Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 การเห็นธรรมจากการเดินจงกรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ฉุยฉาย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 16 มิ.ย.2006, 11:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การเดินจงกรรมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไรครับ
 
ลุงสุชาติ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 12:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อานิสงส์ในการจงกรมมี ๕ ประการคือ ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล ๑
ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร ๑ ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ๑ อาหารที่กินดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อมย่อยไปโดยดี ๑ และสมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมย่อมตั้งอยู่ได้นาน ๑
(พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๒ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต จังกมสูตร)
เพื่อเป็นการยืนยันอานิสงส์ของการเดินจงกรมตามที่ปรากฏอยู่ในจังกมสูตรแล้ว โดยปกติแล้ว รูปขันธ์ของเรานั้นเป็นที่ชุมนุมของธาตุต่างๆ ได้แก่ ธาตุน้ำ คือ น้ำลาย น้ำเหลือง โลหิตขาว โลหิตแดง ฯลฯ ธาตุดิน คือ กระดูก เอ็น ไขมัน กล้ามเนื้อ ฯลฯ ธาตุไฟ คือ ตับ ไต ไส้ พุง กะเพาะ ฯลฯ ซึ่งเป็นระบบการย่อยอาหาร ทำให้ร่างกายอบอุ่น ธาตุลม คือ ปอด หลอดลม จมูก ฯลฯ ที่ทำงานเกี่ยวระบบการหายใจ และอากาศธาตุ คือ ช่องว่างระหว่างเซลล์ชิ้นส่วนของร่างกายดังกล่าวข้างต้น (ความจริงแล้วยังมีอีกธาตุหนึ่ง คือ วิญญาณธาตุ แต่ไม่ใช่รูปขันธ์)
การเดินจงกรม จะช่วยให้กล้ามเนื้อขา (ธาตุดิน) แข็งแรง จะได้สัมผัสธาตุลม คืออากาศที่ดีบริสุทธิ์ โอโซน ถ้าเดินในตอนเช้า และจะได้มากขึ้นถ้ามีการฝึกลมปราณช่วยด้วย การเดินจงกรมจะทำให้การหมุนเวียนของโลหิตในร่างกาย (ธาตุน้ำ) จะดียิ่งขึ้น ส่วนที่ไหลขึ้นไปเลี้ยงสมองจะทำให้เกิคความคิด มีปัญญาเพิ่มขึ้น และเมื่อเหงื่อออก นอกจากจะขับเกลือออกจากร่างกายพร้อมเหงื่อจะช่วยลดความดันโลหิตได้ ทั้งสารเอลโดฟินจะหลั่งออกมาทำให้ร่างกายสดฃื่น จิตใจสบาย สำหรับระบบการขับถ่ายอาหาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธาตุไฟ คือ กะเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน ช่วยให้การขับถ่ายสะดวก ส่วนอากาศธาตุ คือ ช่องว่างระหว่างข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวเข่า ข้อเท้า ก็จะได้รับการบริหารควบคู่กันไปด้วย
สรุปว่า การเดินจงกรมจึงเสริมเสร้างเพิ่มพลังให้แก่ธาตุต่างๆ ที่ชุมนุมกันเป็นรูปขันธ์อย่างแน่นอน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
จงกลม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 8:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อยังมองไม่เห็นฝั่ง ผู้ที่ตกอยู่ในทะเลย่อมว่ายวนอยู่ในห้วงทะเลนั้น โดยไม่รู้จุดหมายฉันใด เมื่อยังไม่เห็นอริยสัจ บุคคลก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์แห่งวัฏสงสาร โดยไม่รู้จบสิ้นฉันนั้น
 
จงกลม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 8:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เวลาที่ปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณเกิด เกิดโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง เราไม่ต้อง คิดไปก่อนว่า เดี๋ยวจะเกิด กำลังใกล้จะเกิด นั่นผิด เพราะว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่อง ละ ถ้ามีความต้องการแทรกเข้ามา ก็ไม่ใช่ทางแล้ว พาไปที่อื่นแล้ว

การอบรมปํญญาจึงเป็นหนทางที่ละเอียด ดังข้อความที่ว่า อริยสัจ 4 เห็นยากเพราะลึกซึ้ง แม้แต่การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่ใช่เราจะไปนั่งคิดใช้สติ ใช้ปัญญาอะไรก็ไม่ได้ แต่เป็นความเข้าใจถูก
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 12:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดี คุณฉุยฉาย และครูบาอาจารย์ทุกท่านด้วยความเคารพ

เสาะแสวงหามาช้านาน สติ สัมปชัญญะ แยกรูปแยกนาม ดูจิต ผู้รู้ ผู้ดู ผู้ถูกรู้ ผู้ถูกดู นั่งเฉยๆแล้วบอกว่าให้เป็นผู้ดูโดยไม่ผ่านอิริยาบทนี่ คนปฏิบัติใหม่ๆก็บอกว่า ก็ดูอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นมีอะไร ไปเข้ากรรมฐานสอบอารมณ์ พอหลวงพ่ออนุญาตให้ถามถึงถามได้ ก็เลยได้โอกาสถามว่า ทำไมในเมื่อที่สุดต้องการให้หลุดจากบัญญัติแล้ว ยังต้องมานั่งบัญญัติศัพท์ใหม่กันอีก ท่านก็ตอบว่าเป็นเพียงสื่อให้เข้าใจในความหมายของสภาวะในระดับที่ละเอียดๆขึ้นว่าเรียกอะไร ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถสื่อกันให้เข้าใจได้เลย แต่คนที่จะเข้าใจในสมมติภาษาที่สื่อออกมาได้ก็ต้องผ่านสภาวะธรรมอันละเอียดนั้นๆ ท่านถึงจะอธิบายว่าเรียกว่าอะไร ไปอธิบายก่อนก็เท่านั้นเพราะไม่รู้ในสภาวะธรรมที่เป็นสื่อภาษาสมมติ

เสาะแสวงหามาช้านาน ความรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ก็คือ เรื่องธรรมดาซึ่งเป็นปกติธรรมชาติโลกเท่านั้น เกิดแล้วแก่ พอแก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ต้องตายทุกคน มองดอกไม้ก็เห็นเป็นดอกไม้ เพราะดอกไม้ไม่ใช่ต้นไม้ แต่ดอกไม้เป็นผลิตแห่งต้นไม้ แต่ตรงที่กล่าวว่าปรมัตถ์แท้ๆคล่องๆนี่ ที่บอกว่าต้องบวชนี่อยู่ในสังคมไม่ได้เพราะคล่องปรมัตถ์มากๆจะไม่รับคำสั่งเลย อยู่กับปัจจุบันขณะจริงๆ ไม่คิด ไม่ตรึก ไม่นึก ทำไงดีหละหลวงพ่อก็ต้องรั้งอีก รั้งให้มาสลับกับสมมติใหม่ ไม่งั้นอยู่ในสังคมไม่ได้ ทำงานไม่ได้ สลับยังไง เป็นปัญหาอีก ก็อยู่ธรรมดานั่นแหละ คิดก็รู้คิด ฟุ้งก็รู้ฟุ้ง ฟังก็รู้ฟัง ตรงมาเข้ากรรมฐานนี่ทำให้คล่องเพื่อให้รู้ไว้ แล้วมันก็อัตโนมัติเอง มันไม่ต้องไปดัก ไปคอยจ้องให้คล่อง ไปคอยระวังสติอีก มันอัตโนมัติเอง

เกือบไปเหมือนกัน อ่อ...มันเป็นเช่นนั้นเอง ก็นึกว่ามีอะไรมากมาย แต่ถ้าไม่มีครูก็ไม่รู้เหมือนกัน หาสติไม่เจอ ก็ว่ามีอยู่แต่หาไม่เจอ หาตั้งนาน แล้วมางงอีกความคิดนี่ มันต่างจากปัญญาอย่างไร เห็นพูดกัน คำตอบก็คือ อยากจะรู้ว่าปัญญาเป็นอย่างไร ต้องฝึกไม่ตรึก ไม่นึก ไม่คิด ฝึกง่ายๆรู้ตรงอิริยาบทที่กายง่ายๆ ทำบ่อยๆ มันจะพ้นเพดานความคิด ตรงนี้แหละเวลามันผุดมันก็ผุดขึ้นมาแป็บ มันต่างเลย ก็อ๋อ....นี่หรอเค้าเรียกพ้นเพดานความคิด แล้วมีอะไรอีกศัพท์ที่ทำให้งง เรา เขา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันก็คือสภาวะที่แยกย่อยๆๆๆละเอียดๆๆๆออกมาเรื่อยๆๆๆนั่นแหละ อยู่ดีๆไปบอกว่าไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขานี่ แต่ยังนั่งเป็นกูอยู่นี่ มันก็งงแหละ ก็กูยังอยู่ แล้วบอกว่าไม่มีกูได้ไง....ก็ทำไป....ทำไปตามปกติ ลมหายใจนี่มันก็ปกติของมันอยู่แล้วไม่ต้องไปอะไรมัน ....ก็แค่นั้น...เรื่องปกติธรรมดา

มหะศักติ กาลิ
มณี ปัทมะ ตารา
ผีเสื้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ฉุยฉาย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 1:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่เห็นมีใครตอบตรงที่ถามสักคนอ่ะ
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 2:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตรงกับความอยาก ไม่เห็น

ไม่ตรง ไม่เห็น

ตรง จึงเห็น

เจริญในธรรม

มณี ปัทมะ ตารา
ผีเสื้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
จงกลม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 9:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉุยฉาย พิมพ์ว่า:
ไม่เห็นมีใครตอบตรงที่ถามสักคนอ่ะ


การเดินจงกรรมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไรครับ

คำถามน่าจะถามว่าการเดินจงกลมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไรครับ

โปรดตั้งคำถามใหม่
 
ความเห็นส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 10:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนาสาธุกับคำตอบของคุณปุ๋ยครับ
เพราะตามความเข้าใจส่วนตัวก็รู้สึกเรื่องธรรมเป็นเรื่องของภายในตัวเองเท่านั้น การเห็นธรรมก็ไม่ใช่เห็นได้ด้วยตาเนื้อหรือด้วยความคิด แต่เห็นได้ด้วยเพียงความรู้สึกจากภายในตัวที่แจ้งชัด จะเอาความรู้สึกไปเปรียบเทียบหรือบอกกับคนอื่นก็ต้องอาศัยสมมุติ จึงสื่อกันระหว่างคนเห็นธรรมกับยังไม่เห็นได้ยาก แค่ความรู้สึกธรรมดา อย่างตอนเราถวายสดุดีในหลวงพร้อมเพรียงกัน เกิดปิติจนน้ำตาไหล ถามว่าเราเห็นปิตินั้นได้ด้วยความคิดหรือมองเห็นด้วยตาหรือเปล่าก็ไม่ใช่ แต่เป็นความรู้สึกที่ชัดแจ้งเท่านั้น ถึงเราสื่อให้คนอื่นรู้ได้แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนเข้าใจทั้งหมดที่เรารู้สึกได้ ดังนั้นธรรมมะจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งอ่านหรือฟังตีความแล้วคิดให้เข้าใจแต่เป็นเรื่องของการน้อมนำให้จิตเราได้ปฏิบัติ(ไม่ใช่ปฏิบัติแต่กายกับความคิด)จนเห็นผล
แน่นอนขณะที่เห็นธรรมย่อมชัดเจนยิ่งกว่าความรู้สึกธรรมดา หัวเราะ อย่างหัวเราะเพราะตลก ปรบมือ ร้องไห้เพราะเสียใจ หรือ โกรธ หน้าแดงเพราะโกรธจัดอีก ที่บางคนปฏิบัติเน้นแต่ทางกายกับความคิดแต่จิตไม่ได้มาร่วมปฏิบัติด้วยไม่เคยรู้สึกเห็นอะไรพิเศษก็เพราะจิตยังไม่เห็นธรรมเท่านั้นเองครับ
สรุปว่าเดินจงกรมเห็นธรรมได้ก็เพราะจิตเข้าถึงธรรมจากการมีสติสัมปชัญญะที่แรงกล้าในทุกอริยาบทของกายและความคิดครับ เน้นว่าไม่ใช่สติแบบในชีวิตประจำวันที่ไม่เผลอเรอเท่านั้น ใครเคยเห็นสภาพจิตที่มีสติสัมปชัญญะแรงกล้ามาบ้างแล้วจึงเข้าใจดีว่าเวลาเห็นธรรมควรมีสภาพเป็นอย่างไร สาธุ
 
แม่น้องพิม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2006, 11:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุญาตเข้ามาโมทนาสาธุนะคะ
คือแม่น้องพิมอ่านแล้ว ได้รับความเข้าใจอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นน่ะค่ะ
เลยอยากขอบคุณท่านที่ตอบกระทู้ทุกท่านด้วยค่ะ
(แอบแจม แบบว่าขออนุญาตเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ)
 
ขาแจมในตำนาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 มิ.ย.2006, 12:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การเดินจงกรรมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไรครับ
(การเห็นธรรมจากการเดินจงกลม)

ธรรม อยู่ในโลก พิจารณาโลกจึงเห็นธรรม

เขาแยกก่อน เป็นขั้นระดับ ความละเอียด เอาเป็นอย่างนี้ละกัน

ไม่ใช่ว่าเดินแล้วไม่เห็น เดิน ก็เห็นทุกข์ เดินไม่เรียบไม่ปราณีตก็ไม่พอใจ ไม่พอใจก็เป็นทุกข์
ก็ย้อนไปที่เหตุแห่งทุกข์เป็นต้น เดินไปเห็นเวทนาความเมื่อย ก็รู้ ก็อยู่กับทุกข์พิจารณาความทุกข์
ไม่ใช่เดินแบบไม่พิจารณา เดินดูก็พิจารณา ความเปลี่ยนแปลง เดินจนพอใจ เดินจนกำหนดได้ดี
เดินจนผ่อนคลาย เดินไป เดินไป เดินไปท้อไป ความท้อ ก็คลายไป เดินไป เพิ่มความอดทน ก็เดินไป
ความทุกข์ ความชัด มี ก็แยกออกได้ รับรู้ปุบ ก็ทิ้งปับ รู้ไม่ทันก็รับไป ทุกข์ไป ค่อยๆคลายไป ทุกข์สั่นก็รู้ว่า คลายได้สั่นลง สละได้เร็วขึ้นก็รู้ มีสติดีขึ้น ก็รู้ ตั้งมั่นมากขึ้นก็รู้ ร่างกายสงบ ร่างกายผ่อนคลายก็รู้ ความร้อน มากขึ้นก็รู้ว่าเพราะอะไร ความร้อนลด ก็เย็น ก็รู้ว่าเพราะอะไร สุขก็รู้จากทุกข์ เย็น ก็รู้จากร้อน ฉลาดก็รู้จาก ความโง่ แล้วอะไรที่ทำให้สงสัย ก็รู้ อะไรที่หาก็รู้ บริกรรมทิ้งไปก็รู้ ไม่สงบ ก็รู้ มีบริกรรมไว้ ไม่ทิ้งก็ตั้งมั่น ก็มีความสงบ ก็รู้ ความสงบนานขึ้นก็รู้ จิต ห่าง จากขันธ์มากขึ้นก็ พิจารณาไป ไปแยกสิ่งที่คลุมเคลือ ไปนะ ไปทำ ไปทำ จริงๆ ก็ได้ จริงๆๆ

ปล. อย่ารู้เพียงตำรา ไปทำ ไปเพียร อย่ารู้เพียงแผนที่ต้องไปดู ไปพิจารณา ซึ้ง
(รักนะเด็กโง่ สาธุ ยิ้ม อายหน้าแดง )
 
ลุงสุชาติ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 18 มิ.ย.2006, 1:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การเดินจงกรมที่ลุงได้หยิบยกมาจากพระไตรปิฎกนั้น สิ่งที่จะได้จากพระสูตรนี้อย่างน้อยที่สุดก็ได้ทราบว่า ร่างกายของเรานั้นประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มีความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ธาตุทั้งสี่นี้เมื่ออยู่ร่วมกันจะต้องมีการรักษาสมดุลย์ระหว่างกัน การดำรงชีวิตจึงจะยั่งยืนนานมั่นคง การเดินจงกรมจะช่วยรักษาสมดุลย์ของธาตุทั้งสี่ได้เป้นอย่างดี นอกจากนี้ การเดินจงกรมยังทำให้เกิดสมาธิที่แน่วแน่มั่นคง ใช้เป็นสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นองค์ธรรมเบื้องต้นของโพธิปักขยาธรรม ๓๗ ประการซี่งเป็นหลักธรรมที่เป็นขั้นตอนการดำเนินการเพื่อการดับกิเลสตัณหาได้โดยสิ้นเชิง หรือ อริยมรรค ที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้ "อริยสัจจ์ ๔"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 18 มิ.ย.2006, 8:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

--------------------------------------------------------------------------------
การเดินจงกรรมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไรครับ

ผมอ่านให้ว่า การเดินจงกรมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไร ?

เห็นได้
เมื่อสติ สมาธิ และปัญญามีมากพอแล้ว
ขณะเดินเราจะรู้สึกว่า ขาที่ย่างก้าวเดินนั้นมีการเกิดดับๆ เป็นขณะๆ กึกๆ หรือเหมือนลูกคลื่นในท้องทะเล เป็นจังหวะๆ ที่ก้าวเดินไป จะเคลื่อนไหวกายไปทางใด หรือยกมือเป็นต้น เราจะรู้สึกได้เลย
 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2006, 8:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออธิบายให้เจ้าของกระทู้เพิ่มเติมจากคำถามที่ว่า"การเดินจงกรมทำให้เห็นธรรมได้อย่างไร"
ขอตอบโดยใช้คำถามว่า การอดข้าวทำให้หิวได้อย่างไร (คนไม่เคยอดข้าวย่อมไม่รู้) การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกรู้สึกอย่างไร (คนไม่เคยย่อมไม่รู้ )
สรุป ลองปฏิบัติดูให้ถูกวิธีก็จะรู้เองว่าเห็นได้อย่างไร การเดินจงกรมเป็นการภาวนาวิธีหนึ่ง และอย่าลืมเรื่อง ทาน และศีล ด้วยนะครับ
ขออวยพรให้ถึงพร้อมซึ่งศีล สมาธิ และปัญญานะครับ
 
aek_nida7
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 มิ.ย. 2006
ตอบ: 11
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม

ตอบตอบเมื่อ: 22 มิ.ย.2006, 12:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สำหรับผมนะ

1. เห็นการเกิดดับของอิริยาบทของกาย และการเกิดดับของจิตที่เข้าไปกำหนดในแต่ละครั้งไป
2. รู้เสมอว่าทุกสิ่งทุกขณะมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเสมอทั้งทางกายและจิต
3. เกิดสติอยู่ตลอดเวลา เพิ่มสติ จากการกำหนด ซึ่งการมีสติทำให้เราสามารถ รับรู้อารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ และสามารถตัดได้ด้วยปัญญาอย่างทันท่วงที ไม่เกิดกิเลสมากนัก ยิ่งสติมาก ยิ่งรู้ตัวเร็ว เป็นการรู้สึกตัวทั่วพร้อม
4. ให้ความรู้สึกถึง ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว และนึกถึงคนที่ไม่สามารถเดินได้ จะป่วยหรือแก่ก็ตาม ทำให้เรารู้สึกว่า กายเรามันไม่เที่ยงเลย ไม่ใช่ของเราจริง เราบังคับมันไม่ได้ แม้ใจจะสั่งให้เดิน แต่หากสังขารแย่แล้ว เราก็สั่งมันไม่ได้ อย่าไปยึดติดอะไรเลย
5. ให้ความรู้สึกถึงการอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน อดีตผ่านไป อนาคตไม่นึกถึง จิตเดินอยู่บนทางสายกลาง มิได้ก่อกรรม ภาวนาเป็นกลาง ไม่เอียงทั้งกุศลและอกุศล


กรุณาใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ้วนถี่นะครับ
นี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ผิดพลาดประการใด ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ปรารภในธรรม
 

_________________
ดูใจตัวเอง ให้รู้ว่ามีอะไรมากระทบ และเกิดอะไรขึ้น แล้วปล่อยซะ ไตรลักษณ์เกิดดับให้เราเห็นอยู่ทุกขณะจิต

อย่าให้อกุศลของผู้อื่น มาทำให้จิตเราเกิดอกุศล

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง