Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อันตรายที่จะทำให้ศาสนาเสื่อม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 5:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีคนพูดว่าศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่คนต่างหากที่เสื่อมไป จะมีความเห็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดนั้นมีความหมายในเรื่องที่จะทำให้พระสัทธรรมค่อยๆอันตรธานไปทั้งสิ้น



การตั้งอยู่ของพระสัทธรรมนั้น ก็อยู่บนหลักการแห่งพระไตรลักษณ์ โดยไม่มีข้อสงสัยก็จริง แต่มันมีเหตุแห่งความเสื่อมเป็นปัจจัยอยู่ ดังนั้นความพยายมแก้ไข ซึ่งจะทำได้หรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นเหตุปัจจัยเช่นเดียวกันที่จะทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน



การตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรมแห่งนิการเถรวาท นั้นตั้งอยู่โดยการสืบทอดท่องบ่นพระสัทธรรมมาตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพจนมาถึงยุคปัจจุบัน อันนี้เป็นคุณของการสาธยายมนต์ที่สืบทอดพระศาสนามาได้นาน



การเรียนสอนพระปริยัติที่ให้ท่องคัมภีน์ เหมือนจำใบลานไว้(สำนวนว่าอย่างนี้) จึงมีคุณต่อศาสนา เนื่องจากได้สืบทอดศาสนาไว้ เมื่อมีผู้เรียนรู้สิ่งที่สืบทอดกันมานี้ นำไปปฏิบัติย่อมได้ผลในการปฏิบัติ ถ้าไม่มีภิกษุช่วยกันท่องบ่น เล่าเรียนพระสัทธรรมถ่ายทอดกันมาแล้ว คนในรุ่นเราไหนเลยจะได้ศึกษาพระศาสนา นี่เป็นบุญคุณของฝ่ายพระปริยัติ และการบวชแบบท่องบ่นที่สืบทอดกันมาในสมัยโบราณ



อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน พระส่วนใหญ่บวชในระยะสั้น เพราะสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป การที่จะคงพระสัทธรรมให้เหมือนก่อนเป็นเรื่องยาก เพราะสวดมนต์อย่างพระปริต เจ็ดตำนานหรือสิบสองตำนานก็ไม่ได้ (ผมเองก็บวชเพียง 27 วันสวดพระปริตไม่ได้เหมือนกัน มาตอนหลังลาสิกขาแล้ว เห็นความสำคัญเรื่องนี้จึงสวดพระปริต สวดพระสูตรอย่างธรรมจักกัปวัตนสูตได้)



การท่องบ่นและสาธยายมนต์นั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ทุกวันนี้ถ้าผมขับรถคนเดียวสองชั่วโมงก็ไม่มีอะไรทำ นอกจากสวดมนต์บทโน้นบทนี้ไปเป็นเวลาสองชั่วโมง ถ้าเราฝึกหัดสวดมนต์แล้วเวลาอยู่เฉยๆ ปากก็จะสาธยายมนต์ไปเอง และจะเข้าใจความหมายที่ศึกษาในบทสวดมนต์ลึกซึ้งลงไป



การอ่านความหมายของบทสวดมนต์ ไม่ทำให้เข้าใจภาษาสวดมนต์ได้ดี ต้องทำความเข้าใจหลายๆครั้ง และถ้าทำความเข้าใจพยัญชนะตามภาษาบาลีแล้ว ความเข้าใจอรรถะ จะลึกและแน่นลงไป ตรงนี้เลยเห็นคุณประโยชน์ของผู้ที่ศึกษาปริยัติธรรม เพราะถ้ามีศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว ผู้ศึษาปริยัติธรรมและเข้าใจภาษาบาลีถึงรากถึงแก่นนี้ จะเป็นผู้เข้าใจธรรมะเป็นอย่างยิ่ง



เพราะวิเคราะห์ศัพท์ได้ถึงแก่น อย่างคำว่า " สักโก " ในพรณียาเมตตาสูตรนั้น มีผู้แปลว่า "ผู้กล้า"



แต่เมื่อวิเคราะห์ศัพท์ "สักโก" หมายถึง ท้าวสักกะ ท้าวสักกะนี่กล้าอย่างไร ก็ดูว่าก่อนที่ท่านจะมาเป็นท้าวสักกะ ตอนเป็นมนุษย์ได้ทำความดีร่วมกับพวกพ้องเป็นอีนมา นี่เป็นความกล้าหาญที่ทำให้เป็นท้าวสักกะ สักโก จึงมีความหมายลึกลงไปว่าเป็นผู้กล้าในการกระทำความดี



ทุกความหมายในบทสวดมนต์นี้ ถ้าทำความเข้าใจในภาษาบาลี แล้วความรู้ความเข้าใจจะกระจ่างขึ้นเป็นอันมาก เพราะเข้าใจลึกลงไปสู่อรรถะ เพราะเราได้บวชเรียนมาแค่ 27 วัน จึงต้องศึกษาธรรมะและภาษาบาลีเองไปตามมีตามเกิด



การเห็นความสำคัญของการปริยัติก้ดี การท่องมนต์สืบทอดกันมาก็ได้ การเห็นความสำคัญของพระไตนปิฏกก็ดี ย่อมเป็นความเคารพยำเกรงในธรรม หรือในหลักธรรมของศาสนา



หลักของเถรวาทนั้นมิได้มีความสับสนเลย แต่เมื่อนำหลักการอื่นเข้ามาปะปนกับเถรวาท หรือเข้ามาผสมกลมกลืนกันแล้ว หลักของเถรวาทก็ไม่รู้จะอยู่ตรงไหน เดี๋ยวนี้คนนับถือศาสนาพุทธนั้นเชื่อในลัทธิเทวนิยม



ความเชื่อนั้นแตกต่างจากนิกายเถรวาทออกไปทุกที เช่นเชื่อว่ามีแดนนิพพานออกไปนอกโลก ที่จะไปได้ด้วยการมาการไปก็มี เชื่อว่านิพพานเป็นแดนคือมีรูปได้ก็มี เชื่อว่าพระโสดาบันเป็นพระโพธิสัตว์ก็มี คือมีอำนาจกำหนดที่จะไม่เข้านิพพานได้ เพราะนิพพานเป็นแดนที่จะเขาไป หรือไม่เข้าไปก็ได้ เชื่อว่าบรรลุพระอรหันต์แล้ว ก้ไม่เข้าพระนิพพานได้ และมีพรอรหันต์ประเภทหนึ่งจะสร้างบารมีมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า



หลักการความคิดเช่นนี้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อนำมาผสมกับนิกายเถรวาทแล้ว ก็เท่ากับทำลายนิกายเถรวาทไปทั้งระบบ เพราะว่าจะทำให้หลักคำสอนของนิกายเถรวาทนั้นเชื่อไม่ได้ไปเกือบทั้งหมด เพราะมีความขัดแย้งกันมาก ในที่สุดแล้วมีแต่ทำให้เกิดความสับสนยุ่งเหยิงในระบบความเชื่อพระพุทธศาสนา



การกล่าวหาของอีกฝ่ายหนึ่ง ว่าคนที่สนใจปริยัติไม่รู้จริงโดยไม่เห็นคุณของการสืบทอด และกลาวว่าพระไตรปิฏกมีสิ่งปลอมปนเป็นอันมาก แล้วไปยึดการปฏิบัติ และการเห็นฌานหรือได้ฌานเพียงเล็กน้อย การรู้เห็นด้วยใจอันเล็กน้อยไปเป็นเรื่องสำคัญว่าเป็นคุณวิเศษอันยิ่งเมื่อใด พระสัทธรรมย่อมตกต่ำลงไปได้



เพราะผู้รู้ไปให้ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป และเห็นคำสอนในใบลานไม่มีค่าเป็นสิ่งว่างเปล่า สิ่งเหล่านี้จะแตกต่าอะไรกับในสมัยพุทธกาล ที่มีเทพยดาจำนวนมากในชั้นพระพรหมที่มีความหลงผิด หรือแม้แต่พระยามารปรนิมมิตสวัตตีที่หลงผิด หรือพวกเทวดาที่หลงผิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นมงคล สิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่เป็นมงคล เทวดาต่างถกเถียงกันและยกเรื่องต่างๆที่เป็นมงคล



ก็เหมือนมนุษย์สมัยนี้ที่ถือเคล็ดถือโชคลาง หรือต้องหาใบเงินใบทองมาปะพรหมน้ำพุทธมล เพราะเชื่อในมงคล เทวดาก็เหมือนคนที่เป็นแบบนี้ในมนุษย์ ถกเถียงแล้วสงสัยจึงไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสมงคล 38 ประการ ส่วนมงคลมากมายที่เทวดายกมาว่าน่าจะเป็นมงคลนั้น ไม่ไอยู่ในมงคล 38 ประการเลย เทวดานั้นมีแต่ความหลงผิด



แต่ลัทธเทวนิยมนั้นเชื่อถือเทวดา ทั้งที่พระธรรมเกิดในโลกมนุษย์ของเรา และเพื่อสั่งสอนมนุษย์ ส่วนธรรมที่สั่งสอนเทวดานั้นต่างกับสั่งสอนมนุษย์ เพราะสภาพแวดล้อมของการรับรู้ต่างกัน เทวดาจะมีความเชื่ออย่างไรก็เชื่อในโลกของเขา การมีญาณรู้ของเทวดานั้นไม่ได้หมายความว่ามีความสามารถจะรู้ธรรมได้มากกว่ามนุษย์



แต่พระสัทธรรมก็เปลี่ยนแปลง และถูกนำเข้ามาปลอมปนมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้จะโดยจงใจ หรือไม่จงใจก็ตาม การทำความเข้าใจว่าเป็นการขาดความยำเกรงต่อพระธรรมหรือไม่นั้น ต้องทำความเข้าใจกับภาษาบาลี คือ "คารโว"ใลกซึ้ง ถ้าเข้าใจคารโวว่าอรรถจริงๆมีความหมายอย่างไรแล้ว เราก็จะรู้ว่าอะไรที่ทำลงไปแล้วขาดความ"คารโว"บ้าง
 
ดนุวัติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 1:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในเรื่องของศาสนานั้น ไม่ได้เพียงแค่ปริยัติอย่างเดียวก็จะบรรลุได้ แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติด้วย ในเรื่องของความเข้าใจจากการอ่านเมื่อผู้ใดปฏิบัติจนเห็นจริงแล้วก็จะไม่สงสัยและอาจจะเข้าใจต่างจากพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติเลยโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีการคาดเดาในธรรมกันอย่างที่ทุกวันนี้เป็นอยู่



แม้แต่ในเรื่องของเทวดา และพรหม ก็เหมือนกัน (อีกแง่หนึ่ง) ถูกอย่างคุณโอ่ว่า การมีญาณรู้ของเทวดานั้นไม่ได้หมายความว่ามีความสามารถจะรู้ธรรมได้มากกว่ามนุษย์ แต่ก็น่าสังเกตว่าในสมัยพุทธกาลก็ปรากฏว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ เทวดาหรือพรหมก็บรรลุธรรมมากกว่ามนุษย์ที่นั่งฟังเสียอีก ดังนั้นขอให้คำนึงถึงความดีของเทวดา ว่าท่านต้องมีคุณธรรมอยู่ คือหิริ โอตัปปะ จึงเป็นเทวดาได้

ผมเชื่อว่าบางท่าน หลายท่านดีกว่า ที่ท่านนับถือเทวดา ท่านก็ไม่ได้หมายความว่านับถือเทวดามากกว่าพระธรรมหรือพระรัตตนตรัย แต่ก็เป็นเพราะธรรมดาที่เด็กต้องเคารพต่อผู้ใหญ่ ก็เป็นเรื่องดีไม่เห็นเสียหายอะไร แต่เหนืออื่นใดผมก็เชื่อว่าท่านเหล่านั้นก็เข้าใจในเรื่องของพระธรรมและเคารพอยู่เป็นกำลังครับ แต่ก็ยังโดนตำหนิจากพวกที่เรียกว่าพุทธแท้แต่ไม่มีความเข้าใจในภูมิธรรมของเทวดา



แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว ทุกวันนี้พวกผู้ที่เรียกว่าผู้ปฏิบัติธรมก็เป็นผู้ทำลายศาสนาเสียก็มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมหัศจรรย์ในศาสนาพุทธก็แทบจะไม่มีครูบาอาจารย์สำคัญจะพูดถึงเพราะ เหนือวิสัยที่คนกิเลสหนาจะทราบได้ และเมตตา เพราะไม่อยากให้พวกนี้ต้องมีโทษเพราะปรามาสท่านและพระธรรม



ส่วนในเรื่องของน้ำมนต์นี่ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ทรงสอนให้พระอานนท์ทำ ในตอนที่โรคห่าระบาด อย่างนี้จะว่าไม่มีในศาสนาพุทธก็ไม่ได้ เพราะในเมื่อพระพุทธเจ้าก็ทรงทำ และสอนอีกต่างหาก



แต่ทางที่ดี ควรจะศึกษาให้รอบเสียก่อนจะดีที่สุด จะได้ไม่ริดรอนความดีในศาสนาพุทธกันอีก
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 2:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมไม่ปรามาสเทวดาในเชิงนั้น และไม่ติเตียนการทำพุทธมนต์เลยครับ ผมเพียงแต่ยกตัวอย่างว่า บางท่านมีความเข้าใจว่าต้องใช้ใบเงินใบทองประพรมน้ำพุทธมนต์ จึงเป็นมงคล เรื่องน้ำพุทธมนต์นั้นผมเชื่อว่าเป็นสิ่งดี แต่ไม่อยากให้ถือเคล็ด นอกจากจะมีเหตุผลในเรื่องนั้น



ผมทราบว่าพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา มีพรหมบรรลุธรรมหลายโกฏิ แต่ในโลกมนุษย์มีผู้บรรลุโสดาปัตติผลเพียงคนเดียว คือท่านโกญฑัญญะ คุณธรรมของเทวดานั้นมีอยู่ ถ้าเราระลึกถึงเทวดามากเกินไป ผมกลัวว่าเราไม่มีเวลาเท่าที่ควรจะระลึกถึงพระรัตนตรัย



คิดดูถ้าเรามีเวลาวันหนึ่งยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าเอาทั้งหมดที่ทำได้เพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย และไม่ต้องรำลึกถึงเทวดา จะเป็นอย่างไร ถ้าระลึกถึงเทวดา ก็ระลึกในเทวธรรม คือหิริ โอตตัปปะ ไม่ต้องนึกถึงเทวดาอย่างเป็นตัวบุคคล



ตรงนี้เป็นเวทีที่ดีที่เราได้ถกกันไปเรื่อยๆ ผมขอให้ใช้เวทีตรงนี้บ่อยๆนะครับ
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 10 ธ.ค.2004, 9:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

()()()



สาธุ เป็นความคิดเห็นที่ดีมากครับ



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
sa-ard
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 มิ.ย. 2004
ตอบ: 32

ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2004, 8:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับเห็นด้วยทุกอย่าง

อย่างสังฆานุสติ ก็นึกถึงข้อวัตรปฏิบัติของท่าน สังโยชน์ที่ท่านละได้คุณธรรมของท่าน และปฏิบัติตามทางของท่านตามไป ถ้านึกถึงแต่หน้าหรือรูปแบบนั้นก็เป็นกสิน เทวดาก็เช่นกันระลึกถึงคุณธรรมของท่านที่มีที่เป็นเทวดาได้



เคยอุทิศบุญให้เทวดา และขอให้ท่านห้ามฝนและทำให้ฝนตกเฉพาะก็เคยลองมาหลายครัง อันนี้บอกเพื่อยืนยันว่ามีและเป็นไปได้ไม่ใช่อวด แม้แต่คนใกล้ตัวผมก็ยังไม่ได้บอก เขายังงงเลยว่าเมฆไม่มีสักกอ้นฝนตกมาได้ไง ผมก็เฉยๆ เพราะเราไม่ได้ทำเองหรือเก่งเองท่านสงเคราะห์หรอก ถ้าเราไม่มีศีลหรือความดีอะไรก็ไม่มีผล เหมือนกับขอทานข้างทางนั่งอยู่เฉยๆไม่สนใจเรา

เรามีเงินอยู่สามารถให้ได้ก็ไม่อยากจะให้ แต่เมื่อทำท่าขอจึงให้



เรื่องศาสนานั้นสอนหลายอย่างหลายแบบ สมมุติถ้าเรามีลูกน้องสักกลุ่มหนึ่ง

สอนลูกน้องไป10อย่างคนหนึ่งทำตามที่บอกได้อย่างสองอย่าง ที่ทำได้ก็ว่าดีไป

ส่วนที่ทำไม่ได้พอลับหลังก็บอกคนอื่นในกลุ่มว่านอกจากที่เราทำไม่ใช่แนวทางไม่ใช่แก่น ไม่ได้สอนอย่าทำ ยุให้แยกพายเรือกันคนละทีคนละทาง คนเป็นหัวหน้ารู้สึกอย่างไรคงไม่ต้องบอก... คนละอย่างกับที่ยังไม่เชื่อจะลองทำดูก่อน และก็ไม่ได้ยุแยงไม่ได้ห้ามคนอื่นทำนี่ แบบนี้ก็ไม่ทำให้แตกแยกหรือเสื่อม







 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดนุวัติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 11 ธ.ค.2004, 10:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณโอ่ต้องบอกให้ละเอียดอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นคนที่มีกำลังใจไม่ถึงจะไม่เข้าใจในความหมายที่คุณโอ่ต้องการจะสื่อ จะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปอย่างมาก เพราะถ้าจะว่าไปในเรื่องของเทวดา ก็มีเทวตานุสติ ในอนุสติ10 ด้วย ก็อย่างที่คุณโอ่ บอกให้ระลึกถึงคุณความดีของเทวดาอันนั้นถูกแล้วครับ



 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 ธ.ค.2004, 4:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีนะครับที่เทวดาทำให้ฝนตกให้ได้ เรื่องเทวดานี้มีแง่มุมลายแง่มุม ใครจะทำย่างไร อยากจะทำต้องการทำ มีความเกี่ยวพันกันก็ทำไปเถอะ ผมเคยเห็นก็แต่ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ตอนทำหน้าที่ตุลาการตัดสินคดี ที่มีเจ้ากรรมนายเวรร้องขอให้พิพากษาให้คนลงนรก



ที่เห็นเพราะผมเป็นจำเลยของเขาตั้งแต่สามชาติที่แล้ว ผมเลยรู้ว่าท้าวจตุโลกบาลมีวิธีพิจารณาคดีแบบไหน



เทวดาชั้นพรหม ผมสัมผัสแต่ใจของเขา จะไหว้หรือเคารพ หรือไม่แสดงกิริยาเคารพ เทวดานั้นเมื่อเกี่ยวพันกับใครก็ต้องปรากฎให้เห็น เมื่อจะต้องดูแลใครในยามเป็นอันตราย ก็ต้องมาช่วยดูแล เพราะเป็นหน้าที่ตรงนั้นของเทวดา เรามีหน้าที่ของเราในโลกมนุษย์ของเราในการปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแต่อย่างเดียว



ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามกรรมทั้งของเทวดาและมนุษย์ ต่างทำหน้าที่ของตนให้ดีตามกำลังสติปัญญาที่จะทำได้ ถ้าเกี่ยวพันก็อนุเคราะห์กัน ไม่เกี่ยวพันก็ไม่อนุเคราะห์กัน ก็ไม่ว่าอะไร เพราะตนเป็นที่พึ่งของตน
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง