Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
อุบายวิธีดำเนินสมาธิ (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สมาธิ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร
ตอบเมื่อ: 17 ธ.ค.2007, 12:26 pm
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ประธานสงฆ์วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
เรื่อง : อุบายวิธีดำเนินสมาธิ
การทำสมาธิมีหลายชั้น ชั้นสูงสุดมีดุจในพระพุทธเจ้า พระองค์มุ่งหวังความพ้นทุกข์หาอุบายวิธีดำเนินให้เป็นไป เพื่อความถึงที่สุด แห่งภพเถอะว่าง่าย ๆ อันนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่จะกาวไปถึงที่สุด แต่อุบายอย่างเราบางคนก็ถือ ควรที่ฝึกบ้างเพราะว่ามันดีคล้าย ๆ กับว่าทางจิตใจของเราหรือความรู้สึกนี้ ถ้าหากว่าก่อนที่ความรู้สึกนี้ ถ้าหากว่าก่อนที่ความรู้สึกนำพาส่วนต่าง ๆ บังคับให้เป็นไปตามอำนาจของมันได้โดยให้เป็นไปตามรูปของมันอย่างเดียวมันมีผลเสียกับผลดีคู่กันอยู่ เช่นดุจในการผ่านมาของพวกเรา ชั่วระยะหนึ่งที่เราผ่านมาก็พอที่จะมองเห็นได้างอย่างเราก็ผิดบางอย่างเราก็ถูกบางอย่างก็รุนแรงเกินไปบางอย่างก็อ่อนไม่พออะไรเหล่านี้ การกระทำโดยที่เรียกว่าเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาอาศัยความรู้สึก หรือเหตุการณ์ทำให้เกิดความรู้สึกตามเหตุการณ์ซึ่งสมควรที่จะรักก็หลงรักสมควรที่จะชังก็หลงชังอะไรเหล่านี้ มันก็สามารถที่จะกระตุ้นความรู้สึกให้เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์ เมื่อเราก่อให้อำนาจจิตใจของเราต่ำกว่าเหตุการณ์ปล่อยให้เหตุการณ์หรืออารมณ์นำพาจิตของเราให้เป็นไปตามอำนาจของมัน มันมีทั้งผลดีและผลเสียเจือกันอยู่อย่างมาก เราได้เห็นมา เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราเห็นได้อย่างนี้ สมควรอย่างยิ่งจะต้องมีอุบายดำเนินทางด้านสมาธิจิต การทำสมาธิจิตนี้ไม่ใช่อื่นไกล เป็นอุบายวิธีที่จะสร้างกำลังมาต่อต้านกันคือ เมื่อจิตของเราจะเป็นไปตามอำนาจองอารมณ์หรือเหตุการณ์นั้น เราจะได้ใช้กำลังจิตชนิดหนึ่ง คือว่าอำนาจของตปธรรมมาจาสมาธิเป็นส่วน ผลนั้นก็คือ กำลังตัวคุ้มครองอันนี้สำคัญ ถ้าพวกเราก่อให้จิตของพวกเรารุนแรงไปตามเหตุการณ์นั้น พวกเราก็พอที่จะเห็นได้อย่างทุกวันนี้ และพวกเราเองทีหลังก็มาเสียใจว่าอันนี้เราควรที่จะต่อเติมอย่างนั้น ควรที่จะทำอย่างนี้ถึงจะถูก บางทีอื้อหืออันนี้เราชักรุนแรงไปหน่อย แหม.น่าอับอายขายหน้า บางสิ่งบางอย่าง โอ้โห ทำให้เราท้อแท้ใจไม่ใช่เล่น ทีนี้ถ้าเราสร้างอำนาจส่วนนี้ขึ้นมาแล้วนี่ เราะเอามายับยั้งจิตของเราไม่ให้รุนแรงไปตามเหตุการณ์ โดยลำพังจะต้องยับยั้งไว้ดีเสร็จเรียบร้อยต้องกิจารณาถึงผลสียผลดีจะประกอบด้วยโทษ หรือประกอบด้วยคุณให้แน่นอนก่อนถึงจะลงมือกระทำ หรือจึงจะพูดออกมามันเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นไปโดยธรรมชาติธรรมดาแล้วก็ขาดการคำนึงคำนวณคำพูดแต่ละคำแาจจะไปกระทบกระเทือนคนอื่นได้รับความเดือดร้อน หรืออาจจะเป็นการสร้างเวรให้แก่ตัวเอง หรืออาจจะเป็นการต่อบาปเกิดขึ้นแก่ตัวเองหลายอย่างทางด้านกาย และวาจาก่อนประพฤติอันนี้ สมควรที่พวกเราจะต้องสร้างกำลังของสมาธิขึ้นมาเพื่อที่จะนำเราเข้าไปสู่จุดที่เรียกว่าเต็มไปด้วยความปลอดภัย หรือถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งในอุบายอย่างต่ำลงมาก็คือ เพื่อจะมาแบ่งอารมณ์ของเราให้ดีหรือให้นึกถึงความดี เพื่อจะทำให้จิตใจของเรานี่ดี ความดีที่เรากระทำมาแล้วการรักษาศีลก็ดี การเจริญเมตตาภาวนาก็ดี จนกระทั่งการให้จากการบริจาคให้ทานอะไรเหล่านี้เป็นต้น เราจะได้พยายามนิยมระลึกถึงความดีของเราอยู่เสมอ เมื่ออารมณ์มันวุ่นวายเดือดร้อนก็จะได้หาอุบายวิธีแต่งอารมณ์ของเราได้ดีในอุบายวิธีที่ทำนี้ก็เพื่อความชำนาญ ถ้าเรามีความชำนาญดี ฉลาดในการติดอารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างฉลาดการประคองจิตเข้าสู่อารมณ์ที่ดี หาอุบายวิธีหรือหาเหตุผลเข้ามาทำให้จิตของเรานี้มีความเพลิดเพลินในอารมณ์หรืออุบายวิธีอันนี้ ถ้าเรามีความฉลาดอยู่เป็นอาจิณแล้วผู้นั้นไม่มีทางตกนรกหรอก พระพุทธเจ้าบ่งชัดอยู่ว่าก่อนผู้นั้นจะตายหรือจวนจะตายนะ ถ้ามีจิตอันเศร้าหมองมีความวุ่นวายเดือดร้อนผู้นั้นจะหวังตกนรกได้ ถ้าผู้ใดมีจิตใจซึ่งปกติมีอารมณ์ที่ดีเป็นคู่ของจิตอยู่แล้วผู้นั้นจะต้องได้นิมิตที่ดี คือ เมื่อเรานึกถึงการทำบุญให้ทานบริจาคการรักษาศีลการเจริญเมตตาภาวนานิมิตอันนั้นจะเกิดนำพาหรือเห็นพระพุทธรูปเห็นเครื่องสักการะเห็นครูบาอาจารย์ หรือผู้ประพฤติธรรมก็ดี อันนี้มันเป็นสิ่งที่นำพาอยู่แล้วก็จะทำให้เกิดเห็นพระเจ้า หรือเครื่องทรงของเทพเจ้าหรือปราสาทวิมาน เมื่อเราสติเคลื่อนจากชาติมนุษย์แล้ว เราจะไปสู่เทพเจ้าเหล่าเทวดา อันนี้เป็นสิ่งแน่นอนที่สุด
ที่นี้สำหรับผู้ที่ไม่มีการเจริญเมตตาภาวนาให้จริงต่อการนำอารมณ์ที่ดีเข้ามาให้เป็นคู่ของใจอยู่แล้วนั้น ไม่แน่นักมันแล้วแต่จิตของเราจะประหวัดไปโดยลำพังของมัน เมื่อมันประหวัดไปถ้ามันเกิดไปเจอเกาะของอารมณ์ที่ไม่ดีมาแล้ว เศร้าหมองคนนี้ก็มีทางตกนรกได้ แต่ผู้นั้นเกิดไปเกาะเอาอารมณ์ที่ดีไดก็อาจจะมีทางก้าวไปสู่สรรค์ได้ อันนั้นยังไม่แน่นอนยังเสี่ยง ๆ อยู่แต่ถ้าจะให้แน่นอนที่สุดก็คือ ผู้มีการภาวนาหาอุบายวิธียับยั้งจิตของเราที่จะมุ่งสู่อารมณ์ดังกล่าวอารมณ์ที่ดี อารมณ์ไม่ดีต้องปราบเข้าไปจัดสรรอารมณ์ต้องปราบภาพจิตของเราจากอารมณ์ไม่ดีต้องนำดาจิตใจของเราสู่อารมณ์ที่ดีหรือนำอารมณี่ หรือให้ความจิตที่มาสู่ใจของเรา ต้องพยายามทำให้เสมอ คือถ้านำได้อย่างนี้ก็รับรองนรกกินเราไม่ได้ ทีนี้จะก้าวไปสู่ชั้นสูงของสมาธิก็ไม่ใช่อื่นไกลหรอก ก็เช่นเดียวกันนั่นแหละ แต่ทำให้ดียิ่งขึ้น คือว่าการสร้างสติของเรานั้นต้องให้สมบูรณ์ เอ่อ จนกระทั่งเรากำหนดพุทโธ พุทโธ ที่ปลายจมูกเรานั่นแหละ เมื่อจิตของเราไม่เคลื่อนไหวไปต่ออารมณ์สัญญาที่อื่น ไม่หนีหน้าสติไปได้หมายความว่าอย่างนี้แหละ คือสติมีอำนาจจะสามารถคุ้มครองจิตของเราให้อยู่ในอำนาจของสติสามารถกำหนดจุดที่เราตั้งไว้ คือ ปลายจมูกได้แจ๋วอยู่ตลอดเวลา เมื่อการกระทำไม่มีการบีบ ความมึน ทื่อ ไม่ชา หรือไม่มีความอึดอัด หมายความว่าวางถูกกำหนดถูกไม่มีการเพ่ง หรือกดดันตัวเองเลย โล่งสบาย กำหนดที่ไหนก็สบายโปร่งโล่งเลย อันนี้เรียกว่ากำหนดถูกทำถูก เมื่อเราสามารถกำหนดอยู่ในจุดใดจุดนั้นตลอดเวลาเบยไม่มีเคลื่อนนอกไปไหนได้นั่นแหละ เรียกว่าสมบูรณ์ เมื่อเราสมบูรณ์ดีแล้วเราก็มาทดสอบอย่างที่ว่าให้เข้มแข็ง หรือดีเด่นกว่านี้ เวลานอนเราก็กำหนดพุทโธ พุทโธอยู่ที่ปลายจมูกถึงเวลาหลับก็หลับไป ถึงเวลาตื่นขึ้นมาก็พุทโธ พุทโธ ยังแจ๋วอยู่ตลอด หรือเราสามารถบังคับให้หลับได้เต็มที่อย่าให้หลับได้มากให้หลับได้พอดี เราก็ถึงว่าการกระทำของเรานั้นสมบูรณ์ขึ้นหรือบางทีสามารถไม่ให้หลับก็แจ๋วอยู่ตัวอันนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้วที่จะเป็นการเข้าสู่สมาธิ ผู้ที่เข้าไปว่าหายใจไม่เต็มปอดมันสะอึก ๆ อยู่ ทีนี้พูดถึงเรื่องการกระทำสมาธิในอุบายวิธีการดำเนินเพื่อต้องการที่ก้าวให้ถึงที่สุดแห่งภพนั้นมันไปอีกรูปไหน คือ การสร้างสตินี่ก็ต้องให้สมบูรณ์แล้วก็เอามาทดสอบ ทดลองโดยการเคลื่อนไหว การลุกขึ้น การนั่งลง การหยิบของการกระทบกระเทือนอะไรเหล่านี้ เราทำได้ว่องไวได้ดี และมีสติคุมทัน ไม่มีการกระทบกระเทือน โดยจะลุกขั้นทีหนึ่ง จะนั่งลงทีหนึ่งก็ให้เรารู้ตัวโดยไม่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาการนั่งลงของเราก็สุภาพเรียบร้อย การลุกขึ้นก็สุภาพเรียบร้อยเป็นอาจิณ เป็นความสม่ำเสมอเป็นอาจิณ รู้จัดจุดการถวายของเรานี้ เราจะยกมือขึ้นขนาดไหน แต่ว่าตอนที่เราจะน้อมหัวลงจะยกมือขึ้นขนาดไหนก่อนน้อมลงไปแล้ว การวางมือในท่าที่สวยงามขึ้นขนาดไหนดีขึ้นขนาดไหน เราก็ทำของเราได้อยู่เป็นอาจิณ คือ หมายความให้สม่ำเสมอจริง ๆ ไม่ใช่ว่าคราวนี้เผลอ เอ้อ กราบเรียบร้อยได้สมบูรณ์คราวนั้น กราบไม่สมบูรณ์ไม่ใช่อย่างนั้นให้มีความสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา การกราบการไหว้ก็ให้สมบูรณ์จนกระทั่งจะลุกขึ้นทีหนึ่งจะนั่งลงทีหนึ่งก็ไม่ให้วิปริตให้สมบูรณ์ปกติอยู่ แต่ว่าไม่ใช่ทำจนว่าคนอื่นมองเห็นเป็นวิปลาศไป คือ ให้ละม่อมละไมสวยงามเท่านั้น หมายความว่าการแสดงออกอย่างนี้ให้สม่ำเสมอจนกระทั่งเราไปหยิบของ วางของต้องว่องไวคิดง่าย ๆ ไม่กระทบกระเทือนมือเบา ต้องอาศัยสติเป็นตัวนำพาจนกระทั่งเรามองซ้าย มองขวาก็ไม่อยู่ในลักษณะรวนเร หรือยู่ในลักษณะโลเลว่าอย่างนั้นเป็นบุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์ละม่อมละไมมองซ้ายจะมองขวาก็อยู่ในลักษณะสวยงามไม่วู่วาม บางทีเข้าไปถึงทางควรยืนซะก่อนยืนมองซ้ายมองขวาหรือจำเป็นจะต้งมองก็ต้องระมัดระมังให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นส่วนนี้เราคุมได้ดีแล้วจนกระทั่งกิจการงานที่เรากระทำเราก็ต้องนึกถึงซะก่อนว่ามันจะประกอบไปด้วยโทษ หรือประกอบด้วยคุณ ควรหรือไม่ควรเราก็ต้องดูให้แน่นอน ถ้าประกอบด้วยโทษก็ต้องห้าม ถ้าประกอบด้วยคุณก็ต้องทำอะไรเหล่านี้ พยายามปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์นี่ก็อันหนึ่ง เมื่อกล่าวขึ้นมาถึงวาจานี่ก็อีกเช่นกัน เราจะพูดออกมาแต่ละคำต้องนึกถึงซะก่อนเพศ วัย ฐานะของเรา บางคนมีความเป็นอยู่ขนาดนี้ แต่พูดแล้วเกินตัวฟังแล้วรู้สึกมันยังไงชอบกล ผู้รู้ทั้งหลายฟังถือว่าเป็นการขาดเหตุผล หรือพูดเกินฐานะ เรามีฐานะยังไงเราก็พยายามพูดอยู่ตามฐานะของเราอย่าเกิน ส่วนวัยก็เช่นกันเราอยู่ในวัยเด็ก วัยสาว วัยยังหนุ่ม หรือปานกลาง หรือเฒ่าแก่ เราก็พยายามพูดให้พอเหมาะพอดีกับเพศวัย พอเหมาะพอดีกับฐานะ พอเหมาะพอดีกับวัยของเรา ต้องให้รู้จักความพอเหมาะพอดีของตัวเอง การพูดต้องพอเหมาะพอดีเพศ วัย ฐานะของเรา หรือผู้หญิงก็เหมือนกัน ชายก็เหมือนกัน เป็นพระเป็นเณรก็เหมือนกัน ต้องนึกถึงเพศของตัวเอง การแสดงออกอย่าให้คะนองต้องพยายามให้พอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้นอันนี้เราต้องตรวจตราให้ถี่ถ้วน ในอุบายวิธีที่ทำนี้ก็หมายความว่าไม่ให้อารมณ์นำพาความรู้สึกของเราให้เป็นไปตามอำนาจของมันฝ่ายเดียว เราจะต้องให้ส่วนกระตุ้นหักห้ามจิตของเราไม่ให้เป็นไปในรูปของอารมณ์โดยลำพังโดยต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าอันนี้ประกอบด้วยคุณอันนี้ดีแน่ อันนี้สมควรต้องตัดทิ้งอะไรเหล่านี้ เมื่อเราสามารถทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเราจะไม่ตามกิเลส เราจะไม่ตายหลังอารมณ์ลมหรือเหตุการณ์อันที่ปรากฏขึ้น เหตุการณ์อันควรให้เรารักก็ตามเหตุการณ์อันควรให้เราชังก็ตาม เราจะไม่เป็นตามรูปของเหตุการณ์ เราจะเป็นไปตามแนวคิดที่ดีที่งามเกิดมาจากกำลังของสมาธิที่แน่นอนเพราะเราจะต้องดำเนินมันไม่พลาด มันไม่เป็นไปเพื่อบาปอะไรเหล่านี้ในอุบายวิธีที่ทำก็คล้ายกันกับว่าวางแผนทำลายกิเลส วางแผนทำลายภพของจิต ถ้าจะว่ากิเลสเป็นรูปของกิเลส ถ้าจะว่าภพก็คือภพของจิตอารมณ์สัญญา หรือเหตุการณ์อันที่เราคิดไม่ถึง แล้วทำให้เรากระส่ำกระส่าย มันเป็นภพของจิตหรือเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นเราจะไม่ให้จิตของเราอยู่ เราอยู่ใต้อำนาจโลกธรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องมีเกิดอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่ต้องการเกิด เราก็หาอุบายวิธีแก้ไขอย่าให้โลกธรรมหรือว่าเหตุการณ์อยู่เหนือเรา หมายความว่าสิ่งกระทบนั่นแหละหรือสิ่งที่เราได้เห็นจริง สิ่งที่เราได้ฟังทั้งหมดนั่นแหละ เออ..เมื่อเราได้เห็นได้ฟังเราก็จะได้หาทางระงับจิตของเราไม่ให้เป็นไปตามรูปของกิเลส เราต้องพิจารณาให้เหมาะให้ควรการกระทำของเราให้เหมาะให้ควรให้ดูถูกต้อง ทำที่ว่าถูกนี้ไม่ได้เป็นไปตามรูปนิยมอย่างเดียวต้องอาศัยธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องตัดสินใจ ต้องนึกถึงผู้ประพฤติคุณนี้เป็นใหญ่ แล้วอุบายวิธีการดำเนินอย่างนี้นั้นจะเข้าไปถึงชั้นสูงของสมาธิ เพราะเป็นอุบายวิธีทำลายภพของจิต แต่ก่อนที่เราจะทำได้นี้เราจะต้องสร้างอย่างที่ว่านั่นแหละ สร้างกำลังสติของเราขึ้นมาคือ การเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ยืนทำสมาธิบ้าง นอนทำสมาธิบ้าง พยายามอบรมสติของเราให้สมบูรณ์ จนกระทั่งจะเคลื่อนจะไหวอะไรทั้งหมดมีสติคุมพร้อมสมบูรณ์จริง ๆ จนกระทั่งตัวอริยมัคคุเทศก์ คือ ตัวปัญญา หรือวิปัสสนาญาณ เราก็พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อตัดสินความเสมอให้กิริยาอาการแสดงออกให้ทันกันว่า อันนี้ประกอบด้วยโทษ หรือประกอบด้วยคุณ เหมาะไหมว่าเราเป็นพระ เป็นเณรเหมาะไหม ว่าเป็นหญิง เป็นชายอยู่ในวัยที่เป็นพ่อคน แม่คน หรือลูกคนก็ดี หรือยู่ในวัยขนาดสาวก็ดี การแสดงออกจะมีความเสียหายอย่างไรบ้าง อะไรเหล่านี้เป็นต้น อันนี้ควรหรือไม่ควรไม่อยู่ใต้อำนาจกิเลสตัณหา คือ หมายความว่า เราต้องนึกถึงความเป็นอยู่ของตัวเองนึกถึงโคตรชาติ ตระกูล นึกถึงหมู่คณะที่ร่วมกันบำเพ็ญ นึกถึงพระศาสนาซึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นอัจฉริยะมนุษย์ได้ประกาศสัจธรรมให้แก่พวกเราแล้ว เมื่อพวกเราน้อยตัวเข้ามาอยู่ในขอบเขตแห่งธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้วในความประพฤติในการแสดงออกนี้จะเป็นอันตรายต่อสิ่งนั้นหรือไม่ จะเป็นผลเสียอยู่ในทำนองที่ว่าเราเป็นผู้ยัญขีหรือไม่ เราจะต้องใช้บทวิจารณ์ตลอดเวลาในอุบายให้บทวิจารณ์ เพื่อหักห้ามจิตของเราที่เรียกว่า เป็นอุบายสร้างชิงตัวอริยมัคคุเทศก์ ที่จะก้าวเข้าไปสู่อริยบุคคลพยายามฝึกขึ้นมา เมื่อเราฝึกสติตัวคุ้มครองให้จิตอยู่ในอำนาจของสติได้แล้ว เราสร้างตัวปัญญาหรือว่าตัววิปัสสนาญาณ คือตัดสินบทความขึ้นมาเป็นคู่กันได้ดีแล้ว มันจะเป็นไปซึ่งการตรัสรู้ธรรมได้ง่ายที่สุด ถ้าหากว่าผู้ใดทำสมาธิโดยไม่มีปัญญากำหนดซึม เมื่อสงบสู่ฐานของสมาธิอันลึกซึ้งแล้ว ก็เกิดปัญญาจึงจะรู้เองว่าเป็นไปไม่ได้ต้องอาศัยเราสร้างขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นเมื่ออาศัยสติคุมสมาธิให้ซึมเข้าไปเฉย ๆ นะ มันก็เป็นไปเพื่อสมาธิได้ แต่อีกลัทธิหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าของเรายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรม ท่านไปศึกษาในสำนักลัทธิแบบนี้เหมือนกัน แต่ท่านก็เป็นไปเพื่อสมาธิ ได้มีฌาณ มีฌาณอะไรเหมือนกัน แต่อาสวักขยวิชชา อาสวักขยฌาณไม่มี แต่อย่างอื่นมี บุพเพนิวาานิสติฌาณมีจุตูปปาตฌาณมีแต่ อาสวักขยฌาณไม่มีคือความสิ้นเสื่อมของแห่งอาสวักกิเลสนั่นเอง ทีนี้การทำสมาธิ ทีนี้การทำสมาธิอีกแบบหนึ่งให้บทวิจารณ์ให้การพิจารณาร่างกายเป็นใหญ่ ร่างกายเกิดขึ้นมาด้วยธาตุอะไร กระดูกกี่ท่อน เส้นเอ็นมีกี่เส้น จนกระทั่งประสาทในระหว่างสายเยื่อสะพานถึงไหนอะไรเหล่านี้เป็นต้น สามารถดูได้ละเอียดละออเรียบร้อยใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งพิจารณาถึงบทธรรม หรือสภาวะของชาติทั้งหลาย แต่ไม่มีความสงบเป็นพื้นฐานเลยมันก็ฟังซ่านอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้ธรรมได้ เออ..แต่วิธีทำอย่างนี้นั้นก็อาจจะเข้าใจอะไรต่ออะไรได้ดีมาก พูดได้ดีมากอะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่การตรัสรู้ธรรมดูเหมือนว่าจะยากมาก เพราะฉะนั้นหากในเมื่อบุคคลผู้ใดขาดกำลังทั้งสองที่มีสามัคคีไม่มีความสามัคคีกันแล้ว ไม่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าตอนที่จะตรัสรู้ธรรมนี้ต้องเป็นไปด้วยความสามัคคีในระหว่างคำที่ว่าสามัคคีในระหว่างก็คือ การดำเนินของเรานี้มีสติสมบูรณ์แล้ว มีปัญญาสมบูรณ์แล้ว สติกับปัญญานี้สามัคคีกันแล้วสามารถตัดสินความเหมาะเจาะถูกต้อง อันนี้โทษเข้าใจว่าเป็นโทษจริง ๆ เลิกได้จริง ๆ อันนี้ก็คุณจริง ๆ สามารถน้อมนำความประพฤติของเราให้เข้าสู่จุดนั้นเป็นไปเพื่อธรรมนั้นจริง ๆ ถูกต้องทั้ง ๒ อย่าง เมื่อสามารถทำได้อย่างนี้เรียกว่า ทำด้วยมรรคสังคีการดำเนินมรรค หรือการก้าวสู่มรรค หรือเป็นไปเพื่อการก้าวสู่ธรรมที่เป็นไปเพื่ออริยาบุคคล ก็สมบูรณ์ขึ้นก็เรียกว่ามรรคสมังคีนี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราพยายามดำเนินให้เป็นไปในรูปนี้หมายถึงการดำเนินด้านสมาธิจิต แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องชั้นต่ำ ๆ ธรรมดาซึ่งจะให้พวกเราผู้ที่ไม่เข้าใจในวิธีสมาธิได้ฟัง เพื่อเข้าใจบ้างก็คือเราพยายามฝึกตัวเองให้คุ้นเคยต่อบุญให้รู้จักการเข้าวัดให้รู้จักการเข้าวา ให้รู้จักการเข้าไปหาพระหาเจ้า รู้จักการกราบ การไหว้ รู้จักการทำบุญบริจาคให้จริง จนกระทั่งการนอนการอะไรให้ฝันถึงพระ ฝันถึงเจ้า เออ วันนี้ได้ไปเจอครูบาอาจารย์เหล่านี้เป็นต้น พยายามฝึกไว้ให้จริงให้คุ้นกันซะ เมื่อเราสามารถทำความดีจนจิตใจจริงต่อความดีแล้วนั่นแหละ อารมณ์อันนึกถึงความดีที่เรากระทำมันไว้ สามารถที่เป็นบันไดให้เราก้าวเข้าสู่สันติสุข อันหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราพยายามกระทำซะให้มาก แต่บางคนแล้วบุญกุศลไม่อยากทำแต่ถึงคราวเข้าตาอับจนหรือมีเหตุอะไรเกิดขึ้นก็มักจะร้องถึงบุญอยู่เสมอว่าขอให้บุญช่วยด้วย ขอให้บุญช่วยด้วย ยกรูปเปรียบเหมือนกันกับคน คนที่เราไม่รู้จักเขา เขาก็ไม่รู้จักเรา ต่างคนต่างก็ไม่มีบุญคุณอะไรต่อกันไม่ได้สังสรรวิสาสะอะไรกันเลย เมื่อถึงคราวจำเป็น เราก็ขอร้องเขา เออ ดูเหมือนว่ามันจะยาก เช่นคนไม่รู้เรื่องรู้ราวไปยืมสตางค์เขา หรือเหตุจำเป็นขอพึ่งอาศัยเขา เฮ่อ ๆ ๆ ๆ รู้สึกจะยาก แต่สำหรับคนที่คุ้นกันทำความดีร่วมกันมามีบุญคุณต่อกัน จนกระทั่งรู้จักนิสัยใจคอกันได้ดี หากในเมื่อมีเหตุจำเป็นเป็นเราขอร้องเขา สงสัยจะพึ่งกันได้ง่ายกว่า เช่น อาจมีเหตุเกิดขึ้นร้องโวยวายช่วยกันด้วยอะไรเหล่านี้ คนที่คุ้นกันจะต้องวิ่งมาช่วยเรา แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเราเลย การช่วยหาได้ยากฉันไดก็ดี ความดีบุญกุศลถ้าเราสร้างสมอบรมหรือการทำจนจิตของเรานั้นคุ้น เออ เมื่อเราต้องการจะให้บุญช่วยกุศลช่วยกันได้ง่ายเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ทำความดีเอาไว้เลยนี้ แหม พอพ่อแม่ตายละก็ไปเคาะโลงพ่อเอ้ยรับศีลเน้อ แม่เอ้ยรับศีลเน้ออะไรเหล่านี้เป็นต้น ไม่รู้จะรับได้ยังไงก็คนไม่เคย ไอ้ที่พระท่านกำลังให้พรนะรับพรนะพ่อเอ้ยแม่เอ้ย เดี๋ยวจะได้ไปสู่สวรรค์นิพพาน โถมันไม่เคยจะไปรับได้ยังไงนะ ไม่มีทางแนะ เพราะเหตุนั้นอันไม่เคยซะเลย มันไม่เป็นเรื่องเป็นราว บาทีเขานิมนต์อาตมาไป พ่อเขาป่วยหรือแม่เขาป่วยอะไรเหล่านี้เป็นต้น บางทีจวนจะตาย โอ๊ย ไปให้สติเขาเถอะบางทีจะได้ไปสวรรค์นิพพานบ้างไปดูแล้วเราก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เพราะเขาไม่ได้ชินกับพระ ไม่ได้ชินกับเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า พระสงฆ์ พระเจ้าพระสงฆ์มีหน้าที่ยังไง ท่านมีความดีอย่างไร ไม่รู้จักความดีของพระเจ้าพระสงฆ์ เราไปเห็นก็บอกว่าไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าหาพระหาสงฆ์ จนกระทั่งรู้จักความดีของพระของเจ้าแล้ว หากในเมื่อจะตายว่าไปง่าย ๆ พอเห็นพระเห็นเจ้าก็ดีใจยกมือไหว โอ้ย ดีใจ พอพระท่านแนะนำเอานะตั้งใจ พุทโธนะอะไรเหล่านี้ โอ๊ย..ไม่ต้องบอกหรอกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่บอกก็ไม่รู้เรื่อง ได้ที่จวนจะตายไปบอกยังไงจึงจะเป็น เพราะฉะนั้นเราต้องการอยากจะให้เป็นก็ต้องฝึกไว้ตั้งแต่เบื้องแรก น่าจะเห็นได้อย่างลิง เอ้าลิงพอจับขึ้นไปบนเวที เอ้าต้องเล่นละครนะตัวอื่นทำไมเล่นด้ ได้ไม่ได้ฝึกเลยตนมันจรตาย จะตีมันจนขี้แตกมันก็ไม่ทำเพราะมันไม่เป็น ลิงที่ฝึกเล่นละคารดีแล้วฉลาดแล้วทำได้ดีแล้ว พอขึ้นบนเวทีร้องเพลงหรือว่าอาจจะดนตรีอะไรขึ้นมา มันก็เอาแล้วเต้นรำแล้ว แสดงในบทละครฉันใดก็ดี คนที่ฝึกไว้กับคนที่ไม่ฝึกไว้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเรารีบฝึกซะก่อนตาย ฝึกไว้ให้ดี เมื่อถึงวันของเราแล้ว เราจะได้ระลึกถึงความดีของเรานี้ให้ได้ แต่ความตายทุกคนก้าวเข้าไปทำอยู่ทุกวันนะ จะต้องถึงแน่ความตายจะต้องมาถึงเราในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นทุกคนหนีไม่พ้นจึงสมควรอย่างยิ่งจะต้องเตรียมอะไรเอาไว้ เพื่อประโยชน์สำหรับเรานี้ อธิบายเหตุผลสู่ฟังมาก็หลายอันพันอย่าง วันนี้รูสึกว่าร่างกายสังขารก็ไม่สู้จะดีนัก อาตมาก็ขอยุติอยู่เพียงแค่นี้นะ ขอให้บรรดาพวกเราผู้มุ่งหวังต่อความดีที่เสียสละมานาน น่าปลื้มใจมาก และน่าภูมิใจมาก แต่อาตมาเองเห็นการเสียสละของพวกท่านทั้งหลายมานี้ แหม..มันปลื้มใจมากไม่รู้จะให้พออย่างไรจึงจะสมกับพวกท่านทั้งหลายที่กล้าเสียสละมา แต่ถึงแม้จะอย่างไรก็ตามเถิด อันพรและอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะไม่เกิด พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไปได้ เพราะฉะนั้นอาตมาก็ขออ้างอิงถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมพระสงฆ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่อานุภาพมากที่สุดในโลก อย่างที่ครูบาอาจารย์ทั่วไปมักจะอธิฐานว่า พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ อันที่มีอานุภาพที่สุดทั้ง 3 อย่างนี้ สิ่งที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่นี้ จงมาคุ้มครองอภิบาลรักษาทุกท่านทั้งหลายที่กล้าเสียสละมาเพื่อส่งเสริมพระศาสนาและมาเพื่อประพฤติดี เพื่อเป็นการให้กำลังแก่พระศาสนา และให้เป็นกำลังแก่พระภิกษุ เจ้าสามเณร ผู้ที่ตั้งใจเสียสละมาประพฤติธรรมอยู่ ณ สถานที่นี้ขอให้บรรดาพวกท่านทั้งหลายผู้มีเจตนา และหล้าเสียสละมาเพื่อความดีนี้ จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ ภัยพิบัติอันตรายจะเกิดขึ้น อานุภาพต่าง ๆ จงป้องกันไว้ และคนที่อยู่ในความปกครองหรือท่านที่มีพระคุณทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงประสพความสุข ความเจริญตามพวกท่านทั้งหลายไป หรือถ้าใดที่จะวายชนม์ไปแล้วจะเป็นญาติของพวกท่านทั้งหลาย บิดามารดา เป็นต้น อุปัชฌาย์ อาจารย์ก็ดี พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นที่จากพวกท่านไป หากไปอยู่ ณ สถานที่ใดก็ดี ความดีอันที่ท่านทั้งหลายสร้างเสียสละมากกระทำอย่างวันนี้ขออำนาจความดีทั้งหลายนี้ จงถึงหากท่านทั้งหลายเหล่านั้นหรือหากท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีโอกาสจะทราบด้วยตามวิถีส่วนใดก็ตาม ขอเชิญพระเจ้าเหล่าเทพาที่ทราบเรื่องราวอันนี้จงนำข่าวสารอันนี้ จงนำข่าวสารไปให้แจ้งแก่พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยให้ได้ได้ทราบข่าวสารอันนี้ เมื่อได้ทราบข่าวสารอันนี้แล้วนั้น ขอพวกท่านทั้งหลาย เมื่อได้ทราบข่าวสารอันนี้แล้วนั้น ขอพวกท่านทั้งหลายจงอนุโมทนาในความดีอันพวกท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมานี้ เมื่ออนุโมทนาในความดีอันนี้แล้ว ขอจงมีบุญญาธิการ อันที่พวกเราได้อุทิศให้นี้ได้เป็นสมบัติของตัวเองได้เกิดขึ้น เมื่อผู้ใดตกทุกข์ได้ยากขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้าท่านใดที่มีความสุขแล้วก็ขอให้ความสุขจงยิ่งขึ้นไป เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
ณ ศาลาการเปรียญวัดเขาสุกิม พ.ศ.๒๕๑๐
_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สมาธิ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th