ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
04 ม.ค. 2007, 7:27 am |
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
05 ม.ค. 2007, 7:08 pm |
|
นี่อีกรายหนึ่ง
http://larndham.net/index.php?showtopic=24070&st=0
ที่ไม่เข้าใจสภาวธรรม ความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นทุกข์อริยสัจทั้งสิ้น แต่ไม่เข้าใจ กลับตั้งข้อสังเกต
ตั้งข้อสังสัยว่าอะไร ?... มันแปลกว่างั้น
เถอะ แล้วมันก็แปลกจริงๆ เสียด้วย ถ้ากำลังทำกำลังปฏิบัติอยู่ เหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ พอเลิก
แล้วเหมือนไม่มีอะไร ทีนี้ผู้ซึ่งไม่รู้หลักก็เกิดอาการ
งงและสงสัย เลยกลายเป็นเหยือของนิวรณ์พอดี...
ก็กำหนดรู้ตามสภาพที่เป็นจริงแล้วก็ไม่สนใจก็จบ เกิดอีกกำหนดรู้อีกแล้วก็ไม่สนใจ
ถามว่า ทำไมต้องกำหนดรู้ตามสภาพของมันก่อน
ตอบว่า เพื่อให้จิตมันรุ้จักสภาวธรรม ตามปัจจุบันธรรมได้ทัน ได้เจริญสติสัมปชัญญะ....รู้เท่ารู้ทัน
สภาวะต่างๆทุกๆ ขณะ ตามขณะปัจจุบันทัน ฯลฯ...
ซึ่งต่างจากนั่งดูมันเฉยๆ...อย่างนั้นสังขารจะปรุงแปรได้ง่าย วงจรสภาวธรรมไม่ขาด....
-ผู้ให้คำแนะนำก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าอะไร อย่างไร
การให้คำปรึกษาผู้ซึ่งเกิดการติดขัดในการปฏิบัติ ควร
จำกัดวงให้แคบเพื่อที่ผู้นั้นๆ จะปฏิบัติได้ ให้คำปรึกษาแบบเหวียงแห ผู้ปฏิบัติทำจริงๆจะทำไม่
ได้เลย เพราะขณะนั้นเค้ากำลังเผชิญกับสิ่งนั้นอยู่โต้งๆ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
07 ม.ค. 2007, 10:01 pm |
|
นี่อีกตัวอย่างหนึ่ง
http://larndham.net/index.php?showtopic=24104&st=0
-อาการดังกล่าวมันเป็นอย่างนั้นเอง ธรรมชาติธรรมดามันเป็นอย่างนั้น แต่เราจะให้มันเป็นไป
ตามที่เราต้องการ....
การปฏิ่บัติกรรมฐาน ท่านให้รู้ความจริงตามสภาพที่มันเป็น คือ กำหนดจิตรับรู้ตามอาการ
แล้ว อาการนั้นก็ผ่านไป
แต่นี่มัวสงสัย (ยึด) ว่าคืออะไร มันจึงวนไปวนมา จึงผ่านพ้นไม่ได้สักที
-ผู้ให้คำแนะนำก็เหมาเอาว่าเกิดจากเพ่ง เพ่ง ไม่รู้ว่าเพ่งอะไร เขาว่าเพ่ง ก็เพ่งกันตามๆไป
จึงแก้ปัญหาไม่ตรงจุดไม่ตรงเป้าหมาย
ผู้ขอคำปรึกษาก็ถามตามประสบการณ์จริง
แต่ผู้ให้คำปรึกษาพูดไปตามความรู้สึกที่ตนรู้มา จากคำของผู้นั้นบ้างผู้นี้บ้าง โดยไม่เข้าใจอารมณ์
ปฏิบัติ
... |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ม.ค. 2007, 4:55 pm |
|
อีกรายหนึ่ง
http://larndham.net/index.php?showtopic=24012&st=0
ผู้ให้คำแนะนำยังไม่มีทางออก ก็อีกหรอบเดิม เพ่ง แต่ก็ไม่มีทางออก
แปลก....มีคนอื่นร่วมให้คำแนะนำด้วยบ้าง ความเห็นเหล่านั้นก็โดนลบออกหมด ไม่เข้าใจว่า
เค้าทำเพื่ออะไรกัน แน่ เพื่อสร้างบุญหรือสร้างบาปให้ตนเอง หรือหลงผิดโดยที่ตนไม่
เข้าใจว่า สุขภาพจิตของผู้ที่เกิดปัญหาเช่นนั้น จะเป็นอย่างไร ต้องการพ้นจากสภาวะนั้นแค่
ไหน...เวรกรรมแท้ๆ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
11 ม.ค. 2007, 6:35 pm |
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2007, 6:30 pm |
|
อีกตัวอย่างหนึ่ง
http://www.dhammachak.com/viewtopic.php?p=512#512
ลองอ่านดูน่าตื่นเต้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
14 ม.ค. 2007, 10:33 am |
|
เข้าไปศึกษาการสอนทำกรรมฐานที่เลอะเทอะของผู้ตั้งตนว่าเป็นอาจารย์ของเว็บไซต์หนึ่ง และมีผลเสียต่อผู้ปฏิบัติอย่างมากๆ โยงไว้ให้ติดตามดูกันเองที่นี่
http://www.dhammachak.com/viewtopic.php?p=513#513 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
14 ม.ค. 2007, 1:13 pm |
|
วิธีสอนกรรมฐานที่ว่า เลอะเทอะ ประหลาดมีการสั่นล่อฌานด้วย
เจ้าสำนักตอบเองเลยคราวนี้...
http://www.siripong.net/webboard/show.php?Category=0&No=190
ซึ่งก็สอน สอนให้ลูกศิษย์สั่น สั่นกันยกใหญ่ ... |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
17 ม.ค. 2007, 11:28 am |
|
ผู้ให้คำแนะนำผู้อื่นด้านปฏิบัติกรรมฐาน ที่สำคัญอันดับหนึ่ง ตนควรมี
ประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติมาบ้าง (แบบที่ถูกทาง) จึงจะให้คำปรึกษาผู้ปฏิบัติท่านอื่นได้
คือแนะนำถึงคุณ และโทษ แล้วมีคำแนะนำที่เป็นทางออกให้
ถ้าเพียงแต่ได้ยินครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่ตนเคารพนับถือพูดให้ฟัง แล้วจำได้ เพียงเท่านี้ยังนี้ไม่
พอ เพราะตนเป็นเพียงสุตมยปัญญา
ฟังแล้วก็เก็บคำพูดของบุคคลที่ตนนับถือดังกล่าวมาคิด ๆ แล้วก็ลงความเห็นเอาเองว่า ใช่ๆๆ
เหตุผลไปได้ เท่านี้ก็ยังไม่พอ เพราะเป็นเพียงจินตามยปัญญา
ถ้ามีเพียงสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา คำแนะนำต่อผู้ติดขัดจากการปฏิบัติตรงก็วนไปวน
มาหาทางออกให้เค้าไม่ได้ เพราะตนก็ไม่รู้ทางออกจากการปฏิบัติตรงมาก่อน เหมือนกัน
ลองศึกษาที่ลิงค์นี้ดูว่าเค้าแนะนำวนไปวนมาอย่างไร
http://larndham.net/index.php?showtopic=24250&st=0
ที่ถูกควรเป็นเช่นไรดูที่
http://larndham.net/index.php?showtopic=23134&st=331 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
17 ม.ค. 2007, 7:24 pm |
|
วนแล้วครับ ชัดเจนแล้ว บอกแล้วว่า แนะนำกันวนไปวนมา ปฏิบัติวนไปวน
มา
แรก ๆ ดูหมิ่นดูแคลนสมถะ (สมาธิ) ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักสมาธิหรือสมถะว่าเป็นอย่างไร ไม่เคย
สัมผัสสมาธิว่ามีลักษณาการอย่างไร เพียงแต่อ่านหนังสือว่า สมถะส่งถึงนั้น วิปัสสนาส่งถึง
โน้น อ่านแล้วใจร้อน อยากถึงจุดหมายเร็วๆ (บางทีก็ไม่รู้ว่าจุดหมายว่าคืออะไร ) ตอนนี้
เรียกหาสมถะ (สมาธิ) แล้ว เพราะเอาอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นไม่อยู่ จะไปอยู่ได้อย่างไรก็ตน
ไม่มีสมาธิ จิตมันจึงมีลักษณะลอยๆ เบาๆ
ดูที่นี่...
http://larndham.net/index.php?showtopic=24250&st=5
ยิ่งดูยิ่งเห็นจุดบกพร่องจากการปฏิบัติแบบนี้
กลับไปเริ่มใหม่เถิดครับ ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย เริ่มจากสติปัฏฐานนั่น เอากายเป็น
หลักยืน (อานาปานสติ) เวทนา จิต ธรรม (ส่วนนาม) เป็นที่กำหนดรู้ว่าอะไรเกิดก็กำหนด
รู้ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องไปสร้างให้มันเกิดมาเพื่อต้องการจะรู้ดอก
มีบางสำนัก ต้องการให้ลูกศิษย์ตนพิจารณาเวทนา แนะนำให้เอาไฟลนตามร่างกาย เพื่อให้
ร้อน ร้อนแล้วเวทนาจะเกิด จะได้เห็นเวทนา พิจารณาเวทนา แนะนำเพี้ยนๆ ถึงขนาดนี้เดี๋ยว
นี้
พระพุทธเจ้าท่านทดลองมาก่อนแล้วเรื่องแบบนี้ ทรมานตนยิ่งกว่านี้อีก สุดท้ายพระองค์มาสรุป
ว่า หลักสติปัฏฐานนี่ดีที่สุด ก็ไม่ค่อยเชื่อกัน หรือไม่ก็ตีความกันผิดๆ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ม.ค. 2007, 7:11 am |
|
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
29 ม.ค. 2007, 11:05 am |
|
ฯลฯ...
เลยอยากรู้ค่ะว่า จิตโล่งเบานี้เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
ทานตะวันสู้แดด [@25 ม.ค. 50 14:47 ]
ดูทั้งหมดที่ลิงค์ด้านล่าง...
http://www.dhammachak.com/viewtopic.php?p=525#525 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
31 ม.ค. 2007, 5:04 pm |
|
คือ ผมปฏิบัติ ด้วยวิธีอานาปานสติ สลับกับดูตึงหย่อนที่ท้องครับ นอกจากไปเข้าคอร์สเป็นครั้งคราวๆละแปดวันแล้ว ก้อปฏิบัติที่บ้าน และฝึกตามดูอิริยาบทย่อยใน ชีวิตประจำวัน
ได้มี ครูบาอาจารย์ สอนทุกครั้งที่ไปคอร์ส แต่ทีนี้ มีวันนึง ล่าสุด ทำเองที่โรงแรมที่พัก ต่างประเทศ
ระหว่างที่ นั่งสมาธิ ได้ เห็น ว่า(ไม่ใช่เห็นด้วยตาเนื้อนะครับ) แต่เป็นภาวะที่ เกิด รู้ ขึ้นมาในจิต เห็นว่ามีจิต นึงที่ซัดส่ายไปตาม อารมณ์ต่างๆ ที่กระทบอยู่ สบายก็รู้ ไม่สบายก็เห็น ในขณะที่ก้อมีอีกจิตนึง ดูอยู่ ผมอยากกจะบอกว่าเหมือน จิต อีกจิตนึงกำลังดูจิต อีกจิตนึงอยู่ ดูอยู่เรื่อยๆ เป้นสภาวะที่สบายๆ ไม่เร่ง ไม่อึดอัด ไม่คิดว่าต้องดู หรือต้องทำ แต่
คนดูไม่ใช่ผม แต่เป้น จิตตัวนึง ไม่มีตัวผมในนั้น
ทางกาย เมื่อพิจารณากาย เห็นว่า รู้ว่ากายนั้นแยกจากจิต อย่างสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวกัน เมื่อกายเคลื่อนไหว(กำมือ แบมือหรือ ขยับ) ก้อคือกายขยับ เป้นเนื้อหนังที่ขยับ เสียดสีกัน เห็นว่า กายขยับ ก้อขยับไป ไม่เกี่ยวข้องกับจิต
เมื่อใดที่ จิตไปรับรู้การขยับนั้น เราก้อจะรับรู้ถึงการเสียดสีของผิวหนังนั้น ระหวางที่รับรู้นั้น อยู่ภายใต้การ เฝ้าดู ของจิตอีกตัวนึงตลอดเวลา
ความรู้สึกขณะนั้น เกิด อ๋อ ขึ้นมาในใจว่า อ้อ เป็นอย่างนี้เอง กายก้อส่วนกายนะ จิตก้อส่วนจิตนะ กายนี้เหมือนเป็น สิ่งๆนึงที่เคลื่อนไหวไปมา (แต่ยังไม่เห็น รู้ว่ามันทนอยู่ไม่ได้ รู้แต่ว่ามันเคลื่อนไหว โดยไม่เกี่ยวข้องกับจิต) ถ้าจิตตัวนั้นไม่รับรู้เข้าไป ก้อคือกองสิ่งของอันนึงที่ ไม่มีการคงอยู่
ไม่ทราบ จะอธิบายให้ชัดแจ้ง อย่างไรครับ แต่ยืนยันว่า ไม่ใช่การรู้เพราะ คิดเอา มันเป็นการ เห็น มากกว่า ต้องเรียกว่า เห็น เพราะเหมือนกับที่ผมกำลัง ดู ตัวกายนี้ กับ จิตตุวนึงที่เฝ้าดู จิตอีกตัวนึง ไปไปรู้ ไปตามอารมณ์ นั้นหรือรุ้การไหวของกายนั้นครับ
-อยากถามว่า มีใครพอเป็นแบบนี้มั่งมั้ยครับ
สภาวะแบบนี้ ไม่เคยพบครับ
การปฏิบัตที่ ผ่านๆมา รู้จักแล้ว ทั้งแสง สีต่างๆ เรื่องการที่รู้สึกว่าร่างกายเบา ตัวพอง หน้าพอง หรือความโปร่ง สว่าง สบาย นิ่งอยู่ลึกๆ สิ่งเหล่านั้นมีครุบาอาจารย์คอยบอก ไม่ให้ติด ไม่มีปัญหาครับ มาอีกผมก้อรุ้ว่า ดูไปเรื่อยๆ
-แต่สภาวะแบบนี้ เพิ่งเคยพบครับ
ขอบคุณครับ
ลิลิต [@ 30 ม.ค. 50 23:37 ]
มาจากเวบนี้
http://larndham.net/index.php?showtopic=24505&st=0
...........
ไปดูว่าอะไรที่....
http://www.dhammachak.com/viewtopic.php?p=531#531 |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.พ.2007, 10:40 am |
|
ลิงค์ด้านล่างเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ปฏิบัติกรรมฐานแล้วเห็นอาการอารมณ์แปลกๆ ต่างๆ เปลี่ยนไป ไม่คงที่ ซึ่งก็ถูกแล้วน่ะ มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
http://larndham.net/index.php?showtopic=24567&st=0
แต่ตนกลับคิดเรื่องถูกทางผิดทางเป็นต้นไปเสีย
นักปฏิบัติกรรมฐานส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้คิดกันแบบนี้ ไม่ตามปัจจุบันธรรม หรือปัจจุบันขณะแต่ละชณะๆ
ความจริงเป็นอย่างนั้น
แต่เราต้องการให้มันเป็นอย่างนี้ คือให้เป็นตามที่เราคิด ตามที่ตนต้องการ จึงฝืนกระแสธรรม
ถ้ากำหนดรู้ตามที่มันเป็นนั่นเสีย มันเปลี่ยนไปอย่างไรก็กำหนดรู้ (ปริญญา) อย่างนั้น ก็เท่านั้นเอง
แล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกต่อไป
หรือใช้พองยุบก็กำหนดพองยุบต่อไป |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
กรัชกาย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
07 ก.พ.2007, 5:25 pm |
|
ปัญหาที่ผมเจอตอนนี้คือ เวลานั่ง ๆ ไปแล้วหลังจะเริ่มห่อลงเรื่อย ๆ จนรู้สึกปวดหลัง ทำให้ต้องเปลี่ยนท่าในการนั่งสมาธิบ่อย ๆ ใครที่นั่งสมาธิแล้วไม่ปวดหลังและนั่งได้นานไม่ทราบว่าคุณทำอย่างไรกันบ้างครับ
http://larndham.net/index.php?showtopic=24628
........
-ข้างบนเป็นอีกรายหนึ่ง ที่ปฏิบัติกรรมฐานแล้วติดขัด หาทางออกจากอาการนั้นไม่ได้
อย่างที่แน่ะนำทางออกให้ทุกครั้ง คือกำหนดรู้ (ปริญญา) ตามสภาพที่มันเป็น เป็นยังไงรู้สึกอย่างไรก็กำหนดรู้ทันตามที่รู้สึก
-แต่รายนี้นั่งแล้วหลังงอจนรู้สึกปวด แต่ไม่กำหนดรู้อาการนั้นตามสภาพที่กำลังเป็นกำลังเกิด
ถามว่า เขากำลังเป็นอะไร ?
ตอบว่า เขากำลังหลังห่อหรืองอลงเรื่อยๆ ในขณะกำลังปฏิบัติกรรมฐานอยู่ นี่คืออาการซึ่งเป็นอยู่ในขณะนั้น
วิธีแก้ก็คือ กำหนดรู้ไปตามสภาพที่มันเป็น หรือรู้สึก "ห่อหนอๆๆ" (เพราะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ) เท่านี้สติสัมสัมปชัญญะเกิด อาการดังกล่าวก็จะคืน เพราะการกำหนดตามสภาพที่เป็นจริงในขณะนั้น คือการสร้างสติสัมปชัญญะ
-ปวดหลัง อาจเกิดจากการนั่งหลังงอลงนั้นด้วยหรือไม่ (นั่งตัวตรงๆ) สังเกตเอง แต่ให้กำหนดรู้ตามสภาพดังกล่าวก่อน
พึงทราบว่า...ทุกข์เกิดแก่มนุษย์ทุกที่ทุกทาง ไม่ว่าจะ ยืน เดิน นั่ง นอน... มีทุกข์อริยสัจแฝงอยู่ทั้งนั้น
ก็ให้กำหนดรู้ทุกข์นั้นไป "ปวดหนอๆๆ" ตามความรู้สึกในขณะนั้นก่อน
ไม่พึงปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านไปว่า ทำไมนะนั่งกรรมฐานแล้วยังเจ็บยังปวดอีกเป็นต้น
-คิดอย่างนี้สวนทางกับธรรมชาติธรรมดา
-เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ล่ะของจริง แล้วจะไม่ให้มันเจ็บ ไม่ให้มันปวดได้อย่างไร เจ็บปวด ก็กำหนดรู้ไปตามนั้นไม่พึงคิดหาหนทางอื่น ไม่มีทางหนีทุกข์พ้นตราบเท่าที่ไม่ถึงนิพพาน
(ไม่พึงคิดอยากได้นิพพานอีกนะพูดให้ฟังเฉยๆ เพื่อให้จบกระบวนธรรม)
การจะนั่งได้นานๆ ต้องนั่งบ่อย ๆ ค่อยๆ ฝึกจากน้อยไปก่อน ชินแล้วก็ขยับปรับขึ้นไปทีละน้อยๆ
หนีไม่พ้นการฝึก ไม่ใช่ได้อะไรมาง่ายๆ ลอยๆ โดยไร้เหตุผล
เจ้าชายสิทธัตถะ หรือ พระพุทธเจ้าท่านมิได้เข้าป่าแล้วตรัสรู้นะ ท่านฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกฝนตนเองกับสองดาบสเป็นปีๆ ก่อนแล้วจนจบความรู้ของอาจารย์ จึงได้ลาออกไปค้นหาสัจธรรมด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้พ้นจากกายและใจนะ ก็ทรงเอาแนวทางที่ได้เรียนมานั่นเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย
นอนกลางป่ากลางดง นึกไว้ ๆ กันหลงว่าปฏิบัติง่ายๆ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ยากเกินความเพียรของมนุษย์ดอก |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
|
|
|