Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อัศจรรย์จิต เดินจงกรมจนตัวลอย (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.พ.2008, 2:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เมื่อหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท จงกรมเหมือนตัวจะลอย

เมื่อเราเข้ามาบวชแล้ว ก็เราเป็นคนหนุ่มนะ อย่างที่ว่าพรรษาแรกๆ ก็ขี้เกียจ เอะอะก็จะหลบไปหลับนอน พอมาถึงกลางๆ พรรษาหรือยังไงก็จำไม่ค่อยได้ ก็มานึกตำหนิตนเอง เอ๊ะ!....เรากินข้าวชาวบ้านแล้ว ทำไมเราถึงมาขี้เกียจอย่างนี้นะ มันเหมาะสมแล้วหรือสำหรับเพศนักบวชที่เสียสละบ้านเรือนออกมาบวช แต่ก่อนเราเคยทำงานหนักๆ ทำการแจวเรือทั้งวันทั้งคืน เราแจวได้ ทำได้ แล้วเวลานี้ล่ะ เรามาเป็นพระเป็นนักบวช แล้วทำไม ทำไมมาขี้เกียจอย่างนี้ สิ้นท่าอย่างนี้ พระแบบเรานี้จะต่างอะไรกับฆราวาสหัวดำๆ ที่ขี้เกียจขี้คร้านทำมาหาเลี้ยงชีพ เราทำแบบนี้มันสมควรแล้วหรือที่ญาติโยมเขากราบไหว้บูชา ว่าเป็นพระผู้ทรงเพศอันประเสริฐ ใครๆ เห็น เขาก็หลีกทางให้ มีอะไรเขาก็หามาให้กิน ในที่สุดมันก็ด่าตัวเองในใจ คือด่าตัวเองในใจดังๆ
“ไอ้ห่า!...มึงเป็นพระให้เขากราบไหว้ แล้วมึงภาวนานั่งสู้ญาติโยมแก่ๆ ไม่ได้ แล้วมึงจะมาบวชทำไม”
เมื่อตำหนิกาย วาจา ใจ ของตนที่ไม่เอาไหนได้อย่างนั้น มันก็มีความฮึดฮัดที่จะต่อสู้ หาทางต่อสู้กับฝ่ายต่ำที่ทำให้ขี้เกียจอ่อนแอไม่เอาไหน นั่งภาวนาพุทโธ เอาจริงเอาจังให้รู้เช่นเห็นชาติตนว่า ก่อนบวชที่ว่าตัวเองแน่ๆ ไม่ยอมถอยให้ใครๆ มาบัดนี้จะมาถอยให้กิเลสแบบง่ายๆ หมดทางต่อสู้ แบบนี้ถ้าจะเรียก ก็เรียกได้ว่านักเลงกระจอกงอกง่อย เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สมควรแล้วละหรือที่เราจะมาภูมิใจกับการเป็นคนจริงแบบปลอมๆ ที่แท้ก็เก่งแต่การโอ้อวดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย
“เอาละวะ...” มันคิดขึ้นมาภายใน “เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย อยู่เป็นอยู่ พระพุทธเจ้าทำอย่างไร เราจะทำอย่างนั้น พระสาวกท่านปฏิบัติเคร่งครัดอย่างไร เราจะเคร่งครัดอย่างนั้น” นี่ ใจมันเริ่มสอนใจตนเองขึ้นมาแล้วทีนี้
นอกจากจะนั่งภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ลดละความพากเพียรพยายามแล้ว ยังมีเดินจงกรม พยายามเดินจงกรมอย่างที่ท่านอาจารย์กงมาท่านสอน เดินเข้า เดินเข้า ทุกๆ วัน ทุกๆ คืน ใจมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ใจมันก็สงบลง บางทีเดิน ๓-๔ ชั่งโมง ทางจงกรมแหลก แดดเปรี้ยงๆ ไม่มีถอย ไม่เลือกกาลเวลา ทางจงกรมที่เราเดินยาวเส้นหนึ่ง (๒๐ วา) นี้แหละพรรษาที่หนึ่งทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอด
ฉะนั้น การสร้างความดีใครว่าไม่ต้องลงทุนลงแรง คนนั้นแหละพูดแบบโง่ๆ เพราะมันไม่เคยสร้างคุณงามความดี การสละชีวิตเพื่อความดี อันเป็นเลิศอย่างนี้ เรียกว่าไม่ลงทุนลงแรงหรือ? อย่างนี้ต่างหาก เรียกว่าลงทั้งทุนลงทั้งแรง แบบไม่ออมมือ แบบทุ่มไม่ให้กำลังเหลือ

สระน้ำใกล้กับกุฏิหลวงปู่เจี๊ยะ ที่วัดทรายงาม

เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ก็พยายามสอนตัวเองด้วยอุบายต่างๆ นานาว่า “สมบัติพัสถานข้าวของเงินทองเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาตายเห็นมั้ยได้อะไรไปบ้าง”
เพราะฉะนั้นพระที่ไปชักผ้าบังสุกุล ไม่ใช่ไปชักเอาสตางค์ อนิจฺจา วตสงฺขารา สังขารเป็นอย่างนี้ไม่เที่ยง ตายเหมือนกัน นั่น...จงพิจารณาเพราะเป็นอย่างนั้น
แต่ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนั้น มันเพลินอย่างอื่นนะ มันไม่คิดย้อนกลับมา มันก็ไม่เป็น อนิจฺจา วตสงฺขารา เพราะฉะนั้นจึงว่า ถ้าเราทำจิตใจให้อยู่กับพุทโธ นานๆ เข้า หลายๆ วัน หลายเดือน เป็นปีขึ้นไป ทีหลังก็จะติด ไปไหนใจก็พุทโธๆ อยู่เรื่อย ใจก็ติด แน่ะ...เราก็ลุยใหญ่
ว่าพุทโธแล้ว ถ้าใจยังไม่สงบ ก็เดินว่ามันอย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ จนมันสงบ บางคราวมันจะลอย เคยอยู่ครั้งมันจะลอยให้ได้ ลอย... ลอย...ลอยสิ ลอย... ลอย เอาลอยสิ... ก็ขย่มขึ้นไปอีก มันไม่ลอยขึ้นซักที มันเพลินเดินสนุก เดินกันเป็นชั่วโมงๆ เหงื่อแตกซิกไปหมด เป็นหลายชั่วโมง แน่ะ... เดินจงกรมสงบ โอ๊ย...มันดีจัง...เพราะฉะนั้น พอมันเป็นอย่างนี้ พอใจได้รับความสุขมันก็ติดใจๆ มาเรื่อยๆ
การภาวนาในระยะนี้ก็ยังไม่สม่ำเสมอ คอยแต่จะหลับอยู่เป็นประจำ มันขี้เกียจ เพราะเรายังไม่มีใจให้ทางนี้มากนัก แต่มันก็มีความละอายภายในใจลึกๆ ที่เราเป็นพระทั้งองค์แต่กลับขี้เกียจขี้คร้านภาวนา ในขณะเดียวกัน ฆราวาสญาติโยมเขามีทั้งหน้าที่การงาน ยังสู้อุตสาห์ปลีกเวลามาทำ ไม่เห็นมีใครเขาบ่นกันอย่างนั้นอย่างนี้ เราเองซิ อยู่กับที่อยู่กับวัด นั่งเฝ้านอนเฝ้าพระประธาน นั่งเฝ้านอนเฝ้าครูบาอาจารย์พระธรรมคำสอน ศาลาวัดอยู่ แทนที่จะได้ดี ทำดีกว่าชาวบ้านร้านตลาดเขา แต่นี่กลับแย่กว่าเขาเสียอีก เราเองก็เป็นคนทั้งคนเหมือนพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกท่าน ท่านเหล่านั้น ก็ไม่ได้กินเหล็กกินไหลมาจากไหน ก็กินข้าวฉันข้าวเช่นเดียวกันกับเรานี่แหละ ทำไมท่านถึงได้ดีกว่าเรา ถ้าจะต้องโทษก็ต้องโทษเราซึ่งเป็นผู้ขี้เกียจเสียเอง
ความขี้เกียจมันดีไหม? คนผู้มีปัญญาในโลกนี้เขาสรรเสริญคนขยันทั้งนั้น แล้วเรากลับมาขี้เกียจนั่งหลับอยู่ทำไม? ไม่อายศรัทธาญาติโยม ที่เขานั่งภาวนากันเต็มศาลาบ้างหรือ? การงานทางโลกที่ว่าหนักหนาเราก็ผ่านมาหมดแล้ว งานที่คนอื่นเขาไม่มีปัญญาทำได้ เราก็ทำมาแล้ว ทำไมการภาวนา เราจะทำไม่ได้ รู้ไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนี้ มันก็เจ็บลึกภายในใจ แล้วก็นึงขึ้นมาภายในใจว่า
“กูบวชมากินข้าวชาวบ้านแล้วยังพาลมาขี้เกียจอีก”
การภาวนาก็สู้โยมไม่ได้ มันเจ็บใจตัวเอง เดินเข้าไปกราบพระ ตั้งสัจจะอธิษฐานซ้ำอีกว่า
“ถ้ามึงภาวนาไม่ได้ให้มึงตายซะ ถ้ามึงไม่มีสัจจะในตน ขอให้ฟ้าผ่า แผ่นดินสูบ น้ำท่วมตายซะ อย่ามีหน้ามาอยู่ดูโลกนี้อีกเลย”
เมื่ออธิษฐานดังนี้แล้ว รู้สึกว่าใจมันคึกคักขึ้นมาทันที แสดงอาการตอบรับกับคำอธิฐานเช่นนั้น มันเหมือนกับมีอะไรๆ มาฉุดให้ใจกล้าแกร่ง หลังจากนั้นก็ภาวนาแบบสู้ตายถวายชีวิต ในที่สุดจิตมันก็รวม ตอนนั้นพวกโยมนั่งสมาธิกันมากที่วัดทรายงามประมาณ ๕๐-๖๐ คน
เมื่อตั้งสัจจะแล้ว เริ่มภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน กลางวันนั่ง(ภาวนา) กลางคืนเดินจงกรม สละชีพเอาเป็นเอาตาย หมายไว้ในใจอย่างนั้น
“เอาล่ะนะ คราวนี้เป็นคราวสำคัญ บุญบารมีที่สั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางไหนจงมาอุดหนุนด้วยเถิด”
คิดไว้ภายในใจอย่างนี้ ในการภาวนาในครั้งเริ่มแรกนั้น ต้องบริกรรมภาวนาพุทโธอย่างเดียว ให้พุทโธเร็วๆ ไม่ให้จิตใจคิดอะไรอื่นได้ ไม่ต้องดูลมหายใจ ถ้ามัวดูลมหายใจจิตมันไม่เป็นสมาธิ
ฝึกหัดภาวนาเอามันให้ได้ ฝึกหัดให้มันได้เป็น ๓ ชั่งโมงมันไม่ลุกจิตมันไม่ลง ไม่ยอมลุกแล้วมันไม่ลงได้อย่างไง พุทโธ โธ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มันต้องลงให้เราซิ ก็ด่ามันเข้าซิ กุ้งมึงก็กิน ปลามึงก็กิน เป็ดมึงก็กิน น้ำพริก น้ำแกง น้ำอ้อยน้ำตาลกินทุกอย่าง ไอ้ห่า! มึงนั่งสมาธิให้กูไม่ได้หรือ มันต้องเอาอย่างนั้นซิ นี่! เราเอาอย่างนั้นทีเดียวได้เลย แม่ง...มึง! ๕ ชั่วโมงก็ไม่ออก ออกเป็นฟ้าผ่า แผ่นดินสูบ น้ำท่วมตาย ไฟไหม้ตาย ทีเดียวมันก็ไม่กล้าออก มันต้องบังคับเอา เราสร้างความดี ทีนี้มันขี้เกียจ โอ๊ย...เจ็บขา โอ๊ย..สู้ไม่ไหวแล้ว โอ๊ย...ไปแล้วครึ่งชั่วโมง เสร็จเรียบ แหมมันต้องสู้ซินะ นักสู้มันต้องสู้ซิ
พอจิตเป็นสมาธิ มันสงบนิ่งเฉยเหมือนตัวนี่จะเหาะจะลอยได้อยู่บ่อยๆ เวลาเดินจงกรมเหมือนจะเหาะได้ จนพระมหาประเสริฐที่ไปอยู่ด้วยพูดว่า
“เอ๊ะ... พระองค์นั้นมันเดินจงกรมยังไงวะ... แผ่นดินนี้แหลกไปหมดเลย... เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเห็นใครเดินจงกรมอย่างนี้เลย”
แผ่นดินที่เราเหยียบย่ำนั้น มันจะไม่แหลกไปได้อย่างไง ก็เล่นเดินจงกรมย่ำทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน แผ่นดินมันแหลกไปหมด ดินนั้นมันเป็นดินปนทรายๆ นิดหน่อย เช้าขึ้นมาใครๆ มาเห็นเข้า ก็พากันตกอกตกใจ “เอ๊ะ...ใครมันมาทำอะไรตรงนี้” เพราะไม่มีใครรู้ แอบๆ มาทำกลางคืนไม่ให้ใครเห็น การเข้าไปภาวนาแบบเรานี้ต้องมีความอดทนมาก จิตใจต้องหนักแน่น ที่สำคัญต้องรักษาสัจจะที่ตั้งใจไว้ยิ่งกว่าชีวิต เราทำ ทำจริงๆ ข้าวมันก็ไม่กิน มันอยากตายก็ให้มันตาย ถ้าภาวนาจิตไม่ลงรวม เป็นไม่ยอมต้องต่อสู้ ถ้าจิตยังไม่ลงอีก ยังอธิษฐานสู้เพิ่มความเพียรให้หนักเข้าไปอีกอีก ไม่ใช่จะถอยนะ มีแต่จะเดินหน้าฆ่ากิเลสคือความไม่สงบ
จนมีบางคราวท่านพ่อลีท่านกลัวใจเรา จนท่านพ่อพูดว่า “ท่านเจี๊ยะนี่ใครไปยุ่งกับมันไม่ได้ เดี๋ยวมันฮึด ไม่ว่าเทวดา มันเอาหมด มันสู้หมด

**********************************************************************

ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-03.htm#๐๓๑_หลบนอน
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง