Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อุเบกขาเป็นอย่างไร อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
พิชิต
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 ต.ค.2005, 9:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากทราบว่าอุเบกขาในฌาณที่4 ,อุเบกขาในพรหมวิหาร 4 และอุเบกขาใน บารมี 10ทัศต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร และวิธีปฏิบัติ อุเบกขาบารมี นั้นมีวิธีทำเช่นไร ท่านผู้ใดมีความรู้กรุณาไขข้อข้องใจด้วยครับ
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 08 ต.ค.2005, 11:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อุเบกขา หมายความว่า ความวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลาย โดยมีจิตใจที่ปราศจากอาการทั้ง ๓ กล่าวคือ ไม่น้อมไปในความปรารถนาดี ในการที่จะบำบัดทุกข์ ในการชื่นชมยินดี ในความสุขของสัตว์แต่อย่างใดทั้งสิ้น พิจารณาในสัตว์ทั้งหลายพอประมาณ

ด้วยการที่ไม่รักไม่ชัง คือ สละความวุ่นวายที่เนื่องด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และมีสภาพเข้าถึงความเป็นกลาง



การวางเฉยต่อสัตว์ทั้งหลายนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๒ อย่าง คือ



เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัตตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์ นั้นๆ ภาวะที่จิตและเจตสิกตั้งอยู่ในความเป็นกลาง) นี้เป็นอุเบกขาแท้



ส่วนที่เป็นไปด้วยอำนาจโมหะนั้น เมื่อได้ประสบกับสิ่งที่น่ารักก็ไม่รู้จักรัก น่าขวนขวายอยากได้ก็ไม่มีการขวนขวายอยากได้เฉยๆ ไป น่าเคารพเลื่อมใสก็ไม่รู้จักทำการเคารพเลื่อมใส

น่ากลัวน่าเกลียดก็ไม่รู้จักกลัวจักเกลียด ควรสนับสนุนส่งเสริม ก็ไม่รู้จักสนับสนุนส่งเสริม ควรแก้ไขปรับปรุงให้ดีให้สมบูรณ์ในการงานทั้งปวงก็นิ่งเฉยเสีย นี้เป็นอุเบกขาเทียม



อุเบกขาพรหมวิหาร - อุเบกขาบารมี ในสองอย่างนี้ แม้ว่าจะมีการวางเฉยต่อสัตว์ด้วยกันก็จริง แต่อารมณ์ที่จะให้เกิดความวางเฉยนี้ต่างกันคือ



อุเบกขาพรหมวิหาร มีการวางเฉยต่อสัตว์ คือละความวุ่นวายที่เนื่องด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา มีสภาพเข้าถึงความเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย



อุเบกขาบารมี นั้น เป็นการวางเฉยในบุคคลที่กระทำดีและไม่ดีต่อตน โดยไม่มีการยินดียินร้าย

แต่ประการใด คือ ผู้ที่กระทำความดี มีความเคารพนับถือบูชาสักการะ เกื้อกูล อนุเคราะห์ สงเคราะห์ เป็นประโยชน์แก่ตนสักเท่าใดๆ ก็คงมีจิตใจวางเฉยอยู่ และผู้ที่กระทำความไม่ดี มีการประทุษร้ายต่อตนสักเพียงใดก็ตามก็คงวางเฉยอยู่ได้เช่นกัน ในการวางเฉยทั้ง ๒ อย่างนี้

ฝ่ายบารมีประเสริฐยิ่ง การบำเพ็ญก็สำเร็จได้ยาก



๑. เมตฺตาทโย โอฬาริกา สตฺตเกลายเนน จ ยุตฺตา สมีปจาริกา ปฏิฆานุนยานํ จ ฯ

เมตตา กรุณา มุทิตา ทั้ง ๓ นี้มีสภาพหยาบ เพราะยังประกอบ

ด้วยโสมนัสเวทนา และยังมีความยินดีรักใคร่ในสัตว์ ทั้งยัง

ประพฤติเป็นไปใกล้ต่อความเกลียดและความรัก



๒. อุเปกฺขา ตุ สนฺตภาวา สุขุมปณีตา ปิ จ กิเลเสหิ จ วิทูรา สเวปุลฺลผลา ตถา ฯ

สำหรับอุเบกขานั้น มีสภาพสงบ สุขุม ประณีต ห่างไกลจากกิเลสด้วย มีผลไพบูลย์ดีงามมากด้วย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 09 ต.ค.2005, 12:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อานิสงส์ของอุเบกขา ก็เป็นเช่นเดียวกับเมตตา



อุเบกขา มีลักษณะ คือ มีอาการเป็นไปอย่างกลางในสัตว์ทั้งหลาย มีการมองดูในสัตว์ทั้งหลายด้วยความเสมอกันเป็นนิจ มีการสงบความเกลียดและไม่มีความรักในสัตว์ทั้งหลาย

เป็นอาการปรากฏแก่ผู้ทำการพิจารณาอุเบกขา เหตุใกล้ของอุเบกขา คือ ปัญญาที่พิจารณาเห็นการกระทำของตนเป็นของตนเอง เป็นไปอย่างนี้ว่า "สัตว์ทั้งหลายมีการกระทำของตนเป็นของตนเอง สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จะมีความสุข หรือ พ้นจากทุกข์หรือ จักไม่เสื่อมจากทรัพย์สมบัติของตนที่มีอยู่เหล่านี้ ด้วยความประสงค์ของผู้ใดผู้หนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย"



มีความสงบความเกลียดและไม่มีความรัก เป็นความสมบูรณ์แห่งอุเบกขา มีการเกิดขึ้นแห่ง อญาณุเปกขาโดยอาศัยกามคุณอารมณ์ เป็นความเสียหายแห่งอุเบกขา การวางเฉยด้วยอำนาจโมหะ (อวิชชา - ความไม่รู้ตามความเป็นจริง) เป็นศัตรูใกล้ของอุเบกขา ราคะและโทสะ เป็นศัตรูไกลของอุเบกขา



เหตุที่อัปมัญญามีเพียง ๔



การที่อัปมัญญามีเพียง ๔ นั้น เพราะเหตุที่จะทำให้จิตใจบริสุทธิ์จากการพยาบาท วิหิงสา อรติ ราคะ ที่มีอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลายนั้นมีอยู่เพียง ๔ และการใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลายที่มีต่อกันนั้นเล่า ก็มีเพียง ๔ เช่นกัน ดังนั้นอัปปมัญญาจึงมีเพียง ๔ เหตุที่ทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ๔ อย่างนั้นก็ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นี้เอง เพราะธรรมดาจิตใจของสัตว์ทั้งหลายนั้น ย่อมหมกมุ่นเกี่ยวพันอยู่ด้วยเรื่องพยาบาท วิหิงสา (การเบียดเบียน การทำร้าย) อรติ (ความขึ้งเคียด ความไม่ยินดีด้วย ความริษยา) ราคะ อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป ต่างกันก็แต่เพียงบางอย่างมาก บางอย่างน้อย ซึ่งเป็นไปตามกาลเวลาเท่านั้น



ดังนั้น ผู้ที่มีพยาบาทมาก จึงต้องปราบด้วยเมตตา จิตใจจึงจะสงบลงและเข้าถึงความบริสุทธิ์ผ่องใสได้ ส่วนผู้ที่มีวิหิงสามากต้องปราบด้วยกรุณา ผู้มีอรติมากต้องปราบด้วยมุทิตา และผู้ที่มีราคะมาก ต้องปราบด้วยอุเบกขา จิตใจจึงจะสงบและเข้าถึงความบริสุทธิ์ผ่องใสได้



อนึ่ง การใฝ่ใจของสัตว์ทั้งหลายที่มีต่อกัน ๔ อย่างนั้นคือ นำประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวเมตตาอย่างหนึ่ง บำบัดปัดป้องสิ่งที่ไร้ประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นตัวกรุณา อย่างหนึ่ง วางเฉยในเรื่องจะนำประโยชน์ ในเรื่องบำบัดปัดป้องสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ในเรื่องยินดีในความสุขสบาย ทรัพย์สินเงินทอง ของสัตว์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นตัวอุเบกขา อย่างหนึ่ง



ในอัปปมัญญา ๔ อย่างนี้ การเจริญเมตตามีประโยชน์กว้างขวางอย่างมหาศาล ทั้งเป็นกำลังช่วยอุดหนุนให้กรุณา มุทิตา อุเบกขา เกิดขึ้นง่าย และยังช่วยทำให้การสร้างบารมีต่างๆ สำเร็จลงได้อย่างสะดวกสบาย เหตุนั้นผู้ที่ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณทั้งหลาย (ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า) จึงมีการเจริญเมตตาและการเจริญพุทธคุณประกอบไปด้วย โดยมาคำนึงนึกถึงว่าตนจะต้องทำการสร้างสมบารมี ๓๐ ทัศ เป็นเวลาอย่างช้านานอยู่ในวัฏฏสงสาร



จาก ปรมัตถโชติกะ ปริจเฉทที่ ๙ เล่ม ๑ สมถกรรมฐานทีปนี

โดย พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ หน้า ๑๗๘ - ๒๐๖

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
พิชิต
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2005, 12:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณมากครับสำหรับคำตอบ ผมได้ความรู้ทางธรรมเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยครับ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง