Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เทพบัลดาล (พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2007, 10:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑

เทพบันดาล


เมื่อวานซืนนี้ก็ไปเทศน์ที่วัดถ้ำกลองเพล งานระลึกถึงหลวงปู่ขาวท่านวันที่ ๑๖ ตอนกลางคืน คนก็มากพระก็มาก เทศน์จบแล้วเรามาเลยไม่ได้ค้าง วัดถ้ำกลองเพลก็มีเป็นบริเวณที่กำแพงล้อมรอบอยู่เท่านั้น นอกจากนั้นก็เป็นทะเลสาบไปหมด ป่าไม่มีเหลือเลย เหลืออยู่เฉพาะบริเวณวัดเท่านั้นเอง แต่ก่อนก็ป่าช้างดงเสือนะนั่นน่ะ วัดถ้ำกลองเพล ก็ดังที่เขียนไว้ในประวัติของหลวงปู่ท่านเกี่ยวกับเรื่องถ้ำกลองเพล มีเหตุผลเป็นมายังไงถึงเรียกถ้ำกลองเพลก็บอกไว้แล้ว

แถวนั้นไม่มีบ้านผู้บ้านคนนะ หนองวัวซอที่มีเป็นบ้านทุกวันนี้ก็ย้ายมาจากอุบลฯ มาอยู่นี่ หนองบัวบานก็มาจากทางจังหวัดเลย ย้ายมาเมื่อเร็วๆ นี้นะ ที่เขาเรียกหนองวัวซอๆ ไม่ใช่อะไรนะ เป็นวัวป่าไม่ใช่วัวบ้าน มันมารอกันอยู่ จะลงกินน้ำในหนองนั่นน่ะ แต่ทางนี้เขาเรียกมันซอๆ ก็คือจ่อรออยู่อย่างนั้นเพื่อจะลง มันมากต่อมาก เป็นวัวป่าทั้งนั้นไม่ใช่วัวบ้าน ที่ว่าหนองวัวซอๆ แต่ก่อนเป็นป่าวัว - วัวแดงเต็มไปหมดนั้น เพราะไม่มีบ้านผู้บ้านคนเลย แถวนั้นจะมีบ้านที่ไหน ไม่มี หนองแวงฮีก็ไม่มี บ้านหมากหญ้าดูว่าย้ายไปอยู่ก่อนเขาก็มีเท่านั้น มีบ้านหมากหญ้าแล้วก็บ้านหนองขุ่น นอกนั้นไม่เห็นมีบ้านอะไร หนองแซงอะไรเหล่านี้ไม่มี บ้านคนไม่มี หนองบัวบานก็ไม่มี หนองวัวซอก็ไม่มี พวกนี้ย้ายมาจากอุบลฯ บ้านโนนทันเหล่านี้ย้ายมาจากอุบลฯ แต่ก่อนเป็นดงเป็นป่าทั้งนั้น สัตว์ชุม เดี๋ยวนี้มีแต่ป่าคน

ป่าไม้ชุ่มเย็นแต่ป่าคนนั้นร้อน ไม่มีอะไรร้อนยิ่งกว่าป่าคน เราพูดอย่างนี้เราไม่ตำหนิใคร เพราะเราก็คนคนหนึ่ง ก็เราไม่ใช่คนตาย เราก็ร้อนเป็นหนาวเป็นเหมือนกันนี่นะ คนไปอยู่ที่ไหนมักมีเรื่องมากและร้อนมากยุ่งมาก ป่านั้นไม่ยุ่งแต่เย็น เราคิดดูซิที่ว่าแต่ก่อนไม่มีหมู่บ้านเลยนะ เดี๋ยวนี้เป็นยังไง หนาแน่นขนาดไหน ดูเอา ถ้ำกลองเพลนี้เป็นสถานที่ที่ไปพักแรมของนายพรานเขานะ นายพรานเขามาหาล่าเนื้อแล้วก็ไปพักแรมที่นั่น เพราะที่นั่นฝนตกแล้วไม่รั่ว เขาก็ไปอาศัยนั่น แถวนั้นไม่มีบ้านคน จึงมีแต่พวกสัตว์ พวกเนื้อ พวกเสือ พวกช้างเต็มไปหมด

เมื่อเร็วๆ นี้จวนท่านจะมรณภาพนี้มีช้างใหญ่ตัวหนึ่งมันยังมาหา ท่านบอกว่าท่านรำพึง ท่านเล่าให้ฟังก็มีขบขันดีเหมือนกัน เวลาท่านเล่าน่าฟังอยู่นะ ท่านอยู่เฉยๆ แต่ว่าท่านคิดถึงสภาพของป่าอยู่ ท่านว่าช้างมันมาเสมอในวัดนั้นน่ะ มันมาเป็นโขลงๆ เข้าไปทางสำนักแม่ขาวแม่ชี แต่มันไม่กินอะไรนะ พวกกล้วย พวกต้นกล้วยอะไรนี้ก็ไม่กิน เข้าไปอยู่ตามนั้น อาศัยกินอะไรอยู่ในวัด เวลากลางวันมันก็มานอนอยู่ทางตะวันออกของกุฏิหลวงปู่ ที่ลุ่มๆ ตีนเขานั้น กลางวันนอนอยู่นั้นพระท่านยังไปแอบดูมัน เวลาบ่ายๆ มันออกหากิน พอได้ยินเสียงไม้หัก ไม้ไร่ไม้ไผ่หัก พระเลยด้อมๆ ไปดูเห็นตัวมันอยู่โน่นละ บริเวณเหล่านี้ เมื่อเร็วๆ นี้ ยังมีนี่ช้าง ยังมาอยู่ แต่เวลานี้น่าจะหมดแล้ว พวกยักษ์มีหูเอาไปกินหมดแล้ว

นี่ท่านก็รำพึงถึงช้างตัวใหญ่ๆ ที่มันเคยมาหาท่าน ท่านอยู่วัดถ้ำกลองเพลมันเคยมา เคยมาเสมอนะแต่มันไม่ได้เข้ามาถึงกุฏิท่าน อย่างคราวที่แล้วนี่มันมาหากินอยู่ใกล้ๆ นี่ ตัวใหญ่มากทีเดียว แล้วท่านก็รำพึง เอ๊ะ ช้างตัวใหญ่ๆ นี่มันตายแล้วหรือไงนาไม่เห็นนานแล้ว ตัวที่มันมาเที่ยวหากินอยู่ตามบริเวณที่เราอยู่นี่ ท่านว่างั้นนะ มันไปไหนหายเงียบไปเลย หรือถูกเขาฆ่าแล้วนา ท่านรำพึงอยู่ตอนกลางวัน พอตกกลางคืนมันก็มา ดึกสงัดจริงๆ ดูประมาณสักตีหนึ่ง

ธรรมดาช้างเดินไม่ได้ยินเสียงมันหรอก มันไม่มีเล็บลงพื้น เล็บมันอยู่ข้างบนเหมือนเล็บมือเล็บเท้าเรานี่ เดินไปถึงไม่ได้ยินเสียง พอดึกสงัดมันก็เอางวงมาลูบมาคลำฝากุฏิท่าน เวลามันมานั้นท่านอยู่ในห้อง มันก็เอางวงมาลูบมาคลำตรงกับที่เรานอนอยู่ข้างใน มันลูบมันคลำฝาข้างนอกท่านว่างั้น ฟังเสียงเหมือนกับเสียงคนมาลูบมาคลำฝา ใครมาที่นั่นท่านว่างั้นนะ เสียงไม่ดังนักแต่พอได้ยินดีๆ นี่แหละท่านว่า ใครมาอยู่ข้างนอกนั่นน่ะท่านว่างั้น

เสียงมันก็ยังมีอยู่และเงียบไปชั่วคราว ท่านเลยนึกในใจ หรือพวกขโมยมาหาขโมยของหรือไงนา แต่ท่านไม่ได้บอกว่าขโมย ถ้าอยากได้ของ ของอะไรก็อยู่ชั้นล่างนั่น พรมก็มี อยากได้ก็เอาไปซีท่านบอก ท่านนึกว่าเป็นพวกขโมย ความจริงเป็นช้างใหญ่อยู่ข้างนอกนั้น มันกำลังเอางวงมันคลำฝากุฏิท่าน มันอยู่ทางด้านตะวันตก ท่านอยู่ในห้อง ท่านบอกว่าถ้าอยากได้อะไรก็เอาซิ พรมก็อยู่ชั้นล่างนั้นแหละ แล้วท่านก็ภาวนาไปท่านว่า

ตกตอนเช้าท่านเลยไปดูว่าขโมยมาเอาของอะไรไป ของก็ยังเห็นดีๆ อยู่ในห้องชั้นล่างนะ ยังดีๆอยู่ ทีนี้รอยก็ไม่เห็นละซี นี่ซีมันน่าคิดเอามากนะ เวลามันเข้ามาตามทางนั่นจะไปเห็นรอยมันได้ยังไง ก็หินนี่ทางเข้า กุฏิหลวงปู่หลังปัจจุบันเข้ามานี้ ถ้าเดินมาตามทางก็ไม่เห็นรอยซิ อะไรมาก็ไม่เห็นรอย ทีนี้เวลามันออกไปนี้ มันน่าคิดอยู่นะ มันมีกองทรายอยู่โน้น พวกกองทราย เขาเอาทรายมาผสมปูนอะไรๆ เสร็จแล้วก็วางกองอยู่ข้างนอก ทางไปอยู่อีกทางหนึ่ง มันไม่ได้ออกไปตามทางนี่นะเวลามันออก ออกไปก็ไปเหยียบเอากองทรายนั่นน่ะไว้ตรงนั้น เหยียบรอยเดียวนะ มันแปลกจริงๆ เหยียบเสร็จแล้วก็ไป

ทีนี้ประตูนั้นมันมีซุ้มประตู มันเป็นประตูไม้ตีขวางไว้นี้ มันก็ไม่ไปตรงนี้ ถ้าไปตรงนี้ประตูก็พัง ประตูต้องหักราวที่ตีข้างบนต้องหัก มันก็อ้อมไป เวลามาก็อ้อมเข้ามา เวลาออกไปก็อ้อมไป ท่านจึงมาเห็นรอย อุ๊ย ๆ นี่ ๆ มันมาเมื่อคืนนี้ ท่านชี้รอยนั้นให้พระเณรดู พระท่านก็เลยเอาอะไรมาวางขวางไว้กลัวคนจะไปเหยียบ ใครมาก็ให้ดู เราไปวัดดูได้หนึ่งศอกหลวงพอดีนะ ก็ประมาณ ๕๐ ซม.หรือว่าไง ได้พอดีเป๋งเลย รอยมันกว้างกลม มันไปแล้วใหม่ๆ เราไปนั่น ท่านก็เลยเล่าเรื่องให้ฟังแล้วท่านก็พาไปดูรอยช้างตัวนี้ นี่ๆ ดูซิท่านมหา รอยมันตั้งใจเหยียบไว้นี่น่ะ ไม่ได้เดินไปเหยียบเพราะผ่านไปเฉยๆ มันตั้งใจไปเหยียบแล้วมันก็กลับ มันจึงเป็นเหมือนเทวดาบันดลบันดาลใจ พวกนี้พวกเทพบันดาลใจมีนะ เช่น เทพบันดาลเป็นสัตว์ เช่น ช้าง เช่นเสือ เช่นอะไรๆ มาก็เป็นได้ คืออิทธิฤทธิ์ของเทพให้เป็นสัตว์ทั้งตัวเลย ให้เรามองเห็นด้วยตาเนื้อของเราชัด ๆ นี่ อย่างนี้ก็เป็นได้ หรือเทวดาบันดาลใจสัตว์ให้รู้เรื่องรู้ราวอะไรให้ปฏิบัติหน้าที่แทนอย่างนั้นก็ได้ เช่นอย่างช้างไปเหยียบรอยไว้ นี้ก็เหมือนกับเทวดาบันดาลใจให้เป็นๆ

อย่างที่พระท่านเดินจงกรมอยู่ ที่หลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟังที่เราเขียนไว้ในประวัติฯ น่ะ พระท่านเดินจงกรมอยู่ เสือมันมานั่งอยู่ข้างทาง ไม่ได้นั่งหมอบทำท่าจะตะครุบอะไรนะ มันนั่งธรรมดาเหมือนสุนัข นั่งอยู่ข้างทางจงกรม ท่านอยู่ฝั่งแม่น้ำโขงทางโน้น ปกติฝั่งแม่น้ำโขงทางโน้นเสือชุมอยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังชุมเพราะเนื้อมากเสือมาก คนยังไม่ได้ทำลายอะไรมากนักเหมือนเมืองไทยเรา แต่ก่อนก็ยิ่งมากท่านว่า

ท่านว่าท่านเดินจงกรมอยู่ มันก็มานั่งอยู่ข้างทางจงกรมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ มันรู้สึกมีลักษณะแสลงตาๆ เหมือนมีอะไรอยู่ข้างๆ ท่านเลยมองไปๆ ที่ไหนได้เสือมันนั่งมองดูเราอยู่ มองอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ทีแรกรู้สึกเสียวเหมือนกัน พอจากนั้นแล้วรู้สึกเงียบๆ ใจจะว่ากลัวจริงๆ ก็ไม่ใช่ ท่านว่าพอเป็นลักษณะเสียวๆ พอมองไปๆ ปั๊บ เสือมันนั่งอยู่เหมือนหมานั่งแล้วก็มองดูคน

ตาอะไรจะแหลมคมยิ่งกว่าตาเสือใช่ไหมล่ะ ท่านมองไปงี้ตามันก็สบกันแล้วท่านก็ผ่านไปเสีย พอรู้ว่าเป็นเสือท่านก็เดินกลับไปกลับมาอยู่นั่น ท่านก็เลยนึกละซีที่นี่ จะมานอนเฝ้าอะไร ท่านคิดเฉยๆ นะนี่ จะมานอนเฝ้าหาอะไร ถ้าหิวอาหารจะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซีท่านว่า พอว่างั้น เสียงมันคำรามขึ้นอย่างแรงเลยนะ โฮก ไปหรือไม่ไปจะทำไม คงจะว่างั้นซิ พอคำรามขึ้นอีกทีหนึ่ง โฮก โฮ้ ถ้าไม่อยากไปจะเฝ้าอันตรายให้ก็ดี ท่านว่างั้นนะ นี่ท่านแก้ปั๊บเลยภายในใจนะ ไม่ได้พูด ไม่มีกิริยาอะไรต่อกันละ มีแต่กิริยาทางนั้นคำราม เพราะทางนี้คิดไม่เข้าท่า จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซี เขานั่งเฉยๆ ไม่เห็นมายุ่งอะไรกับเราใช่ไหมล่ะ จะไปหาอยู่หากินก็ไปซี จะมานั่งเฝ้าทำไม พอว่างั้นก็ โฮกขึ้น ความหมายว่ามายุ่งกับเราทำไม ทางนี้ก็ว่าถ้าอย่างนั้นไม่ยุ่งแหละท่านว่า ถ้าไม่ไปหาอยู่หากิน อยากจะเฝ้าอันตรายให้รักษาอันตรายให้ก็ได้ไม่เป็นไร นี่คิดนะ พอว่างั้นเขาก็อยู่อย่างนั้นเลย

ทางนี้ก็เดินจงกรมต่อไปจนกระทั่งเหนื่อยธรรมดาเรานะ เหนื่อยแล้วก็มาร้าน ทำวัตรไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้วนั่งภาวนาจนกระทั่งนอน ตื่นขึ้นมาตีสาม ก็ธรรมดาพระกรรมฐานท่านทำอย่างนั้นนี่ งานของท่านคืองานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พอเสร็จแล้วท่านก็ลงไปเดินจงกรม ตรงที่มันเคยนั่งไม่เห็นเลย คงไปแล้ว วันหลังก็ไม่เห็นมาอีก จนกระทั่งท่านจากไปจากที่นั่นก็ไม่ปรากฏอีกเลยนะ

ทีนี้มันสำคัญตรงที่ว่า ทางนี้คิดว่าไงท่านว่า ทางนั้นตอบรับความคิดนี้ เหมือนเทพบันดาลจิตใจ เหมือนเทพมาสิงสถิตอยู่ในใจของสัตว์ พอคิดอย่างนั้นมันก็ตอบรับกันแบบนั้น หา จะมาเฝ้ากันทำไม จะไปหาอยู่หากินที่ไหนก็ไปซิ พอว่างั้นทางนั้นก็โฮกขึ้นเลย ท่านก็พลิกความคิดเสียใหม่ ถ้าไม่หิวไม่ไปก็ไม่เป็นไร จะรักษาอันตรายให้กันก็ไม่ว่าอะไร ทีนี้ก็เลยนั่งอยู่นั่นเสีย แน่ะ ฟังซินี่มันมีอะไรนะ

เรานี้เชื่อละว่าต้องมีเทพบันดาลหนึ่ง ไม่ก็เทพนิรมิตหนึ่งเป็นได้สองอย่าง เทพนิรมิตนั้นถ้าเสือก็เหมือนเสือจริงๆ ถ้าคนก็เป็นเหมือนคนจริงๆ จะว่าไง ถ้าบันดาลในจิตก็เข้าแทรกในจิต อย่างหลวงปู่มั่นนี้เราอยากจะพูดว่า เทวดาดูจะตามอารักขาท่านอยู่ตลอดภายในจิตใจ คอยรับทราบความรู้สึกความเคลื่อนไหวของใจท่านอยู่ตลอดเวลานะ เราอยากจะพูดอย่างนั้น

ท่านผู้ที่จิตบริสุทธิ์แล้วไปไหนเหมือนกับว่ามีเทพตามอารักขา เหมือนกับว่าคอยรับข่าวส่งข่าวเรื่องราวอะไรแสดงออกมาภายนอกให้คนทั้งหลายได้เห็น เช่น อย่างพระสารีบุตรเหมือนกัน พระสารีบุตรท่านรำพึงถึงโรคของท่าน คือท่านเป็นโรคริดสีดวง เวลาโรคกำเริบแล้วท่านต้องจำกัดอาหารเอาอย่างมากทีเดียว ผิดไม่ได้โรคนี้จะกำเริบใหญ่ ทีนี้วันนั้นท่านอยู่ในป่ากับพระโมคคัลลาน์นะ เพราะทั้งสองนี้ท่านเป็นคู่กันนี่ พระโมคคัลลาน์เลยถามท่าน เมื่อโรคนี้กำเริบแล้ว แต่ก่อนท่านเคยฉันอะไรที่ถูกกับโรค ท่านก็บอกว่า เคยฉันนั้นๆ นี่เทพทราบแล้วนะ แล้วก็ไปบันดลบันดาลชาวบ้านให้หาอาหารที่ถูกกับโรคมาให้ท่านฉัน เป็นอย่างนั้นนะ จะว่าอะไรอย่างหลวงปู่มั่นนี่ก็เห็นอย่างชัดๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เป็นแต่เพียงเราตาบอดไม่เห็นพวกเทพเท่านั้นแหละ ตาเรามันบอดถึงมองพวกเทพไม่เห็น ถ้าเป็นกล้วยง้าวกล้วยหอม อู๊ย ตาดี ตาแมวสู้ไม่ได้ละ ลุกวาวๆ

หลวงปู่มั่นนี่ทำให้เราคิดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนละ เหมือนว่าเทพคอยแทรกอยู่ตลอด คอยรับทราบความเคลื่อนไหวของท่านภายในจิตใจนี่ อย่างไปอยู่กับท่านทีแรก ผ่านวิสาขบูชาแล้วเราก็ไป ทีนี้วันเข้าพรรษานั้นเลยละ ปีนั้นผ้าหายากนี่ พ.ศ.๒๔๘๕ สงครามญี่ปุ่นกำลัง…พวกผ้าไม่มี อดอยาก ปีนั้นก็มีพระ ๙ เณร ๒ อยู่จำพรรษาบ้านโคกนามนด้วยกัน ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น

ทีนี้ก็แจกผ้า พระก็กลัว ท่านจะเอามาแจกหมดความหมาย ผ้าที่เขาเอามาถวายแล้วกองเอาไว้นั้นนะ พระท่านก็เลยแยกจากนั้นไป เอาไปไว้ในห้องท่านผืนหนึ่งเป็นผ้าอาบน้ำ ผ้าขาวนี่ละ พอดีท่านเข้าไปข้างในท่านก็ไปเห็น ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แจก กำลังจะแจกแล้ว ฉันจังหันเสร็จแล้วก็จะแจกผ้า ท่านเข้าไปในห้องของท่านซึ่งก็คือศาลากั้นห้องไว้ ใครเอาผ้ามาวางไว้นี้ท่านว่างั้น เอามาวางไว้ทำไม เรากำลังจะแจกพระอยู่นี่ พอว่างั้นแล้วก็เข้าไปทำธุระของท่าน เสร็จแล้วท่านก็ออกมา แล้วก็แจกๆ จนหมด เพราะผ้านี้มีไม่ครบพระนะ ดูเหมือนขาดอยู่ผืนเดียว ท่านก็เลยไปคว้าของท่านมา

ถ้าเอาผืนของท่านมาแล้วก็จะพอ แต่มันขาดท่าน พระทั้งหลายก็พูดขึ้น ท่านอาจารย์กงมา วัดดอยธรรมเจดีย์นี้เอง ก็อันนั้นสำหรับแจกท่านอาจารย์ต่างหากนี่เอามาทำไม ท่านอาจารย์กงมาท่านเป็นคนตรงไปตรงมา พูดอาจหาญมากนะ ขาดก็ขาดไปซิจะเป็นอะไรไป ขอให้ครูบาอาจารย์ได้เถอะ องค์ไหนก็เป็นที่พอใจท่าน ว่างั้นนะ องค์ไหนไม่มีความเดือดร้อนเสียใจ ได้ไม่ได้ไม่สำคัญ ขอให้ครูบาอาจารย์ได้เถอะ ท่านก็พูดมีเหตุผลนี่ โอ๊ย เรามันเป็นผู้ใหญ่เมื่อไรมันก็ได้ ท่านว่าอย่างนี้นะ แน่ะฟังซิ ผู้ใหญ่ตอบ ก็เราเป็นผู้ใหญ่ ผู้น้อยมันไม่ค่อยได้นะ ผู้ใหญ่ได้อยู่เรื่อยๆ อะไรๆ ก็ได้ ใครเอามาๆ ก็ให้แต่ผู้ใหญ่แหละ ท่านไม่ยอมเอากลับมา เอาละบุญมีหากได้เองแหละ ท่านว่างี้

คำพูดนี้เราก็จับปุ๊บไว้เลยนะ บุญมีหากได้เองแหละ ก็นี้เราทำบุญนี่นะ ก็พอดี แต่ก่อนไม่มีทางรถนะ มีแต่ทางล้อทางเกวียน ทางผู้คนไปมาจากสกลนครถึงอำเภอนาแกก็เหมือนกัน เป็นทางล้อทางเกวียน ท่านว่างั้นเราก็จับเอาไว้เป็นข้อคิดแล้ว ค่ำๆ ละที่นี่มีโยมขี้ยาคนหนึ่ง แกไปสกลนครมา แล้วพวกบริษัทแม่นุ่ม ชุวานนท์ นี่เขาฝากผ้ามาโดยเสียค่าจ้างให้ เพราะคนขี้ยาเมื่อจ้างมันแล้วจะให้ส่งถึงไหนมันก็ส่งได้ ขอให้ได้กินยาเท่านั้นเป็นพอ นี่เขาก็ให้ค่ายา กินฝิ่นนั่นน่ะ แล้วก็ถามว่าพระอยู่ในวัดหลวงปู่มั่นมีเท่าไรๆ เพราะเขาเป็นโยมอุปัฏฐาก หลวงปู่มั่นมาแต่ไหนแต่ไร แม่ของคุณแม่นุ่มเป็นโยมอุปถัมภ์อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์มาดั้งเดิม ท่านเหล่านี้ละเป็นสำคัญที่อาราธนานิมนต์ท่านมาสร้างวัดสุทธาวาสทุกวันนี้นะ ก็เพราะท่านเหล่านี้ละเป็นผู้สร้าง

ผู้นี้ก็เป็นโยมอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ได้ถามข่าวคราวถึงเรื่องพระมีจำนวนเท่าไร ๆ คนนั้นก็พูดอย่างงูๆ ปลาๆ เอ๊ ๙ องค์หรือ ๑๐ องค์ผมก็จำไม่ชัด เห็นท่านมาบิณฑบาตจะ ๙ องค์หรือ ๑๐ องค์นี่แหละ เรื่องจะให้คนขี้ยาไปวัดใครจะไปเพราะไม่มียามีฝิ่นอยู่ ถ้ามีฝิ่นอยู่ โห มันยกไปหมดทั้งโคตรมันเลยแหละ อย่าว่าแต่คนขี้ยาคนนั้นใช่ไหมล่ะ นี้ไม่มีฝิ่นนี่ จะให้มันไปหาอะไร มันพูดได้ขนาดนั้นก็นับว่าเก่งแล้ว

พวกนั้นเขาก็คาดคะเนเอาเลย เขาหาผ้าขาวด้ายเทศ ไม่ใช่ผ้าขาวด้ายบ้านที่เราทอนะ เป็นด้ายดิบอย่างดี เนื้อมันก็แน่นเท่ากันในสกลนคร ๑๑ ผืนเลยนะ สะพายได้ไหมก็มาลอง เขาก็ให้ค่าจ้างอย่างแพงด้วย โอ๊ย ถ้าลงให้ค่าจ้างแพงๆ มากกว่านั้นมันก็สะพายได้คนขี้ยานี่ จนกระทั่งค่ำไปถึงวัด โฮ้ หนักไม่ใช่เล่นนะผ้าตั้ง ๑๑ ผืน จากสกลนครมาหาบ้านโคกนั้นมันทาง ๒๒ ก.ม.เข้าไปในวัดอีก ๑ ก.ม. เป็น ๒๓ ก.ม.

เวลาเอาผ้าเข้าไปแกก็เล่าเรื่องให้ฟังเพราะค่ำแล้วนี่นะ เขาสั่งว่าไปนี้ให้รีบเอาไปถวายท่านเลยนะ ไม่ให้รอ เจ้าของทานเขาสั่งมา พอไปถึงแล้วรีบเอาไปถวายท่านเสียก่อน แกจึงได้ไป กำลังเริ่มจะมืด เราจึงถามว่าไปสกลฯ เมื่อไร ผมไปเมื่อเช้านี้ แล้วทำไมจึงได้ผ้ามาแกเลยเล่าเรื่องให้ฟัง นี่เหตุที่เราจะรู้ ก็เหมือนกับว่าเทวดาบันดลบันดาลนะ แปลกอยู่ หลายอย่างเราไม่เอามาพูดมากละ เอาแต่ว่าเทพบันดลบันดาลเทพเนรมิตแค่นี้ก็พอแล้วแหละ เรื่องเหล่านี้เคยมีมาดั้งเดิมไม่ใช่มีมาเมื่อวานนี้หรือวานซืนนี้

อะไรก็ตามถ้าครูบาอาจารย์องค์สำคัญๆ พูดอะไรแปลกๆ อย่างท่านอาจารย์กงมา วัดดอยธรรมเจดีย์ ก็เห็นได้ชัดมาก คือหนูมากัดหมอนสามเหลี่ยมท่านแหลกหมด ท่านเลยทำท่าขู่เฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาอะไรนี่ ว่าหนูนี้ทำไมมาทำลายศาสนา ท่านว่างั้นนะ มาทำลายศาสนามาหากัดหมอนของครูบาอาจารย์ท่านใช้อยู่นี่ มันหนูยังไง หือ แมวไปไหนนะหนูมันพิลึกพิลั่นเวลานี้นะ มาทำลายศาสนา แมวมาช่วยหน่อยท่านว่า ตอนเช้าท่านก็ทำท่าขู่แล้วก็หายไปเลย ท่านบอกว่าพูดขู่เฉยๆ นี่

ธรรมดาหนูกับแมวมันเป็นข้าศึกกัน ท่านเลยเอาแมวมาขู่เล่น นี่มันแปลกตรงนี้นะ พอตกกลางคืนมาในวันนั้นท่านก็นั่งภาวนาอยู่ตรงหมอนนั่นแหละ เพราะเย็บเสร็จแล้วก็เอาทำเป็นหมอนพิง จุดตะเกียงโคมรั้วหรี่ๆ วางไว้ข้างๆ ไม่ให้แสงไฟส่องตา นั่งภาวนาเหนื่อย ท่านก็ลืมตาขึ้น ที่ไหนได้แมวมานั่งอยู่ข้างๆ นี่ซิมันน่าแปลกประหลาด คือไม่เคยมีแมวเลย ไม่เคยเห็นแมวมาก่อนเลยตั้งแต่สร้างวัด ท่านพูดตอนเช้านั้นตกกลางคืนพอลืมตาขึ้น ที่ไหนได้แมวมันมานั่งอยู่นี่ อ้าว แมวมายังไงนี่ แมวก็วิ่งหนีเลย แปลกนะ จากนั้นมาแมวตัวนี้ทำให้เห็นเรื่อยๆ นะ ตั้งแต่วันนั้นละ ไปเตาไฟก็เห็นรอยมันอยู่ในเตาไฟ นี่ละเหตุที่ท่านจะดักเอานะ ท่านบอกให้พระเณรดักแมว เอาคอกเอาอะไรมาดัก เตาไฟเป็นเตาไฟต้มน้ำร้อนไม่ใช่เตาหุงต้มอาหารการกินอะไรแหละ เห็นรอยมันเหยียบขี้เถ้าอะไรอยู่แถวนั้น ก็เลยเอากับมาดักแล้วเอาอาหารใส่ในนั้น สุดท้ายมันก็ไปติดจริงๆ

พอติดก็เลยเอามาเลี้ยงไว้ เอาอาหารเอาอะไรๆ ให้กินเลยกลายเป็นแมววัดไป แล้วท่านเป็นผู้สอนมัน มึงอย่าไปกัดหนูนะ หนูก็เป็นลูกศิษย์กู มึงก็เป็นลูกศิษย์กู เป็นลูกศิษย์ทั้งสอง สูอย่ารังแกกันนะท่านสอนมัน ก็เอามาเลี้ยงไว้แล้วนี่จะทำยังไง ดักได้แล้วเวลาให้มันกินก็สอนมัน มันก็ไม่ทำไมจริงๆ แต่หนูอย่าไปกัดหมอนนะท่านว่างั้น ถ้ากัดหมอนวันไหนต้องเห็นหัวหนูอยู่นั้นด้วย มันสำคัญจริงๆ นะท่านว่า มันอะไรพูดไม่ถูก นี่เรื่องหนึ่งที่ท่านร้องหาแมว แล้วกลางคืนแมวก็มานี้อันหนึ่งนะ แล้วก็เลี้ยงไว้ไม่ให้มันกัดหนู แต่ถ้าหนูกัดหมอนวันไหน ตรงที่หมอนขาดนั้นน่ะหัวหนูจะอยู่ที่นั่น คือแมวมันเอาตัวไปกินแล้วๆ มันเหลือหัวไว้ให้ มันคงจะมาบอกครูบาว่า นี่ไม่ให้กัดยังไงก็หมอนขาดทั้งลูกนี่ ก็เอาแต่หัวมันมาไว้นี่ ความหมายว่างั้นนะ

ท่านบอกเป็นอย่างนั้นจริงๆ แปลกเหลือเกิน ถ้าหากหนูไม่กัดหมอนมันไม่ทำอะไร จะยั้วเยี้ยๆ ขนาดไหนก็ไม่เป็นไร มันก็อยู่อย่างนั้นละไม่สนใจอะไร เราเป็นแต่เพียงปรามมันไว้ มึงอย่าไปยุ่งหนูนะ บางทีแมวนั่งอยู่กับคน หนูมันก็วิ่งผ่านไปผ่านมา ไฟมีอยู่อย่างนี้ แล้วแมวก็นั่งอยู่กับคน หนูก็วิ่งผ่านไปผ่านมา มึงอย่าไปยุ่งกับหนูนะ ท่านขู่ไว้เรื่อยท่านว่างั้น มันก็ไม่ทำไม บทเวลามันกัดหมอนละซี กัดวันไหนเป็นได้เรื่องวันนั้น เอาหัวหนูมาไว้นั้นเลยละ ท่านว่างั้น มันแปลกจริงๆ นี้อันหนึ่ง

อันนี้เราก็พูดเรื่องหนู เราก็ตัวเท่าหนูตัวหนึ่งมันก็ทำให้แปลกเหมือนกัน มันเป็นอะไรหรือว่าแมวนี้มันมีหูทิพย์ตาทิพย์ ตอนนั้นเราอยู่ห้วยทราย นี่ก็เหมือนกันห้องนั้นเอาหมอนแขวนไว้ ที่แขวนก็กลัวหนูจะกัดนั่นเอง ถึงเอาเชือกมาผูกหมอนนี้แขวนเอาไว้ ก็หนูนี่แหละขึ้นไปกัดเชือกขาดตกลงมา แล้วหนูอีกนั่นแหละเป็นผู้ขยำหมอนแหลกหมดเลย ห้องนั้นจนเข้าไม่ได้นะถึงขนาดนั้นแหละ เราไปเห็นเข้า โถ ยังไงนี่แมวมันไปไหนดงนี้ไม่มีแมวเหรอ ทำไมหนูถึงได้พิลึกนักหนา ตอนเช้านั้น นี่เราก็พูดตามภาษาเรา แมวมันไปไหนหมด ดงนี้ไม่มีแมวเหรอ หนูมันมาทำลายศาสนาแหลกหมดแล้วนี่เห็นไหม ในห้องนี้น่ะ เราว่างั้น

พระเณรได้ยินเสียงเราก็รุมกันขึ้นมา เพราะพระเณรเดินจงกรมอยู่ตามข้างๆ ก่อนจะบิณฑบาต นี่ไปดูซิ ไม่มีอะไรละมีแต่เรื่องหนูกัดหมอนอยู่เท่านั้น ดูซิก็มันเต็มไปหมดเลยในห้อง มันกัดยังไงพิลึกพิลั่นหนูนี่ หมอนทุกลูกที่มัดติดกันไว้ พอเชือกขาดลงมาถูกกัดจนแหลกหมด พอดีตอน ๕ โมงเย็นมันแปลกอยู่นะ เณรไปบอกว่าที่ครูอาจารย์ถามหาแมว เรียกหาแมวเมื่อเช้านี้ มันมาแล้วนะ มันมาอยู่ไหนล่ะ มันมาอยู่ใต้ห้องนั้นแล้ว เอ๊ะ ทำไมมันมาได้ยังไงก็ไม่ทราบ ว่างั้น แล้วแมวตัวยังไง ตัวใหญ่มากว่างั้น มันอยู่ไหนล่ะ มันหมอบอยู่ใต้ห้องนั่นล่ะ ห้องที่เก็บหมอนอยู่ข้างบนนี่นะ แล้วมันหมอบอยู่ใต้ห้องนั้นละอยู่ที่พื้น เณรว่ามันอยู่พื้น แต่ความจริงมันอยู่ใต้ห้องที่หนูกัดหมอนนั่นแหละ ไหนนะเราไปดูหน่อย เราก็เลยไปดู

ไปดู มันอยู่นั่นจริงๆ หมอบเฉยอยู่ ไม่ใช่ตัวเล็กๆ นะ ด่าง ๆ สีกระต่ายบ้าง สีขาวบ้าง นั้นน่ะมันอยู่นั่น โห ใช่จริงๆ นี่ทำยังไง ส่วนพระท่านมายืนดูอยู่เต็มไปหมดแล้ว อยู่ข้างนอกนั่น แมวตัวนั้นมันไม่เคยมีว่างั้นเถอะน่ะ ไม่เคยเห็นเลยนะว่ามีแมว แล้วก็มีมาบันดลบันดาลเอาวันนั้น อันนี้เราก็ไม่ได้พูดว่าเราศักดิ์สิทธิ์นะ เราพูดถึงเรื่องแมวมันมีหูทิพย์ตาทิพย์ต่างหากนะ

ตั้งแต่นั้นมาเราก็บอก มึงอย่าไปหากัดหนูนะ กูเรียกเฉยๆ ไม่ได้เรียกให้มาจริงๆ หรอก เรียกเฉยๆ นี่แหละ เราว่า มึงอย่ามากัดหนูไม่ได้นะ แล้วมาแทบทุกวันนะ พอ ๕ โมงเย็นมาแล้ว เดินฉากโน้นฉากนี้ ทีนี้พอตกกลางคืนนี้เขาจะทำท่าฉลาดมากนะ เขาจะอ๊าวๆ ๆ รอบวัด วันนั้นหนูเหมือนมันตายหมดนะ ทั้งดงนั้นเลย อย่าว่าแถวนั้นใกล้ๆ เลย มันกลัวนี่นะ ฟังเสียงอ๊าวๆ ๆ เท่านั้นละ โห หนูนี้เงียบเลย นี้มันก็แปลก

เอ้า ทีนี้มาวัดนี้อีก นั่นเราปลูกอ้อยดำไว้ให้โยมแม่เรา อยู่ข้างๆ กุฏิโยมแม่ โยมแม่เราเป็นโรคอัมพาต รักษากับหมออยู่บ้านจั่น ยาของหมอนั้นเขามีอ้อยดำผสม นี้เราก็ได้เอาอ้อยดำจากหมอมาปลูกไว้สำหรับผสมยาให้โยมแม่นั่นเองพูดง่ายๆ ให้เขาทำเป็นแปลงแบบปลูกผัก แล้วก็เอาอ้อยดำปลูกเป็นย่านๆ มันก็ขึ้นเขียวชอุ่มงามจริงๆ เราปัดกวาดเข้าไปตรงนั้น ได้ออกอุทาน โถ อ้อยดำนี่ทำไมถึงงามนักหนา หรือดินมันดีหรือไงหนา เราก็มองโน้นมองนี้ ทำไมถึงเขียวสดงดงามเอานักหนา

ทีนี้คราวอยู่ที่หนองผือเราเคยเห็นหนูมันกัดอ้อยนี่ มานี้เราก็คิด ในป่านี่มันมีหนูไหมนะ ถ้ามีหนูก็กลัวจะมากัดอ้อยโยมแม่ เรานึกนะ แล้วพอดีกลางคืนนั้นหนูมาฟาดเอาแหลกเลย ก็แสดงว่าหนูก็หูทิพย์ใช่ไหมล่ะ พอว่าในดงนี้มันมีหนูหรือเปล่านะ ถ้าเป็นหนองผือแล้วมันเอาเรียบเลยนะ ในดงนี้มันมีหนูหรือเปล่านะเรานึกในใจ พอดีตกกลางคืนมาหนูมาถางเสียเรียบหมดเลย โถ มึงมีจริงๆ นะ แล้วอย่ามาทำอีกนะ กูถามหามึงเฉยๆ ละ มีจริงนะ พอว่างั้นแล้วพูดขู่อีก เรียกหาแมวอีกแหละ ในดงนี้มีแต่หนูเหรอ แมวไม่มีเหรอไปอีกแหละ หือ มีแต่หนูมาถางอ้อยหรือ แมวไม่มีเหรอ ว่าอีกแหละ

เราพูดตอนปัดกวาดเวลาราว ๔ โมงกว่าๆ ตก ๕ โมงเย็นกว่ามาแล้วแมวนะ เสียงอ๊าวๆ มาจากโน่น พอดีเราอยู่ที่ศาลาเล็ก ศาลาปลูกใหม่ เพราะสร้างวัดใหม่เรามาศาลามานั่งอยู่นั่น ฟังเสียงอ๊าวๆ มาแต่โน่น ฟังซิบอกหมู่เพื่อน เสียงนี้ฟังเหมือนเสียงแมวนะ ใครก็ฟังอ๊าวๆ ๆ มานี่ โอ๊ ใช่แล้ว ๆ มันก็มาเรื่อย ถ้างั้นคอยดูนะจะเป็นแมวจริงๆ ไหม เพราะที่นี่มันเตียน ปัดกวาดสักเดี๋ยวมันก็อ๊าวๆ ๆ เรื่อยมา ผ่านมาตรงที่หนูถางอ้อยโยมแม่นะ โผล่ออกมาเลยเห็นกันทุกคน อู๊ย แมวใหญ่มานี่ มึงมาอะไร กูเรียกหาให้มึงมาขู่หนูต่างหาก อย่ามากัดหนูไม่ได้นะ

** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง