่านี้
บาปเวรกรรม ถ้าเราไม่จองเวรเขา
เราก็จะเลิกกินเนื้อเขาได้
อย่าไปอาฆาตเขา

ชาวพุทธเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด
แล้วท่าน คิดหรือไม่หล่ะ ว่าดวงจิตที่เราฆ่า
อาจเป็น บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย พี่น้อง เพื่อน
ที่เราเคยพานพบมา มองเห็นหน้าหมูที่กำลังจะฆ่า
แว่บ เป็นหน้าบิดา มารดา ฆ่าลงหรือ?

การรับประทานอาหารมังสวิรัติ หรือ การรับประทานอาหารเจนั้น
ช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ปราศจากโรคภัย
เรากินสิ่งใด ก็ให้สิ่งนั้นเกิดกับเรา
เคยสังเกตุมั๊ยครับว่า ทำไมต้นผัก ถึงงอกจากพื้นดิน
และทำไมสัตว์ถึง ตกจากฟ้า

เรากินผัก กินผลไม้ ก็เหมือนจิตวิญญาณเราได้พุ่งขึ้นฟ้า
เรากินสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ก็เหมือนจิตวิญญาณเราได้ตกลงสู่เบื้องต่ำ

อยากจะให้เพื่อนๆ เลิกทานเนื้อสัตว์
วันละเล็กละน้อย ก็ยังดี
เกิดวันไหน ก็เริ่มต้นจากวันเกิดก็ได้ครับ
ถือว่าเป็นการทำบุญให้กับ ตัวเอง
และก็ค่อยๆ เพิ่มเป็น ทุกวันพระ
1 ค่ำ 9 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ
แค่นี้ ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่คิดได้
แต่ถ้าท่านเลิกทานได้ นับว่าเป็นบารมีอันประเสริฐที่
มนุษโส อย่างเรา สามารถบำเพ็ญได้
อยู่ที่ จิตใจของท่านเอง ว่าจะคิดได้หรือไม่?


สวัสดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 6:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒


พระเทวทัตหาพรรคพวก
[๓๘๙] ครั้งนั้น ถึงวันอุโบสถ พระเทวทัตลุกจากอาสนะ ประกาศให้
ภิกษุทั้งหลายจับสลากว่า ท่านทั้งหลาย พวกเราเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมแล้วทูล
ขอวัตถุ ๕ ประการว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้
มักน้อย ... การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็น
ไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ... การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใด
อาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ... ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
รูปใดพึงฉันปลาและเนื้อ
รูปนั้นพึงต้องโทษ วัตถุ ๕ ประการนี้ พระสมณโคดม
ไม่ทรงอนุญาต
แต่พวกเรานั้นย่อมสมาทาน ประพฤติตามวัตถุ ๕ ประการนี้ วัตถุ
๕ ประการนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นจงจับสลาก ฯ
ทีนี้พระเทวทัตก็ดำเนินการแยก คือทำสังฆเภท. พอถึงวันประชุมสงฆ์ พระเทวทัตก็
ประชุมพระ แล้วก็ประกาศเรื่องที่ตัวไปทูลขอวัตถุ ๕ ประการแก่พระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าไม่
อนุญาต เพราะพระพุทธเจ้าเป็นคนมักมาก, เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะปฏิยัติเคร่งครัดตามเรา ก็จง
ปฏิบัติวัตถุ ๕ ประการ. ถ้าภิกษุใดชอบใจวัตถุ ๕ ประการนี้จงลงคะแนน การลงคะแนนนั้นใส่ไม้ติ้ว
ใครเห็นด้วยใส่ไม้ติ้วไป ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ใส่. มีภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปเป็นภิกษุบวชใหม่ หัวคิดแหลม
แต่ว่าโง่สะเพร่า, มองเห็นไปว่าพระพุทธเจ้ามักน้อย ไม่สันโดษ ไม่เคร่งครัดเสียแล้ว, พระเทวทัต
มักน้อย สันโดษ เคร่งครัด, เพราะฉะนั้นก็ลงคะแนนให้พระเทวทัต พระเทวทัตก็เลยได้ภิกษุประมาณ
๕๐๐ รูป พระเทวทัตก็พาพระภิกษุ ๕๐๐ รูป นั้นแยกไปอยู่ทางคยาสีสะ คือทางกึ่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ, ก็แปลว่าพระเทวทัตได้ไปถึง ๕๐๐ องค์ ไม่ใช่เล็กน้อย, แปลว่าคณะสงฆ์
เกือบหมดที่เหลืออยู่กับพระพุทธเจ้ามีไม่กี่องค์ เพราะพระเทวทัตเอาไปตั้ง ๕๐๐ คณะสงฆ์เวลานั้นก็
ไม่ใช่มากมายอะไร ก็เลยไปตั้งคณะใหม่อยู่ที่ภูเขาคยาสีสะ

ท่านกำลังเดินตามทางพระเทวทัตหรือ

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2008, 7:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หยุด ! กินหมูกะทะ..

สุสานที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ไหน

คำตอบมีอยู่แล้วในท้ายบทความนี้มารู้จักศีลกันดีกว่า

ชีวิต คือ.......
..........ความเป็นอยู่ที่ควรดำเนินตามหลักแห่งจริยธรรมในการประพฤติที่ถูกต้องจึงจะมีความสุขเป็นส่งที่มนุษย์ทกคนปรารถนาอันเป็นผลที่จะพึงได้ แต่จะเกิดผลได้จะต้องมีหลักการที่จะต้องปฏิบัติ
ในทางพระพุทธศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สั่งสอนให้มนุษย์ตั้งอยู่ในคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่เหมาะสมแก่การประพฤติปฏิบัติ พระพุทธองค์จึงได้กำหนดวางแบบแผนแห่งการประพฤติปฏิบัติไว้เป็นหลักฐาน แบบแผนที่พระพุทธองค์ได้วางไว้เป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ คือ หลักของเบญจศีล หรือ ศีล ๕ ประการนั้นเอง
การตั้งใจประพฤติปฏิบัติงดเว้นในศีล ๕ ประการนี้ ชื่อว่า เป็นการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย เบญจศีลนั้นเป็น จริยธรรมในระดับต้น หรือขั้นพื้นฐาน สำหรับให้มนุษย์ประพฤติความดีให้คงที่ ดังนั้นมนุษย์ทั้งหลายผู้ต้องการความสุข จะต้องพยายามปฏิบัติตามหลักแห่งเบญจศีลและหลักของเบญจธรรมซึ่งเป็นหลักธรรมที่เป็นของคู่กัน
การปฏิบัติตามหลักแห่งเบญจศีลนี้ได้เรียกว่า ผู้มีมนุษยธรรม คือเป็นผู้มีธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์


การรักษาศีล

รักษาศีลข้อที่ ๑ คือข้อ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปังทังสัมมาฐิยามิ

การรักษาศีลข้อนี้คือห้ามฆ่าสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ด้วย การฆ่าสัตว์ทำให้ศีลขาดนั้นมีองค์ประกอบ ๕ อย่าง ดังนี้

๑. สัตว์นั้นมีชีวิต
๒. รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีความตั้งใจที่จะฆ่า
๔. มีความพยายามที่จะฆ่า
๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

เมื่อครบด้วยองค์ ๕ นี้ศีลจึงขาด แต่ถ้า ๑-๔ ศีลยังไม่ขาด แต่มีความเศร้าหมองไม่สมบูรณ์ การฆ่าสัตว์นั้นทำให้ศีลขาดเท่ากัน แต่บาปกรรมนั้นไม่เท่ากัน

สมมุติว่าฆ่าสัตว์ตัวที่มีบุญคุณแก่เรา มีส่วนช่วยเหลือช่วยงานแก่เรา ทำประโยชน์ให้แก่เรา เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า เป็นต้น ถ้าฆ่าธรรมดาก็มีบาปมากอยู่แล้ว ถ้าฆ่าด้วยความโกรธก็จะได้รับผลของบาปมากขึ้นเท่าตัว

แต่ถ้าสัตว์ตัวที่ถูกฆ่านั้นเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาใช้ชาติ ก็จะได้รับผลของบาปนั้น ๑๐ เท่าทีเดียว เมื่อตายไปก็จะได้ลงไปสู่นรกทันที จะได้รับกรรมถูกไฟนรกแผดเผาให้เกิดความทุกข์ทรมานยาวนานทีเดียว เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็จะได้มาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ให้เขาฆ่ามาเป็นอาหารหลายร้ายชาติ

ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะยังมีวิบากกรรมติดตามมาสนองได้อีก เช่นทำให้อวัยวะไม่สมประกอบ จะทำให้ตาบอด หูหนวก ง่อยเปลี้ยเสียขา แขนหัก ขาขาด ปวดหลัง ปวดเอว ปวดตามร่างกาย หาความสุขไม่ได้เลย หรือเป็นโรคนานาชนิด ทำให้ชีวิตทนทุกข์ทรมาน หรือเกิดมาแล้วมีอายุสั้นพลันตายด้วยอุบัติเหตุต่างๆ นี้คือผลกรรมที่ตามสนอง

ถ้าฆ่าสัตว์อื่นที่ไม่มีบุญคุณแก่เรา ถ้าฆ่ามากไปก็ตกนรกได้ เมื่อพ้นจากนรกแล้วจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทำให้ชีวิตหาความสุขไม่ได้ อายุยังไม่ถึงกาลเวลาของอายุขัยก็ตายไปเสีย

ถ้าฆ่าสัตว์เล็กๆ น้อยๆ เกิดมาในชาติหน้าผลของบาปกรรมนั้นจะทำให้ร่างกายเศร้าหมอง ผิวพรรณหยาบกร้านมีโรคผิดหนังประจำตัว มีการเจ็บป่วยเมื่อยตัวเป็นประจำ ดังที่ได้อธิบายมานี้เป็นผลบาปกรรมในการฆ่าสัตว์นั่นเอง

การใช้ปัญญาพิจารณาในผลของบาปกรรมที่ผิดศีลข้อ ๑ นี้ ก็เพื่อให้เข้าใจในผลของกรรมที่ตามสนองให้ได้เกิดความกลัวในบาปกรรมนั้นๆ ให้เกิดความสำนึกในชีวิตเขาและชีวิตเรา ที่มีความรักความหวงแหนในชีวิตเหมือนกับเรา

สัตว์ทุกตัวตลอดเราด้วยก็ไม่อยากตายเพราะถูกฆ่าเหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรที่จะอ้างว่า สัตว์เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ แต่ถ้าจับตัวมนุษย์ที่ชอบพูดอย่างนี้ไปให้เสือกินไปให้จระเข้กินดูซิเขาจะว่าอย่างไร สัตว์ทุกตัวมีความกลัวต่อความตายทั้งนั้น เห็นมนุษย์อยู่ที่ไหนก็ต้องหลบหลีกปลีกตัวเพื่อความปลอดภัยแก่ชีวิตของเขา ถึงขนาดนั้นก็พ้นเงื้อมมือมนุษย์ใจบาปนี้ไปไม่ได้ พากันตามไล่ตามฆ่าเอามาเป็นอาหาร ไม่มีความเมตตาสงสารเขาบ้างเลย แต่ละวันมีความสะดุ้งหวาดผวากลัวต่อความตายอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าที่จะออกหากินอะไรได้ตามใจ

ถ้าเราตกอยู่ในสภาพอย่างนี้จะมีความทนทุกข์ทรมานขนาดไหน ถึงอย่างไรก็ขอให้คิดถึงชีวิตเขาชีวิตเราดูบ้าง หัวอกเขาอย่างไรหัวอกเราก็เป็นอย่างนั้น ไม่ควรเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ให้ถือว่าเขาเป็นญาติเป็นเพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันกับเรา มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง แต่ขอให้สูงด้วยความรัก ให้สูงด้วยความสงสารต่อสัตว์ทั้งหลาย จึงจะชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรม ให้สัตว์อื่นได้พึ่งบารมีสมกับที่ว่ามนุษย์มีจิตใจสูงนี้ด้วยเถิด

ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาในลักษณะนี้อยู่บ่อยๆ ใจเราก็จะค่อยเปลี่ยนแปลงไปในทางดี จะมีความเมตตาต่อสัตว์ มีความสงสารสัตว์มากขึ้น ในที่สุดเราก็จะไม่กล้าฆ่าสัตว์อีกเลย นี่คือมีปัญญาในการรักษาศีล หรือศีลเกิดขึ้นจากปัญญาก็ว่าได้

ถ้ารับศีลมาแล้ว แต่ขาดปัญญาในการรักษา ศีลนั้นจะขาดหายไปโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้น สุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา ต้องเกิดมาก่อนศีลแน่นอน นี้คือสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาความเห็นชอบในการรักษาศีลนั้นเอง

ถึงจะมีภาระหน้าที่พูดคุยกันก็ไม่สนิทสนมกันเหมือนที่เคยเป็นมา ถึงจะมีกิริยาออกมาในทางที่ดีต่อกันอยู่ก็ตาม ส่วนตัว อกิริยา ที่เจ็บใจฝังลึกๆ ในความรู้สึกนั้นยังมีอยู่ อีกสักวันหนึ่งก็จะหาช่องทางระบายอารมณ์แห่งความแค้นนี้ออกไปให้ได้ จะเพ่งเล็งหาจุดอ่อนซึ่งกันและกันออกมาตอบโต้กัน ถ้าพูดต่อหน้าไม่ได้ก็ต้องพูดลับหลัง อาศัยคนใดคนหนึ่งเป็นสุขภัณฑ์เป็นผู้รับถ่ายเท ระบายความในในที่ไม่พอใจกับคนคนนั้น ด้วยวิธีใดก็จะระบายออกมาอย่างเต็มที่ นี้เรียกว่าพูดโจมตีกันลับหลัง หรือกล่าวคำนินทาว่าร้ายออกมาให้สนใจ

เมื่อเริ่มต้นเป็นมาอย่างนี้ ต่อไปนี้จะเกิดความอิจฉาตาร้อนต่อกัน หาคำพูดที่จะเอาชนะกันด้วยวิธีต่างๆ ในที่สุดก็กลายเป็นพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด

ถ้าคิดไว้อย่างนี้ ก็เริ่มจะเป็นคนดีได้บ้าง ถ้าไม่กินจริงๆ ก็จะเป็นคนดีมีคุณค่าแก่ตัวเอง

เริ่มต้นจะรักษาศีลสัก ๑-๒ ข้อก็ได้ เพื่อฝึกความพร้อมของตัวเองให้มีความกล้าหาญขึ้น จะรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นจะรักษาเรียงตามตำรา ศีลข้อไหนที่จะรักษาได้ง่ายที่สุดก็ต้องรักษาข้อนั้น จะทิ้งช่วงในการรักษาห่างกันอย่างไร ก็ให้อยู่กับความสามารถของตัวเราเอง ต่อไปจะเพิ่มการรักษาข้อไหน ก็ให้เราเลือกเอง

ใช้เวลาไม่นานนักเราก็จะมีศีล ๕ ได้อย่างสมบูรณ์ การรักษาศีลด้วยวิธีนี้จะไม่มีการเสื่อม และศีลก็ไม่ขาดด้วย เพราะมีสติปัญญาในการรักษา มีศรัทธาความเชื่อมั่นว่า กรรมชั่วย่อมเกิดขึ้นจากผู้ไม่มีศีล ความเพียรพยายามจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ก็เพียรพยายามอยู่เสมอ ดังคำว่าความเพียรอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น นี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบระดับศีล ๕ นั่นเอง

การรักษาศีลนั้นมิใช่ว่าจะรักษาเพียงกายและวาจาเท่านั้น เพราะต้นของศีลจริงๆ แล้วอยู่ที่ใจ เรียกว่า เจตนา ส่วนรักษากายวาจานั้นเป็นเพียงให้เกิดกิริยาสวยงามให้เหมาะสมกับเพศที่แสดงออกมาภายนอกเท่านั้น ที่จริงแล้วศีลมีต้นเหตุอยู่ที่ใจ จึงเรียกว่า มูลฐานของศีลมี ๓ อย่าง ๑. ใจกับกาย ๒. ใจกับวาจา ๓. ใจ กาย วาจา ฉะนั้นใจจึงเป็น หลักใหญ่ให้ศีลเกิดขึ้น คำว่ารักษาศีลก็คือปัญญาความรอบรู้ในศีลของตนจึงจะรักษาได้ จึงเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ คือปัญญาความเห็นชอบ ความรอบรู้และฉลาดในการรักษาศีล สัมมาสังกัปโป คือใช้ปัญญาดำริพิจารณาตรึกตรองในศีลข้อนั้นๆ ว่าจะรักษาอย่างไรศีลจะมีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ คำว่า ชอบคำเดียวนี้ก็มีความหมาย คือต้องมีปัญญาพิจารณาก่อนจึงพูด จึงเป็นวาจาชอบ มีปัญญาพิจารณาก่อนจึงทำงานนั้นจะไม่ผิดพลาด จึงเป็นการงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ คือ มีปัญญารอบรู้ในการเลี้ยงชีวิต จะหาอย่างไรจึงจะได้มาด้วยความชอบธรรมและเลี้ยงชีวิตอย่างชอบธรรม ฉะนั้น ปัญญาในสัมมาทิฏฐิจึงเป็นขั้นเริ่มต้นที่สำคัญ ถ้าเริ่มต้นถูกต้องชอบธรรมอันดับต่อไปก็จะถูกต้องชอบธรรม และจะเป็นแนวทางที่ชอบธรรมจนถึงที่สุด ถ้าเห็นผิดในขั้นเริ่มต้นนี้ ต่อไปก็จะเห็นผิดไปเรื่อย ๆ และเห็นผิดจนถึงที่สุดเช่นกัน ฉะนั้นการเรียนปริยัติ ต้องตีความหมายให้ชัดเจน ให้เข้าใจในเหตุผลและหลักความจริงอย่างแจ่มแจ้ง จึงจะไม่มีปัญหาในการภาวนาปฏิบัติต่อไป.


คัดลอกจากหนังสือสัมมาทิฏฐิ
โดย หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ


กระเพาของคนไงครับ เพราะมีซากศพนับล้านๆ ร่างอยู่ในนั้น

"ชีวิตใครใครก็รัก ไม่ว่าคนหรือสัตว์
ทำไม ถึงต้องเบียดเบียนกัน"

เป็นมนุษย์ เป็นได้ด้วยใจสูง
เหมือนหนึ่งยูง มีดีที่แววขน
เข้าใจต่ำ เป็นได้แต่เพียงคน
ย่อมเสียที ที่ตนได้เกิดมา
(พระพุทธทาส ภิกขุ)

(ที่มา จากหนังสือธรรม และบทความธรรมของวัพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร พิษณุโลก http://mcu.rip.ac.th/watraj/sil1.in.html
และรวมทั้งขอบคุณพี่ผ่องศรี ประกรแก้ว ที่ส่งบทความดีๆ มาฝากครับ)

แก้ที่แต่ละคนด้วยการ ที่เราแต่ละคน ไม่เป็นต้นเหตุของการเบียดเบียน และเหตุของการเบียนใหญ่ที่สุด คือการกิน

www.goveg.com/photos_pigs.asp
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2008, 12:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กินหมูกระทะได้ตามแต่ใจของท่าน ไม่บาป

เพราะ
๑. สัตว์นั้นไม่มีชีวิต
๒. ไม่เห็นว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. ไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าสัตว์นั้น
๔. ไม่มีความพยายามที่จะฆ่า
๕. สัตว์นั้นไม่ตายด้วยความพยายามของเรา

อันนี้คัดกรองจากพุทธวาจา(พระไตรปิฏก)ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นผู้สอนพระในปัจจุบันทั้งหลาย

สรุป การฆ่าสัตว์บาป การกินหมูกระทะไม่บาป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
muntana
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2008, 4:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้อเท็จจริง เป็นข้อมูลสำคัญ ที่ถูกปกปิด
ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งร้าย อาหารจานเนื้อ เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรค
มะเร็ง ลำไส้ และ มะเร็งเต้านม ทานอาหารจานเนื้อมาก มาก
ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากๆ เปิดเผยโดย สถาบันมะเร็งนานาชาติ

คาดว่าในอีก 5 ปี ข้างจะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งร้าย ถึง กว่า 50 ล้านคน
และในประเทศไทยคงต้องเพิ่มขึ้นเกินกว่า 7 ล้าน ยังมีโรคร้ายที่ตามมาอีก คือ
โรคหัวใจ และ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด อีก กว่า 10 ล้านอันเนื่อง
มาจากอาหารจานเนื้อ


อ้างอิงจากเอกสารสุขภาพ โดยองค์การอนามัยโลก
หน่วยงานด้านการวิจัยมะเร็ง แห่งสหประชาชาติ


Cancer: diet and physical activity's impact
Facts
Cancer accounts for 27.1 million deaths annually (19.5% of the global total).
Dietary factors account for about 30% of all cancers in Western Countries and approximately up to 20% in developing countries; diet is second only to tobacco as a preventable cause. Approximately 40 million people suffer from cancer; a figure projected to rise to 70 million within 20 years.
The number of new cases annually is estimated to rise from 15 million to 55 million by 2020.
More than half of all cancer cases occur in developing countries.
Cancer is becoming an increasingly important factor in the global burden of disease. The estimated number of new cases annually is expected to rise from 10 million in 2000 to 15 million by 2020. Some 60% of these cases will occur in the less developed parts of the world. More than 7 million people now die each year from cancer. Yet with the existing knowledge, at least one-third of cancer cases that occur annually throughout the world could be prevented.

While tobacco use is the single largest causative factor -accounting for about 30% of all cancer deaths in developed countries and an increasing number in the developing world – dietary modification and regular physical activity are significant elements in cancer prevention and control. Overweight and obesity are both serious risk factors for cancer. Diets high in fruit and vegetables may reduce the risk for various types of cancer, while high levels of preserved and/or red meat consumption are associated with increased cancer risk.

What is cancer?
Cancer is used generically for more than 100 different diseases, including malignant tumours of different sites, such as breast, cervix, prostate, stomach, colon/rectum, lung and, mouth. Other examples of cancer are leukaemias, sarcomas, Hodgkin´s disease and non-Hodgkin´s lymphomas. The disease arises principally as a consequence of individual exposure to carcinogenic agents in what individuals inhale, eat and drink, or are exposed to in their personal or work environment. Personal habits, such as tobacco use, dietary and physical activity patterns - as well as occupational and environmental conditions - rather than genetic factors, play the major roles in the development of cancer.

Extent of the problem
Many of the chronic disease risks, and the diseases themselves, overlap. In developed countries, cancer is the second-biggest cause of death after cardiovascular disease (CVD), and epidemiological evidence points to this trend emerging in the less developed world. This particularly true in countries of "transition" or middle income countries, such as in South America and Asia. Already more than half of all cancer cases occur in developing countries.

There are approximately 20 million people living with cancer at the moment; by 2020 there will be an estimated 30 million. And the impact is far greater than the number of cases alone would suggest. Regardless of prognosis, the initial diagnosis is often perceived by patients as life-threatening, with over one-third of sufferers experiencing clinical anxiety and depression. Cancer can also be profoundly distressing as well as economically disruptive to patients’ families. The clinical care of cancer patients is a costly element in public health budgets.

Diet and physical activity’s impact
Dietary factors are estimated to account for approximately 30% of cancers in western countries, making diet second only to tobacco as a preventable cause of cancer. This proportion is thought to be about 20% in developing countries and is projected to grow. As developing countries become urbanised, patterns of cancer, particularly those most strongly associated with diet and physical activity, tend to shift towards the patterns of economically developed countries. Cancer rates also change as populations move between countries and adopt different dietary patterns.

The relative importance of cancers as a cause of death is increasing. The incidence of lung cancer and cancers of the colon and rectum, breast and prostate, generally increases in parallel with economic development, as stomach cancer declines. Cancer is also strongly associated with social and economic status. Cancer risk factors are highest in groups with the least education. Per several surveys and scientific investigation firmly point out that red meat and preserved meat consumption is obviously attribtuted to colon cancer. In addition, patients in the lower socioeconomic classes have consistently poorer survival rates than those in higher strata.

In recent years, substantial evidence has pointed to the link from overweight and obesity, to many types of cancer such as oesophagus, colorectum, breast, endometrium and kidney. The composition of the diet is also important since fruit and vegetables may have a protective effect by decreasing the risk for some cancer types such as oral, oesophageal, gastric and colorectal cancer.

Regular physical activity has also been seen to have a protective effect in reducing the risk of breast and colorectal cancer. High intake of preserved meat or red meat might be associated with increased risk of colorectal cancer. Another aspect of diet clearly related to cancer risk is the high consumption of alcoholic beverages, which convincingly increases the risk of the oral cavity, pharynx, larynx, oesophagus, liver and breast cancers.

What can be done?
The wealth of knowledge that already exists about cancer risk factors provides obvious and ample scope for action to reduce the cancer burden of all countries. After tobacco, overweight and obesity seems to be the most important avoidable cause of cancer.

Given that poor nutrition, physical inactivity, obesity, tobacco and alcohol, are risk factors common to other chronic diseases, such as CVD, type 2 diabetes, and respiratory diseases, conducting a cancer prevention programme within the context of an integrated chronic disease prevention programme would be an effective national strategy.

Dietary factors that convincingly increase risk are:

Overweight and obesity,
Red meat and Preserved meat consumption
Excess alcohol consumption (more than 2 units a day)
Some forms of salting and fermenting fish
Very hot (thermally) salty drinks and food

EVIDENCE DECREASED RISK INCREASED RISK
Convincing Physical activity (colon, breast) Overweight and obesity (oesophagus, colorectum, breast, endometrium, kidney)
Probable Fruit and vegetables (oral cavity, stomach, colorectum). Red meat, Preserved meat (colorectum) oesophagus. Salt-preserved foods and salt (stomach). Very hot (thermally) drinks & food (oral cavity, pharynx, oesophagus
Possible/ insufficient Fibre, soya, fish, n-3 fatty acids, carotenoids, vitamins B2, B6, folate B2, B6, folate, B12, C,D, E, calcium, zinc, selenium,non-nutrient plant constituents, (eg allium, lignans, compounds, flavnoids, isoflavones) Animal fats, heterocyclic amines, polycyclic aromatic hydrocarbons,

WHO
Executive Board opens on optimistic note
21 January 2008 -- The Executive Board of WHO began its twice-yearly session today on an optimistic note with a report from Director-General Dr Margaret Chan highlighting progress in many areas of public health. Among the developments Dr Chan listed as cause for optimism are: investment in health systems, global recognition of climate change as a threat, and the progress in immunization.


 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
pan_panda
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 04 ก.พ. 2008
ตอบ: 10
ที่อยู่ (จังหวัด): 128 moo 3 T.thapha A.banpong P.ratchaburee

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2008, 10:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราก็พยายามงด โดยไม่กินวันพระกับวันที่เราเกิดนะ ไม่ยากหรอกค่ะ ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
Story Note
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97

ตอบตอบเมื่อ: 18 ก.พ.2008, 9:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ

"วัดไหน มีปล่อยหมู แบบปล่อยวัว ควาย บ้างค่ะ"

อายหน้าแดง กินไปเยอะ.. และจะพยายามกินให้น้อยลงค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ช้างชูธง
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2007
ตอบ: 50

ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.พ.2008, 10:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่องสัพเพ สัตตา พาให้คิด ว่าชีวิต นี้มีค่า กว่าสิ่งไหน

อเวรา อย่ามีเวร อย่ามีภัย ชีวิตใคร ใครก็หวง อย่าล่วงเกิน

ท่องสัพเพ สัตตา นานแค่ไหน ยังเข้าใจ ในเนื้อแท้ แค่ผิวเผิน

ยังฆ่าบ้าง กินบ้าง อย่างเพลิดเพลิน ยังใช้เงิน ซื้อชีวิต อนิจจา

สัตว์เกิดกาย มาใช้กรรม ที่ทำไว้ เป็นเป็ดไก่ กุ้งปลา และหมูหมา

ตามเหตุต้น ผลกรรม ที่ทำมา มิใช่ฟ้า ประทานดล ให้คนกิน

มีปัญญา แต่ไฉน จึงไม่คิด มองชีวิต กลับเห็น เป็นทรัพย์สิน

เสียงกรีดร้อง ก่อนตาย ใครได้ยิน น้ำตาริน เมื่อถูกเฉือด เลือดกระเซ็น

พูดว่าเขา เกิดมา เป็นอาหาร เขาลนลาน หนีตาย ใครมองเห็น

เขาจนใจ พูดไม่ได ้เถียงไม่เป็น ช่างเลือดเย็น เข่นฆ่า ไม่ปราณี

มีพืชผัก มากมาย นับไม่ถ้วน ทุกกลิ่นรส ล้วนสดใส หลายหลากสี

ธรรมชาติ วางไว้ อย่างดิบดี สัตว์วิ่งหนี พืชเต็มใจ ให้กินมัน

เพราะเรากิน เขาจึงฆ่า เอามาขาย เราสบาย แต่สัตว์โลก ต้องโศกศัลย์

ท่องสัพเพ สัตตา อยู่ทุกวัน หากเฉยฉันท์ ท่องกันไป ก็ไร้ความ ๚



ประพันธ์โดย
คุณประวิทย์ ชัยศิริสัมพันธ์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Candy
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 21 ก.พ. 2008
ตอบ: 28

ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.พ.2008, 4:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ พูดถึงก็น่าสงสารเหมือนกันนะหมู
 

_________________
หนทางสว่างด้วยแสงไฟ จิตใจสว่างด้วยแสงธรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สุรเชฏฐ์ ไลตระกูล
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 24 ก.พ. 2008
ตอบ: 24
ที่อยู่ (จังหวัด): นครปฐม

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.พ.2008, 11:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หมูที่นำมารับประทาน คนฆ่าหมูบาปมั๊ย ก็บาป แต่เขาฆ่าเพื่อประกอบอาชีพ ไม่ใช่ตั้งใจฆ่าเล่น ฆ่าเพื่อความสนุกสนาน บาปก็เบาลง เราเป็นผู้บริโภค เราไม่ได้สนับสนุนการฆ่า เราบริโภคเพื่อการมีชีวิต แต่ถ้าเราเลี่ยงได้ก็จะดี บริโภคชีวิจิต หรือมังสาวิรัติแทนได้ก็จะดี แต่หากไม่ใช่หมู แต่เป็นสัตว์อื่นแล้ว ที่เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นอาหาร เช่น กระต่าย งู หนู หมูป่า เรานำมันมาบริโภค อันนี้ผมว่ามันบาป เพราะเราสามารถเลือกที่จะบริโภคสัตว์ที่เลี้ยงไว้บริโภคได้ แต่เรายังไปบริโภคสัตว์ที่ไม่ควรบริโภคอีก มันบาป มันบาป
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
goldxp
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 26 มิ.ย.2008, 9:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนเราไม่กินหมูกะทะก็ไม่ตาย
ดูๆ แล้วยิ่งกินมากจะเป็นโรคมากด้วยซ้ำ
ถ้าพอจะเลี่ยงได้เลี่ยงดีกว่าครับ

สิ่งภายนอกต่างๆ เป็นสิ่งลวงตาลวงใจ มีแล้วไม่นานก็ต้องเสียไป
แม้แต่อาหารจะเอร็ดอร่อยแค่ไหน พออิ่มแล้วก็ไม่ต่างกัน
ผมจึงคิดว่าการจะมีความสุขความเจริญก็หาจากการในเบียดเบียนกันดีกว่าครับ

ความฝันของผมนะ
คือให้คนทั้งโลกเลิกกินเนื้อหันมาหาอย่างอื่นกินดีกว่า
มีคนที่ร่ำรวยมีชื่อเสียงเงินทองมากมาย เพราะธุรกิจที่มาจากการฆ่าสัตว์
ชื่อเสียงจอมปลอมไม่ว่าจะดังแค่ไหน ก็ยิ่งแสดงถึงความเห็นแก่ตัวมากเป็นเงาตามตัวยิ่งขึ้นไป ก็เท่านั้น..
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
thechay
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2008
ตอบ: 4
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2008, 5:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พอใจแบบไหนก็ทำไป เถอะครับ มันเป็นห่วงโซ่อาหารไปแล้วละครับ ที่จะปาปก็ ฆ่ามนุษย์ด้วยกันเนี่ยแหละครับ ถ้าเป็นพระก็ ปาราชิกไปเลย ขาดจากการเป็นพระกลับมาบวชอีกไม่ได้ แหมกินเพื่ออยู่ไป วันๆ มันก็ปาปอ่ะแหละ แต่มันน้อยหน่อยไง มนุษย์มีหน้าที่แตกต่างกันไปหน่ะ อาชีพก็ต่างกัน ตอนผมบวชจะมีเรียนนะพระผู้ใหญ่สอนเรื่องทั่วไป มีคนถามเรื่องฆ่าสัตว์ปาปมั้ย ท่านก็บอกว่าอยู่ที่เจตนาเป็นหลักครับ มีคน แทงคอหมูมาถวายสังฆทานที่วัดทุกวันพระครับ เค้าบอกแทงคอหมูมา ตั้งแต่ อายุ 18 ตอนนี้ ถ้าเปลี่ยนอาชีพก็ไม่รู้จะทำอะไรเลี้ยงลูกเมีย ก็มันอาชีพเค้าไงถ้าเค้าเลือกได้เค้าคงไม่ทำอ่ะครับก็รู้แหละว่ามันปาป ใคร ๆ ก็รู้ทั้งนั้นแหละครับว่าฆ่าสัตว์มันปาป แต่สมัยนี้เค้ามีโรงฆ่าสัตว์ทันสมัยแล้วนะครับ หมูไม่ทรมานครับ ก็แล้วแต่ความพอใจละกันนะ ขนาดเป็นพระก็ไม่มีกฏห้ามฉันเนื้อสัตว์นี่นะ ใน นวโกวาทฉบับประชาชน ว่าด้วยศีลพระและข้อปฏิบัติฆราวาส ยังไม่มีห้ามเรืองการบริโภคเนื้อสัตว์เลยครับ มีแต่กล่าวในหนังสือบางเล่มไม่รู้ที่มาว่าต้นฉบับมาจากไหนนะครับ แต่ผมเจอในหนังสือมนต์พิธีแล้วก็ในหนังสือเรียนวิชาพระพุทธศาสนา มัธยมต้นครับ ว่าภิกษุ ไม่ควรฉันเนื้อ 10 อย่าง คือ
1. เนื้อมนุษย์
2. เนื้อช้าง
3. เนื้อม้า
4. เนื่อสุนัข
5. เนื้องู
6. เนื้อราชสีห์
7. เนื้อหมี
8. เนื้อเสือโคร่ง
9. เนื้อเสือดาว
10. เนื้อเสือเหลือง
เนื้อทีว่ามานี้ ก็คงไม่มีใครอุตหริไปกิน หรอกครับ ว่ามั้ยครับ ตามหลักโภชนาการ โปตีนในเนื้อสัตว์กับที่ได้จากพืชมันคนอย่างกันนะครับ กินไปเถอะครับผมว่าตามแต่ความสะดวกและโอกาสละกัน นี่สงสัยคงได้อิทธิพลการกินมังสะวิรัต มาแน่ๆ เลยนะเนี่ย อ่องั้นหันไปกินปลาแทนหมูก็ดีนะครับโดยเฉพาะปลาทะเล เพราะมันตายง่ายดีไม่ทรมานร้องไม่เป็นด้วยขึ้นจากทะเลเห็นฟ้าก็ตายละ แต่ก็นะ บางที่ไม่มีอะไรกินก็คงกินตามอัตภาพแหละ ไปเจอพระที่ภาคใต้มาครับ ท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์อื่นนอกจากปลาอันนี้ไม่รู้ที่มานะครับว่าเพราะอะไร แต่ผมคิดเอาเองนะครับว่า 1. มันไม่ติดฟันเหมือนเนื้อหมู 2. กินปลาแล้วฉลาดครับ โปรตีนสูง มีไอโอดีน เพราะภาคใต้ส่วนมากมีแต่ปลาทะเล 3. ก็อย่างที่บอกไปแล้วปลามันตายง่ายแบบว่าชะตาถึงฆาตไงหนีอวนชาวประมงไม่ทัน ไอ้ตัวไหนหนีทันก็รอดไป สรุปนะ ใครอยากกินไรก็กินไปเหอะที่มันเป็นอาหารปรกติที่มนุษย์กินได้หน่ะ อ่อถ้าจะเลิกกินหมูก็คง เรื่องสารเคมีมากกว่านะ ขำ ขำ ครับ อย่าเครียด
 

_________________
มีหลายคติธรรมครับ เลยไม่ขอบอกดีกว่า
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
กตัญญุตา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 29 มิ.ย. 2008
ตอบ: 73

ตอบตอบเมื่อ: 29 มิ.ย.2008, 3:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านแล้วสงสารจังเลยค่ะ แต่ให้อดเนื้อสัตว์เลยก็ยังทำไม่ได้...
ร้องไห้

เราแผ่เมตตาให้มันได้ไหมคะ...สัพเพสัตตาอย่างนี้...ยิ่งหมูกะไก่นี่เป็นอะไรที่เราทานมากที่สุดเลยอ่ะ แต่สงสัยว่าต้องพยายามทานให้น้อยลงและทานผักให้มากขึ้นจะดีกว่า...แต่ให้เลิก กินแต่ผักยังทำไม่ได้ค่ะ ทำไม่ได้จริงๆ..

หมูกะทะไม่ได้กินบ่อยนะคะ เคยกินช่วงเค้าฮิตๆ กัน แต่ว่าชอบทานหมูปิ้งและก็พวกสุกี้น่ะค่ะ..
 

_________________
สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
โปเต้
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 พ.ค. 2008
ตอบ: 76
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2008, 10:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นประเด็นที่ชวนให้สับสนกันมาตลอดเลยนะคะ เรื่องกินเนื้อสัตว์เนี่ย
เผลอๆกลายเป็นว่าพวกที่ยังกินเนื้อสัตว์กลายเป็นคนไม่ดี ไม่มีธรรมมะ หรือเป็นพวกมือถือสากปากถือศีลไปเลย
แล้วก็ยังทำให้คนที่ไม่กินเนื้อสัตว์บางท่านเข้าใจว่าตัวเองบรรลุสัจจธรรมกลายเป็นเซียนไปเลยก็มี
ทั้งที่เรื่องนี้พระพุทธองค์ก็ทรงวินิจฉัย ตั้งกฏเกณฑ์ไว้อย่างแจ่มแจ้งอยู่แล้วตามที่คุณ สี บุญมา ยกมา

ยอมรับค่ะ ว่าเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่ยังละไม่ได้
แต่จะให้ไปยืนชี้นิ้วสั่งแม่ค้าเอาปลาตัวนั้นตัวนี้ไปจัดการเพราะฉันจะกินเนื้อมันนี่ .. อันนี้เลิกทำมาตั้งนานแล้วค่ะ
แต่ถ้ามีใครในบ้านซื้อมาให้ทำกินกัน ก็ยังทำและก็กินอยุ่ค่ะ
หมูกะทะนี่ นานที ก็ออกไปสังสรรค์บ้าง
แต่เรื่องจริงก็คือ ซื้อหมูมาทำกับข้าวอยู่บ่อยๆค่ะ เพราะสังคมแวดล้อมส่วนใหญ่ก็ยังทานกันอยู่
ถ้าอยู่วัดและตั้งหน้าตั้งปฏิบัติภาวนา ก็คงไม่เรียกร้องอะไร มีอย่างไรก็กินอย่างนั้น แม้จะเป็นแค่ข้าวเปล่า

หลวงพ่อชายังพูดกับคนที่ประท้วงท่านเลยว่าพระฉันข้าวกะเกลือได้ไหม
ท่านบอกว่าได้ แต่ต้องให้คนที่พูดมาจัดให้ท่านฉันทุกวันนะ...

ถ้าจะปฏิบัติธรรมให้เป็นธรรมกันจริงๆ เรื่องอาหารเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากค่ะ เรื่องใหญ่กว่านั้นยังมีอีกเยอะ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 30 มิ.ย.2008, 11:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขึ้นอยู่กับเจตนา

ถ้าไม่เจตนา ก็ไม่บาป

ถ้าเจตนาก็บาป ฆ่าอะไรก็บาปทั้งนั้น

ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 11:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นานาจิตตัง น่ะ แต่ถ้างดเนื้อสัตว์ ก็เป็นบุญกับทุกฝ่าย แค่ความเห็นส่วนตัว อมิตพุทธ สาธุ พุทโธ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
goldxp
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2008, 2:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เกี่ยวกับบาปหรือไม่บาปหรอกครับ
มันเป็นการสร้างจิตสำนึกผิดๆ ให้กับคนรุ่นต่อๆ ไป
คนสมัยนี้ฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
แต่ยิ่งฉลาดมากก็มีโอกาสทำชั่วได้มากด้วย
ถ้าอยู่ในสังคมที่มีแต่คนที่ฉ้อฉล
ใช้ความเก่งความเอาตัวรอดว่าแน่อยู่เหนือความดี

คำสอนต่างๆ ที่ผู้ใหญ่สอนจะฟังขึ้นหรือครับ
เมื่อผู้ใหญ่ยังทำบาปมหันต์แล้วอ้างโน่นอ้างนี่ได้
ส่วนเด็กแค่ไม่ทำการบ้านก็ถูกด่าทอว่าเป็นเด็กเลวเสียแล้วนี่
ต่อไปก็ไม่มีต้องมีเหตุผลอะไรกันแล้ว
ชี้บอกใครผิดใครถูกตามอารมณ์กันหมด

ความดีความเลวมันมั่วไปหมดแล้วครับ ไม่มีใครพูดจริงทำจริง
ได้แต่พยายามบอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ผิด

ทั้งหมดที่พูดมา ไม่ได้พูดถึงการกินเนื้อว่าเป็นคนเลวนักหนานะครับ
แต่พูดถึงการทำร้าย เบียดเบียนผู้อื่น ศีลข้อแรกเลยนะครับ!!

...
การเข้ามาตอบของผมจะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ครับ
เมื่อพอดีมีเพื่อนๆ ในบอร์ดที่ผมเข้าประจำ บอกว่าจะไปฉลองกันที่ร้านหมูกะทะ ผมรู้สึกสลดใจ กับเรื่องนี้ที่คนเราฉลองกันมีความสุขกัน กลับผลักเอาความทุกข์แสนสาหัสไปให้กับคนอื่น
แล้วจะฉลองไปทำไม สู้ไม่ต้องมีเรื่องดีๆ ให้ฉลองไปเลยจะดีกว่า
ผมก็เลยลองค้นหาคำว่าหมูกะทะดู เพราะสงสัยว่ามันคืออะไรทำไมคนถึงชอบกิน เพราะผมเป็นคนกินเนื้อได้ไม่มาก สังเกตหลายครั้งแล้วถ้ากินมากแล้วมันหายใจไม่สะดวก -*-
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
JARUWAN_G
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 15 ส.ค. 2008
ตอบ: 72
ที่อยู่ (จังหวัด): นนทบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2008, 9:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มนุษย์ทุกคน แม้แต่สัตว์ ย่อมรักชีวิตของตัวเองค่ะ
 

_________________
ทุกอย่างแก้ไขได้ วันนี้ต้องทำให้ดีกว่าเมื่อวาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง