Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
อสทิสทาน (ทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
L
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 28 ก.ค.2006, 11:21 pm
.......สมัยหนึ่ง พระศาสดาประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี พระเจ้า ปเสนทิโกศลทูลอาราธนาพระศาสดา
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แล้วถวายอาคันตุกทานอย่างประณีต ทรงประกาศให้ชาวนครมาดูทานของพระองค์
วันรุ่งขึ้น ชาวนครทูลอาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ไปเสวย และฉันอาหารของพวกตน แล้วทูลให้
พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรทานของตน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นทานอันมโหฬารของชาวนครแล้ว ทรงถวายทานอีก ทำให้ยิ่งกว่าที่ชาวนครทำ
ชาวเมืองก็ไม่ยอมแพ้ รวมกำลังกันถวายทานให้ยิ่งกว่าที่ พระราชาถวาย
รวมความว่าทำบุญแข่งกัน
ในที่สุดพระราชาสู้ไม่ได้ เพราะประชาชนมีมากด้วยกัน จึงบรรทมเป็นทุกข์อยู่ พลางทรงดำริว่า ทำอย่างไร
จึงจะถวายทานให้ชนะชาวนครได้ พระนางมัลลิกา อัครมเหสีเสด็จเข้าไปเฝ้า ทรงทราบถึงความโทมนัสของ
พระราชาแล้วทูลอาสาจะจัดทานถวายเอง และจะให้ชนะชาวนครให้ได้
พระนางขอให้พระราชารับสั่งให้คนจัดดังต่อไปนี้
ให้ทำมณฑปสำหรับภิกษุ 500 รูปภายในวงเวียนมณฑปนั้น ทำด้วยไม้สาละและไม้ขานาง ภิกษุที่เกินจำนวน
500 นั่งนอกวงเวียน ให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน จัดหาช้าง 500 เชือก สำหรับถือเศวตฉัตรกั้นภิกษุ 500 รูปเหล่านั้น
ขอให้ทำเรือทองคำ 8 ลำ หรือ 10 ลำไว้กลางมณฑป ให้เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ นั่งบดของหอมอยู่ระหว่างภิกษุทุก ๆ 2 รูป
(คือเจ้าหญิงองค์หนึ่งต่อภิกษุ 2 รูป) และเจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ ยืนพัดภิกษุ 2 รูป เจ้าหญิงนอกนี้ มีหน้าที่นำของหอมที่บด
แล้วมาใส่ในเรือ
ให้จัดเจ้าหญิงเป็นพวก ๆ บางพวกถือกำดอกบัวเขียวไปเคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้วนำไปถวายภิกษุ
ให้ภิกษุรับเอาไออบ
เรื่องที่จัดเจ้าหญิงให้มาร่วมในการถวายทานนี้ก็ด้วยทรงดำริว่า ชาวนครไม่มี เจ้าหญิงเป็นเครื่องประกอบในทาน
เป็นอันได้ชนะชาวนครไปได้เรื่องหนึ่ง เศวตฉัตรของชาวนครก็ไม่มี ช้างจำนวนมากเช่นนั้นก็ไม่มี
พระราชารับสั่งให้ทำตามที่พระนางมัลลิกาทรงแนะนำ
ปัญหามาติดอยู่ที่เรื่องช้างคือช้างไม่พอ ความจริงพระราชามีช้างเป็นจำนวนพัน แต่ช้างที่เชื่องพอจะนำมา
ถือเศวตฉัตรได้มีเพียง 499 เชือก ขาดไปเชือกหนึ่ง นอกจาก 499 เชือกแล้วเป็นช้างดุร้ายทั้งนั้น
พระราชาทรงปรึกษาพระนางมัลลิกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระนางมัลลิกาถวายความเห็นว่า ขอให้เอาช้างเชือก
ที่ดุร้ายนั้นไปถือเศวตฉัตรให้พระคุณเจ้าองคุลิมาล
พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำเช่นนั้น เมื่อช้างที่ดุร้ายเข้าใกล้พระองคุลิมาล มันสอดหางเข้าไปในระหว่าง
ขาของมัน ปรบหูทั้งสองยืนหลับตานิ่งอยู่
มหาชนต่างมองดูช้างดุที่ยืนหลับตาอยู่ใกล้พระเถระและชมว่า พระคุณเจ้า องคุลิมาลมีอานุภาพถึงปานนี้
พระราชาทรงอังคาส (เลี้ยง) ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขด้วยอาหารอันประณีต และด้วย
พระหฤทัยอันอิ่มเอิบ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า สิ่งทั้งปวงในโรงทานนี้ ทั้งที่เป็นกัปปิยภัณฑ์
(สิ่งที่สมควรแก่สมณะ) และอกัปปิยะภัณฑ์ (สิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะ) หม่อมฉันขอถวายพระองค์ทั้งสิ้น
ในทานนี้ พระราชาทรงสละทรัพย์ 14 โกฏิหมดในวันเดียว ของ 4 อย่างคือ เศวตฉัตร 1 บัลลังก์สำหรับนั่ง 1
เชิงบาตร 1 ตั่งสำหรับเช็ดเท้า 1 ที่พระราชาถวายพระศาสดานั้นเป็นของสูงค่าจนไม่อาจคำนวณได้
ทานดังกล่าวมานี้ ไม่มีใครสามารถทำได้อีก (ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าองค์เดียว) เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกทาน
อย่างนี้ว่า อสทิสทาน คือทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน
ท่านกล่าวว่า อทิสทานนี้มีแก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่พระองค์ละครั้งเท่านั้น สตรีย่อมเป็นผู้จัดแจงทานนี้ เพื่อพระศาสดาและภิกษุสงฆ์
.......เมื่อพระราชาทรงบำเพ็ญอสิทิสทานอยู่นี้ มหาอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ กาฬะ รู้สึกเสียดายพระราชทรัพย์เหลือประมาณ
เขาคิดว่า นี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่ง ราชตระกูล ทรัพย์ถึง 14 โกฏิ หมดในวันเดียว ภิกษุทั้งหลายบริโภคอาหาร
ที่พระราชาถวายด้วยศรัทธาแล้วก็นอนหลับ มิได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ราชตระกูลฉิบหายเสียแล้ว
ส่วนอำมาตย์อีกคนหนึ่งชื่อ ชุณหะ คิดว่า อา! ทานของพระราชายิ่งใหญ่ น่าเลื่อมใสจริง ทานอย่างนี้ผู้ที่
ไม่เป็นราชาไม่อาจทำได้ พระราชาย่อมต้องทรงแบ่งส่วนบุญให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เราขออนุโมทนาบุญนั้น
เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จ พระราชาทรงรับบาตร เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา พระศาสดาทรงดำริว่า
ทานของพระราชาครั้งนี้เป็นประดุจห้วงน้ำใหญ่ มหาชนมีจิตเลื่อมใสหรือไม่หนอ ทรงทราบวารจิต
คือความคิดของอำมาตย์ทั้งสองแล้วทรงทราบว่า ถ้าจะทรงทำการอนุโมทนาให้สมควรแก่ทานของพระราชา
ในครั้งนี้ ศีรษะของกาฬอำมาตย์จะต้องแตกเป็น 7 เสี่ยง ส่วนชุณหอำมาตย์จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬอำมาตย์นั้น จึงตรัสพระคาถาเพียง 4 บาทเท่านั้น อนุโมทนาทานของ
พระราชาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเสด็จไปสู่วัดเชตวัน
ภิกษุทั้งหลายถามพระองคุลิมาลว่า ไม่กลัวหรือที่ช้างดุร้ายอย่างนั้นยืนถือเศวตฉัตรให้
พระองคุลิมาลตอบว่าไม่กลัว ภิกษุทั้งหลายจึงไปกราบทูลพระศาสดาว่า พระองคุลิมาลพยากรณ์อรหัตผล
อวดตนว่าเป็นอรหันต์ ไม่กลัวช้างดุร้ายเห็นปานนั้น พระศาสดาตรัสรับรองว่า พระองคุลิมาลไม่กลัวจริง
ส่วนพระราชาปเสนทิ ทรงน้อยพระทัยว่า ได้ถวายทานอันมโหฬารปานนั้น แต่พระศาสดาทรงอนุโมทนา
เพียง 4 บาท พระคาถาเท่านั้น น่าจะมีอะไรที่ไม่สมควรในทานอยู่บ้าง พระศาสดาคงจะทรงขุ่นเคืองพระทัย
เป็นแน่แท้
พระราชารีบเสด็จไปสู่วิหารเชตวัน ทูลถามพระศาสดาในเรื่องนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า พระราชาได้ทรง
กระทำชอบทุกอย่าง ทานนั้นได้นามว่า อสทิสทาน แต่ที่ทรงอนุโมทนาน้อย ก็เพราะหวังอนุเคราะห์
กาฬอำมาตย์ ตรัสเล่าความคิดของอำมาตย์ทั้งสองให้พระราชาทรงทราบ
พระราชาทรงกริ้วกาฬอำมาตย์ตรัสว่า เราให้ทานมากจริง แต่เราให้ของๆ เรา มิได้เบียดเบียนอะไรท่านเลย
ไฉนท่านจึงเดือดร้อนปานนั้น
ดังนี้แล้วทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์ออกจากแคว้น ตรัสเรียกชุณหอำมาตย์เข้าเฝ้า ตรัสถามว่า จริงหรือที่มี
ความคิดอนุโมทนาทานที่พระองค์ทรงกระทำแล้ว เมื่อ ชุณหอำมาตย์ทูลรับว่าจริง ทรงชอบใจและเลื่อมใส
จึงทรงมอบราชสมบัติให้เขาครอง 7 วัน และให้ถวายทานได้ตามประสงค์ โดยทำนองที่พระองค์เคยทรงถวาย
มาแล้ว
พระราชาเสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาอีกทูลว่า พระองค์ทรงดูการกระทำของคนพาลเถิด เขาเหยียดหยามทาน
ที่ข้าพระองค์ถวายแล้วถึงปานนี้ (ทรงหมายถึงกาฬอำมาตย์)
พระศาสดาตรัสว่า
คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้ คนพาลไม่สรรเสริญทาน ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาทานอยู่ จึงเป็นผู้มี
ความสุขในโลกหน้า เพราะการอนุโมทนานั้น
จากหนังสือ ทางแห่งความดี เล่ม 3 อาจารย์วศิน อินทสระ
ที่มา :: พันทิพ อ้างอิง คุณ foox
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2006, 5:05 am
อนุโมทนาบุญค่ะ...คุณ L
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th