ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 12:16 pm |
|
ถามอีกทีครับคุณ สี บุญมา
นอกจากแนวของหลวงปู่เทสก์แล้ว ก่อนนั้นเป็นแนวของใครครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
nattakarn
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 01 ก.ค. 2007
ตอบ: 57
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 1:58 pm |
|
Buddha พิมพ์ว่า: |
สี บุญมา พิมพ์ว่า: |
เดิมทีข้าพเจ้านั่งสมาธิเป็นประจำ วันละครึ่งชั่วโมงบ้าง สิบยี่สิบนาทีบ้าง พอให้นอนหลับ เพราะภาวะรอบข้างมันเครียด ก็หลับสบายดี สงบดีนะ แต่แหม พอมาอ่านหลายๆ ท่านที่ทำกัมฐานแล้วเห็นนั้น เจอนี้ โอ้โฮ ตื่นเต้นจัง อยากได้บ้าง ก็เร่งศึกษา เขาเพ่ง เราก็เพ่ง เขาอะไรเราก็ทำตาม วุ่นวายไปหมด สมาธิไม่มีเลยละตอนนี้
ผลที่ได้ คือ เครียดกว่าเดิม เพราะทำไม่ได้เหมือนเขา นอนไม่หลับ เพราะมัวคิดแต่อยากมีฤทธิ์
ท่านอื่นเป็นอย่างไรกันบ้าง ได้ หรือ เครียดเหมือนข้าพเจ้า สาธุ |
ก่อนจะฝึกสมาธิ น่าจะได้รู้ความหมายของคำว่าสมาธิ หรือรู้ความหมายของกรรมฐาน หรือส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการฝึกสมาธิให้ถี่ถ้วนจะได้เกิดความเข้าใจไม่หลงผิด สมัยนี้ความรู้หาง่ายขอรับ ถ้ารู้แล้วว่าการฝึกสมาธิ กรรมฐานหมายถึงอะไร ทำอย่างไร คุณก็ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องบ้า อยากเห็นโน่นเห็นนี่
คนที่เขาบอกว่า นั่งสมาธิ กรรมฐานแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ มีสองอย่างครับ
1. โรคจิตประสาท
2. หลอกลวง
จบขอรับ |
คุณ(Buddha)นับถือพุทธศาสนารึเปล่าคะ หรือนับถือศาสนาอื่น |
|
_________________ ความดีเป็นสิ่งไม่ตาย เมื่อเราตายไปสิ่งที่ไม่ตายไปกับเราด้วยก็คือ "ความดี" ค่ะ หนูจะทำความดี |
|
|
|
Buddha
บัวบาน
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 2:31 pm |
|
คุณทั้งสองอย่าเข้าใจผิด และอย่าพยายามบิดเบือนคำกล่าวของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่เคยกล่าวว่า ข้าพเจ้าฝึกสมาธิแล้วมีร่างกายโปร่งแสง หรือมีฉัพพรรณรังสี
แต่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมของข้าพเจ้า และเกิดมีฉัพพรรณรังสี สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คำว่า "สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า" หมายความว่า ทุกคนที่อยู่ในบริเวณที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ฯ ย่อมต้องเห็นตามด้วย ไม่ใช่เป็นการคิดเอาเอง
และการที่มีฉัพพรรณรังสีก็เพราะ เป็นการขจัดอาสวะแห่งกิเลส
ข้าพเจ้าศึกษา ค้นคว้า และวิจัย รวมไปถึงทดลองปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ค้นคว้าและวิจัยได้ พบว่า กิเลสที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ไม่มีการดับ แต่จะมีแต่การขจัดออกเท่านั้น ขจัดออกหมายถึง ขับดันหรือคล้ายการล้างมันออก ด้วยวิธีการและหลักการของข้าพเจ้า สามารถพิสูจน์ได้ ด้วยตาเปล่า
หมายเหตุ ,,
ไม่ต้องถามนะขอรับว่า หลักธรรม และหลักการของข้าพเจ้ามีอะไรบ้าง |
|
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 6:42 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
ไม่ต้องถามนะขอรับว่า หลักธรรม และหลักการของข้าพเจ้ามีอะไรบ้าง
Buddha
19 ม.ค.2008, 2:31 pm |
กรัชกายฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ก็บอกไม่ได้หรอครับ
|
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 8:05 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมของข้าพเจ้า และเกิดมีฉัพพรรณรังสี
Buddha
19 ม.ค.2008, 2:31 pm |
...ลุงใหญ่ลืมอาจารย์พระมหา ที่ว่าจบจากเมืองนอกรูปนั้นแล้วหรอครับ
ที่ท่านสอน ภาวนาพุทโธๆ ให้น่า ครับ
|
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 8:07 pm |
|
ที่ยังมีชีวิตนะท่าน กรัชกาย
คนแรกก็คือ แม่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นนักปฏิบัติจริงจนปานนี้อายุเข้าเลขมงคล 80 ปี
ท่านที่สอง พระอาจารย์หลวงตา อยู่พักหนึ่ง เพราะบ้านใกล้ แล้วหลังๆท่านไม่ค่อยมีเวลา เลยเรียนกับหลวงพี่ แล้วก็หายไปเลย(หมายถึงข้าพเจ้านะ)
ท่านที่สาม หลวงปู่ศรี วัดป่ากุง เป็นวัดที่อยู่ติดบ้าน ห่างยี่สิบโล แต่ท่านอายุมากแล้วส่วนใหญ่ฝึกกับหลวงพี่
พระทั้งสองรูปนี้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น
แล้วข้าพเจ้าก็เข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สมาธิ เละเลยละท่าน
ตอนนี้เรียนต่อโท ที่ขอนแก่น ก็ได้แต่ตำรามาอ่าน เท่านั้นท่าน กรัชกาย สาธุ |
|
แก้ไขล่าสุดโดย สี บุญมา เมื่อ 19 ม.ค. 2008, 8:15 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง |
|
|
|
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83
|
ตอบเมื่อ:
19 ม.ค. 2008, 8:10 pm |
|
ท่านทั้งสอง กรัชกาย กับท่าน nattakrn ท่านรู้จักคำว่า พรหมทัณฑ์ มั๊ยท่าน
ตอนนี้ข้าพเจ้าขอกล่าว พรหมทัณฑ์ ต่อท่าน บุดดะ บัวใต้ดิน ท่านทั้งสองจะเห็นว่าอย่างไร สาธุ |
|
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 5:10 am |
|
อ้างอิงจาก: |
ท่านทั้งสอง กรัชกาย กับท่าน nattakrn ท่านรู้จักคำว่า พรหมทัณฑ์ มั๊ยท่าน
ข้าพเจ้าขอกล่าว พรหมทัณฑ์ ต่อท่าน บุดดะ บัวใต้ดิน ท่านทั้งสองจะเห็นว่าอย่างไร สาธุ
สี บุญมา
19 ม.ค.2008, 8:10 pm |
คุณสี บุญมา พรหมทัณฑ์ ทำไง แก่บุคคลเช่นใดครับ
|
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
nattakarn
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 01 ก.ค. 2007
ตอบ: 57
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 7:10 am |
|
หนูไม่รู้จักอ่าคะ "พรหมทัณฑ์"
พรหมทัณฑ์ คือ อะไรเหรอคะ |
|
_________________ ความดีเป็นสิ่งไม่ตาย เมื่อเราตายไปสิ่งที่ไม่ตายไปกับเราด้วยก็คือ "ความดี" ค่ะ หนูจะทำความดี |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 9:14 am |
|
อ้างอิงจาก: |
คนแรกก็คือ แม่ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นนักปฏิบัติจริงจนปานนี้อายุเข้าเลขมงคล 80 ปี
ท่านที่สอง พระอาจารย์หลวงตา อยู่พักหนึ่ง เพราะบ้านใกล้ แล้วหลังๆท่านไม่ค่อยมีเวลา เลยเรียนกับหลวงพี่ แล้วก็หายไปเลย(หมายถึงข้าพเจ้านะ)
ท่านที่สาม หลวงปู่ศรี วัดป่ากุง เป็นวัดที่อยู่ติดบ้าน ห่างยี่สิบโล แต่ท่านอายุมากแล้วส่วนใหญ่ฝึกกับหลวงพี่
พระทั้งสองรูปนี้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น
สี บุญมา
19 ม.ค.2008, 8:07 pm |
คุณ สี บุญมา ยังไม่บอกว่า ปัจจุบันคุณใช้กรรมฐานอะไร ในบรรดากรรมฐานที่คุณนำมาทั้ง
หมด ก่อนหน้านี้ครับ
ภาวนาพุทโธ กระมั่ง เพราะดูรายชื่อหลวงพ่อที่เอ่ยนามมาแล้วนั้นล้วนก็เคยใช้
อานาปานสติกรรมฐาน ทั้งนั้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 10:17 am |
|
ตอบเรื่องพรหมทัณฑ์ก่อนนะ
เดิมเรื่องคือ
พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านมีพระสหายครั้งก่อนผนวชชื่อ ฉันนะ หลังจากตรัสรู้แล้วกลับไปโปรดพระญาติ ก็มีเหล่าราชบุตรและเสนาออกบวชตาม และหนึ่งในนั้นคือ ฉันนะ ด้วยความถือดีว่าตนเป็นเพื่อนรักของพระพุทธเจ้า จึงไม่เกรงใคร ไม่เว้นแม้แต่อัครสาวก ซ้าย ขวา พระพุทธเจ้าตำนิก็ฟังโดยดี แต่เมื่อพ้นเบื้องหน้าก็มีพฤติกรรมเดิมๆละไม่ได้ จนครั้งถึงพระปรินิพพานจวนใกล้ จึงบอกพระอานนท์ว่าจงทำพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ เมื่อปรินิพพานไปแล้ว
จากนั้น(โดยย่อ)พระอานนท์ก็ประชุมพระเถระบอกจะกล่าวพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ ก็ตกลงกันอย่างนั้น พระอานนท์(อรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์แล้ว) ก็เรียกพระฉันนะมากล่าวพรหมทัณฑ์ว่า
"ดูก่อนอาวุโส บันนี้เหล่าเถระเจ้าทั้งหลายได้กล่าวพรหมทัณฑ์แก่เธอแล้ว"
พระฉันนะได้ยินเช่นนั้นถึงลมจับ ฟื้นตื่นตั้ง 3 ครั้ง เกิดความเสียใจเป็นที่สุดจึงหลีกสันโดดไปเพียงรูปเดียวเข้าไปยังเขตป่าจากนั้น ฯลฯ
พรหมทัณฑ์ เป็นการกล่าวว่าจะไม่ครบ ไม่พูดคุยกับผู้ที่ไม่รู้กาล รู้ควร คบไม่ได้(บัวใต้ตม อีกนัยหนึ่ง คือไม่สอนแล้ว) ซึ่งท่าน บุดดะ เข้าค่ายนี้หรือไม่
ตอบ กรัชกาย
เรื่องสมาธิเดิมคือ พุท-โธ จ๊ะท่าน พอเข้ากรุงเทพ พุทโธ ไม่ได้ วุนวาย
พอมาต่อโท เล่นกสิน เพราะครูคือตำรา จึงเกิดกระทู้นี้ขึ้น ว่าการเพ่งกสิน นำมาซึ่ง อภินิหาร
นั้นเกิดขึ้นช่วงต้น หลังๆหันมา พุทโธ ตามเดิม
วัตถุประสงค์กระทู้นี้เพียง อยากให้ท่านที่สนใจการทำสมาธิรู้ จริตตัวเองว่า เหมาะกับการเจริญวิปัสสนากัมมัตฐานแบบใดจึงอยากให้มาเล่าสู่กันฟัง และร่วมกันแก้ไข สาธุ |
|
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 6:34 pm |
|
อ้างอิงจาก: |
พระอานนท์ (อรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์แล้ว)
สี บุญมา
20 ม.ค.2008, 10:17 am |
กรัชกายไม่เข้าใจคำว่า อารมณ์
ที่ว่า พระอานนท์ (อรหันต์แล้ว ไม่มีอารมณ์แล้ว)
คำว่า อารมณ์ ในที่นี้คุณสี บุญมา หมายถึงอะไรครับ
-ส่วนประเด็นการลงพรหมทัณฑ์เป็นเรื่องธรรมชาติ หน้าที่ของโยคาวจร คือ กำหนดรู้อารมณ์
นั้นอาการเช่นนั้นตามความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น ฝนตกแดดออก เราไม่ยากเปียกฝน
ก็ใช้ร่มกางเอา เราจะห้ามฝนว่า จงอย่าตก แดดจงอย่าออก ย่อมเป็นไปไม่ได้ฉันใด
การปฏิบัติกรรมฐานก็ฉันนั้น ผู้ใช้พุทโธก็ดี พองหนอยุบหนอก็ดี ท่านให้กำหนดรู้อารมณ์
นั้น อาการนั้นๆ ตามที่มันเป็น จะฝืนสภาวธรรมไม่ได้ ใครขืนเข้าไปฝืนไปกักอาการนั้นไว้
ผู้ปฏิบัติเองนั่นแหละจะเป็นทุกข์เพราะฝืนกระแสธรรม
จุดหมายในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยสรุปเท่านี้
คือหมายความว่า ตามดูรู้ทันสภาวะตามที่มันเป็น
มิใช่คิดอยากให้เป็นตามที่เราต้องการจะดูต้องการจะได้ ต้องการจะเป็น
หรือเพราะอยากดูจึงทำให้มันเป็น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
jaaaaasy
บัวผลิหน่อ
เข้าร่วม: 13 ม.ค. 2008
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 7:23 pm |
|
สวัสดีค่ะ คุณสี บุญมา จ๋าก็เป็นอีกคนนึงที่อยากได้อยากเป็น (ยังมีกิเลสมักมาก) ตอนนี้ก็ยังมีอยู่คะ แต่ก็พยายามรู้ตัวว่าตัวเองเป็น ตัวเองรู้สึก แล้วก็พยายามทำใจไม่ให้เกิดความรู้สึกอยากได้ อยากเป็น เพราะใจอยากได้ ฌาน๔ ก่อนที่จะท้อง กลัวตอนท้องแล้วทำไม่ได้ ยากมากค่ะ ยอมรับยากจริง ๆ เครียดมากด้วย มันสับสนวุ่นวาย มันอยากให้ใครก็ได้ให้กำลังใจเรา แต่ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าเรามีเพื่อนที่ยังอยากได้ อยากเป็นอยู่ ก็ทำให้รู้ว่า คนมันมีกิเลสกันทุกคนแหละ ถึงแม้เราจะไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดช แต่ก็เป็นการสร้างบารมีนะคะ อย่าคิดมาก แต่จ๋าก็จะพยายามสู้กับกิเลสของตัวเองต่อไปค่ะ (คิดว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตเลย) ขอเป็นกำลังใจให้คุณด้วย แต่บางท่านก็บอกว่าอยู่ที่บุญเก่าของเราด้วยนะคะ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ |
|
_________________ อย่าดีใจ อย่าเสียใจไปเลย อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน |
|
|
|
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 9:09 pm |
|
ย่อไปจริงด้วย
พรหมทัณฑ์ คือการลงโทษโดยการไม่คุยด้วย
ไม่มีอารมณ์ คือ โมหะ โทสะ ไม่ไปกล่าวกับพระฉันนะด้วยความโกรธ ไม่ได้กล่าวด้วยความหลงผิด ไม่ใช้ไม่รู้สึกรู้สานะจ๊ะ
ซึ่งประเด็นนี้ไม่ได้คุยกันถึงการทำสมาธินะจ๊ะท่านกรัชกาย
ส่วนที่สองตอบท่านที่ท่านถามว่าทำสมาธิแบบใหนอยู่ก็เท่านั้น ไม่ได้รวมกันนะ
สาธุ |
|
|
|
|
|
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83
|
ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2008, 9:28 pm |
|
แยกหัวข้อดีกว่า เดี๋ยวสับสนอีก
ตอบคุณ จาซี(jaaaaasy)
ขอบคุณมากๆที่เข้าใจ แล้วญาณสี่ คืออะไร อยากได้ไปทำไม(กรุณาอย่าก๊อบมานะ ตามที่คุณรู้น่ะ) ทำไมท้องแล้วทำสมาธิไม่ได้ล่ะท่าน อีกประเด็น ที่แน่ๆเราสองคนบุญเก่าอาจเยอะมากๆ ชาตินี้เราอาจจะบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งได้ ว่ามั๊ย หรือ บุญเก่าเราไม่มี งั้น ไม่ต้องทำดีกว่าทำไปก็เท่านั้น หรือ ทำไปเรื่อยๆสบายๆ ไม่สนใจว่าจะได้อะไรจากการทำสมาธิ ไม่ต้องอยากได้ยานอาวกาศ 4 นั้น แค่สงบใจได้ ไม่ทะเลาะกับแฟน หรือถ้าทะเลาะเราก็โมโหช้าลงหน่อย หายเร็วขึ้น อย่างนี้ดีกว่ามั๊ย เรียนปรึกษา สาธุ |
|
|
|
|
|
Buddha
บัวบาน
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415
|
ตอบเมื่อ:
21 ม.ค. 2008, 2:37 pm |
|
คุณทั้งสอง รวมทั้งเวบมาสเตอร์
อย่ามีความคิดว่า คือให้เลิกคิดว่าข้าพเจ้า บ้า หรือเป็นโรคจิตประสาท
สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียน ล้วนเป็นความจริง ทุกประการ สามารถพิสูจน์ ได้
ส่วนเรื่องที่คุณทั้งสองเสวนากันนั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากขัดคอ หรือขัดศรัทธา
แต่จะบอกให้พวกคุณรู้ไว้อย่างหนึ่ง ว่าการปฏิบัติ หรือหลักปฏิบัติทางศาสนานั้น ไม่ได้มีหลักการเป็น ปึกๆ หรือมีแต่รายละเอียด โดยไม่มีหัวข้อหลักการพื้นฐาน
ถ้ามีแต่รายละเอียด โดยไม่มีหลักการพื้นฐาน เขาเรียกว่า พวกยักษ์พวกมาร คือเป็นหลักวิชชา ของพวกยักษ์พวกมาร
ไม่ใช่หลักวิชชา ของเหล่าเทวดา อินทร์ พรหม
หนึ่งพวกคุณยังมีความรู้เท่าไม่ถึงกาล เข้าใจผิดคิดว่า "ฌาน" คือสิ่งที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติสมาธิ
แท้จริงแล้ว หลักการในเรื่องของ "ฌาน"นั้น ได้ถูกบิดเบือนไปนานแล้ว
เพราะเหตุที่ว่า ธรรมชาติของมนุษย์ แม้ไม่ต้องปฏิบัติสมาธิทางศาสนาเลย
ทุกคน ก็ล้วนมี ฌาน เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
ถ้าจะกล่าวให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น คำว่า "ฌาน"นั้น เขาใช้ในการสอน หรืออธิบาย ถึงธรรมชาติของมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคน เมื่อได้สัมผัส หรือประสบ กับสรรพสิ่งภายนอกร่างกาย ทางอายตนะต่างๆแล้ว ทุกคน ล้วนต้อง เกิดฌาน ตามลำดับ ซึ่งมันก็คือความคิดนั่นเอง เพียงแต่ศัพท์ภาษานั้นเป็นศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤต จึงเรียกว่า "ฌาน " ถ้าเป็นภาษาไทย ก็มีความหมายว่า มนุษย์ เมื่อได้สัมผัสทางอายตนะ ของร่างกายแล้ว ก็จะเกิดความคิดต่างๆนาขึ้นมา ตามเหตุการณ์ หรือตามสิ่งที่ได้ประสบ เมื่อเกิดความคิดแล้ว ก็จะเกิด ฌาน ลำดับที่สอง เหตุเพราะ ในตัวมนุษย์ ย่อมต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องต่างๆอยู่บ้าง ความรู้ความเข้าใจเหล่านั้น ก็จะไปยับยั้งความคิดต่างๆนานา หรือวิตกวิจารณ์ นั่นแหละ เมื่อยับยั้งได้แล้ว ความสุข หรือความสบายใจก็เกิดขึ้น ซึ่งก็คือปิตินั่นแหละ ต่างกันที่ศัพท์ภาษา เมื่อเกิดความสุขหรือความสบายใจแล้ว ความสุขความสบายเหล่านั้นก็จะหายไปเอง เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อคิดเมื่อรู้ และเมื่อเข้าใจในเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาแล้ว ลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะสิ้นสุดลง เหลือแต่ความวางเฉย คือไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่ได้ประสบนั้นอีก
ต่อเมื่อได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ ทางอายตนะของร่างกายอีก กระบวนการทางความคิดก็จะเริ่มขึ้นอีก หมุนวนกันเป็นวัฏจักร
บางเรื่อง บางความคิด ก็ต้องใช้เวลานานกว่า จะสิ้นสุดที่"ฌานที่ 4" บางเรื่อง บางความคิด ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที จึงสิ้นสุดที่"ฌานที่ 4"
ซึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ รวม ไปถึงการได้รับการขัดเกลาทางสังคม วัฒนธรรมจารีตประเพณี อันนี้เขียนโดยรวม รายละเอียดยังมีอีกเยอะ
ส่วนการปฏิบัติสมาธิ หรือการฝึกสมาธินั้น เป็นการฝึกปฏิบัติธรรมชั้นพื้นฐาน ในแง่ของการควบคุมความคิด ดังนั้น การฝึกสมาธิก็คือ การไม่คิด ไม่เห็น สิ่งใด เพียงเอาใจจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ หรือเอาใจเข้าไปผูกอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับสรีระร่างกาย
ขอย้ำว่า การฝึกสมาธิ คือ การเอาใจจดจ่อ หรือเอาใจฝักใฝ่ หรือเอาใจเข้าไปผูกอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับสรีระร่างกาย
เพื่อ ควบคุม ความคิด อารมณ์ และความรู้สึก
ดังนั้น การฝึกสมาธิ จึงเป็นเพียงการไม่คิด ไม่เห็น ไม่มีอารมณ์ ไม่รู้สึก (คำว่าไม่รู้สึก คือไม่รู้สึกว่า สบายใจ เสียใจ หรือเคียดแค้น อิจฉา ริษยา ฯลฯ) |
|
|
|
|
|
ประเด็จ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 30 ส.ค. 2007
ตอบ: 12
ที่อยู่ (จังหวัด): เพชรบูรณ์
|
ตอบเมื่อ:
21 ม.ค. 2008, 4:15 pm |
|
การที่เรานั่งสมาธิแล้วไม่เห็นอะไรเป็นการดีซ่ะอีกเพราะจะได้มีสติกับการทำสมาธิคุณก็นั่งไปเรื่อยตามแบบที่คุณทำให้กำหนดรู้ตลอดเวลาทุกลมหายใจการที่เราเห็นไม่ใช่อภิหารอะไรแค่จิตเราปรุงแต่งขึ้นมาบ้างและเกิดจากญาณบ้างเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นของการทำสมาธิ
ส่วนที่ว่ากายเรืองแสงอะไรนั่นหรือว่าใสๆเบาสบายเหมือนกับน้ำที่อยู่ในถุงหรือลูกโป่งนั้นเป็นกายทิพย์เมื่อฝึกดีแล้วจึงจะเห็นได้อันนี้เป็นของจริงไม่ได้หลอกน่ะ
ถ้าพวกคุรลองไปปฏิบัติธรรมกันจริงๆเรียนภาคปฏิบัติดูก็จะรู้เองว่าสิ่งเหล่านั้นมีจริงแต่เราอย่าไปยิดติดแค่นั้นเพราะจิตจะเกิดกิเลสซึ่งยากแก่การควบคุม
การทำสมาธิคือการที่เราสามารถควบคุมจิตของตัวเองให้อยู่กับอารมณนั้นๆลองปฏิบัติแล้วมีพระอาจารย์สอบอารมณ์ให้ดีกว่าที่คุณจะมาเถียงกันเองน่ะ |
|
_________________ ง่ายอยู่ที่ปาก ยากอยู่ที่ทำ |
|
|
|
RARM
บัวบาน
เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417
|
ตอบเมื่อ:
22 ม.ค. 2008, 5:20 pm |
|
เราทำสมาธิ แบบไหนแล้วเกิดความสงบเย็นใจ ก็ทำแบบนั้นบ่อยครับ เราจะไปแบกความคิด ความอยากไว้ทำไม ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่เราซักหน่อย
ดูปฏิปาตัวเองว่า ทำสมาธิเพื่ออะไร
ท่านอาจารย์ของผมสอนว่า ทำใจให้บริสุทธิ์ ไม่พูดร้ายไม่ทำร้ายใคร พอแล้ว ประเสริฐสุดแล้วแค่นี้ |
|
|
|
|
|
1เอง
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 29 ต.ค. 2007
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
24 ม.ค. 2008, 10:10 am |
|
เฮ้เป็นอารายที่เถียงกันไม่รู้จบกันไปทุกทีที่เปิดประเด็นคุยกัน เห็นและได้แต่ปลงไม่รู้จาทำไงได้
เจริญในธรรมคับทุกท่าน |
|
|
|
|
|
ชัยพร พอกพูล
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2006
ตอบ: 73
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
25 ม.ค. 2008, 1:35 pm |
|
ว้าว! เรากำลังได้อ่านบทสนทนาธรรม ธรรมะของคุณBuddha ซึ่งคุณBuddhaตรัสรู้ชอบได้ด้วยตัวของเขาเอง แสงอะไรต่องมิอะไรนั่นสามารถเห็นได้ด้วยตาของกายหยาบ สุดยอดเลยครับ ท่านต้องเป็นศาสดาของศาสนาใหม่แน่ๆ หาได้เป็นปัจเจกพุทธเจ้า ใช่หรือไม่ครับ นับถือๆ หึๆ
นอกเรื่องไปหน่อย
ตอบท่านเจ้าของกระทู้ ผมเองนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบเท่านั้นน่ะครับ จะเห็นหรือไม่เห็น(หรือเห็นแล้วประสาทอะไรของเขานั่นน่ะ) ไม่ใช้ประเด็นเลยครับ ถ้าเราทำสมาธิแล้วมีจุดหมายในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ทำไปเถอะครับ แต่ถ้าทำแล้วไม่สงบ สบาย ผมเห็นว่าเรากำลังหลงประเด็นแล้วล่ะครับ |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
|
|
|