Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปุจฉา-วิสัชชนา (หลวงปู่บุดดา ถาวโร) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2006, 1:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ปุจฉา-วิสัชชนา
โดย หลวงปู่บุดดา ถาวโร



ทำอย่างไรพ่อแม่ถึงอนุญาตให้อยู่วัด

ครั้งหนึ่งอุบาสิกาท่านหนึ่งสนใจศึกษาปฏิบัติธรรม แต่พ่อแม่ยังไม่ยอมให้ไปอยู่ที่วัดนานๆ เกรงว่าจะไม่ยอมกลับบ้าน จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ค่ะ ทำอย่างไร ? คุณพ่อคุณแม่จึงอนุญาตให้อยู่วัดไวๆ ค่ะ”

หลวงปู่ตอบว่า

“ก็ชวนให้คุณพ่อคุณแม่ได้มาปฏิบัติธรรมด้วยซี่ ถ้าท่านทั้งสองเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรมแล้ว ท่านจะสนับสนุนอนุญาตเร็วขึ้น”

.......................................................


เสื่อมหรือไม่เสื่อม

แต่ละวันจะมีญาติโยมมากราบหลวงปู่ ถามธรรมะบ้าง ขอของแจกบ้าง วันหนึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์มากราบ พร้อมกับขอเหรียญหลวงปู่ ชายคนหนึ่งก็ถามหลวงปู่ว่า “วัตถุมงคลและของต่างๆ ที่หลวงปู่แจก ถ้าเก็บไว้นานๆ ไป ของจะเสื่อมไหมครับ ?”

หลวงปู่ตอบว่า

“ของไม่เสื่อมหรอก นอกจากเราจะเสื่อมศรัทธาจากของเอง”

.......................................................


อยากได้บุญมากๆ

โยมคนหนึ่งเห็นว่า เงินทองเป็นสิ่งหามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน เวลาจะทำบุญจึงนึกอยากเลือกทำบุญให้คุ้มค่าเหนื่อย ถ้ามีโอกาสจะเลือกทำกับพระอริยบุคคลเพื่อหวังจะได้บุญมากๆ

ฉะนั้น วันหนึ่งขณะที่ได้ถวายสังฆทาน กำลังอุ้มผ้าไตรถวายแด่พระคุณหลวงปู่ ในใจก็นึกปิติยินดีว่า โอหนอ ! วันนี้ฉันโชคดีจังเลยที่จะได้ทำบุญกับพระอรหันต์ บุญที่ได้ย่อมมากเป็นพิเศษ แค่นึกในใจเท่านั้น

หลวงปู่มองหน้าแล้วพูดว่า

“ผู้รับหมดกิเลส ผู้ถวายก็ต้องหมดกิเลสด้วยนะ จึงจะได้บุญมาก”

โอโฮ ! ผู้ถวายสะอึกไปเลย คำพูดของหลวงปู่ประทับใจมาก ทำให้นึกว่าอย่างไรเสียเราจักต้องพยายามจัดการกับกิเลสของตนให้จงหนัก เพื่อความสมปรารถนาแห่งใจตน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สาธุ

.......................................................


อย่าไปเรียนอวิชชานะ

คืนหนึ่งมีนักศึกษาสาวผู้หนึ่งแต่งชุดฟอร์มมากราบหลวงปู่ หลวงปู่ถามว่า “ยังเรียนอยู่หรือเป็นครูเขา ? หือ”

นักศึกษาหญิงตอบว่า “ยังเรียนอยู่เจ้าค่ะ”

หลวงปู่บอกว่า

“ระวังอย่าไปเรียนอวิชชานะ เรียนวิชาต้องเรียนให้หายโกรธ หายหลง หายลืมนะ ขอให้เคารพมั่นในพระธรรม แล้วเจริญให้ถึงจะได้พ้นแก่พ้นตาย โลกุตตรธรรมมีอยู่จริงๆ ด้วย ศาสนาพุทธคือพ้นเกิดพ้นตาย ผู้ใดถึงแล้วเป็นผู้บรมสุขนั่นเอง”

.......................................................


ระวังพ่อแม่จับติดคุกนะ

เกือบทุกวันหลังกลับจากมหาวิทยาลัย นักศึกษาหญิงคนหนึ่งจะไปกราบหลวงปู่ ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม ประมาณทุ่มหนึ่ง มีการทำวัตรเย็น แล้วหลวงปู่จะแสดงธรรม แม้คนน้อยหลวงปู่ก็เทศน์ หลวงปู่บอกว่าไม่ได้เทศน์ให้คนฟังเท่านั้นนะ เทวดาเขาก็ฟังด้วย

คืนหนึ่งหลังจากเทศน์เสร็จแล้ว หลวงปู่หันมาที่นักศึกษาหญิงนั้นแล้วว่า

“ระวังพ่อแม่จะจับเราติดคุกนะ จำอดีตชาติได้ไหม ? การติดคุกอวิชชานะ (การแต่งงาน) ถ้าติดคุกแล้วมันไม่จบนะ เราตายไปเขาก็เอาใหม่ คุกนี้แน่นหนานัก จะอยู่กับวิชชาหรืออวิชชาล่ะ”

สักพักหนึ่งหลวงปู่มองหน้านักศึกษาผู้นั้นแล้วว่า “ม้าตัวนี้วิ่งเร็วไม่ล้มหรอก ไม่ต้องติดคุก”

เหมือนท่านจะรู้ เพราะตอนแรก คุณพ่อคุณแม่ของนักศึกษานั้นต้องการให้ลูกสาวแต่งงานเหมือนพี่ๆ แต่ด้วยความตั้งใจเข้มแข็งที่จะปฏิบัติธรรมจริงของลูก ทำให้พ่อแม่ต้องอนุญาตไม่บังคับให้แต่งงานแล้ว สุดท้ายก่อนจะกลับบ้าน หลวงปู่สั่งว่า “ให้แผ่ส่วนบุญกุศลให้พ่อให้แม่ด้วยนะ”

.......................................................


เกาะชายจีวร

ในวันหนึ่งมีผู้ศรัทธาหลายท่าน ได้มากราบหลวงปู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปีกว่า เข้ามากราบหลวงปู่ด้วยความศรัทธา เธอนั่งพนมมือแล้วถามหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่เจ้าค่ะ ลูกจะขอเกาะชายจีวรหลวงปู่ ไปนิพพานด้วยคนนะเจ้าค่ะ"

หลวงปู่หันหน้ามาพูดตอบหญิงคนนั้นว่า

“ขี้แทนกันได้หรือเปล่าล่ะ ?”

.......................................................


ไปดูหนังกันดีกว่า

หญิงสาวกลุ่มหนึ่งมากราบหลวงปู่ แต่ละคนก็แต่งกายสวยงามรัดกุม

ตอนหนึ่งหลวงปู่เทศน์ให้ฟังว่า

“อยากดูหนังก็ให้ดูหนังเรา มีให้ดูตลอดเวลา ดูตามนี้ธรรมะดีขึ้น หนังเรามันดีลง จะไปติดอะไรกับหนัง จะไปเสียดายอะไรกับหนัง แค่กระดาษห่อขนมปังเท่านั้นเอง คนรู้นะ ! เขาทิ้งกระดาษห่อขนมปังทั้งนั้นแหละ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านรู้อย่างนี้ ท่านจึงไม่หลงไม่ลืม แล้วเราจะอวดดี ไปหลงไปลืม ทำไม !”

.......................................................


กินเป็นยา

หลวงปู่บอกกับลูกศิษย์ หลังจากที่ท่านฉันอาหารเสร็จแล้ว และลูกศิษย์ก็มาขออาหารที่เหลือจากท่านไป

ท่านบอกว่า

“อาหารทุกอย่างให้ฉันเป็นยานะ ไม่ใช่เจ ไม่เจ ไม่ให้ติด ทุกอย่างให้กินอาหารเป็นยารักษาโรคเท่านั้น”

.......................................................


สึกทำไม

พระภิกษุหนุ่มองค์หนึ่ง บวชเรียนธุดงค์กรรมฐานได้หลายพรรษาแล้ว เกิดร้อนผ้าเหลืองก็มีความปรารถนาอยากจะสึกมาก เพราะต้องการที่จะไปแต่งงาน ก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อขอพร บอกหลวงปู่ครับผมจะสึก หลวงปู่ก็ถามเหตุผล ภิกษุหนุ่มผู้นั้นก็อ้างเหตุผลต่างๆ นานา

ตอนหนึ่งหลวงปู่ก็ให้โอวาทว่า

“สึกทำไม ? พระเณรสึกทำไม ? เปลืองข้าววัดแล้ว ยังจะเปลืองข้าวพ่อแม่อีก โอ่โธ่ ! นึกว่าจะไปช่วยทำงาน กลับไปช่วยให้เสียเงินเสียทองอีก พวกโกหกตัวเองนี่ โกหกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย เพราะฉะนั้น อย่าหัดโกหกแลย ถ้าไม่รู้ว่าบวชเพื่ออะไรแล้ว จะบวชทำไม ? บวชโง่ๆ งั่งๆ บวชทำไมล่ะ ! เกะกะบ้านเมืองเขา บวชแล้วต้องฉลาดซี่”

.......................................................


ท ทหารอดทน

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่ท่านยังไม่ได้บวช ท่านเป็นทหารและก็ได้อยู่ในฝ่ายทำอาหาร มีผู้หญิงชอบมาแกล้งท่าน โดยเข้ามาจับท่าน ท่านจึงพูดว่า “อย่ามาจับนะ พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาต อย่ามาจับ อย่ามาต้อง บาปนะ”

.......................................................


เราเคยทำเขาไว้

ตอนเด็กๆ หลวงปู่เคยตกปลา ขณะปลาติดเบ็ด หลวงปู่สงสารจึงได้แกะปลาออกจากเบ็ดแล้วปล่อยมันทิ้งไป ต่อมาภายหลังเมื่อหลวงปู่บวชแล้ว ขณะที่นั่งอยู่ในศาลาเผอิญมีแมวตัวหนึ่ง มองเห็นเงาของมันในตาของหลวงปู่ จึงใช้ขาของมันข่วนใต้ตาของหลวงปู่อย่างแรง เลือดไหลอาบหน้า แล้วแมวก็มาหลบอยู่ข้างหลังหลวงปู่ ทำให้ชาวบ้านหาแมวไม่เจอ

หลวงปู่บอกว่า

“ไม่เป็นไร เราเคยทำเขาไว้”

แล้วให้ลูกศิษย์เอาน้ำนมแม่ลูกอ่อนมาหยอดตา และให้ชาวบ้านนำแมวกลับไปเลี้ยงที่บ้าน โดยสั่งกำชับไม่ให้ชาวบ้านรังแกมัน

.......................................................


งานแต่งกับงานบวช

หลวงปู่ได้มีกิจนิมนต์ไปบ้านโยมที่ศรัทธาท่านหนึ่ง เขาจัดงานแต่งงานให้กับลูกหลาน หลวงปู่ก็ไปงานนี้แล้วก็เทศน์ เทศน์ไปเทศน์มา คู่บ่าวสาวคู่นี้ก็เลยล้มเลิกที่จะแต่งงาน และขอจัดงานแต่งเป็นงานบวช ปู่กับย่า ตากับยาย ที่มาร่วมงานแต่ง ต่างซาบซึ้งในคำสอนของหลวงปู่ ก็เลยขอบวชตามหลานด้วย


.......................................................


ขี้เกียจทำมาหากิน

มีโยมผู้ชายคนหนึ่ง มีโอกาสได้กราบหลวงปู่ และถวายการนวดให้หลวงปู่ ตอนหนึ่งแกนวดไปแล้วก็พูดไปว่า “หลวงปู่ครับ ผมไม่อยากทำมาหากิน อยากอยู่เฉยๆ จะให้นั่งภาวนาผมก็ไม่อยากนั่ง”

หลวงปู่ตอบว่า

“คนไหนขยัน คนนั้นแหละเป็นลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนไหนขี้เกียจ ขี้คร้าน เป็นลูกของกิเลส”

.......................................................


ฟังธรรมะอย่างไรดี ?

ในตอนหนึ่ง หลวงปู่ท่านได้เทศน์โปรดญาติโยมจากกรุงเทพฯ ทุกคนนั่งสมาธิหลับตาฟังกันอย่างสงบ หลวงปู่ก็กวาดสายตาไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง แล้วก็เทศน์เป็นช่วงๆ

ก่อนจบหลวงปู่พูดว่า

“ฟังธรรมะไม่ใช่ฟังเท ฟังทิ้งนะ ฟังธรรมต้องทำไปด้วยซี่”

.......................................................


ขี้ของกู

หลวงปู่ปรารภขึ้นลอยๆ ในวันหนึ่งว่า

“คนเรานี่มันบ้า ขี้ออกไปจากตูดแล้ว ก็ยังยึดว่าขี้ของกูอีก”

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีชาย ๒ คน คนแรกเดินไปในทุ่งแล้วขี้กองเอาไว้ อีกคนหนึ่งเดินมาเห็นขี้กองนั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ขี้ ชายคนที่สองก็บ่นว่า “ขี้ของใครวะ ? เหม็นตายห่า”

พอดีเจ้าของขี้ได้ยินเข้า โมโหใหญ่ พูดตอบว่า “มึงมาด่ากูขี้เหม็นทำไมวะ !”

อีกคนก็ตอบว่า “กูไม่รู้นี่ ว่าขี้ของมึง”

ทั้ง ๒ คน ก็เลยทะเลาะกัน

หลวงปู่บอกว่า

“ดูซี่ คนเราแม้แต่ขี้ของมันถ่ายออกไปแล้ว ใครมาว่ามันก็ยังโกรธ นั่นแหละความหลง”

.......................................................


สังกัดวัดอะไร

มีชายคนหนึ่งได้มีโอกาสเข้าพบหลวงปู่ ในคราวที่หลวงปู่เดินทางไปกิจนิมนต์ ชายผู้นั้นถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่อยู่วัดอะไรครับ ?”

หลวงปู่ตอบว่า

“อยู่วัดสองขา” (หมายความว่า อยู่ตรงไหน ? ตรงนั้นก็เป็นวัด)

.......................................................


บอดนอกสว่างใน

มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ก็เล่าเรื่องหลวงพ่อสงฆ์ให้ฟัง (หลวงพ่อสงฆ์ เป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคยปฏิบัติกับหลวงปู่ ในถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์)

หลวงปู่บอกว่า

“หลวงพ่อสงฆ์ท่านตาบอด ท่านบอดแต่ตา แต่ธรรมะท่านไม่บอดนะ”

.......................................................


พระธุดงค์

มีพระกลุ่มหนึ่งจะออกธุดงค์ ก็ได้มากราบขอพรหลวงปู่ และขอคำแนะนำก่อนที่จะไปธุดงค์ หลวงปู่ก็ให้โอวาทว่า “เข้าป่าก็ให้เข้าป่าเป็นปัญญา เข้าป่าโง่ๆ ก็เป็นถูดงค์ ไม่ใช่ธุดงค์นะ”

.......................................................


เป็นโสดทำไม

กลุ่มสาวโสดสี่คนเป็นกลุ่มที่ผ่านการปฏิบัติมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ได้มีศรัทธามากราบเยี่ยมหลวงปู่ ก่อนหน้าที่จะมากราบหลวงปู่ก็ได้วิจารณ์เรื่องทุกข์ของการแต่งงาน ในกลุ่มสาวโสดทั้ง ๔ คน บางคนก็มีชายหนุ่มมาหมายปอง แต่หญิงผู้นั้นก็พยายามที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ในใจก็ยังมีจิตที่พึงพอใจ ก็พากันมากราบหลวงปู่ เพราะบังเอิญวันหยุดงานตรงกันพอดี

หลวงปู่ก็ให้ธรรมะว่า

“พวกโสดาโลกุตตระนี้ทำงานได้มากกว่าใคร ทำงานเท่าไรก็ไม่เก้อเขิน อนาคาโลกุตตระทำงานได้มาก เข้าบ้านเข้าวัดได้ แต่ไม่ยอมมีคู่ไง กายโสด จิตโสด โสดจากสังโยชน์ ๕ นี่ล่ะ”


.......................................................


เข้าวัดเมื่อไรดี

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง มากราบหลวงปุ่ แล้วก็เลยขอโอกาสถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ค่ะ เมื่อไรลูกจะได้มาอยู่วัดซะที”

หลวงปู่ตอบว่า

“หมดโกรธแล้วอยู่วัดดีนะ”


.......................................................


เมื่อไรจะละสังขาร

มีญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ ก็มักจะชื่นชมความอายุยืนของหลวงปู่ และก็อยากจะให้หลวงปู่มีอายุยืนนานไปมากๆ ก็พยายามขอให้หลวงปู่มีอายุยืนกว่าร้อยปี บางพวกก็สงสัยอยากทราบว่า หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร ? ก็เลยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่ครับ หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร ? บอกได้ไหมครับ ?”

หลวงปู่ตอบว่า

“ตายวันไหน ก็บอกวันนั้นซี่”

.......................................................


เกิดบ่อยๆ ตายบ่อยๆ สนุกหรือ ?

มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งชอบติดตามฟังธรรมของหลวงปู่เสมอ

วันหนึ่งหลวงปู่บอกว่า

“ขอให้เป็นผู้ช่วยเหลือดำรงค์พุทธศาสนาเอาไว้ด้วยนะ ให้มีลมหายใจเป็นธรรมะ ยืน เดิน นั่ง นอนเป็นธรรมะ ลมหายใจเข้าออกอยู่กับธรรมะ เกิดบ่อยๆ ตายบ่อย ๆ สนุกหรือ ? อย่าตายนะ ! จะได้ไม่เกิด คนที่ไม่ตายคือคนที่ตัดอาสวะได้ ตัดกิเลสตัณหาได้ เราพ้นจากอาสวะเดี๋ยวนี้ก็สำเร็จตลอดไป ไม่มีเสื่อมนะ”

.......................................................


เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเอง

นักศึกษาท่านหนึ่ง ได้เรียนถามหลวงปู่ว่า “คนเราเกิดมาเพื่ออะไรคะ”

หลวงปู่ตอบว่า

“เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองซี่ ! ให้ละกามเด็ดขาดในภพนี้ ตัดให้ขาดจากการเป็นของคู่ ปุถุชนเต็มขั้นหนาด้วยกิเลส ได้แต่ศึกษาไม่นำมาปฏิบัติ แล้วจะรู้แจ้งได้อย่างไรเล่า ?

เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน เกิดแล้วตายไม่สิ้นสุดจะเอาอีกหรือ ? เราชาวพุทธให้เร่งเจริญอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ศาสนอยู่ที่ขันธ์ ๕ มิใช่อยู่ที่อื่นเลย

คนอื่นทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของเรา ทดสอบเราทั้งดีทั้งชั่ว เมื่อเรามีสังขารครบบริบูรณ์แล้ว อย่าได้ทับโลกุตตรธรรมเลย อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ ขอให้สำรวมในกายวาจาใจ ให้เต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม จะได้รู้แจ้งธรรมพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย”

.......................................................


เดินไม่ถูกทาง ไม่ถึงที่หมายได้นะ

มีอุบาสิกานักคุยกลุ่มหนึ่ง มากราบหลวงปู่แล้วชอบนำเรื่องคนอื่นมาวิจารณ์

หลวงปู่เตือนว่า

“พวกเราถูกความแก่ เจ็บ ตาย คาดโทษไว้แล้ว จงรีบแก้ไขตัวเองซี่ ! เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ จะเอาอีกหรือ ? หือ ? มัวแต่มองตาคนอื่นทำไม ? ตาของเราก็มี มองผิวหนังคนอื่นทำไม ? หนังของเราเองก็มีอยู่รอบ มองหน้าคนอื่นทำไม หน้าของเราก็มีอยู่แล้ว ระวัง ! อย่าคล้อยตามคน สัตว์ บุคคล จะหลงทาง เดินไม่ถูกทางไม่ถึงที่หมายได้นะ”

.......................................................
 
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2006, 1:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ...โมทนาด้วยครับ
 
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2006, 9:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
๛๛๛
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2007, 12:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง