Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ขอเชิญชวนสร้างกุฏิเพิ่มเติม ณ วัดโคกสมบูรณ์ จ.ร้อยเอ็ด
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไปที่หน้า
ก่อนหน้า
1
,
2
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ชนิกานต์
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2006
ตอบ: 37
ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2006, 10:41 pm
เพิ่มรูปค่ะ
ชนิกานต์
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2006
ตอบ: 37
ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2006, 10:45 pm
รูปกุฏิหลังที่ 3 (โพสต์ไหม่ค่ะ )
ชนิกานต์
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2006
ตอบ: 37
ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2006, 10:47 pm
ตอนนี้ยังขาดหลังคาของห้องน้ำค่ะ หากผู้ใจบุญท่านใดอยากเป็นเจ้าภาพ ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยเจ้าค่ะ ติดต่อ
พระอาจารย์แก้ว 0-9211-9775
หรือสามารถโอนเงินเข้าธนาคาร
ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาสุวรรณภูมิ
ชื่อบัญชี วัดโคกสมบูรณ์
เลขที่ 775-2-06518-8
จาพนม มือสอง
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 26 ส.ค. 2006, 3:57 pm
อนุโมทนาด้วยคับ
สายใจ
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2006, 1:18 pm
อนุโมทนาบุญเจ้าค่ะ
ชนิกานต์
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2006
ตอบ: 37
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2006, 1:22 pm
เห็นบทความนี้ในเว็บ มาจากลูกศิษย์ของพระอาจารย์เกษม จึงคัดลอกมาเพื่อให้ทุกท่านได้อ่านและสามารถนำเป็นแนวทางในการใช้บุญสร้างความสำเร็จในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าทรงแสดงการเกิดบุญไว้ 3 ประการอย่างย่อๆ คือ
1. บุญเกิดจากการให้ทาน
2. บุญเกิดจากการรักษาศีล
3. บุญเกิดจากการภาวนาอบรมจิตใจ
โดยสรุปแล้วการสร้างความดีทุกประการ ล้วนเป็นแหล่งของการเกิดบุญกุศลทั้งสิ้น แล้วก่อให้เกิดอานิสงส์ที่จะสร้างความสำเร็จให้ชีวิตได้ทั้งสิ้น เมื่อกำลังให้ของแก่ใคร ไม่ว่าจะถวายของแก่พระสงฆ์ ให้ของแก่พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ย่อมเกิดกระแสบุญขึ้น เป็นกระแสเรืองรองแผ่ออกจากตัวผู้กำลังให้ เพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายขึ้นไปเบื้องบน แล้วสะสมเป็นกองบุญผู้ให้อยู่บนเทวโลก ดังนั้นขณะให้ของแก่ใคร จึงควรอธิษฐานจิตคิดทันทีว่า บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาตัวข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเจ้ากรรมนายเวรของข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเทวดา-ภูต-ผี-ปีศาจ-เปรต-ครุฑ-นาค-ยักษ์ ที่อาศัยอยู่ในสถานที่เรือกสวนไร่นา หรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาบุตรของข้า จงเป็นของเทวดาผู้รักษาบิดา-มารดาของข้า เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแก้ไขในจุดไหน เช่น
บุตรของเราเกเรเหลือเกินชอบสร้างแต่ความเดือดร้อนสั่งสอนไม่ฟังแบบนี้ ต้องให้เทวดาผู้รักษาตัวเขาเป็นผู้ขนาบตักเตือน วิธีที่เทวดาตักเตือนนั้น ท่านจะสั่งการไปที่ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเขา ถ้าเทวดาประจำตัวเขาเป็นมิจฉาทิฐิ เมื่อได้รับบุญบ่อยๆ เทวดารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น มีฤทธิ์อำนาจขึ้น เขาจะทราบได้เองว่าสิ่งที่เขารับนั้นมาจากไหน เมื่อเราอุทิศบุญให้ท่านก็อธิษฐานว่า เมื่อเทวดาได้รับบุญแล้วขอให้มีความสุข มีกินมีใช้ มีเสื้อผ้าที่อยู่อาศัยและขอให้อบรมตักเตือนลูกของข้าให้เป็นคนดีด้วย ดังนี้ ไม่นานหรอกจะเกิดกรณีพิศดารขึ้นกับบุตรเกเรคนนั้นจนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีอย่างแน่นอน
สามีหรือภรรยา คู่ครองของตนเองเป็นที่น่าเอือมระอาเหลือเกิน อยากให้คู่ครองดี รักเรา ละเลิกประพฤติชั่วเหลวไหล ก็ให้ทำแบบเดียวกันกับที่ให้บุญแก่เทวดาที่รักษาบุตร
กิจการค้าของท่านล้มเหลวหรือซบเซา เมื่อท่านทำบุญทุกครั้งควรอุทิศให้เทวดาประจำตัวของท่าน และเทวดาที่ดูแลกิจการการค้าด้วยพร้อมกันไปแล้วอธิษฐานว่า เทวดาที่รับบุญของเราแล้ว โปรดช่วยเหลือกิจการค้าธุรกิจของเรา ให้ประสบความสำเร็จด้วยเถิด ถ้าร่ำรวยขึ้นจะทำบุญให้ท่านยิ่งๆ ขึ้นไปอีก จะใช้คำเรียกตนเองว่าข้า ว่าเรา ก็ได้ทั้งนั้น ร้านค้าขายจะเป็นร้านอะไรก็แล้วแต่ เมื่อทำบุญก็ให้อุทิศบุญแก่เทวดาที่รักษาร้านค้านั้นด้วย แล้วบอกว่า เทวดาเมื่อได้รับบุญแล้ว โปรดเรียกลูกค้ามาอุดหนุนให้มากๆ ด้วย
การอุทิศบุญ ไม่ต้องพูดไม่ต้องกรวดน้ำ ให้ใช้การคิด ต้องรีบคิดทันทีอย่าชักช้าเพราะแสงบุญที่เกิดขึ้นจะดำรงอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วจะหายไปสู่สวรรค์ ถ้าเราฝึกบ่อยๆ เราจะชำนาญในการคิดเพราะมีกระแสแรงกว่าพูดออกจากปาก เวลาหย่อนก้อนข้าวลงในบาตรให้คิดส่งบุญทันที และคิดให้ชัดเจนอย่าลางเลือน ให้ของแก่ใครเมื่อของหลุดจากมือเราก็ให้คิดทันทีอย่าช้า
การรักษา โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดกับตัวเราสืบเนื่องจากนายเวรผู้เคียดแค้นชิงชังกระทำทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ฆ่าสัตว์ย่อมอายุสั้น ผู้เบียดเบียนสัตว์ย่อมสุขภาพไม่ดี ดังนั้น การรักษาต้องส่งบุญไปให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยนั้นๆ และให้เทวดาผู้รักษาตัวเราในขณะเดียวกันโปรดอธิษฐานว่า หมอใดยาใดที่สามารถรักษาอาการนี้ให้หายขาดได้ ขอให้เทวดาจงนำหมอนั้นมารักษาเรา เจ้ากรรมนายเวรได้รับบุญของเราแล้ว จงอโหสิกรรมให้เราด้วย ถ้าเราหายเราจะทำบุญให้แก่ท่านยิ่งๆ ขึ้นไป การอธิษฐานเบิกบุญเก่าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่รบกวนควรทำวันละหลายๆ ครั้ง จนเขาพอใจ อาการป่วยของเราจะหายเร็วขึ้น
วิธีการให้บุญแก่เจ้ากรรมนายเวรควรทำดังนี้เป็นตัวอย่าง เช่น คนป่วยมะเร็งจุดไหนเมื่อส่งบุญให้คิดว่า บุญนี้เจ้ากรรมนายเวรที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยตรง... พวกเชื้อโรคมะเร็งเมื่อได้รับบุญแล้วขอให้เจ้ามีชีวีตที่ดีขึ้น มีภพที่สูงขึ้น จงหลุดจากภาวะชีวิตชั้นต่ำเดี๋ยวนี้ เมื่อเราหายแล้วเราจะได้ทำบุญให้พวกเจ้า ส่งชีวิตของพวกเจ้าให้สูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าจงเลิกจองเวรจองกรรมในเราเสียที ตั้งแต่นี้เราจะตั้งตนอยู่ในศีลธรรม เลิกการเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตสัตว์อื่น ขอส่งบุญที่เกิดจากการรักษาศีลแก่เจ้าด้วย
ผู้มีอาชีพเกี่ยวเนื่องกับการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์อื่น เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ คนขายเนื้อสัตว์ ชาวประมง คนขายปลาสดตามตลาด เชือดไก่ขาย คนเหล่านี้ต้องสร้างบาปกรรมทุกวันๆ จึงก่อความเคียดแค้นชิงชังให้แก่สัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ทุกวี่ทุกวัน เขาก็พยายามจองล้างจองผลาญ แต่ในขณะที่บุญเก่าของผู้นั้นยังมีอยู่ เจ้ากรรมนายเวรก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านายเวรได้ช่องทางเมื่อไร วิญญาณสัตว์ที่เคียดแค้นเหล่านั้น (นายเวร) จะตามมาทวงและให้ร้ายทันที ดังนั้นต้องพยายามไถ่ถอนกรรมของตัวด้วยการทำบุญ แล้วอุทิศให้วิญญาณสัตว์ที่ตัวเองฆ่า ทำบ่อยๆ ส่งบ่อยๆ เอาเนื้อสัตว์ที่เราขายนั้นทำอาหารถวายพระหรือเลี้ยงผู้อื่น อธิษฐานว่า บุญนี้ให้สัตว์ทั้งหลายที่เราได้ฆ่าหรือผู้อื่นฆ่าเพราะคำสั่งเรา เหล่าสัตว์เหล่าใดที่ได้รับบุญแล้ว ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ มีชีวิตวิญญาณที่ดีขึ้น จงหลุดพ้นจากกรรมเวรที่ตนเองเคยสร้างไว้ จงมีภพภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเทวบุตรเทวดาในสรวงสวรรค์ เมื่อได้รับบุญแล้วจงอโหสิกรรมให้เราด้วย อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย เจ้าตายเพราะเราแต่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะเรา ดีกว่าเจ้าตายเอง หรือตายเพราะฝีมือผู้อื่น ซึ่งก็มีชีวิตทุกข์ทรมาน
การขับไล่ผีหรือคุณไสยออกจากร่างผู้ป่วย เอาของให้ทานแก่ผู้ทรงศีล จะพระหรือฆราวาสก็ได้แล้วอุทิศบุญเจาะจงถึงผีในร่างผู้ป่วย ขอให้ได้รับบุญนี้ เมื่อได้รับบุญแล้วโปรดออกจากร่างผู้ป่วยเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ยอมออกก็ให้บ่อยๆ ให้สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้เงินห้าบาท สิบบาท ให้กาแฟ 1 แก้ว โอวัลติน 1 แก้ว แล้วอุทิศได้ทั้งนั้น
ในกรณีมีคุณไสยเข้าร่างผู้ป่วย ให้อธิษฐานดังนี้ ด้วยอำนาจพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจพระธรรม ด้วยอำนาจพระสงฆ์ โปรดจงลบล้างอำนาจชั่วช้าต่ำทรามที่มีผู้ส่งเข้าผู้ป่วยให้สูญสลายไป ณ บัดนี้ ถ้าไม่หายให้ทำบ่อยๆ เดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องไปทำพิธีอะไรอื่นหรือไม่ต้องไปจ้างหมอผีผู้มีวิทยาอาคมที่ไหนมาแก้ เพราะอำนาจของพระรัตนตรัยนั้นยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล
หลีกเลี่ยงการสวดมนต์เพื่อขับไล่วิญญาณ บทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่ และเบียดเบียน พวกวิญญาณชั้นต่ำในโลกทิพย์ ให้ได้รับความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผี ไว้ในพระวินัยบัญญัติ ดังนั้น เมื่อผู้ใดกล่าวสวดมนต์เพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสสติ และสังฆานุสสติ โปรดอย่าตั้งจิตเบียดเบียนภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อสวดมนต์ให้ตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า ภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายบัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้วทรมานก็ให้หลีกหนีไปที่อื่นจนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จแล้วจึงกลับมาเถิด เราไม่สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวดเพื่อเจริญในพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เท่านั้น
มาลัย
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 18 ก.ย. 2006, 4:52 pm
เห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่เจ้าค่ะ เพื่อเป็นบุญกุศลกับเพื่อนพรหมจรรย์ทุกท่านเจ้าค่ะ
ธรรมโอวาท
โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมะรังสี) วัดมเหยงณ์ พระนครศรีอยุธยา
การปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนหนึ่งต้องมีการฟังธรรม มีการรักษาศีล มีการเจริญภาวนา และมีข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ เหล่านี้เป็นวิถีชีวิตของชาวพุทธ เป็นปฏิปทา เป็นข้อปฏิบัติ เป็นข้อดำเนินของผู้แสวงหาประโยชน์ที่แท้จริง
คือ ความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส ผู้ที่มีปัญญา มองเห็นความสุขที่ควรแสวงหา
คือ ความสุขที่เกิดจากการเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้กระทำความดี
แต่...ชาวโลกส่วนใหญ่เขาแสวงหาความสุขที่มีอามิส ความสุขที่เจือด้วยอามิส ก็คือมีเหยื่อ ต้องมีเหยื่อล่อ
จึงเกิดความสุข ก็ได้แก่ มีกามคุณอารมณ์ พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ว่ากามคุณมี 5 อย่าง
คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่น่าปรารถนา ชาวโลกที่ไม่ได้สดับ ก็จะมุ่งแสวงหาความสุขจาก
กามคุณอารมณ์ โดยคิดว่าการได้รับกามคุณอารมณ์นั้นคือ ความสุข
กามคุณอารมณ์ คืออารมณ์น่าใคร่น่าปรารถนา ก็มีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
รูปสวยๆ เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่น่าใคร่ น่าปรารถนา เรื่องราวที่น่าเพลิดเพลิน
เหล่านี้ เป็นกามคุณอารมณ์ ชาวโลกส่วนใหญ่ก็คิดว่านี่แหละคือ ความสุข
จึงต้องแสวงหากามคุณอารมณ์ พยายามที่จะเสพ รูปสวย กลิ่นหอม รสอร่อย
สัมผัสทางกายที่ดี แล้วก็คิดว่าเป็นความสุข ที่จริงมันก็เป็นความสุข ถ้าไม่สุขคนก็จะไม่ติดใจ
แต่เป็นความสุขที่สุขแล้วก็มีทุกข์ สุขแล้วไหม้ เหมือนอะไรที่เราไปปิ้งสุกแล้วมันไหม้
เป็นความสุขที่อยู่ในกองทุกข์
ทำไมจึงทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามันไม่ยั่งยืน ไม่คงที่ เมื่อมีแล้วก็เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะได้เลิศเลอขนาดไหน ก็ไม่มีอะไรที่จะตั้งอยู่ได้ ฉะนั้น พอเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดความทุกข์
จะต้องดิ้นรนแสวงหา หาใหม่อีก และเมื่อได้มาแล้วก็ไม่คงที่อีก เปลี่ยนแปลงไปอีก
ระหว่างที่ได้มา ก็กลัวว่าจะเปลี่ยนแปลง ความวิตกกังวลที่กลัวการเปลี่ยนแปลงก็เป็นทุกข์
ทุกข์เพราะกลัวจะเปลี่ยนแปลง ครั้นเมื่อเปลี่ยนแปลงก็เศร้าโศกเสียใจ
ครั้นยังไม่ได้ ก็ดิ้นรนแสวงหาไขว่คว้า ดิ้นรนกระวนกระวาย กระสับกระส่ายเป็นทุกข์อีก
เมื่อได้มาแล้วก็กลัวจะเปลี่ยนอีกน่ะ นี่มันทุกข์ตลอด มันมีสุขหยอดให้แต่เพียงเล็กน้อย
แต่มีทุกข์มากกว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าความสุขที่มีอามิส เป็นความสุขที่ยังต้องมีเหยื่อล่อ
คือต้องมีรูปสวยๆ มาปรนเปรอจึงเกิดความสุข ได้รสอร่อย ๆ แล้วก็เกิดความสุข
ได้สัมผัสทางกาย ทางเนื้อหนัง แล้วก็เพลิดเพลินพอใจติดใจ เป็นความสุขแล้วก็ต้องทุกข์เศร้าโศก
บางคนก็คับแค้นใจ ที่เกิดความคับแค้นใจ ก็มาจากนี้แหละ มาจากความสุขที่มีอามิสนี่แหละ
เพราะไปติดใจ ไปหลงใหล ไปยึดถือกับสิ่งเหล่านั้น ว่าจะเป็นของตน เป็นของคงที่
เสร็จแล้วมันก็เปลี่ยนแปลง เพระว่าไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรเป็นของของตนเอง
ไม่มีอะไรเป็นของเราแม้แต่ตัวของเราเอง ตัวของตัวเองก็ยังเปลี่ยนแปลง
เราลองคิดให้ดีทั้งวันได้มั้ย...ก็ยังไม่ได้ จิตของตัวเองก็ยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ถ้าเป็นเช่นนี้ ไฉนเราจะไปยึดถือกับความคิดความเห็น หรือจิตใจของผู้อื่นให้เขามาเป็นตามที่เราปรารถนา
เพราะจะยึดถืออย่างไร ไขว้คว้าอย่างไร มันก็ไม่สมปรารถนา ถึงจะสมปรารถนาก็เป็นไประยะหนึ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ยิ่งบุคคลไปยึดมั่นถือมั่นในความปรารถนา
ในความต้องการมากเท่าไร บุคคลนั้นก็จะต้องเผชิญต่อความทุกข์มากมายเท่านั้น
นี่...ความสุขของชาวโลกที่ใฝ่ฝันแสวงหา เป็นความสุขที่เจือด้วยอามิส ไม่ยั่งยืน
ความสุขอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นความสุขที่ไม่มีเหยื่อล่อ
เป็นความสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส ก็คือจิตที่เข้าถึงความสงบ
จิตที่เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เป็นจิตที่สงบจากอารมณ์ ไม่ต้องมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มาปรนเปรอ
แต่อาศัยทำจิตถึงสมาธิ ได้สมาธิมีความสงบ ก็จะพบความสุขเกิดขึ้นในจิตใจ
เป็นความสุขที่เอิบอิ่ม เยือกเย็น ผ่องใสยิ่งกว่าความสุขจากกามคุณอารมณ์
บุคคลใดที่ยังไม่เคยถึงไม่เคยพบ ก็ยังไม่รู้จัก แต่ถ้าได้พบ ได้สัมผัส ก็จะพบว่าต่างกัน
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบแข่งขัน และเมื่อนึกถึงการแข่งขัน พวกเรามักนึกถึงการวิ่งเร็ว
เพื่อดูว่าใครจะเข้าเส้นชัยก่อนกัน ความตั้งอกตั้งใจเอาชนะของแต่ละคนต่างกัน
คุณจะรู้สึกถึงพลังนักแข่งหรือพลังนักสู้ ที่มากน้อยผิดแผกไปจากกัน
เห็นหน้าคนบางคน คุณจะรู้สึกได้ว่าเขาไม่ยอมแพ้แน่ๆ
ความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเป็นหนึ่ง หรือความกระหายที่จะเหนือกว่าคนข้างๆ
มีอยู่ทั่วไป หาใช่แต่ในสนามแข่งเป็นทางการ แม้แต่การฉี่ เด็กผู้ชายก็เอาไว้วัดกันได้
ว่าใครฉี่ไกลกว่า ใครฉี่แรงกว่า หรือกระทั่งใครฉี่ได้นานกว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไป
ว่าระบบปัสสาวะของแต่ละคนเป็นอย่างไร เอาแค่รู้สึกว่าเหนือกว่าก็พอ
บางทีคุณอาจไม่เคยคิดสักแวบ แต่หลายคนเขาคิด เช่นผู้หญิงส่วนหนึ่งที่ชอบเอาชนะ
จะรู้สึกว่าการนั่งฉี่เป็นปมด้อย อยากได้ยืนอย่างผู้ชายมั่ง เริ่มต้น ชีวิตคนเราถือเอาสิ่งที่ตนมีติดตัว
เป็นเครื่องแข่งขันประชันกัน อะไรที่มีอยู่แล้วดีกว่ากัน
ถือว่าคนนั้นเหนือกว่า และชนะไป โดยไม่ต้องสนใจว่าทำไมถึงมีอย่างนั้น
เมื่อชีวิตดำเนินไป ก็อาจแข่งกันมีในสิ่งที่แต่ละฝ่ายยังไม่มี ใครมีก่อนกัน คนนั้นชนะ
บางทีอาจลืมคำนึงด้วยซ้ำ ว่าได้ชัยชนะมาด้วยวิธีสกปรกหรือขาวสะอาด
เมื่อเข้าปลายชีวิต คนเราอาจต้องแข่งกันในเรื่องความทรงจำ
ใครมีความทรงจำดีๆมากกว่ากัน ถือว่าทั้งชีวิตของคนนั้นเหนือกว่า
สุดท้าย เมื่อคนๆหนึ่งตายไป เมื่อคนๆหนึ่งไร้ความทรงจำ เขาอาจอยากรู้
ว่ามีคนจดจำเขาได้มากแค่ไหน โลกจะจำเขาได้นานเพียงใด
คำเอ่ยลาของคนบางคน จึงเป็นคำขอว่า Forget me not
ยิ่งมีคนจำได้มาก ได้นาน ก็นับเป็นเกียรติ เหนือกว่าคนธรรมดายิ่งขึ้นเท่านั้น
หลายคนเลยที่จะตายไม่เป็นไร ขอให้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เป็นพอ
เช่นแม่ทัพบางคน ปลุกใจลูกทัพให้ยอมออกไปตาย เพียงด้วยการกล่าวว่าเราตายวันนี้
แต่ชื่อของพวกเราจะไม่ตายตลอดไป
เมื่อคืนผมขับรถกลับบ้าน ฝนตกหนัก ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าถนนลื่น ไม่ควรขับเร็ว
แต่มีรถซิ่งคันหนึ่ง คนขับยังคงภูมิใจในความแรงของเครื่อง ขับฉวัดเฉวียนปาดซ้ายป่ายขวาอย่างสนุก
ผมทอดตามองยิ้มๆ ในใจนึกถึงคำว่า "ตัวอันตราย" กับทั้งคิดต่อไปอีก ว่าภูมิใจอะไรนักหนา
นั่นเป็นความเร็วของรถ ไม่ใช่ความเร็วของคน เร็วแค่ไหนเดี๋ยวก็ต้องจอด หยุดนิ่งกับที่อยู่ดี
ไม่ถึงสิบวินาทีต่อมา รถซิ่งคันนั้นก็เปิดไฟกะพริบ แล้วชะลอลงจอดกลางสะพาน
คนในรถออกมากลางฝน ก็คงเปียกปอนและทุลักทุเล อาจจะเครื่องเสียหรืออะไรสักอย่าง
สาระคือหลังจากเขาพาตัวเองเสี่ยง และพาความเสี่ยงไปให้คนอื่น ในที่สุดก็ต้องหยุดสนิท
รถที่แล่นผ่านเลยไป ก็ไม่มีใครสนใจ ต่างฝ่ายต่างต้องเลยไปตามทางของตน
ใครจะเอาเวลาบนทางของตน มานั่งจดจำวีรเวรหรือวีรกรรมของคนอื่น
พวกเรากำลังวิ่งไปบนทางของตน แต่ทางบางช่วงอาจวิ่งใกล้กัน เห็นกัน ทักทายกัน หรืออาจแข่งกัน
ทว่าในที่สุดต่างฝ่ายต่างต้องแยกย้าย เพื่อเห็นคนอื่น ทักทายคนอื่น หรือไปแข่งกับคนอื่น
พุทธศาสนาสอนให้เราหยุดแข่งกับคนอื่น และหันมาแข่งกับตัวเอง ตัวที่เป็นกิเลส
ตัวที่เป็นความไม่รู้ เราตีคู่กับมันมาตลอดกาลนาน แต่ไม่เคยคิดอยากแข่งกับมัน
ด้วยเหตุผลเดียว คือไม่รู้จะแข่งไปทำไม ไม่ได้ทำให้ตัวตนพองขึ้นเลย
พุทธศาสนาสอนให้เรารู้ ว่าแข่งกับคนอื่นหมื่นแสน ก็ต้องแข่งต่ออย่างไรจุดหมายปลายทาง
จะอีกกี่หมื่นกี่แสนก็ไม่รู้ แต่แข่งกับตัวเองคนเดียว เป็นการแข่งอย่างมีจุดหมายชัดเจน
แข่งครั้งเดียว ชนะครั้งเดียว แล้วไม่ต้องไปแพ้ใครอีก
พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก ตอบจดหมายโยม
ทุกข์เพราะเหงาและว้าเหว่ 21 พฤศจิกายน 2536
ดิฉันเคยอยู่อุบลมีเพื่อนฝูงมาก เราไปวัดด้วยกัน ที่อุบลมีวัดให้เราไปหลายแห่ง เราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา ขณะนี้เราย้ายมาอยู่โคราช ที่นี่เป็นบ้านเกิดของดิฉัน แต่ที่นี่ไม่มีวัดให้ไป ไม่มีเพื่อน สามีก็ไปทำงานต่างจังหวัด ลูกก็ไปเรียนหนังสือ ดิฉันเหงา ว้าเหว่ สับสนมาก คิดไม่ตก ยิ่งคิดยิ่งทุกข์ ดิฉันอยากซื้อรถเบนซ์สัก 1 คัน เพื่อจะขับไปวัด หรือไม่ก็คิดอยากย้ายไปอยู่กรุงเทพ เพราะที่นั่นดิฉันจะมีเพื่อน
ท่านอาจารย์สอนดังนี้
อาจารย์อ่านจดหมายของคุณโยมก็พอเข้าใจปัญหาแล้ว อาจารย์เห็นว่าคุณโยมควรเอาหลักธรรมะของพระพุทธเจ้ามาปรับปรุงชีวิตของตัวเอง ความจริงปัญหาสิ่งแวดล้อมของคุณโยมในปัจจุบันก็ไม่รุนแรง เป็นปัญหาธรรมดาที่เพื่อนร่วมโลกก็มีประสบการณ์อยู่ เมื่อเราระลึกถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า ปัญหาเกิดที่ไหน ก็อย่าหนี อย่าถอย ให้สู้ที่นั่น แก้ปัญหาที่นั่นก่อน โดยเอาหลักธรรมะมาต่อสู้ แก้ไข คลี่คลายปัญหา
การย้ายบ้าน หรือการซื้อรถเบนซ์ไปเที่ยววัด อาจารย์ก็ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเลือกทางนั้นสิ่งแวดล้อมปัจจุบันนี้ เป็นปัจจัยทำให้เราทุกข์ก็จริงอยู่ แต่ก็อย่ารีบร้อนแก้ไขปัจจัยภายนอก หมายถึงการย้ายบ้านหรือการซื้อรถ อันนั้นไม่ใช่การแก้ปัญหาตรงจุด ถ้าเราเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งเดี๋ยวนี้ ปัญหาส่วนน้อยก็หมดไป แต่ปัญหามากๆอาจจะตามมาอีก.....ปกติก็เป็นอย่างนั้น
อาจารย์แนะนำให้อยู่ที่โคราชที่อยู่ปัจจุบันนี้ไว้ก่อน ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็มีเหตุปัจจัย คือทุกข์เพราะไม่มีเพื่อน ไม่มีวัดจะไป อันนี้เป็นปัจจัย เหตุก็อยู่ที่ใจเรา ใจเราไม่มีกำลัง ใจร้อน อันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความดับทุกข์ก็มีอยู่ วิธีดับทุกข์ก็มีอยู่ เราต้องค่อยๆศึกษา เอาอริยสัจ 4 เป็นที่พึ่งของเรา น้อมมาดูใจ ใจก็เป็นทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ความดับทุกข์ก็อยู่ที่ใจนะ ไม่ได้อยู่ที่ปัจจัยภายนอก
ไม่ได้อยู่ที่เพื่อน ไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่บ้านใหม่ ไม่ได้อยู่ที่รถเบนซ์ ถ้าเราพิจารณาตามหลักทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทั้งหมดก็อยู่ที่ใจ การที่เหงา ไม่มีเพื่อน เป็นปัจจัยทำให้เราทุกข์
การย้ายบ้าน การซื้อรถเป็นการเปลี่ยนปัจจัย ไม่ใช่การแก้ตรงจุด
พระพุทธองค์เน้นให้แก้เหตุแล้วทุกข์ก็ดับได้ ฉะนั้นให้ตั้งสติพิจารณาอริยสัจ 4
อาจารย์รับรองและเชื่อมั่นว่า แม้ภายในสิ่งแวดล้อมทุกอย่างในปัจจุบันเดี๋ยวนี้
ถ้าจิตเราน้อมเข้าสู่ธรรมะ ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปได้ เราก็จะหาความสุข และความสงบได้
เราต้องเชื่อมั่น ต้องใช้ปัญญาพิจารณา ภาวนาเปลี่ยนจิตใจของเรา
พัฒนาทำใจของเราให้ดีขึ้น อันนี้จีงจะเป็นการแก้ตรงจุด
อดีตที่ล่วงไปแล้วไม่ต้องคำนึงถึงอนาคตที่ยังไม่มาก็ไม่ต้องห่วง พยายามปล่อยวางอดีต อนาคต
เอาปัจจุบันเป็นสำคัญ ทำปัจจุบันให้ดี พยายามทำปัจจุบันเดี๋ยวนี้ให้ดี
อดีต อนาคต ปล่อยวาง คิดอดีต คิดอนาคตเท่าไหร่ก็แก้ปัญหาไม่ได้
คิดเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งคิดยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงพยายามคิดน้อยๆ อย่าคิดอดีต อนาคต
พยายามตัดอดีต อนาคต ออกจากจิตใจ สิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ตั้งใจทำให้ดี
ทำความรู้สึกตัวในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอยู่กับบ้าน ทำคนเดียวนี่แหละ
การไม่มีเพื่อน เป็นโอกาสที่เราจะได้ตั้งใจปฏิบัติกับตัวเอง
อยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติได้เหมือนกับไปปฏิบัติที่วัดนะ ไม่ต้องไปวัดก็ได้
การอยู่บ้านคนเดียวเราก็จะมีโอกาสปฏิบัติ ภาวนา ดูจิต ดูใจของเรา ได้เต็มที่
ต่อไปนี้เป็นข้อวัตรที่อาจารย์มอบให้โยมสำหรับปฏิบัติที่บ้านนะ
ข้อวัตรสำหรับคุณโยมเพื่อปฏิบัติที่บ้าน
๑. ให้สวดมนต์ทำวัตร วันละ ๓ เวลา เช้า กลางวัน เย็น ครั้งละ 1-2 ชั่วโมง
เช้า ก่อนทำอาหาร ก่อนดูแลลูก ให้ทำวัตรเช้า ครึ่งชั่วโมง
ทำวัตรเสร็จแล้ว เดินจงกรม ครึ่งชั่วโมง นั่งสมาธิ ครึ่งชั่วโมง
เมื่อเคยชินแล้วก็ขยายเวลาไปตามสะดวก บ่ายโมง ทำอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนนอน ทำอีกครั้งหนึ่ง ทำวันละ ๓ เวลา
๒. พยายามฟังเทปเทศนาของหลวงพ่อชาฯสัก ๑ ม้วน ทุกวันๆละ ๑ ครั้ง อาจจะใช้เวลาก่อนไปรับลูกก็ได้ เทปฟังม้วนเดียว (ที่ชอบ) ซ้ำๆ ก็ได้ไม่ต้องเปลี่ยนมาก แต่ให้ฟังทุกวันเป็นกิจวัตร
๓. ให้อ่านหนังสือธรรมะ อาจารย์ส่ง พลิกนิดเดียว มาให้ พร้อมทั้งขีดเส้นใต้มาให้ด้วย อ่านซ้ำๆๆๆทุกวันๆนะ อ่านออกเสียงดังๆ ก็ได้ เขียนด้วยก็ได้ เขียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น...อาจจะเปลี่ยนอารมณ์ได้...เป็นได้มาก แล้วคุณโยมจะมีความสุขใจมากก็ได้...ที่นี่...คนเดียวนี่แหละนะ
พยายามระวังความรู้สึกนึกคิด เพ่งพิจารณาว่าความรู้สึก ความนึกคิดของเราไม่แน่นอน
อย่าเชื่อความคิด อย่าเชื่อความรู้สึก มองเห็นความรู้สึกเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นเรื่องที่เราปรุงเอง คิดเอง ไม่มีอะไรหรอก เมื่อเราเห็นความรู้สึกนึกคิดเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตเป็นศีล เป็นสมาธิ เกิดมีเมตตาจิตแล้ว อยู่คนเดียวก็เกิดปิติ เกิดสุขได้
พระท่านปฏิบัติอยู่ในป่าองค์เดียว เมื่อจิตมีเมตตาแล้ว ก็มีความสุขตลอด
เมื่อใจเรามีเมตตา เราก็ไม่เหงา ไม่เรียกร้องความสนใจ ความรัก จากผู้อื่น
เพราะใจเรามีเมตตาแล้ว ใจเราหนักแน่นแล้ว ใจเรามีกำลังแล้ว
คุณโยมเป็นคนที่โชคดีมากที่มีโอกาสได้อยู่คนเดียว ได้ปฏิบัติ
โยมคนอื่นที่มาหาอาจารย์หลายคนมีปัญหาปฏิบัติไม่ได้ เพราะไม่มีโอกาสอยู่คนเดียว
เจริญพร ขอให้คุณโยมสบายๆนะ
พลิกนิดเดียว แล้วอยู่อย่างมีความสุข พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
คนเราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ที่ความคิดนิดเดียว พลิกนิดเดียวเราก็จะไม่เป็นทุกข์
พลิกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิ
จากความคิดผิดเป็นความคิดถูก จากทางโลกมาสู่ทางธรรม
พลิกนิดเดียวเราก็จะอยู่ได้อย่างไม่มีทุกข์ อยู่กับปัจจุบันได้อย่างสงบ
ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ละขณะอย่างสมบรูณ์
การเจริญสติปัฏฐาน คือการอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ที่จะต้องดับ
การเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญสมาธิวิปัสสนา ก็เพื่อหัดเปลี่ยนจาก การอยู่อย่างมีทุกข์เป็นพื้นฐาน
มาเป็นการอยู่อย่างมีความสุขเป็นพื้นฐาน เพียงแต่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ในขณะนั้นๆ
ไม่อยู่กับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง รับรู้และเสวยอารมณ์แต่ละขณะอย่างเต็มบริบรูณ์
เห็นความงดงามของปัจจุบัน อย่ามัวแต่อยู่กับอดีตและอนาคต ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะอย่างสิ้นเชิง มีความสุขเต็มอิ่มอยู่ในตัวทุกๆขณะ นี่คือการอยู่อย่างไร้ทุกข์ มีความสุขบริบรูณ์อยู่ในตัวตลอดเวลา
อยู่ในภาวะไร้ทุกข์ตลอดเวลา และก็ไม่มีทุกข์จะต้องดับ
ชนิกานต์
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2006
ตอบ: 37
ตอบเมื่อ: 22 ก.ย. 2006, 8:25 am
รูปการสร้างห้องน้ำของญาติโยมที่จะมาปฏิบัติธรรม ณ วัดโคกสมบูรณ์ หากใครต้องการร่วมทำบุญกับพระอาจารย์ก็สามารถโอนเงินเข้าธนาคาร ของ วัดโคกสมบูรณ์ได้ นะเจ้าคะ
เกสา
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2006, 5:27 pm
อนุโมทนาครับ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไปที่หน้า
ก่อนหน้า
1
,
2
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th