| ผู้ตั้ง | ข้อความ | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:54 pm |   |  
| ผลที่สุดตัวของเราเกิดขึ้นมาก็ต้องตาย ไม่มีตนไม่มีตัวสักอย่างเดียว
 ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมเป็นก้อน
 แตกสลายลงไปก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ของเก่า มันมีอะไรเหลือละคราวนี้ ทุกคนพิจารณาเห็นความจริงอย่างนี้
 มันก็ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อยู่เย็นเป็นสุข
 ปราศจากอุปัทวันตรายทั้งปวงหมด
 ต่างก็มีความเอ็นดู เมตตาสงสารปรานีซึ่งกันและกัน
 เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เห็นเป็นของอนัตตา
 ทุกคนต้องเป็นอยู่อย่างนั้นหมด ใจมันก็สงบ
 
 สังขารร่างกายแก่ชราภาพ ย่อมเสื่อมคุณภาพ ทำงานอะไรไม่ค่อยได้
 แต่ธรรมยิ่งแก่ก็ยิ่งมีคุณภาพดี ธรรมย่อมไม่ถึงซึ่งแก่ชราภาพ
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:55 pm |   |  
| ของที่บริโภคนำมาหล่อเลี้ยงในขณะที่ยังดำรงอยู่นั้น
 เมื่อถ่ายออกมาก็จะถ่ายลงไปถมบนแผ่นดินนี้อีก
 กลายเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงผักหญ้า แลลูกไม้ผลไม้ต่างๆ
 ผู้เกิดมาทีหลังก็จะต้องอาศัยของเก่าเขาเหล่านั้น
 บริโภคหล่อเลี้ยงให้เขาได้ทรงอยู่ต่อไป
 ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้บริโภควัตถุของโลกอย่างนี้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เกิดก่อนเกิดหลัง และใครบริโภคของใครกันแน่
 
 คนเราที่เกิดมาในพื้นปฐพีนี้ทั้งหมด ที่จะหาความสุขไม่มีเลย
 พระองค์ตรัสว่า "ทุฆราวาสํ" เป็นฆราวาสก็เป็นทุกข์
 "ทุปพพชิตํ" เป็นพระก็เป็นทุกข์
 ที่ว่าสุข ๆนั้น เพราะมัวเมาในความทุกข์ต่างหาก
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
05 มี.ค.2007, 5:56 pm |   |  
| เมื่อได้รับความทุกข์ กลุ้มใจแล้ว
 ก็บอกว่านี่แหละ...เราเคยทำไว้เช่นใดแล้วเราก็ได้รับอย่างนี้แหละ
 เราก็พอใจยินดีกับกรรมของเราแล้ว
 เราจะไม่ทำกรรมชั่วนั้นขึ้นอีกต่อไป
 กรรมที่มันมีอยู่แล้วแต่ก่อนก็ค่อยๆ หมดไป ๆ
 ไม่ให้กรรมใหม่เกิดขึ้นมาอีก นี่จึงจะถูก
 ถูกหนทางที่พระพุทธเจ้าท่านสอน อย่าได้สร้างกรรมเวรต่อไปอีก
 จะเกิดภพเกิดชาติไม่มีที่สิ้นสุดลงได้
 
 สิ่งทั้งปวงหมดในโลกนี้ มันจะเกิดกิเลสขึ้น
 ก็เพราะอายตนะทั้งหกนี้ เป็นต้น เป็นเหตุทั้งนั้น
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:45 pm |   |  
| สิ่งที่ไม่ดีมันสกปรก มันน่าเกลียด จึงเรียกว่าบาป
 บุญเป็นสิ่งที่ดี ทำลงไปแล้วมันสะอาดจิตใจผ่องใสและเบิกบาน จึงเรียกว่าบุญ
 
 ถ้ามีอิจฉาริษยา เบียดเบียน ยกโทษซึ่งกันและกัน
 ไม่ว่าจะอยู่ป่า อยู่วัด อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ มันเป็นนรก
 ไม่ใช่สวรรค์ ไม่เป็นภาวนา เรียกว่า ไปหานรก
 นรกมันอยู่ใกล้กับเรานี่แหละ ไม่ต้องไปหาใต้ดิน ใต้ภูเขา หรือที่ไหนๆ มีอยู่ในตัวของเรา เราทำให้เกิดขึ้นในตัวเรานี้เอง ความเดือดร้อนอยู่ในตัวเรา นี่แหละเรียกว่านรก
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:47 pm |   |  
| กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว
 ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง
 มิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง
 คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้ว
 เมื่อยังเป็นคนอยู่นี้จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละ ตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้กันและกันไม่ได้เด็ดขาด
 
 คนเราบางคนเข้าใจว่าทำผิดแล้วไม่มีหนทางที่จะแก้ไข
 ทำชั่วแล้วไม่มีหนทางที่จะกลับตัวได้ อันนั้นเป็นความเข้าใจผิด
 แท้ที่จริงคนเรา ถ้าหากรู้จักว่าสิ่งใดที่เป็นของสกปรกน่าเกลียด
 สิ่งนั้นเราก็รีบล้างรีบชำระให้สะอาดเสีย ก็จะดีขึ้นได้ทันที
 
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:48 pm |   |  
| ตัวกรรมแท้เกิดที่จิตใจของบุคคล
 คนไม่มีใจไม่ทำกรรมนั้นๆ ได้ เช่น คนตายแล้ว ไม่เคยเห็นเขามาทำกรรมอีก มีแต่คนยังมีชีวิตจิตใจอยู่บนโลกนี้แหละ
 พากันทำกรรมดีและชั่ว ยุ่งกันอยู่นี่แหละไม่มีที่สิ้นสุด
 จิตใจเป็นผู้ริเริ่มที่จะทำกรรมนั้นๆ
 กรรมจึงค่อยเกิดขึ้น กรรมไม่ได้เกิดเอง เป็นเอง
 
 เจ้ากรรมนายเวร ก็คือ ตัวของเราเองนั่นแหละ
 เราได้กระทำไว้แล้วด้วยความตั้งใจ
 มิใช่มีคนอื่นมาบังคับให้กระทำ หรือคนอื่นมายกให้
 จิตที่ตั้งเจตนาไว้แล้วว่าจะทำกรรมนั้นๆ ไม่ว่าดีหรือชั่ว นั่นแหละ ตัวกรรม ผลของกรรมดีและกรรมชั่วก็จิตของผู้นั้นได้เสวย คนอื่นจะเสวยแทนไม่ได้
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:50 pm |   |  
| พระพุทธเจ้าท่านว่ากรรมที่ตนทำมาแล้ว ความชั่วที่ตนทำมาแล้ว
 ทำอย่างไรมันก็ไม่หาย ต้องติดตัวอยู่ร่ำไปกว่าจะหมดกรรม หมดเวร
 
 แรงของเวรนี้มันร้ายกาจเหลือหลาย
 หากว่าคู่เวรทั้งสองมาเห็นโทษของมันแล้วหันหน้าเข้าหากัน
 ต่างก็ให้อโหสิกรรมแก่กันและกัน เวรนั้นย่อมสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น
 
 เวลาที่มันล่วงเลยไปนั้น มันไม่ใช่ล่วงเลยไปเฉยๆ
 มันนำชีวิตของเราให้หมดไปๆ ด้วย
 โอกาสเวลาที่จะทำความดี มันพลอยหมดไปด้วยกันกับชีวิตร่างกาย
 
 เมื่อทำแต่กรรมดีเรื่อยๆ ไปจนเคยชินแล้ว
 กรรมชั่วมันจะละไปเองโดยไม่รู้ตัว
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:51 pm |   |  
| กรรมนี้ เมื่อทำลงไปแล้วย่อมได้รับผลในปัจจุบัน
 ไม่ว่าจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว ในที่ลับหรือในที่แจ้ง
 ย่อมได้รับผลกรรมนั้นด้วยใจของตนเอง
 คนอื่นจะรู้หรือไม่ก็ตาม ตัวของตนนั่นแหละย่อมรู้ชัดด้วยใจของตนตลอดเรื่อง
 ส่วนภพอื่น ชาติอื่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
 
 ความชั่วมันยุแหย่จิตใจของบุคคล
 ที่ไม่มั่นต่อความดีให้หลงตามไป
 แต่จิตใจของบุคคลที่มั่นคงในความดีแล้ว
 หายุแหย่หรือหลอกลวงได้ไม่
 อันความดีนั้นมีน้อยแต่เป็นของหายาก
 ความชั่วนั้นมีมากแต่เป็นของหาง่าย
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:52 pm |   |  
| เมื่อคนบางคนไม่ดีมาแต่เดิมแล้ว
 เวลามาบวชในพระศาสนาเข้า
 ธาตุแท้ความเลวของมันก็ยังติดตัวมาอยู่นั้นเอง มิใช่มาบวชแล้วมันจะหลุดออกไปหมดเหมือนกับเราถูขี้ไคลก็หาไม่
 ทั้งระเบียบ   ธรรมวินัย   ข้อบังคับ  ก็มีอยู่
 ครูบาอาจารย์ก็พร่ำสอนอยู่
 แต่มันไม่ยอมรับทำตาม ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
 
 ผู้คิดประทุษร้าย  อาฆาตพยาบาท  เบียดเบียนคนอื่นนั้น
 ฝึกหัดให้มีจิตเมตตากรุณาปรานี เผื่อแผ่แก่คนอื่น
 ทำจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน ต่อสถานที่และบุคคลนั้นๆ นี่วิธีแก้กรรม แก้เวร
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:53 pm |   |  
| ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้
 แม้ที่สุดแต่ตัวของเราเอง มันเป็นแต่เพียงของอาศัยชั่วคราวเท่านั้น
 ฉะนั้น เมื่อสิ่งนั้นๆ เกิดมีมาแล้ว จะให้รู้อิ่มและพอเป็น
 แล้วใช้แลสละให้เป็นประโยชน์
 สมควรแก่ฐานะและหน้าที่ของมันเสีย
 
 สมบัติที่มนุษย์ต้องการ ไม่ทราบว่าจะกอบโกยเอาไปถึงไหน ครั้นได้มาเพียงแค่เอามาเลี้ยงชีวิตเท่านั้นแหละ
 เลี้ยงชีวิตให้มันนานตายหน่อย
 นั่นล่ะประโยชน์ของมนุษย์สมบัติ เพียงแค่นั้นแหละ
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:54 pm |   |  
| ความโลภมันมิใช่อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่ใจ คือ ความอยาก วัตถุมันจะมีมากสักเท่าไร ก็แต่ความอยากมันไม่พอ
 มันก็ไม่พออยู่ดีนั่นเอง
 
 อุตส่าห์พยายามให้เห็น ให้รู้จักตัวของเรา
 ทุกคนพยายามตรวจดูตัวของตน
 ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดที่ตัวของเรา ครั้นเมื่อเราไม่เห็นตัวของเราแล้วเราก็ไม่เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง แท้ที่จริงจิตใจของเราเป็นของใสสะอาดและบริสุทธิ์
 แต่เราไปยึดเอาความโลภ ความโกรธ ความหลง มาใส่
 มันก็เลยขุ่นมัวไปหมด
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:56 pm |   |  
| ความอยากทำให้ใจขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา
 ถึงแม้นน้ำใส แต่ก็ยังกระเพื่อมอยู่ ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน
 
 ความทะยานอยากของคนในโลกนี้ไม่พอสักที จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
 ไม่ว่าอยากในสิ่งใดทั้งหมด
 เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว แต่ความอยากยังไม่หยุดจึงต้องเป็นทุกข์
 เมื่อจับต้นเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว ไม่ต้องไปมัวแสวงหาสิ่งอื่นมาบำบัดทุกข์ให้เสียเวลา
 เข้าไปหยุดความทะยานอยากแล้วก็สิ้นเรื่อง
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:57 pm |   |  
| คนเราไม่ดีเสียอย่างเดียว จะทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น
 เกิดในตระกูลผู้ดีมีหน้า มีธรรมประจำตระกูลดี
 เข้าศึกษาในสถาบันที่ดีมีระเบียบ สอนดี
 เข้าทำงานในสถานที่งานดี ๆ มีเงินเดือนสูง
 แต่ตนเองประพฤติไม่ด ีก็ไร้ค่าทั้งนั้น
 แม้แต่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ก็ไปทำลายความดีในที่นั้นๆ หมด
 
 คนรกโลกถ้าเป็นนาก็นารกร้าง ไม่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์โลกเลย
 แต่มนุษย์รกยังซ้ำร้ายกว่านารกเสียอีก
 คือ มนุษย์มีปากมีท้อง เมื่อขี้เกียจเสียอย่างเดียวแล้วท้องก็กลวง คนท้องกลวงนี้แหละมันเป็นเสี้ยนหนามในโลก
 ลักเล็กขโมยน้อย ฉ้อโกง เบียดบังไม่เลือกของใคร เอาตะบัน ขอแต่ให้ได้มาจุกท้องกลวงของมันก็แล้วกัน
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 2:59 pm |   |  
| บาปที่ทำด้วยเจตนาอันแรงกล้า ไม่สามารถลบล้างได้
 บาปที่ทำด้วยไม่เจตนาพอจะลบล้างได้บ้างบางกรณี
 การทำภาวนาในปัจจุบัน ไม่คิดถึงอดีต อนาคต จะลดบาปเล็กๆ น้อยๆ ลงบ้าง
 แต่มิได้หมายความว่าบาปนั้นไม่ให้ผล
 เป็นแต่ทำใจให้สงบได้ ในขณะที่ลงปัจจุบันเท่านั้น
 
 บุญคือความอิ่มใจ บุญคือความพอใจในการที่เราสละจาคะลงไปแล้ว
 เกิดเต็มตื้นขึ้นมาภายในใจ อันนั้นแหละเป็นตัวบุญแท้
 บาปก็ตรงกันข้าม เราคิดประทุษร้ายคนอื่น ทำลายคนอื่น
 เช่นว่าตีศีรษะเขา หรือขโมยของเขา อันเป็นเจตนาภายใน นั่นแหละเป็นตัวบาป บาปเพราะเหตุที่ใจเศร้าหมอง
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 3:00 pm |   |  
| พุทธศาสนาจะตั้งมั่นถาวรอยู่ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติโดยส่วนมาก ปริยัติเรียนแล้วไม่ปฏิบัติตาม หาเป็นประโยชน์อะไรไม่
 
 พระพุทธเจ้าท่านให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างไร
 ให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น นั่นแหละเป็นของจริงแท้
 อัตภาพเป็นของหลอกลวงให้เราลุ่มหลง แต่คนชอบ ถ้าพูดตรงๆ ไม่ชอบ ปรุงแต่งให้หลงเท่าใดยิ่งอยากหลง
 คนทั้งหลายในโลกนี้มันเป็นอย่างนั้น หลงมัวเมาก็พอแล้ว ยิ่งมีคนมาหลอกมาลวงยิ่งไปใหญ่เลย
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 3:01 pm |   |  
| ศาสตร์ทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลก  ทั้งหมดสอนกันไม่มีที่สิ้นสุด  ยิ่งเรียนยิ่งสอนก็ยิ่งกว้างออกไปทุกที มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนให้ถึงที่สุดได้
 พุทธศาสนาสอนเบื้องต้นให้รู้จักกายอันนี้ว่า  มีสิ่งต่างๆ  ประกอบกันเข้า
 จึงเรียกว่า สรีระร่างกาย (คืออาการสามสิบสอง) และมีหน้าที่อะไรบ้าง พร้อมกันนั้นก็สอนให้เห็นเป็นของอสุภะเป็นของจริงไปในตัว
 สอนให้รู้จักโลกอันนี้ (คือ มนุษย์) ที่ประกอบไปด้วยทุกข์ทั้งนั้น ผลที่สุดก็ต้องแตกดับไปเป็นธรรมดาของมัน
 
 พระองค์ทรงสอนให้พัฒนาทางด้านจิตใจให้มันสูงขึ้นมา
 มันเห็นแก่ตัวก็ทรงสอนให้รู้จักกำจัดเสีย และให้รู้จักเฉลี่ยความสุขแก่กันและกัน ตามสมควรแก่อัธยาศัย
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 3:02 pm |   |  
| พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้นตรงไปตรงมา แต่คนไม่ชอบ บังไว้ ปกปิดไว้
 มันจึงไม่เห็นของจริง พระองค์ทรงสอนตรงไปตรงมาเลย
 ท่านบอกว่าร่างกายเหมือนกับซากอสุภ เป็นของปฏิกูลโสโครก
 เมื่อมีคนใดมาพูดว่าเรา สกปรกนี่ โกรธใหญ่ไม่ชอบใจเลย
 
 ศาสนาพุทธไม่เพียงสอนให้คนศึกษาหรือนับถือเพียงเท่านั้น
 แต่ว่าสอนให้คนตั้งใจปฏิบัติ
 ถ้าไม่มีการปฏิบัติ เพียงแต่ถือเฉยๆ ก็จะไม่ได้รับคุณค่าเท่าที่ควร
 ศาสนาพุทธสอนสัจจะ คือ ของจริง ให้เข้าใจของที่มีอยู่
 ของที่มีอยู่นั้นแหละ คือ ของจริง
 คือ สอนตัวเราทุกคน ซึ่งเป็นผู้มีอยู่แล้วทั้งนั้น คือ กายกับใจ
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 3:03 pm |   |  
| ปลูกสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าลงไปในดิน (คือคนเรา) นี้ แล้วมันก็ขึ้นงอกงามดีได้ทุกอย่าง
 ทาน ศีล ก็ปลูกลงไปเถิด ในที่อันนี้แหละ
 เมื่อปลูกลงไปแล้วขอให้รดน้ำให้ดี
 เป็นขึ้นงอกงามหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
 น้ำคืออะไร น้ำคือศรัทธาความเชื่อมั่น
 
 ธรรมมีอยู่พร้อมในตัวของเรานี้แล้ว ไม่ต้องหาธรรมที่อื่น
 ลงมือพิจารณาหรือคิดค้นได้แล้ว
 มิใช่เรื่องของใครทั้งหมด แต่มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
 จะต้องพิจารณาให้รู้ ให้เข้าใจ
 เห็นด้วยปัญญาอันชอบของตนเองเท่านั้น
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 3:05 pm |   |  
| ธรรมต้องอาศัยอยู่กับโลก ไม่มีโลก ธรรมก็อยู่ไม่ได้
 ผู้เห็นธรรม รู้ธรรมก็คือผู้มารู้ มาเห็นโลกตามความเป็นจริง
 และเบื่อหน่ายคลายจากโลกนั้นเอง
 
 พึงทำสวรรค์ให้เกิดแก่เราเสีย
 เมื่อเรายังเป็นมนุษย์อยู่นี้
 การเฉลี่ยความสุขให้คนอื่น ทำให้จิตใจเราเบิกบาน ผ่องใสสะอาด
 มันต้องสะอาดจากที่นี่เสียก่อน
 ถ้าหากว่าที่นี่ไม่เบิกบาน ไม่สะอาด ไม่ปลอดโปร่ง
 ไปภพหน้ามันก็เศร้าหมองอยู่นั้นเอง
 สัคคะ หรือ สวรรค์ เรียกว่าสุคติ (ที่ๆ มีความสุข)
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| ลูกโป่ง บัวแก้ว
 
  
  
 เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005
 ตอบ: 4089
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2007, 3:06 pm |   |  
| ที่จริงชาวเอเชียเป็นชาติที่เจริญมาก่อนแล้ว มีขนบธรรมเนียมประเพณีแลวัฒนธรรม ศีลธรรมดีงามเรียบร้อยมาก่อนนานแล้ว ชาวตะวันตกเพิ่งมาเปลี่ยนสภาพจากเป็นป่าเมื่อไม่กี่พันปีมานี้เอง พอเขาเปลี่ยนจากสภาพป่ามาเป็นชาวบ้านใหม่
 ชาวเอเชียเลยเห็นว่าเป็นของแปลกแลโก้ดี
 เลยไปเอาแบบของเขามาใช้ จึงได้เลอะกันไปใหญ่
 ส่วนเขาจะมีความรู้สึกอะไร เพราะเขาเพิ่งเปลี่ยนจากป่ามาใหม่ ๆ เหมือนกับเราเอาลิงมาหัดนุ่งกางเกงนุ่งเสื้อเล่นละครเท่านั้นเอง
 ความจริงคนเป็นผู้ไปหัดให้ลิงเล่นละคร แต่พอลิงหัดได้บ้างไม่ได้บ้าง
 คนกลับชอบใจว่า ลิงเล่นดีกว่าคน
 
 ดูแต่นักศึกษานักเรียนสมัยนี้ก็แล้วกัน โดยมากใช้สังคมแบบตะวันตก นานหนักเข้าบางคนตัวเองก็เลยพลอยตกตามไปด้วย
 
 
      |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
|  |