Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ^O^_^* นรก สวรรค์ ไม่มีจริงนะ อะครับ *O*_ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เจดี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 10:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต้องรนนรงค์ ให้เลิกกินเนื้อนะ ฆ่าสัตว์มันบาปอะ สงสารหมูมันตอนตายจะเจ็บมากๆ
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 05 พ.ย.2005, 2:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นรกสวรรค์ ตามความเชื่อนั้น มีสองประเภท
ประเภทแรก เชื่อว่านรก อยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า
ประเภทสอง เชื่อว่า นรก และสวรรค์ อยู่ในใจ

การสอนให้เชื่อว่านรกอยู่ใต้ดิน แบ่งเป็นขุมๆ และสวรรค์อยู่ฟ้าแบ่งออกเป็นชั้นๆ นั้นเป็นความเชื่อดั่งเดิมที่มีมากนาน จนถึงปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อทำนองนี้อยู่ ปัจจุบันความเชื่อในทำนองนี้ได้จางหายไปจากคนยุคใหม่ อันเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถเจาะลึกลงไปใต้ดิน และท่องอากาศ แต่ไม่เคยมีใครพบเห็นนรกและสวรรค์ดังที่เคยเชื่อกันมา เด็กสมัยใหม่จึงไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงเหมือนคนยุคก่อน

ส่วนการสอนให้เชื่อว่านรก และสวรรค์อยู่ในอก หรือในใจ นั้นเป็นการสอนให้คนเชื่อกฎแห่งกรรม ที่สามารถสัมผัสได้ในปัจจุบัน ถ้าคนๆ นั้นยอมรับเหตุและผลของกฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้นในใจได้ตรงนี้ ทุกคนก็สามารถสัมผัสกับนรกสวรรค์ได้ตัวเอง และสามารถสัมผัสได้ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องรอให้ตายจากโลกนี้ไปก่อน เช่น ขณะนี้เราคิดดี พูดดี ทำดี เราก็สบายใจ แต่ถ้าขณะนี้เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ความทุกข์ความไม่สบายใจก็เกิดขึ้นในขณะนั้นเหมือนกัน นี้คือเหตุและผล ของการกฎแห่งกรรม ที่มีสอนในพระพุทธศาสนาแห่งเดียว ศาสนาพุทธสอนให้คนเราเชื่อการกระทำ และผลของการกระทำของตนเอง ไม่มีการอ้อนวอน หรือการล้างบาปใดๆ สอนให้รู้ว่าการกระทำที่ตัวเองกระทำไปแล้วนั้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ เหมือนรอยเท้าที่เราไปตามหาดทราย การกระทำต่างจะเป็นรายประทับภายในจิตใจ เราไม่สามารถย้อนไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันให้ดีให้เลวได้ด้วยตัวของเราเอง แต่อย่าลืมว่า "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าเราทำดีหรือชั่ว แต่เรารู้ว่าขณะนี้เราทำดีหรือชั่ว"
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
*O*
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ย.2005, 2:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
ค่ะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 พ.ย.2005, 3:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
หนอน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 พ.ย.2005, 2:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีไหมอะ
 
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ธ.ค.2005, 9:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า บุคคลที่ถึงฝั่ง (พระนิพพาน) นั่น น้อยนิด เมื่อเปรียบ กะบุคคลที่ ยังเวียนว่ายในวัฏสงสาร เพราะความไม่รู้ จึงวนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสาร ทำชั่วอย่างไรก็จะทำอย่างนั้นเพราะความไม่รู้ ตกนรกพอชดใช้วิบากกรรมหมด ได้ขึ้นมาใหม่ แล้วทำชั่วอีก ก็ตกนรกอีก ตกนรกแล้วตกนรกอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น หาวิธีออกจากวัฏฏนี้ไม่ได้ ไม่รู้วิธี

พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ค้นพบความจริงธรรมชาติ ค้นพบวิธี หลุดจากวังวนนี้ บอกความจริงนี้ ก็มีคนทำตาม แล้วก็สามารถ หลุดจากวังวนนี้ได้ หรือ ถ้ายังไม่หลุด ก็เชื่อในการทำความดี ก็ช่วยให้คนเป็นจำนวนมาก ไม่ตกนรก เพราะเชื่อพระพุทธเจ้าว่าทำชั่วต้องตกนรก

แต่ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ไม่บอกวิธีพ้นทุกข์ วิธีทำไม่ให้ตกนรก วิธีทำให้ขึ้นสวรรค์ สัตว์โลกก็จะไม่รู้วิธี ก็จะทำอะไรไปตามอำนาจแห่งใจตัวเอง คือไหลลงสู่ที่ต่ำ

พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่ายุคใดที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ยุคนั้นสมัยนั้น สัตว์ตกนรกเป็นอันมาก มีความทุกข์ทรมานเป็นอันมาก

พวกเราโชคดี ที่เกิดมาในยุคที่ มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นถึงแม้ พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว แต่คำสอนของพระองค์ ก็ยังอยู่ คำสอนนี้แหละ ช่วยให้พ้นนรกได้

นรก สวรรค์ หรือ พระนิพาน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นกฎของธรรมชาติอยู่แล้วไม่มีใคร สร้างใครดลบันดาล พระพุทธเจ้าค้นพบความจริงของธรรมชาติ ค้นพบกฎธรรมชาติ แล้วนำมาบอก ค้นพบวิธีหลุดจากวังวนนี้แล้วมาบอก

ตอนนี้คุณไม่รู้ ผมไม่รู้ ว่านรก สวรรค์หน้าตาเป็นไง แต่ ที่รู้ได้ ในขณะนี้ คือ คุณทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น มีเมตตาต่อผู้อื่น คุณรับรู้ได้ทางจิตใจคุณ

คุณทำความชั่ว เบียดเบียนผู้อื่น คุณรับรู้ได้ทางจิตใจคุณ คุณทำดีใจคุณก็เป็นสุข คุณทำชั่วใจคุณก็เป็นทุกข์ จะตกนรกหรือ ขึ้นสวรรค์ ดูที่ใจคุณว่า รู้สึกอยางไรบ่อยๆ ในปัจจุบันชาตินี้ ก็จะนำคุณไปสู่อย่างนั้น

ที่ว่าทำชั่วต้องตกนรก ทำความดีได้ขึ้นสวรรค์นั้น ลองคิดตามเหตุผลนะครับ คือ ใจของเรานี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกขณะ ใจเราบันทึกเอาไว้หมด สมมุติว่าใจเราอยู่ตรงกลาง ความดี อยู่ทางขวา ความชั่วอยู่ทางซ้าย ถ้าใจเรา (คือตัวเรา) ทำความดี ไปทางขวา เท่าไหร่ ก็จะย้อนกลับ (วิบาก) คืน มาเท่านั้น คือ มาอยู่ตรงกลาง เพื่อความสมดุล ทีนี้ ถ้าเราทำความชั่ว ไปทางซ้าย สมมุติว่า 20 พอถึงเวลา มันก็จะดีดกลับ เพื่อมาอยู่ตรงกลาง ตอนดีดกลับนี่คือ ต้องชดใช้คืน คือเป็นไปตามกฏ

คุณอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง หรือ คุณอาจจะเคยได้ประสบกับตัวเอง คือ มีบางคน หักขานกตอนเด็กๆ ทำบ่อยๆ (ใจบันทึกไว้ทุกขณะ ทำอะไรไม่รอดพ้นใจเราไปได้) พอมาวันหนึ่ง เกิดประสบอุบัติเหตุ ทำให้คุณต้อง ขาหักไปเหมือนกัน คือ ถึงเวลามันดีดกลับ เอาคืน ที่ใจเราบันทึกไป อันนี้ผมเปรียบเทียบนะ เพราะเรื่องของกรรม นั้น ไม่มีใครรู้นอกจากพระพุทธเจ้า การที่ขาหัก อาจจะเป็นวิบากกรรมจาก ชาติก่อนๆ ที่ไม่ใช่ การหักขานกก็ได้ แต่เป็นกรรมในลักษณะเดียวกัน

การตกนรก ก็คือ การสะท้อนกลับ ดีดกลับ ที่ใจเราบันทึกเอาไว้ แล้วย้อนกลับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2005, 2:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การทำดี ทำบุญ ทำกุศลกรรม ก็เป็นประโยชน์และความสุข
ทั้งต่อตนเอง และคนอื่น ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ทำความดี ก็มีความสุขกับชีวิตปัจจุบัน
ทำความดี ก็มีความสุขในภพหน้า ถ้ามี
ทำความดี จึงเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ
ทั้งเป็นการทำประกันภัยชั้นเลิศให้กับชีวิต ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

...

สวรรค์ นรก พรหมโลก นั้น มีอยู่จริง
แต่ตามรู้ ไม่ได้ด้วย การคิด คาดการณ์ พยากรณ์
เพราะความเป็นไปแห่งโลกหรือภพต่างๆ นั้น ชื่อ ว่าโลกจินตา
เป็น อจินไตย อย่างหนึ่งที่ ไม่สำเร็จด้วยการคิด
จึงป่วยการเสียเวลามานั่งเดา ถกเถียง

...

อุปมา เหมือนเมื่อพันปีที่แล้ว เถียงกันว่า โลกนี้กลมหรือแบน
ก็ตามันเห็น ความรู้สึกมันบอก ว่าแบน แล้วจะเถียงว่ากลมได้อย่างไร
ยังจะเชื่อ ความรู้สึกและตาเห็นอีกหรือ

หรือ กรณี เชื้อโรค มานั่งเถียงกันว่ามีอยู่หรือไม่นั้น ไร้ประโยชน์
แต่หากมีกล้องจุลทัศน์มาส่องดู ก็เป็นอันว่ายุติ
เพราะมีเครื่องมือทัดเทียมกับสิ่งที่อยากรู้นั่นเอง

...

การต้องการรู้ เห็น โลกจินตา หรือ
ความเป็นไปของโลกภพต่างๆ นั้น
ต้องมีเครื่องมือที่ทัดเทียมกับสิ่งที่ถูกรู้

เครื่องมือ ที่ตามรู้ สวรรค์ พรหมโลก ฯลฯ ได้คือ
วิชชา๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ อย่างใดอย่างหนึ่งในสามประการนี้
(ไม่ขยายความต่อ เพราะอยากให้สงสัย ว่าสามประการนี้คือ? อิอิ)

ซึ่ง การกว่าจะได้มาซึ่งเครื่องมือที่ทัดเทียมกับสิ่งที่อยากรู้นี้ ต้องอาศัย
อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นบาทฐาน

พร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา จึงจะสามารถครอบครองเป็นเจ้าของความรู้นี้ได้

...

พระศาสดาทรงแสดงโดยพิสดารว่า โลกมี ๓๑ โลก ดังนี้
ภพของ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน รวมเป็น ๔ โลก
ภพของ มนุษย์ คือ โลกมนุษย์ (เดรัจฉานก็อยู่ร่วมกันด้วย) ๑ โลก
ภพของเทวดา มี ๖ ชั้น ตามระดับของ ทาน ศีล ภาวนา
ภพของพระพรหม แบบรูปพรหม มี ๑๖ โลก
ตามระดับของทาน ศีล ภาวนา
(แต่ต่างกับเทวดาตรงที่พรหมนี้ ตายขณะอยู่ในฌานสมาบัติ)
ภพของพระพรหม แบบไม่มีรูป หรือ อรูปพรหม มี ๔ โลก
(พรหมที่เจริญสมาธิอรูปฌาน และตายขณะอยู่ในฌาน)

รวมทั้งหมด ๓๑ โลก

...

พระพุทธองค์ทรงแนะนำวิธีให้พ้นไปจากการเกิด ใน ๓๑ โลกนี้
เพราะเหตุว่า ภพ นั้น เกิดจากอุปาทาน คือ ยึดมั่นในภพ
ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย คือ กรรมภพ ๑ อุปปัตติภพ ๑

สั้นๆ ง่าย..

อุปาทาน นั้น มาจาก บุญ บาป และ ฌาน
เพราะความไม่รู้ใน
"ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขารวจีสังขาร จิตตสังขาร"

...

"เหล่าสัตว์ที่มีอำนาจแห่งบุญส่งเสริม ไปแล้วสู่กามภพ และรูปภพ หรือแม้ไปสู่ภวัคค
พรหม ย่อมกลับไปสู่ทุคติอีกได้ เหล่าสัตว์มีอายุยืนถึงเพียงนั้นก็ยังจุติเพราะสิ้นอายุ ภพ
ไหนๆ ชื่อว่า เที่ยง ไม่มี"พระพุทธพจน์
นั่นคือว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดา หรือพรหม ก็ต้องมีวันดับ สิ้นอายุ
ไปเป็นธรรมดา แล้ววนเวียนอยู่ ใน ๓๑ โลก

...

การระลึกชาติได้ นั้นเกิดขึ้นได้ เพระจิต มีการเกิดดับ สะสม
ส่งต่อ กิเลส กรรม วิบากทุกขณะ ในทุกภพชาติ

การลืม หมายถึง จำไม่ได้ เพราะไม่รู้วิธี เข้ารหัสผ่าน เพื่ออ่านความทรงจำนั้น
แต่รหัสผ่าน ก็ได้บอกไปแล้วตามที่กล่าวไว้ในตอนแรก

..

การจำไม่ได้ ไม่ใช่ยมบาลล้างสมอง แต่เพราะผ่านไปนานแล้ว
ข้ามภพชาติแล้ว จึงลืม เหมือนการลืมว่าตอนอายุ 3 เดือน
เราทำอะไรไปบ้าง ตอนอายุ 1 ขวบเราพูดว่ากระไรบ้าง

ยิ่งก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์ ต้องใช้กรรมเป็นสัตว์เดรัจฉาน
สักสิบชาติ เช่น เป็นไก่ หรือยุงสักสิบชาติ เราก็คงสูญสิ้นความทรงจำ
ในคราวที่มาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน

...

ยกเว้น 2 กรณี คือ หนึ่ง ตายทันทีแล้วมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ทันที อันนี้ ส่วนมากจำได้ แต่ก็เกิดขึ้นได้น้อยครั้ง แม้ว่าจะเกิดอยู่ทั่วโลกก็ตาม เพราะการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ อาจต้องรออีก หลายแสน หลายล้านปี ก็เป็นได้ทั้งนั้น

กรณีที่สอง คือ คนที่เคยได้ฌานสมาบัติ เช่น รูปฌานมาแล้ว และได้ อภิญญาฝ่ายโลกีย์มาแล้ว ก็สามารถระลึกชาติได้ ในบางครั้ง เป็นธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาสำหรับคนส่วนใหญ่

...

การจำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
เพียงแต่ว่าเราหาวิธีฟื้นความทรงจำไม่ได้ต่างหาก

การทำความดี ทำบุญกุศล
จึงเป็นการทำประกันภัยชั้น Daimond ที่มีแต่ได้ กับ ได้ ไม่มีเสมอ
ลงทุนเพียงเล็กน้อย เสี่ยงน้อย แต่ได้ผลมาก ก็น่าลงทุน
มีแต่ทำบุญ ที่ยิ่งทำ ยิ่งได้กำไรชีวิต

...

สาธุๆๆ
 
ปูคุง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2005, 3:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธองค์ ทรงใช้เวลา สี่อสงไขยกับแสนกัป เพื่อตรัสรู้สิ่งที่เราถาม
การมีอายุเพียง 30 หรือ 80 ปี ไม่ช่วยให้เรารู้แจ้งเรื่องนี้ได้เลย

สาธุๆๆ

ปล.ขอแก้ไขคำว่า Daimond เป็น Diamond
ผิดแล้วก็แก้ไขกันได้ หากตนรู้ว่าผิด
 
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 15 ธ.ค.2005, 9:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ คุณปูคุง ที่นำมาให้อ่าน จากข้อความของคุณปูคุง ข้างบน ที่บอกว่า อายุ เราเพียง 30 หรือ 80 ปี นั้น ทำให้ผมนึกได้ว่า ใช่ ชีวิตคนเรานั้นสั้นมาก ถ้าเทียบ กับ การกำเนิดโลก กำเนิดจักรวาล แต่เราก็ไม่ค่อยได้คิดว่าชีวิตเรานั้นสั้น เพราะถ้าเราคิดว่าชีวิตเราสั้น เราก็จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ทำอะไรที่ดี ๆ ที่สำคัญให้กับชีวิต คนส่วนใหญ่ ซึ่งก็รวมทั้งผมด้วย ไม่ค่อยได้คิดถึงตรงจุดนี้ ทำสิ่งที่ไร้สาระ เป็นพิษเป็นภัยกับตัวเองซะส่วนใหญ่ เพราะคิดว่าเรายังมีชีวิตอีกนาน แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ชีวิตเรานั้นเปราะบาง อาจจะตายได้ในวันพรุ่งนี้ หรือ วันนี้ เอง



ทำให้คิดถึงชีวิตเล็ก ๆ อย่างผีเสื้อ ที่มันมีชีวิตอยู่ ไม่กี่วัน มันก็ตาย สิ่งที่มันทำคือ การหาอาหารเพื่อดำรงชีวิตแค่ไม่กี่วันของมัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
1
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ม.ค. 2006, 10:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

d_buzta
ดูหน้าคุณ d_buzta คุ้นๆ ว่ามารจำแลงมาลวงมนุษย์ในยุคนี้ ?
 
pongsakorn28287
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 พ.ย. 2004
ตอบ: 42
ที่อยู่ (จังหวัด): จ.เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 30 ม.ค. 2006, 12:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาเป็นว่าถ้าใครอยากรู้

ก็คงต้องลองตานตายไปแล้วว่าจะเป็นอย่างไร

ถ้ารู้ตอนที่ตายไปแล้วก็คงสายไปแล้วหล่ะ

ฮาฮาฮา............

หรือไม่ก็นั่งสมาธิเอาก็ได้

รู้ได้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

แต่เมื่อคุณรู้แล้วจะเอาไปทำอะไรดี?...
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง