ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 10:35 am |
|
รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสิ่งรอบๆ ตัวมาก การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องแข่งขันต่อสู้มากมายเสียเหลือเกิน
มีปัญหาไม่จบสิ้น เราเรียนรู้หลักธรรมมากมาย เข้าใจในโลกธรรม ทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา ... ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ... ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เรารับรู้ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เรียนรู้ว่าการ
ปล่อยวางทำให้ใจเราสงบ แต่การอยู่ท่ามกลางกระแสแห่งโลกธรรม อันเชี่ยวกราด รุนแรง ทำให้ภาวะแห่ง
โลก มากระทบดวงจิตเรา ยากนักจะหลีกเลี่ยงไปได้ แม้เราจะพยายามปล่อยวางอย่างไร ก็ไม่ง่ายเลยที่จะ
ทำให้จิตใจสงบ เป็นสมาธิได้ เรามองเห็นอย่างทะลุแจ้งแล้วว่า การเกิดเป็นทุกข์ และการดำรงชีวิตอยู่บนโลก
แห่งความเห็นแก่ตัวนี้ ยิ่งเป็นทุกข์ใหญ่ แต่ด้วยภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัวทำให้ไม่
สามารถหลีกหนีไปจากสังคมนี้ได้ ภายในใจเรานี้มันเหมือนจะขัดแย้งกันใหญ่แล้ว มันแบ่งเป็น 2 ฝ่ายอยู่ในใจ
เรา ฝ่ายหนึ่งอยากละซึ่งทางโลก ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง และมุ่งหน้าสู่การปกิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แต่อีกฝ่าย
หนึ่งก็บอกว่า เราจะจากไปได้อย่างไร ภาระที่แบกไว้ยังทำไม่สำเร็จเลย ครอบครัวล่ะจะเป็นอย่างไร เขาจะต้อง
ลำบากแค่ไหน เราจะเห็นแก่ตัวทิ้งไปได้หรือ .... ทุกอย่าง เป็นไปตามกรรม ช่างมัน อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด
เราแค่สิ่งมีชีวิต ที่มาอุบัติบนโลกใบนี้ ทำได้แค่เพียงตั้งใจทำความดี และต่อสู้กับปัญหาในชีวิตต่อไป |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 12:05 pm |
|
กราบสวัสดี คุณจิรายุ
ขัดแย้งเพราะไม่ได้เข้าไปเห็นสภาวะธรรมแห่งความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาอย่างแท้จริง ปัญหาไม่จบสิ้น เพราะการปล่อยวางไม่ได้เกิดขึ้นโดยอารมณ์ ความรู้สึกจากส่วนลึกของใจ หากมองเห็นอย่างทะลุแจ้ง ย่อมไม่ขัดแย้งขึ้นภายในใจตน อยู่ตรงไหนก็ไม่มีปัญหา แต่หน้าที่ตรงนั้นคืออะไร การเข้าใจธรรมะที่ถึงแก่น ไม่ได้หมายความว่าต้องหลีกลี้หนีหน้าเข้าป่าเข้าดง การเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่ใช่การปลีกตัวเองและละทิ้งภาระไว้เบื้องหลัง หากปัญญาเกิดอย่างแท้จริงพลิกสถานการณ์หมด
ธรรมะสวัสดี
มณี ปัทมะ ตารา
|
|
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 1:15 pm |
|
เหนื่อยนักก็พักหลับตาสักครู่ หายเหนื่อยแล้วค่อยไปต่อ
แล้วมองออกไปไกลๆ ดูสิมีใครบ้างไหมที่ไม่ต่อสู้ ไม่ดิ้นรน .... ไม่มีเลย
ทุกสรรพชีวิตกำลังต่อสู้อยู่กันทั้งนั้น
มองจากภายในรัฐสภาออกมาข้างนอกจนถึงริมถนนคนเดินล้วนกำลังต้องสู้กัน แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อความอยู่รอดของตนเองและพวกพ้อง
คนเก็บขยะก็ต่อสู้กันอยู่บนกองขยะ ฯลฯ นี่แหละรสชาดของชีวิต
ใครมีจิตใจเข็มแข็งกว่า ก็ดำรงตนอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยไม่สะดุ้งสะเทือนมากนัก
พระพุทธเจ้าท่านเข้าป่าฝึกตนด้วยความยากลำบากจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง ก็สู้ สู้จนรู้แจ้งแทงตลอดชีวิตแล้ว แต่ท่านก็กลับเข้าเมือง เพื่อมาทำหน้าที่ของท่าน โดยไม่หนีหายไปไหน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เราชาวพุทธว่า ต้องสู้ สู้กับมารภายนอกและมารภายใน....
สู้ต่อไปอย่ายอมแพ้ กลับจากทำงานถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นหัวใจ แล้วอยู่ในมุมของตนเองอยู่กับสิ่งที่เราชอบทิ้งเรื่องยุ่งยากขัดแย้งจากที่ทำงานไว้ชั่วคราวก่อน พรุ่งนี้เอากันใหม่
เมื่อสู้อย่างนี้แล้ว อุปสรรคหรือจะขวางคนเอาจริง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
น้ำใส
บัวพ้นดิน
เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 1:24 pm |
|
..รักษาความมีสติเอาไว้เถิดหนอ |
|
|
|
|
|
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 2:07 pm |
|
ขอขอบคุณ คุณทั้งสอง ในน้ำใจไมตรี ที่ชี้แนะ และแบ่งปันแนวคิดดี ๆ ต่อเพื่อนร่วมทางคนหนึ่ง
ช่วงเวลานี้ ผมรู้สึกท้อจริง ๆ ไม่รู้จะปรึกษากับใคร คิดว่าพื้นที่ตรงนี้คงมีใครที่จะพอพูดคุยได้อย่างตรงไป ตรงมา
การฝึกฝนในทางจิตใจนั้น ผมก็พยายามทำมาตลอด แต่อาจจะไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ หรือเพราะความโง่เขลา จึงไม่สามารถบรรลุซึ่งปัญญา อย่างแท้จริง ยังคงไม่ปล่อยวางได้ ใจจึงเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเกิดปัญญา และปล่อยวางได้อย่างแท้จริงครับ |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 2:35 pm |
|
พูดน่าง่าย แต่การปฏิบัติสิยาก ยากกว่าพูดหลายเท่านักครับ
พระพุทธเจ้าวางหลักไว้แล้ว คือสติปัฏฐาน 4 ได้แก่
1.ตามดูรู้ทันกาย (กายานุปัสสนา)
2.ตามดูรู้ทันเวทนา (เวทนานุปัสสนา)
3.การตามดูรู้ทันความคิด (จิตตานุปัสสนา)
4.การตามดูรู้ทันนิวรณ์ (ธรรมานุปัสสนา)
พูดก็แค่นี้เองจบ
แต่การทำสิเป็นปีๆ หรือหลายปี....
ตามดูรู้ทันตามที่มันเป็น
คำว่า "รู้ตามที่มันเป็น" แค่นี้ก็ยากแล้ว
เพราะอะไร ?
เพราะเราไม่ยอมรับรู้สิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น แต่จะให้มันเป็นตามที่เราต้องการ
จึงฝืนธรรมดาฝืนธรรมชาติ ขัดกับความต้องการตน
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นฝนตก ไม่ชอบไม่พอใจว่า...ตกอะไรกันนักหนา ขายของขายสินค้าไม่ได้ ลูกค้าหนีหมด
ท้องไร่ท้องนาทำไมไม่ไปตก มาตกทำไมในเมือง
คือไม่ยอมรับตามที่มันเป็น ธรรมชาติมันเป็นของมันอย่างนั้น แต่เราจะไปฝืนมัน มันก็เป็นทุกข์ดิ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 2:59 pm |
|
การปฏิบัติกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่เถอะ ที่ทำๆ กันไม่ได้ผลก็นี่ล่ะ ไม่ยอมรับความจริง จิตมันคิดอะไรหน่อยแทนที่จะรู้ตามที่มันคิด รู้ทันมันบ่อยๆตามที่มันคิดนั่นแหละดูมัน ตามที่มันเป็น
แต่ไม่เลยโยคีปฏิบัติไปๆ พอคิดอะไรแวบ เอาแล้ว....ตั้งคำถามเลยว่า มันคืออะไร มันเป็นอะไร... ฯลฯ คิดวนไปวนมา ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มยิ่งทุกข์ หาทางออกไม่ได้...ตัน
ยิ่งประสบทุกข์เข้าด้วย คราวนี้ไปกันใหญ่เลย รับไม่ได้ ไม่ชอบทุกข์ ลืมคำพูดที่ว่า "รู้ตามที่มันเป็น" เลย
ลองดูตัวอย่างตามลิงค์นี้สักตัวอย่างหนึ่งก็ได้ =>
http://larndham.net/index.php?showtopic=26914
ตัวอย่างลักษณะนี้มีเป็นร้อยเป็นพันตัวอย่าง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 3:15 pm |
|
คำว่า รู้ตามที่มันเป็น หมายถึง ให้รู้เท่าทัน ตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติ เพราะเมื่อเรารู้เท่าทัน ก็หมายความว่า เรามีสติ อยู่กับตัวแล้ว เมื่อมีอารมณ์มากระทบใจ เราก็รู้ แล้วอย่างไรต่อครับ รู้แล้ว จะระงับได้อย่างไรครับ ... |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 3:47 pm |
|
คำถามที่ว่า จะระงับได้อย่างไร นั่นๆ กำลังจะเข้าไปจัดการมัน ฮิฮิ ไม่ต้องไปทำอะไรมัน ดูตามที่มันเป็น
ตามรู้ดูทันบ่อยๆ แล้วๆ เล่าๆ เกิดก็รู้เกิดก็รู้ เมื่อกำลังแห่งความรู้ทัน (สติ) แข็งแรงพอ (ซึ่งก็เกิดจากการเพียรกำหนดรู้บ่อยๆนั่น)
ธรรมชาติของจิต (ความคิด) มันเกิดดับเกิดดับ ไม่จิรัง มันก็จะดับเมื่อรู้ทัน
ที่สำคัญในเบื้องต้นกำลังแห่งอินทรีย์ไม่แรงพอไม่ใหญ่พอที่จะคุมกำลังแห่งความฟุ้งซ่านเป็นต้นได้ ท่านจึงให้เจริญสติเป็นต้นด้วยอุบายวิธีต่างๆ คือให้จิตมีที่ยึดที่เกาะไว้เป็นเบื้องต้นก่อน ไม่อย่างนั้นมันเคว้งคว้าง หรือไม่ก็จมอยู่กับความคิดนั้น
เมื่อจะเข้าหลักยึด คุณเข้าไปตั้งคำถามและค่อยๆศึกษาที่นี่ ดูครับ =>
http://www.section-5.org/webboard3/aspboard.asp?page=1&ans=&search= |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 4:20 pm |
|
กำลังแห่งอินทรีย์ เหรอครับ ถ้าเรามั่นทำสมาธิ ภาวนา อยู่เสมอ จะทำให้ กำลังแห่งอินทรีย์ ของเราเข้มแข็งขึ้นใช่ หรือไม่ คำภาวนา เป็นเพียงสิ่งให้ใจเกาะยึด เราจะภาวนา คำใดก็ให้ผลเช่นเดียวกันถูกต้องไหม ผมภาวนา พุทโธ บ้าง อรหันต์ บ้าง ก็ได้ใช่ไหมครับ คือ ผมเคยเข้าใจของผมเองว่า อารมณ์ เหมือนไฟที่มาจุดติดเชื้อ คือ กิเลส ในใจ ดังนั้น สติที่รู้เท่าทัน จะคอยตามดับไฟ นั้น จิตที่พัฒนาแล้ว นั้น จะตามดับอารมณ์ ทันที ที่เกิด อันนี้ก็ดูจะแย้งกับที่คุณ กรัชกาย บอกมาหรือเปล่าครับ |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 5:01 pm |
|
กำลังแห่งอินทรีย์ เหรอครับ ถ้าเรามั่นทำสมาธิ ภาวนา อยู่เสมอ จะทำให้ กำลังแห่งอินทรีย์ ของเราเข้มแข็งขึ้นใช่ หรือไม่
ถูกต้อง ครับ
ดูองค์ธรรมซึ่งเป็นอินทรีย์ ดังนี้ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
( ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ) เมื่ออินทรีย์ ๕ นี้เจริญขึ้นอีกระดับหนึ่งก็จะมีกำลัง เรียกว่า พลธรรม จะมีกำลังต้านอกุศลและกำจัดอกุศลตามหน้าที่ขององค์ธรรมนั้นๆ
........................
คำภาวนา เป็นเพียงสิ่งให้ใจเกาะยึด เราจะภาวนา คำใดก็ให้ผลเช่นเดียวกันถูกต้องไหม ผมภาวนา พุทโธ บ้าง อรหันต์ บ้าง ก็ได้ใช่ไหมครับ
เมื่อพูดถึงคำภาวนาเห็นควรโยงให้ถึงสติปัฏฐานด้วย เพื่อให้สติปัฏฐานเกิดครบทุกฐาน
หากภาวนาพุทโธๆ เท่านี้ก็ดี อรหันต์ๆ เท่านี้ก็ดี พองหนอ ยุบหนอ เพียงเท่านี้ก็ดี ก็ได้นะไม่ผิดถ้าต้องการแค่นี้ก็ได้
แต่สติปัฏฐานเข้าไม่ครบ จึงไม่เป็นวิปัสสนา
ถ้าเป็นวิปัสสนากรรมฐานแล้ว พึงภาวนารูป-นามไปด้วยกัน กล่าวคือมีรูปนามเป็นอารมณ์ อะไรเกิดก็ภาวนานั้นไปตามสมควร
.......................
คือ ผมเคยเข้าใจของผมเองว่า อารมณ์ เหมือนไฟที่มาจุดติดเชื้อ คือ กิเลส ในใจ ดังนั้น สติที่รู้เท่าทัน จะคอยตามดับไฟ นั้น จิตที่พัฒนาแล้ว นั้น จะตามดับอารมณ์ ทันที ที่เกิด อันนี้ก็ดูจะแย้งกับที่คุณ กรัชกาย บอกมาหรือเปล่าครับ
อารมณ์ภายนอกมันอยู่ของมันอย่างนั้นเอง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่จิตซึ่งไม่ฉลาด กล่าวคือถูกอวิชชาครอบงำไว้ ทำให้ไม่รู้สภาวะตามเป็นจริง
ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับเจ้าของบ้านไม่รู้จักโจร เปิดประตูรับโจรเข้ามาปล้นบ้านตนเองฉันใดก็ฉันนั้น
ไม่พึงลืมแบบที่ว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอริยบุคคลก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย แล้วก็เกี่ยวข้องกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ทั่วๆไป
แล้วมีอะไรเป็นเหตุต่างกันเล่า...
พึงเข้าไปดูหลักที่นี่ค่อยๆอ่านดู=>
http://www.section-5.org/webboard3/aspboard_question.asp?GID=79
องค์ธรรมมีมากมายเค้าทำงานร่วมกัน สติ-ปัญญาเป็นต้นก็ทำงานร่วมกันแต่ทำหน้าที่ต่างกัน |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 5:21 pm |
|
ขอบคุณมากครับ รู้สึกคลี่คลายขึ้นมากครับ กับข้อสงสัย เมื่อไหร่มีปัญหาจะเข้ามาสอบถามอีกได้ไหมครับ |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 5:26 pm |
|
จิตที่พัฒนาแล้ว นั้น จะตามดับอารมณ์ ทันที ที่เกิด อันนี้ก็ดูจะแย้งกับที่คุณ กรัชกาย บอกมาหรือเปล่าครับ
คุณพูดไม่ตรงสภาวะนัก
ถ้าจะพูดให้ลึกลงไปอีก จิตโดดๆ มันจะดับอะไรได้ หน้าที่ของจิตหรือวิญญาณ คือคิดหรือรู้อารมณ์แล้วดับ แต่องค์ธรรมอื่นๆ ซึ่งท่านเรียกว่าเจตสิก (ปัญญา) ต่างหากทำหน้าที่ดับ แต่หาเป็นปัญญาโดดๆไม่ ปัญญาจะเกิดได้ ก็ต้องมีสมาธิเป็นต้นเป็นฐานให้เกิด ฯลฯ
ไม่ทราบว่าแย้งกันตรงไหน หรือที่ว่าจิตเกิดดับเกิดดับหรอเปล่า
ข้อสำคัญที่ควรจำคือ ในขณะที่กำลังภาวนาอยู่นั้นไม่พึงคิดชื่อว่า นี่เป็นปัญญาหรือเป็นสมาธิหรือเป็นสติเป็นต้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 5:31 pm |
|
เมื่อไหร่มีปัญหาจะเข้ามาสอบถามอีกได้ไหมครับ
ด้วยความยินดีเท่าที่สติปัญญามีครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 5:40 pm |
|
ขอบคุณอย่างยิ่งครับ ... ว่าแต่พอจะบอก e-mail คุณได้ไหม เผื่อว่าผมมีปัญหาธรรม จะได้ปรึกษากันหน่อยครับ |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 5:46 pm |
|
|
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 04 ก.ค.2007, 7:39 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง |
|
|
|
จิรายุ
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 04 ก.ค. 2007
ตอบ: 16
ที่อยู่ (จังหวัด): ปทุมธานี
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 6:00 pm |
|
ยังไม่ทราบ e-mail เลยครับ ถ้าสะดวกก็ส่งมาได้นะครับ |
|
_________________ ตั้งใจทำความดี เพื่อชาตินี้ และชาติหน้า |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2007, 6:47 pm |
|
ส่งให้ทางกล่องข้อความส่วนตัวแล้วครับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
ณพรหม
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 25 มิ.ย. 2007
ตอบ: 47
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.ค.2007, 3:30 pm |
|
สวัสดีจ้ะ
สิ่งที่ผมอยากฝากกับคุณคือ เป้าหมายนะจ้ะ
ทำไมถึงพูดว่าเป้าหมาย สิ่งที่คุณเขียน มันบอกว่าคุณยังไม่มีเป้าหมายชีวิตนะจ้ะ
คือพระนิพพาน
ไม่ใช่ว่าจะเป็นทุกข์เพราะยังไม่ไปนิพพาน แต่ความสุขที่แท้จริงนั้นคือได้อยู่ในเส้นทางแห่งนิพพาน คือการได้กระทำตามคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์
ยกตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ทั้งหลาย ตลอดการสร้างบารมี ท่านไม่เคยพบกับความทุกข์เลย แม้ว่าจะลำบากในการดำเนินชีวิตในแต่ละชาติ แต่ท่านกับมีมโนปณิถานอันแรงก้ลาและกับมีความสุขและยังปลื้มปีติกับสิ่งที่ท่านตลอดกาลสร้างบารมีนะจ้ะ เพราะว่าท่านมีเป้าหมายชีวิต ถึงแม้ว่าท่านยังไม่บรรลุมรรคผลจ้า
สิ่งที่ผมได้อ่านมาจาก คุณกรัชกาย นี่ดีมีสาระมากเลย ก็อยากให้คุณจิรายุ ได้อ่านนะจ้ะ
ขออนุโมทนาบุญนะจ้ะ
ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญ ขอให้มีดวงปัญญาเห็นธรรม ขอให้มีทั้งอายุ วรรณ สุขะและพละ เป็นบัณฑิต นักปราญช์ ฉลาดในศาสตร์ทั้งปวงรู้ทางโลกและทางธรรม และได้สำเร็จมรรคและผลเป็นคู่บุญในการต่ออายุพระพุทธศาสนาและได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง สิ่งได้ที่ปราถนาไปในทางที่ดี ขอเป็นผลสำเร็จ เทอญ |
|
_________________ ตะวันที่ให้แสงสว่างแก่ สัตว์ทั้งหลายทุกโลกธาตุฉันใด
ตัวเราจะเป็นผู้ให้ความสว่างชี้ทางสู่ความเป็น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหัตถเจ้า ตลอดอนันต์โลกธาตุ จะรื้อสัตว์ขนสตัว์ให้หมดไปฉันนั้น |
|
|
|
ณพรหม
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 25 มิ.ย. 2007
ตอบ: 47
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ
|
ตอบเมื่อ:
08 ก.ค.2007, 3:03 pm |
|
สิ่งที่คุณเขียนผมอ่านแล้ว ก็รุ้สึกว่าคุณยังไม่มีเป้าหมายชีวิตนะจ้ะ
ทำไมถึงพูดเช่นนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ทั้งหลาย ตลอดการเดินทางหรือการสร้างบารมีนั้นนะท่านไม่เคยมีทุกข์เลย เพราะว่าท่านมีเป้าหมายนะจ้ะ แม้จะต้องเวียนวายตายเกิดนับประมาณไม่ถ้วนท่านก็ยังมีกำลัง และปีติยินดี ในสิ่งที่ท่านทำให้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
หรืออาจอธิบายง่ายว่า ความทุกข์ไม่ใช่ว่าจะหมดไปได้ก็ต้องนิพพานอย่างเดียวนะจ้ะ
แต่เรานะได้อยู่ในเส้นทางแห่งพระนิพพานแล้วหรือต่างจ้า พระสัมมาสัมพุทธ ท่านก็ได้กล่าวมาเช่นนี้ "ดูก่อนท่านทั้งหลาย ถ้าท่านประพฤติปฏิบัติตามตถาคตแล้ว ท่านจะพบความสุขที่แท้จริง เพราะตถาคตได้รู้ถึงเหตุแห่งทุกข์"
ถ้าทำตามนี้แล้วละก็ ทุกข์ก็จะเปลี่ยนเป็นพลังในการข้ามภพ 3 และเมื่อเราได้เปลี่ยนเป็นพลังแล้ว เราก็จะได้อยู่ในเส้นทางแห่งพระนิพพานเองจ้า ซึ่งหมายความเราจะมีที่เกิดที่เดียวเท่านั้นคือ สุคติ
|
|
_________________ ตะวันที่ให้แสงสว่างแก่ สัตว์ทั้งหลายทุกโลกธาตุฉันใด
ตัวเราจะเป็นผู้ให้ความสว่างชี้ทางสู่ความเป็น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหัตถเจ้า ตลอดอนันต์โลกธาตุ จะรื้อสัตว์ขนสตัว์ให้หมดไปฉันนั้น |
|
|
|
|