Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กรรมไม่เจอก็ไม่เชื่อ มาดูเรื่องกรรมจากเรื่องจริง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ธเนศ อุ่นศิริ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2005, 11:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



33433343.jpg


กรรมที่ทำกับนก

นกเป็นสัตว์ปีกที่มีความน่ารัก น่าเอ็นดู ไม่ว่าชาวไทยหรือชาวต่างประเทศก็นิยมเลี้ยงไว้สามารถผ่อนคลายความเครียดได ้ ไม่ว่านกหรือสัตว์อื่นใดก็ตาม ก็มีความเจ็บปวดเหมือนกัน แต่นกพูดภาษาให้เรารู้เรื่องไม่ได้เท่านั้น คนเราถ้ารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างชีวิตก็อยู่เป็นสุข โลกก็จะร่มเย็นไม่ร้อนลุกเป็นไฟอย่างในบางประเทศ

สมศักดิ์เป็นเพื่อนของข้าพเจ้าตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆเขาเป็นลูกคนจีน บ้านอยู่ฝั่งธนฯ ตั้งแต่เด็กเขาชอบยิงนก เขาได้ขุดดินเหนียวมาปั้นเป็นลูกกลมๆโตขนาดนิ้วชี้แล้วตากแดดให้แห้ง ตัดง่ามไม้เอาหนังสติ๊กผูกเข้า ก็ได้เครื่องมือยิงนกแล้ว เขากับเพื่อนอีกสองสามคนเดินผ่านไปตามสวน เมื่อเห็นก็จะยิงทันที ซึ่งการยิงของเขามิได้ยิงเพื่อให้ตาย แต่ยิงเพื่อสนองความแม่นยำของตนเองว่าจะยิงแม่นแค่ไหนเท่านั้น เขายิงถูกบ้างไม่ถูกบ้างตามประสาเด็ก และเพื่อความสนุกสนานไปวันๆ เมื่อโตขึ้นพอแตกเสียงหนุ่มเขาก็เลิกจากการยิงนก เริ่มหานกมาเลี้ยงไว้ หากรงให้อยู่ เช่น นกที่มีขนสวยๆหลากสี นกแก้ว นกหงส์หยก แม้แต่นกพิราบนั้นเขาทำที่ให้อยู่บนหลังคา พอเช้าก็ปล่อยไป ให้ไปหากินตามเรื่อง พอได้เวลาก็จะกลับเข้ากรงเอง โดยไม่ต้องไปตามหาให้เหนื่อย สมศักดิ์เลี้ยงนกไว้คู่หนึ่ง นกคู่นี้สวยมาก เสียงร้องก็ไพเราะ วันหนึ่งๆตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนเขาจะมาดูนกของเขา และหลังกลับจากโรงเรียนแล้วเขาก็มาให้อาหารทุกวัน วันหนึ่งเกิดมีความคิดว่าถ้านกคู่นี้มีความเชื่องอย่างนกพิราบบ้างก็จะดี จะได้ปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่ต้องเลี้ยงแบบกักขังไว้ เพื่อนจึงแนะนำมาว่า ทำวิธีนี้ซิ บางทีนกเชื่องบินไปไม่ไหว คือ จับขาของนกคู่นี้ แล้วแกว่งจนหมุนติ้วแล้วเอาวางลงนกก็จะบินไปไม่ไหว สมศักดิ์ได้ทำตามวิธีที่เพื่อนบอก และนกมันก็ไม่บินจริงๆ จะอยู่นิ่ง และเมื่อเห็นว่านกไม่บินไปไหนตามวิธีนี้ วันใดที่เขาจะให้นกอยู่กรงเขาก็จะทำวิธีดังกล่าว บ่อยครั้งขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังก่อกรรมกับสัตว์เลี้ยงของตนอยู ่

ต่อมาเมื่อเขาจบการศึกษาแล้ว พ่อแม่ของเขาได้ย้ายครอบครัวไปอยู่จังหวัดนครราชสีมา เขาได้เปิดร้านขายของและรับซื้อของเก่าปรากฎว่ากิจการดีขึ้นเรื่อยๆ เขามิได้คิดถึงการกระทำของเขาตั้งแต่ตอนเด็กอีกเลย อายุของเขาอยู่ในราวหนุ่มใหญ่ กิจการของเขาเจริญดี การเงินก็พลอยดีไปด้วย จะซื้อหาอะไรก็สมความตั้งใจ แต่ร่างกายของเขามิค่อยจะดี เขามีอาการมึนศรีษะ และปวดหัวมากขึ้นบ่อยๆ เขาได้ไปเช็คตามโรงพยาบาลหลายแห่งปรากฎว่า ความดันก็ไม่เป็น โรคอะไรก็ไม่เป็น หมอตรวจหาสาเหตุไม่พบว่าเขาเป็นอะไร ก็ได้ให้ยาแก้ปวดมารับประทาน อาการของเขาก็เป็นๆหายๆ ถ้าจะเป็นก็เป็นขึ้นมาเฉยๆ ถ้าจะหายก็หายเอง เป็นอยู่เช่นนี้หลายปีเขาจึงมาคิดว่า เคยทำอะไรไว้นะจึงได้มาเป็นแบบนี้ คืนหนึ่งเขาได้นอนหลับแล้วฝันไปว่า เห็นนกที่เขาเคยนำมาเลี้ยงและจับมันเหวี่ยง มานั่งอยู่ตรงหน้า แล้วบอกว่าเวียนหัวเหลือเกิน หัวหมุนไปหมดแล้ว เขาฝันเช่นนี้สามคืน เขาจึงคิดว่า อาการปวดมึนศรีษะของเขาคงเหมือนกับนกตัวนั้นนั่นเอง เขาเริ่มนึกถึงกรรมที่เขากระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ คือการกระทำเพื่อความสนุก โดยมินึกถึงว่า สัตว์ก็มีชีวิตเหมือนเราและมีความเจ็บปวดเหมือนเรา เขาจึงเริ่มทำบุญใส่บาตรบ้าง ทำกากุศลต่างๆ เพื่อขออโหสิกรรมจากนกคู่นั้นและนกที่เขายิงมา และขอให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ให้หายเถิด เขาเริ่มปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งภายในเวลาไม่นานนัก อาการดังกล่าวของเขารู้สึกว่าดีขึ้น จากที่มึนและปวดศีรษะนั้นเบาบางลงมากแล้ว แต่ก็ยังมีนิดหน่อยที่เป็นบางครั้ง

นี่แหละหนากรรม บางคนทำโดยมิได้ตั้งใจหรือทำเมื่อตอนเป็นเด็ก ก็มิได้ถูกยกเว้นเลย ผู้ทำจะต้องได้รับผลกรรมทุกชนิด ทุกรูปแบบที่ตนกระทำนั่นแหละ และกรรมนี้จะตามมาส่งผลต่อเมื่อถึงเวลา ฉะนั้นเวลาทำอะไรขอให้นึกถึงเรื่องกรรมบ้าง

ขอให้นึกถึงตัวเองในอนาคตบ้างว่าจะต้องมารับผลกรรมที่ตนเองสร้างไว้ในอด ีต ในอดีตเคยทำความชั่วแล้วสุขสบายเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ในอนาคตต้องมาชดใช้กรรมเวร และอย่าได้เที่ยวไปทำพิธีตัดกรรมตัดเวรที่ไหนๆเลย ใครทำใครก็รับ กฎแห่งกรรมที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาสั่งสอนชาวโลกนั้นศักดิ์สิทธิ์และเที่ยง แท้ยุติธรรมที่สุด

ขอให้จำไว้ในหัวใจว่า “ ทำดีได้ดี…จริง ทำชั่วได้ชั่ว…จริง ชีวิตนี้จะเป็นสุข ไม่มีทุกข์ภัยแต่อย่างใด



บ่วงกรรมจาการฆ่าควาย

เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจะนำมาให้รับรู้กันนี้ เป็นเรื่องราวน่าพิศวงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องของบาปกรรมที่เคยก่อไว้ได้กลับย้อนคืนสนองตอบแทนเอาชีวิตไม่รอด อันนำมาซึ่งทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสระทมตรมใจขนาดหนักมาตราบเท่าทุกวันนี้ เหมือนตราบาปที่หวาดระแวงติดตัวมาอย่างไม่คาดฝัน และคงเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้บ้างว่า “เวรกรรมนั้นมีจริง” ดังเช่นข้าพเจ้าต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างเรื่องนี้

เมื่อหลายปีผ่านมา ครั้งนั้นข้าพเจ้าเพิ่งเรียนจบการศึกษาต่อทางด้านวิชาชีพครู พอดีกำลังสอบบรรจุครู หลังจากที่ได้เดินทางกลับบ้านเกิดต่างจังหวัด ช่วงนั้นที่หมู่บ้านข้าพเจ้าอาศัยอยู่ได้จัดงานบุญประเพณีขึ้น เป็นงานมหาชาติ จัดงานกำหนด ๒ วัน ๒ คืน มีมโหรสพสมโพชหลายอย่าง ที่สำคัญด้านอาหารการกินนั้น ชาวบ้านได้เตรียมสัตว์เลี้ยงพวกวัว ควายไว้ฆ่าชำแหละหลายตัว มีการจัดสรรแบ่งปันกันไปตามแต่ความต้องการมากน้อยแค่ไหนเพื่อไว้กินเป็นอา หารกับแกล้มกับญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน หลังจากคืนแรกผ่านไปจนถึงวันที่ ๒ มีการนำวัว ควาย มาเชือดอีก

๒ - ๓ ตัว ในจำนวนนั้นมีควายเผือกตัวเมียขนาดใหญ่รวมอยู่ด้วย โดยนำมาผูกไว้ใต้ถุนบ้าน เพื่อรอไว้ฆ่าตอนเย็น ข้าพเจ้าเองก็เคยเห็นเข่าฆ่าวัวมาหลายครั้งต่อหลายครั้งจนชินตาแล้ว ด้วยว่าคนข้างบ้านมักจะฆ่าชำแหละขายเป็นประจำนั่นเอง เห็นแล้วบางครั้งเฉยๆ บางที่ก็อดนึกสงสารพวกมันไม่ได้แต่ทำยังไงได้ เมื่อต้องมาเป็นอาหารของมนุษย์ จนมาถึงควายเผือกตัวนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องจดจำตลอดชีวิตไม่ลืมเลือน นับเป็นตราบาปอันใหญ่หลวงที่มาถึง จนตัวเองที่ต้องทุกข์ระทมเท่าทุกวันนี้ เย็นวันนั้นข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำว่า ข้าพเจ้าเดินไปดูชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังรอการฆ่าควายเผือกอยู่พอดีมีการนำ เอาสุราขาวรินใส่แก้วแจกจ่ายดื่มกินกันถ้วนหน้า แม้กระทั่งข้าพเจ้าเองด้วย ดื่มสุราไป ๒ - ๓ แก้ว ชักมึนศีรษะชอบกลมองไปที่ควายเผือกขะตาขาดตัวนั้น ให้สะท้านใจด้วยดวงตาทั้ง ๒ ข้าง มันน้ำตาคลอเบ้าคลับคล้ายว่าคงจะรับรู้ถึงชะตาชีวิตทำนองนั้น มันผูกพันธนาการด้วยเชือกไนลอนอย่างแน่นหนา และ.....ชาวบ้านคนนั้น ก็คว้าฆ้อนปอนด์ขนาดเขื่องในมือกระหน่ำตีลง ณ. หัวควายเผือกเคราะห์ร้ายเสียงดังพล๊วก ควายตัวนั้นร้องขึ้นอย่างโหยหวล ตะกุยตะกายดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากความตายดวงตาแทบเหลือกถลนแดงก่ำ แต่ก็ไม่พ้นอิสระภาพและยมทูตไปได้ เมื่อถูกทุบลงกระหม่อมอีกครั้ง ควายตัวนั้นทรุดฮวบลงทันทีหลังจากที่ดิ้นสะบัดไปมาอย่างทุรนทุรายจนล้มลงเ หมือนว่าแข้งขาอ่อนยวบยาบ ข้าพเจ้าดูด้วยความคึกคะนองรีบไปเอาฆ้อนปอนด์ในมือชาวบ้านคนนั้นมาเป็นมือ เพขรฆาตเสียเอง เพราะดูแล้วมันจะตายยากเสียเหลือเกิน จัดแจงทุบสมองกลางกระหม่อมอย่างแรง เสียงของควายเผือกร้องลั่น ดวงตามันยังคงจ้องเขม็งดูข้าพเจ้าอย่างกินเลือดกินเนี้อตัวสั่นระริก แล้วก็สามารถปลิดเอาวิญญานออกจากร่างควายนั้นอย่างย่ามใจตนเองนักที่สามาร ถจัดการฆ่ามันด้วยน้ำมือตนเอง ได้ยิ้มกะหยิ่มโดยไม่คิดถึงบาปบุญคุณโทษใดๆทั่งสิ้น ถือเป็นเรื่องสนุกสนานไป

หลังจากนั้นชาวบ้านพาก็พากันช่วยแบ่งสรรปันส่วนเนื้อควายเผือกตัวนั้นให้ก ับ

ผู้ต้องการไปทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงาน ข้าพเจ้าเองก็ได้เนื้อควายไปทำกับแกล้มด้วย จนงานประเพณีของหมู่บ้านผ่านไปด้วยดี จวบจนเวลาลุล่วงผ่านไปเกือบปี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้นคล้ายกัยว่าบาปกรรมที่ตัวเองก่ อไว้มาย้อนสนองเข้าให้อย่างจังๆ โดยในปีนั้นได้มีกลุ่มหนุ่มสาวตลอดทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านที่พากันไปทำงานใ นกรุงเทพฯ ได้จัดผ้าป่าสามัคคีนำมาทอดถวายที่วัดของหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ ตัวข้าพเจ้าเองก็ถูกจัดให้เป็นคณะกรรมการคนหนึ่งต้องให้คอยการต้อนรับและอ ำนวยความสะดวกต่างๆ กับขบวนคณะผ้าป่าที่มา โดยที่มีกำหนดมาถึงช่วงตอนสายๆ มีการเช่าเหมารถตู้ปรับอากาศขนาดใหญ่มาด้วย วันนั้นพอขบวนรถคณะผ้าป่ามาถึงก่อนที่จะถึงทางเข้าวัด ปรากฎว่ามีสายไฟโยงพาดผ่านกึ่งกลางถนนในระดับต่ำจนเป็นเหตุให้รถบัสปรับอา กาศขับผ่านไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้นำเอาไม้พาด แล้วปีนขึ้นบนหลังคารถตู้ที่นำหน้าคันแรก พร้อมใช้ไม้ไผ่แหย่เพื่อยกสายไฟให้สูงขึ้นอีก พอให้หลังคารถบัสปรับอากาศที่ตามหลังขับผ่านไปได้ โดยที่ไม่ระวังตัวเท่าไหร่ อีกทั้งความมึนเมาเกิดเหยียบพลาดตรงบริเวณขอบหลังคารถตู้คันนั้น เกิดเสียการทรงตัวร่างของข้าพเจ้าลอยละลิ่ว จากบนหลังคารถตู้ลงมากระทบพื้นด้านล่างอย่างแรง

โดยเฉพาะศรีษะถูกกระทบพื้นจนทำให้ถึงกระโหลกร้าวข้าพเจ้าสลบทันที ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองกระทันหันโดยการผ่าครึ่งหัวกระโหลกเอาเลือดคลั่ง ออกแล้วเย็บเข้าใหม่หลายสิบเข็ม ข้าพเจ้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ความจำแทบเลอะเลือนจิตใจไม่ปกติเหมือนเดิม แทบไม่น่าเชื่อที่ที่นอนพักรักษาตัวนั้น ภาพของควายเผือกตัวนั้นยังคงเที่ยวหลอกหลอนข้าพเจ้าอยู่ทุกคืน เสียงร้องโหยหวล บวกกับดวงตาอันแดงกร่ำจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างกับจะจองล้างจองผลาญกัน อ้าปากแยกเขี้ยวใส่ ข้าพเจ้าสดุ้งผวาหวาดหวั่นแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย ข้าพเจ้าพักรักษาตัวอยู่หลายเดือน

ที่โรงพยาบาล จนอาการค่อยทุเลาลงบ้างแต่ก็มักปวดศรีษะเหมือนมีอะไรมาทุบตรงกระโหลกแทบแต กแยกเป็นเสี่ยงๆ จนสมองแทบระเบิดบางครั้งแทบคลุ้มคลั่งตลอดเวลา ต้องเอายามาทานระงับไว้จึงค่อยทุเลาบ้าง

แต่ก็อย่างว่าข้าพเจ้าต้องทุกทรมานอย่างหนักไม่คิดว่าบาปกรรม จะมาย้อนสนองเข้าให้เยี่ยงนี้ นี่แหละหนาเขาถึงว่า “กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนตอบสนอง” จะช้าหรือเร็วเท่านั้น



กรรมแต่หนหลัง

กรรมก่อเกิดจากการกระทำ ถึงแม้ว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น แต่ตัวเราเองทั้งรู้ทั้งเห็น กลายเป็นจุดหนึ่งที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราเองที่ต้องนึกถึง เหมือนเป็นการย้ำเตือน ถึงแม้ว่ากาลเวลาผ่านได้ผ่านไปยาวนาน และสิ่งนั้นทำให้เราเกิดความทุกข์ จิตใต้สำนึกบางส่วน จะคอยย้ำเตือน แต่อีกส่วนหนึ่งจะคอยขัดแย้งกันเองขึ้นในห้วงความคิด และนี่แหละคือคำว่าบาปและกรรมดั่งคำที่ผู้ใหญ่เคยพูดให้ฟังเสมอๆว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ “ นี่แหละคือจุดด่างในใจที่เรากระทำเอาไว้และเจ้าสิ่งนั้นก็คือตัวกรรมนั้นเ อง

นายอังคารชายหนุ่มอายุ ๒๕ ปี มีอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ต้องเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆหลายๆจังหวัด เขาได้พบหญิงสาวสวยผู้หนึ่ง อยู่ในจังหวัดราชบุรี เธอเป็นหญิงสาวภายในหมู่บ้านที่นายอังคารได้ไปรับเหมาก่อสร้างโรงเรียน ทั้งสองคนเกิดชอบรักกันและได้เสียกันในเวลาอันรวดเร็ว หญิงสาวผู้นั้นชื่อ เทียนหอม

อายุ ๑๙ ปี กำลังสวยสดไปด้วยวัยสาว ทั้งสองได้เสียกันจนเทียนหอมเกิดตั้งท้องอ่อนๆ เทียนจึงบอกกับนายอังคารทำให้นายอังคารตกใจ เพราะไม่ได้ตั้งใจที่จะเลี้ยงดูเทียนหอมเป็นภรรยา สาเหตุเพราะนายอังคารมีคู่หมั้นอยู่แล้วและกำหนดจะแต่งงานกันภายในปีหน้า นายอังคารจึงให้เทียนหอมไปทำแท้งแต่เทียนหอมไม่ยอม เพราะรักลูกและต้องการให้นายอังคารรับว่าเธอเป็นภรรยา และนายอังคารจึงรีบบอกความจริงกับเทียนหอม ทำให้เทียนหอมกลัดกลุ้ม กลัวพ่อของเธอจะรู้เรื่อง วันเวลาผ่านไป

การก่อสร้างก็ใกล้จะเสร็จเรียบร้อย ส่วนนายอังคารก็หลบหน้าเทียนหอมอยู่ตลอดเวลาทำให้เทียนหอมมีแต่ความทุกข์ เพราะท้องก็กำลังจะโตขึ้นมาฟ้องต่องสายตาชาวบ้านทำให้เธอได้อายและถูกคราห น้าว่า “ท้องไม่มีพ่อ” และในเย็นวันนั้นเป็นวันเสาร์ ในขณะนั้นเป็นเวลา ๓ ทุ่ม นายอังคารจ่ายเงินลูกน้องแล้วจึงกลับบ้านพัก

เขาอยู่ในอาการมึนๆ เพราะแวะดื่มเหล้ากับเพื่อนที่อยู่ในจังหวัด เทียนหอมมาดักรออยู่ภายในบ้าน นายอังคารไขกุญแจกำลังจะเปิดประตู เทียนหอมก็รีบเดินเข้าไปหาโดยกอดทางด้านหลังใบหน้านองไปด้วยน้ำตา เธอพูดอ้อนวอนขอให้อังคารยอมรับเป็นภรรยาเพราะท้องที่กำลังจะโตขึ้นมาฟ้อง ต่อสายตาของชาวบ้าน อังคารดึงมือเทียนหอมเข้าไปในห้อง

ต่อมาทั้งสองมีปากมีเสียงกันถึงแม้จะเสียงดัง แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะอยู่ห่างไกลผู้คนที่จะมาพบเห็น จนถึงขนาดตบตีกันอังคารพลั้งมือหนักเกินไป ทำให้เทียนหอมล้มถึงกับตกเลือดอังคารไม่สนใจ ใช้เท้าถีบตกบันไดลงมาอยู่ข้างล่าง ทำให้เทียนหอมได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เลือดสดๆไหลนองมาเป็นทาง และในที่สุดเธอก็หมดสติ นายอังคารตกใจรีบนำร่างของเทียนหอมอุ้มขี้นรถปิ๊กอัพสีน้ำเงิน ขับออกไปจากที่นั่น ท่ามกลางความมืดของราตรีกาลอันเงียบสงบ

ไม่มีใครเดาถูกว่าเขาจะไปที่ใด

นายอังคารจอดรถเข้าข้างทางที่ตรงนั้นเป็นไร่ข้าวโพดที่สูงท่วมหัว ประกอบเวลานั้นเป็นเวลาดึกสงัดจึงไปมีผู้ใดมาพบเห็น เขาจัดการอุ้มร่างของเทียนหอมที่อ่อนปวกเปียกลงจากรถ เขาหยิบเอาถังน้ำมันราดลงไปบนร่างของเทียนหอม เพราะคิดว่าเธอได้ตายไปแล้ว เขาเผาเธอทั้งเป็น ช่างโหดร้ายสิ้นดี ความร้อนของเปลวไฟที่แลบเลียทำให้เธอรู้สึกตัวแต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว และในที่สุดเธอก็ต้องสิ้นชีวิตไปพร้อมกับก้อนเลือดในท้องที่กำลังจะมีชีวิ ต นายอังคารกลับที่พักอย่างลอยนวลทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วันเวลาผ่านไป ในที่สุดนายอังคารก็กลับกรุงเทพ โดยไม่สนใจว่าเขาทำอะไรไว้เบื้องหลังและเรื่องทั้งหxxx็เงียบหายไปเหมือนค ลื่นกระทบฝั่ง ส่วนพ่อแม่ของเทียนหอมคิดว่าลูกสาวถูกหลอกไปขายจนเวลาผ่านไป อังคารแต่งงานกับคู่หมั้นสาวชื่อพิมพร และพิมพรตั้งท้องได้สองเดือน ทั้งสองอยู่กินกันอย่างมีความสุข นายอังคารลืมเรื่องทั้งหมดเสียสิ้น และเหมือนเป็นวาระของกฎแห่งกรรมที่ติดตามเหมือนเงาตามตัว เขาได้รับเหมาไปสร้างหมู่บ้านที่ราชบุรี โดยพิมพรขอตามไปอยู่ด้วย และขณะที่พิมพรท้องได้สี่เดือน เย็นวันจันทร์พิมพรได้ออกไปจ่ายตลาดที่ตัวจังหวัดราชบุรี ในขณะที่เธอกำลังเดินข้ามถนน มีรถปิ๊กอัพวิ่งมาด้วยความเร็ว พุ่งเข้าชนร่างของพิมพรกลิ้งไปบนถนน เธอขาดใจตายทันที เลือดสดๆ ไหลนองพื้นถนน ส่วนรถปื๊กอัพขับหนีไปตามระเบียบอย่างรวดเร็ว ศพของพิมพรถูกรถของมูลนิธิปอเต๊กตึ้งนำไปไวี่โรงพยาบาล ดวงตะวันคล้อยต่ำอังคารรู้สึกจิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย เขากลับบ้านพักเอาเวลาทุ่มครึ่ง บ้านทั้งหลังมืดสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่ เขารีบเดินขึ้นมองหาพิมพร เงียบไม่มีแม้เงา เขาเดินดูรอบบ้านพร้อมกับร้องเรียก “พิม...พิม...ไปไหน” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ นอกจากเสียงร้องของตัวเองเท่านั้นที่ดังก้อง ชั่วเวลาหนึ่งกว่าๆ ตุ้มลูกน้องคนสนิท ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าบ้าน “คุณอังคาร คุณอังคาร” อังคารรีบเดินออกมา เพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงของตุ้มร้อนรน “มีอะไร หรือตุ้ม”

ตุ้มรีบล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอังคารใจหาย เขาตกใจแทบช็อค และรีบไปดูศพที่โรงพยาบาล ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ร่างของหญิงสาว ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลืมโพลงเท่านั้นเอง อังคารพูดได้ออกมาคำเดียว “พิมพร” ลำคอตีบตัน ความเศร้าเสียใจประดังเข้ามา และภาพเมื่อหนหลังเริ่มหวลคืนเข้าสู้จิตใต้สำนึกของเขาอย่างขมขื่นสุดที่จ ะบรรยาย และเริ่มสำนึกบาปกรรมที่เขาเองได้ทำขึ้นกับเทียนหอม คงเป็นกรรมที่เขาได้กระทำขึ้นมาหลายสิบปีก่อนอย่างแน่นอน เพราะพิมพรมาตายใกล้ๆกับไร่ข้าวโพด ห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งกิโล เขาเริ่มสำนึกบาปกรรมนั้นมีจริง และมันตอบสนองเขาอย่างสาสมที่สุด เขาต้องเสียทั้งลูกและเมียที่เขารัก และผูกพันที่สุดในชีวิต นี้แหละหนาที่เขาเรียกว่า กรรมตามทัน ถึงแม้ว่าไม่มีใครรู้ว่าในอดีตเขาทำความเลวอะไรไว้บ้าง แต่กงล้อกรรมก็หมุนเวียนมาถึงเขาอยู่ในขณะนี้ เหมือนถูกเผาด้วยไฟนรก อังคารจัดการศพของพิมพรเรียบร้อยแล้ว เขาหันหน้าเข้าวัด โดยบวชตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เทียนหอมและลูกที่เขาฆ่าตายไปกับมือของเขา เอง และพิมพรกับลูกในท้องต้องมารับผลกรรมที่เขาได้ก่อขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรด้วย กรรมช่างตามทันและตกทอดสู่พิมพรผู้น่าสงสาร ต้องมาตายพร้อมกับลูกที่ยังไม่ทันจะลืมตามาดูโลกเสียด้วยซ้ำ

อนิจจานี่แหละหนากฎแห่งกรรมที่ไม่มีการละเว้นใดๆ ใครสร้างกรรมใดก็ต้องชดใช้อย่างสาสมและสาหัสที่สุด มันสมควรแล้ว วันเวลาผ่านเลยไปอีกยาวนาน เวลานี้อังคาร อายุ ๓๐ กว่าๆ แต่บาปในใจตัวเขามันยังเผาผลาญความรู้สึกของเขาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเขาจะบวชเพื่อล้างบาป แต่บาปกับบุญนั้นไม่สามารถจะลบล้างกันได้มันเดินสวนทางกัน บาปก็ส่วนบาปที่ต้องชดใช้ทั้งชาตินี้และชาติหน้า บุญก็ส่วนบุญ ในคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ ไฟฟ้าเกิดดับทั้งวัด จะต้องใช้ตะเกียงน้ำมันจุดแทนแสงสว่างจากไฟฟ้า คืนนั้นพระอังคารรู้สึกง่วงผิดปรกติ กรรมเริ่มย้อนรอยมาอีก คราวนี้เขาลืมดับตะเกียงจุดเอาไว้บนโต๊ะข้างๆเตียงนอน เขาหลับไม่รู้ตัว เผลอเอามือไปปัดถูกตะเกียงน้ำมันหล่นลงมา น้ำมันจากตะเกียงไหลนองพื้น ไฟลุกพรึบขึ้นอย่างรวดเร็ว มันไหม้ลามมาถึงและเปลวไฟได้เผาผลาญร่างของพระอังคารที่หลับสนิท กว่าจะมีใครมาดับทัน ร่างของพระอังคารก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้อีกเลยนอกจากความดีและความชั่วเท่านั้นที่ทิ้งไว้เบื้องหล ัง พระอังคารต้องมาตายทั้งๆที่ยังครองผ้าเหลือง นี่แหละเขาเรียกว่าตายเพราะกรรมแท้ๆ และเขาตายในสภาพเดียวกับเทียนหอมก็คือตายเพราะไฟ “เผาผลาญร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่าง

ให้มอดไหม้เป็นฝุ่นละอองและผงธุลี”



อนิจจาชีวิต

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขี้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนำมาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้ทุกท่านได้ทราบว่า บาปกรรมนั้นมีจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำไว้กับบุพการีของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องของคุณทักษพร ได้บอกให้ผู้เขียนให้นำเรื่องนี้มาเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า

เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๓ เดิมทีแม่ของดิฉันป่วยเป็นโรคไขข้อที่บริเวณเข่า หรือเรียกว่าเข่าชำรุด ไปหาหมอ หมอแนนำให้ผ่าตัด แต่ติดตรงที่ว่าแม่ของดิฉันอายุมากแล้ว ถ้าตัดสินใจผ่าตัดก็จะกลัวเดินไม่ได้รับรองผล ๑๐๐ % แถมบอกเป็นนัยๆว่า ๕๐ % ที่จะเดินได้แน่ แม่เลยตัดสินใจไม่ผ่าตัด และมารักษาแบบแผนโบราณ คือใช้สมุนไพรรอบตัวทุกวัน และมีวันหนึ่งที่แม่มีอาการทรุดหนักมากจนเดินไม่ได้ได้แต่นอนอยู่กับที่เก ือบเดือน ขาไม่มีแรงเดิน ขาก็รีบลงทุกวัน จากที่แม่เป็นคนค่อนข้างจะอ้วน

จนกระทั้งผอมลงจนผิดหูผิดตา ทั้งบ้านก็มีกันอยู่ ๓ คน พ่อแม่ลูก ส่วนพี่สาวและพี่ชายของดิฉันต่างก็ไปอยู่ที่ต่างอำเภอและที่กรุงเทพ เพราะพี่ชายรับราชการที่กรุงเทพ

ส่วนพี่สาวได้แวะมาเยี่ยมเยียนและดูแลคุณแม่เป็นครั้งคราว เพราะอำเภอที่พี่สาวอยู่ไม่ไกลนักห่างจากบ้านประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง พี่สาวและพี่ชายฝากให้ดูแลแม่ และอยู่เป็นเพื่อนพ่อและแม่ ดิฉันยอมรับว่าดิฉันไม่ค่อยสนใจแลดูแลแม่สักเท่าไหร่ ดิฉันเป็นคนนอนตื่นสายเที่ยวแตร่ และค่อนข้างจะขี้เกียจทำงานบ้าน มีแต่พ่อคนเดียวคอยดูแลแม่ หาข้าวปลาให้แม่กินคอยเช็ดตัว และรวมถึงทำงานบ้านด้วย ดิฉันไม่ได้สนใจอะไรเลย ดิฉันไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นดิฉันจึงเป็นลูกอกตัญญูอย่างนี้ แม่พยายามปลุกฉันให้ตื่นแต่เช้าเพื่อนำเอาผ้าขาวบางไปซับน้ำหมอกน้ำค้างที ่ค้างอยู่กับกอหญ้าที่หน้าบ้าน เพื่อมาประคบที่หัวเข่าให้แม่ทุกเช้า(เป็นความเชื่อของคนโบราณที่ว่าน้ำหม อกจะช่วยดูดซับพิษและอาการเจ็บปวดได้) แม่ปลุกให้ฉันตื่นแต่เช้ามืดทุกวันเพื่อมาปฏิบัติเช่นนี้ตลอด ดิฉันก็ได้แต่บ่นในใจว่าทำอย่างนี้มันจะหายได้อย่างไรกัน ดิฉันได้แต่ทำไปบ่นไปตามประสาคนขี้เกียจที่จะไม่คิดถึงอะไรเลย ไม่คิดถึงความเจ็บปวดของแม่ บ่นไปว่าทำไปทำไมทำไปก็ไม่หายหรอกไม่รู้จะตื่นแต่เช้ามาทำไม ไม่มีประโยชน์อะไร ดิฉันรู้สึกผิดมากที่ได้พูดออกไปอย่างนั้น ดิฉันไม่ได้ดูแลแม่ เท่ากับพ่อที่เคยปรนนิบัติแม่ พ่อคอยดูแลแม่ หาข้าวปลาให้แม่กิน รู้ไหมทุกวันนี้ดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ดิฉันรู้สึกบาปที่ใจที่มันจะเป็นกรรมติดตามตัวดิฉันตลอดไป ไม่รู้ว่าชาติไหนดิฉันจะพ้นจากกรรมนี้ได้ ถ้าไม่มีพ่อ ทุกวันนี้ดิฉันคงจะเดินไม่ได้ และแล้ววันหนึ่งดิฉันก็ได้รับกรรมที่ดิฉันได้กระทำไว้ ดิฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันศุกร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. ดิฉันออกไปเที่ยวกับเพื่อน ดิฉันเป็นคนรักเพื่อนมากและติดเพื่อนมากที่สุด ขนาดที่ว่าพ่อแม่ไม่ชอบเพื่อนคนไหนของดิฉัน ดิฉันจะไม่พอใจมาก และออกรับแทนเพื่อนทุกอย่าง ถึงขนาดที่ว่า “เพื่อนข้าใครอย่าแตะ” วันนั้นฝนตกปรอยๆ ดิฉันขับมอเตอร์ไซค์ได้กำลังจะสตารท์เครื่องออกไป ดิฉันได้ยินเสียงแม่ตะโกนร้องทักดิฉันว่า “ฝนตกอย่างนี้จะออกไปไหน ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนแม่” ดิฉันไม่ได้ฟังอะไรทั้งนั้น รีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์ที่ดิฉันไม่คาดคิดว่ามันเป็นกรรมที่ตามตัวดิฉันมาก็เกิดขึ้นแ ล้ว เพียงไม่ถึง

๑๐ นาที ดิฉันได้ไปชนกับรถจักรยาน โดยมีคนแก่ขี่ตัดหน้ารถดิฉัน ดิฉันพุ่งชนอย่างแรงและล้มลงรถมอเตอร์ไซค์ก็ได้ล้มทับหัวเข่าของดิฉัน ดิฉันเจ็บมากนอนอยู่กลางถนนเกือบครึ่งชั่วโมงฝนก็ตกหนักขึ้น คนแก่ที่ดิฉันชนก็ล้มหัวฟาดพื้น ดิฉันกลัวมากกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมาก กลัวไปต่างๆนานา กลัวจะเป็นคนทำให้เขาตาย โชคดีที่เขาหัวแตกเย็บ ๓ เข็ม ดิฉันไปถึงโรงพยาบาล ผลปรากฏว่ากระดูกที่หัวเข่าของดิฉันแตก หมอให้ผ่าตัดและใส่น๊อตไว้ที่หัวเข่า และมันแปลกอีกอย่างหนึ่งคือมันเป็นข้างเดียวกับแม่ที่กำลังเจ็บอยู่คือ ข้างซ้าย ดิฉันต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกือบ

๒ อาทิตย์ และเดินไม่ได้นอนอยู่เฉยๆ เกือบเดือน มันทรมานมาก กิน นอน ปัสสาวะ อุจจาระ ต้องนอนบนที่นอน มีสภาพไม่ต่างจากแม่ที่เคยเป็น มีแต่แม่และพี่สาวที่คอยดูแลฉัน ส่วนพ่อก็ดูแลเรื่องอาหารการกิน และกว่าที่ดิฉันเดินได้โดยไม่ใช้ไม้เท้าก็ประมาณ ๖ เดือน ดิฉันสำนึกขึ้นได้ทันทีว่านี่แหละบาปที่ดิฉันได้กระทำไว้กับแม่บังเกิดเกล ้า ผู้คอยเลี้ยงดูเรามา เกือบ ๒๘ ปี กรรมมันตามทันจนไม่น่าเชื่อเลย และดิฉันคิดอีกว่าวันนั้นแม่เป็นคนร้องทักเสียงดังมาก(ขนาดจิ้งจกทักตามธร รมชาติของมนุษย์เราก็ยังคิดหรือกลัวบ้าง) และนี่แม่เราแม่บังเกิดเกล้า แม่ผู้ให้กำเหนิดดิฉัน และมีความหวังดีให้ลูก ทำไมดิฉันไม่คิดฟังแม่บ้าง เชื่อแม่สักนิดและดูแลเอาใจใส่แม่ รักแม่ ห่วงแม่ให้มากกว่าที่ผ่านมา ดิฉันคงไม่ต้องมีสภาพเหมือนคนพิการ เพราะทุกวันนี้ ดิฉันวิ่งไม่ได้เดินได้แต่ก็ไม่เหมือนปกติ หัวเข่าก็งอไม่ได้ นี่แหละเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันจะจดจำไปจนถึงวันตายเลยก็ว่าได้ ดิฉันอยากจะให้ทุกท่านที่มีพ่อแม่ที่กำลังไม่สบายอยากให้ดูแลเอาใจใส่ท่าน ให้ดีและรักท่านให้มากๆ และทุกวันนี้ดิฉันดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดิฉันเก็บตัวอยู่บ้านกับพ่อและแม่ ๑ ปีกว่าๆแล้ว นับจากวันนั้นดิฉันคอยดูแลแม่ ทำกับข้าวเอาใจใส่แม่กว่าแต่ก่อน พาท่านไปวัดวันอาทิตย์ ทุกวันนี้ดิฉันพ่อและแม่มีความสุขดี แม่เริ่มแข็งแรง ดิฉันก็ทำกายภาพบำบัดเรื่อยๆ เพราะช่วงนี้อากาศเย็นแม่ดิฉันปวดหัวเข่ามาก ดิฉันอยากบอกให้ท่านทราบว่าดิฉันรักท่านมาก ถ้าไม่มีแม่แล้วดิฉันไม่รู้ว่าทำอย่างไร เพราะแม่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของลูก สิ่งที่ดิฉันกลัวมากที่สุดตอนนี้คือ ทำให้พ่อแม่เสียใจ ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะเป็นลูกที่ดีของท่าน อยากให้ท่านมีความสุขมากที่สุด ต่อแต่นี้ไปดิฉันจะคอยดูแลท่าน และเชื่อฟังท่านทุกอย่างจะไม่ทำให้ท่านเจ็บช้ำอีกต่อไปแล้ว

ดิฉันหวังว่า เรื่องของคุณทักษพร คงเป็นอุทาหรณ์สอนเพื่อนมนุษย์ที่ดีมาก



เรื่องที่ปรากฎมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ใครทำกรรมไว้กรรมนั้นย่อมตอบสนอง ส่วนเรื่องจะสนองช้าหรือเร็วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๖ ผ่านพ้นจบสิ้นไป พร้อมกับการมาถึงของปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๗ แม้มองด้วยใจของผู้สนใจในพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ ้า ย่อมได้เล็งเห็นของการเกิดแล้วก็ดับ ไม่ม่ยกเว้น แม้แต่เรื่องเวลาเรื่องของวันเดือนปี เมื่อวานผ่านไปวันนี้มีมา ปีก่อนที่ผ่านไปปีใหม่มาแทน และมิได้หยุดพักเพียงวันนี้ ปีก่อนนี้ว่าปีไหนก็มีการเกิดดับตลอดไป ที่เรียกว่าดับนั้น ที่จริงก็คือการเกิดขึ้นของปีใหม่ ความตายคือความเกิดมีขึ้นพร้อมกันทันที เช่นเดียวกับปีเก่าผ่านพ้นไปก็ถึงปีใหม่ทันที ทุกชีวิตที่ละโลกนี้ไป ไม่ว่าสัตว์ว่าคนจะมีชีวิตใหม่ ที่เรียกว่าเกิดใหม่ทันที เพียงแต่ว่าอาจไม่ได้เกิดเป็นเช่นเดียวกับเมื่อมีชีวิตอยู่ในภพปัจจุบันทุ กชีวิตไป อาจจะมีบ้างเช่นที่ปัจจุบันเป็นคนละโลกปัจจุบ

อ.ธเนศ อุ่นศิริ





บันทึกเมื่อ: ธ.ค. 18, 2003 06:56:45 pm

Quote



ปัจจุบัน มีกรรมที่สามารถนำให้กลับมีภพชาติเช่นปัจุบัน ก็จะได้เกิดเป็นคนได้อีกทันทีทันใด แต่จะเกิดสูง เกิดต่ำ เกิดดี เกิดไม่ดี ก็สำคัญที่กรรมอันนำให้เกิดแน่นอน กรรมจึงต้องสำคัญที่สุด ขอให้มั่นใจในเรื่องของกรรม และการให้ผลแห่งกรรมที่เทียงแท้แน่นอนเสมอไป ไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เกินอำนาจของกรรม แพทย์ที่ว่าเก่งหนักหนา แม้คนไข้อยู่ในมือของกรรม แพทย์ก็หาเอาชนะโรคที่ดูน่าจะรักษาให้หายได้ง่ายๆไม่ ที่เคยปรากฎให้รู้ให้เห็นกันอยู่ แม้ใส่ใจคิดไปในเรื่องของกรรมที่มีเหนือชีวิต ทุกชีวิตก็ย่อมจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างยิ่งแน่ เพราะย่อมจักไม่มีผู้ใดไม่กลัวกรรม เมื่อกลัวกรรม คือกลัวผลของกรรมไม่ดี อย่างมีผู้รู้จริง เชื่อจริง ย่อมให้ความสนใจจริงจังในการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาส ัมมาสัมพุทธเจ้า ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติตามคำสอนไม่มีเป็นอื่น นอกจากส่งให้ถึงความพรั่งพร้อมด้วยฐานะอันพึงได้ถึงทั้งปวง ทรงสอนไม่ให้ทำบาปทั้งปวง ทรงสอนให้ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทรงสอนให้ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใส สามประการสมบรูณ์จริงๆ ที่จะส่งให้ผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงฐานะสูงสุดเพียงไรก็ได้

ขอจงตั้งใจน้อมรับเป็นมงคลสูงสุดสำหรับชีวิต ปฏิบัติให้ได้ และจะปฏิบัติได้แน่ ตั้งหลักมั้นไว้ที่ความจงรักภักดี กตัญญูกตเวทีในเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สองพระผู้ทรง

พระคุณล้นเศียรเกล้าชาวไทยทั้งปวง ในวันนี้ป็นต้นไปปีใหม่จะนำความสุขสดใส

แก่ชีวิตคนไทยทั้งหลายด้วยแน่นอน ขออำนวยพร

พระบาลีแสดงกฎแห่งกรรม

กะตัญจะ สุกะตัง เสยโย ทำความดีไว้ดีกว่า

กะตัสสะ นัถิ ปะฎิการัง สิ่งที่ทำไปแล้ว ทำคืนไม่ได้

กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

กัลยาณะการี กัลยาณัง ปาปะการี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

จะ ปาปะกัง

ตัญจะ กัมมัง กะตัง สาธุ ยัง กัตวา กระทำการใดแล้วย่อมไม่ร้อนใจ

นานุตัปปะติ ภายหลัง การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี

นะ หิ ตัง สุละภัง โหติ สุขัง คนทำความชั่วย่อมไม่มีความสุข

ทุกกะฎะการินา

อะกะตัง ทุกกะฎัง เสยโย ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า

สานิ กัมมานิ นะยันติ ทุคคะติง กรรมชั่วของตนเอง ย่อมนำไปสู่ทุคติ



หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการได้ศึกษาเรื่องกรรมแล้วจะไม่กล้าทำชั่ว ตามที่พระพุทธองค์ได้พยายามพร่ำ่สอนให้ละชั่วกลัวกรรมทำดี

ด้วยความปรารถ นาดี

จาก อ.ธเนศ อุ่นศิริ ประธานชมรมเว็บพระพุทธศาสนา

 
thanes
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 มิ.ย.2005, 12:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



87708770.jpg


กรรมทันตาเห็นชุดที่ ๒

การเรียบเรียง “กฎแห่งกรรม” ชุดที่ ๒ ก็เพราะเล็งเห็นว่าบทของกรรมแต่ละชีวิต เป็นบทเรียน ที่น่าศึกษา ซึ่งมีจุดหมายที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นวัฏสงสารที่น่าเศร้าใจสลดใจ “กฎแห่งกรรม”เป็นสัจธรรมที่พิสูจน์ความจริงของชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนแต่สร้างผลกรรมเอาไว้ทั้ง ๒ ประเภทคือ “กรรมดี และ กรรมชั่ว” และเขาจะต้องรับผลกรรมนั้นด้วยตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แรงกรรมนั้นเองทำให้ทุกชีวิตจำต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด สาธุชนที่มีศรัทธาในการปฏิบัติธรรมนั้นก็ด้วนมุ่งหมายที่จะพ้นไปจากวัฏสงส าร ซึ่งหมายถึงการพ้นจากห้วงกรรมทั้งปวง แต่การที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ก็จะต้องชดใช้หนี้กรรมต่างๆที่ตนเองสร้างและต้องพัฒนาจิตใจให้พ้นจากอำนาจ ของกิเลส จึงจะเป็นอิสระพ้นจากวงเวียนกรรม

การเรียบเรียงเรื่อง “กฎแห่งกรรม” เหล่านี้ขึ้นมาจึงมีจุดหมายอยู่ที่ ต้องการให้สาธุชนทุกท่านได้ประจักษ์แจ้งถึงผลร้ายแห่งกรรมชั่วที่ได้ก่อไว ้ เวลาที่ต้องชดใช้นั้นย่อมได้รับความเจ็บปวดยิ่งนัก ความเข้าใจเกี่ยวกับ “กฎแห่งกรรม”จะเป็นเครื่องที่ทำให้เกิดอาการสังวรระวัง มิให้จิตก่อกรรมอันจะเป็นแรงกรรมทำให้เวียนว่ายไม่จบสิ้น ซึ่งเป็นมนุษย์ที่หนีไม่พ้นกรรมที่ตนทำไว้ให้เป็นอุทาหรณ์สอนตนและคนอื่นไ ด้ โดยไม่วุ่นวายและสับสน ไม่ก่อกรรมเกี่ยวกรรมอันจะต้องชดใช้กันต่อไปไม่สิ้นสุด จึงหวังว่าสาธุชนจักได้ประโยชน์จาก “กฎแห่งกรรม” ในชุดที่ ๒



กรรมชาตินี้

เรื่องที่จะนำมาเล่านี้มิได้มีเจตนาที่จะซ้ำเติมผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่ อย ่างใด แต่การทีจะนำมาเล่าก็เพื่อจะเป็นประโยชน์ของคนรุ่นหลังที่ยังมีชีวิตอยู่ต ่อไปเพื่อให้ไว้เป็นข้อคิด เพื่อไว้ให้เป็นข้อ สังเกตเพื่อหาเหตุผลมาลบล้างเกี่ยวกับเรื่องผลของกรรม ซึ่งมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาที่บางคนปักใจเชื่อเพราะเขาเหล่านั้ นได้เห็นมากับตาของตนเองใครจะคิดกันไปแง่ไหนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ เพราะผลที่ได้รับนั้นย่อมตกแก่ผู้กระทำนั่นเอง ใครทำดีย่อมได้รับผลดี ใครทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ดังที่พระท่านว่าไว้ว่า “กรรมนั้นมีจริง” แต่ดิฉันเองปักใจเชื่ออย่างแน่นอนเลยทีเดียวว่า กรรมนั้นมีจริง มีแล้วให้เห็นในอดีตและมีให้เห็นแม้กระทั่งในปัจจุบัน

ดังเรื่องหนึ่งต่อไปนี้มีผู้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเองขอท่านผู้ประเสริบทั ้ง หลายจงใช้ปัญญาและวิจารณญาณของท่านตรองดูเถิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผลของ กรรมใช่หรือไม่ จะคิดได้หรือไม่ได้ก็ขอให้เก็บเอาไว้ในใจของท่านก็แล้วกัน และหากเรื่องนี้มีส่วนดีเป็นประโยชน์ที่ทำให้ท่านได้รับความรู้ถึงบุญบาปม ากขึ้น ดิฉันก็ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้รับนั้นให้แก่ตาเผื่อนผู้ที่ได้ล่วงล ับไปแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดปทุมธานี

“ตาเผื่อน” เป็นชื่อของชายผู้หนึ่งซึ่งมีวัยกลางคน อาหารซึ่งเป็นที่โปรดปรานของตาเผื่อนก็คือ “เต่า” ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์จะเป็นตลาดนัดจะเป็นที่ชุมนุมบรรดาพ่อค้าแม่ค้าท ั้งหลายจากทั่วทุกสารทิศสินค้าต่างๆก็มีทั้งสดและแห้ง มีทั้งของแพงและของถูก มีทั้งดีและไม่ดี แล้วแต่คนจะซื้อจะเลือกหาเอาไปอีกทั้งคนที่มาเที่ยวชมมาซื้อของก็มีมาไม่น ้อยด้วย กบ เขียด เต่า ตะพาบ และอื่นๆจึงถูกนำมารวมไว้ ทุกวันอาทิตย์ตาเผื่อนจะชอบไปเที่ยวจุดประสงค์ที่ไปก็เพื่อชมตลาด สิ่งที่ตาเผือนจะขาดมือและลืมเสียไม่ได้ก็คือจะต้องหาซื้อเต่าติดมือไปด้ว ยทุกครั้ง เต่าส่วนใหญ่ซึ่งมีผู้ใจบุญใจกุศลทั้งหลายเขาจะซื้อเอาไปปล่อยหรือบางคนเข าจะชื้อไปปล่อยเพื่อสะเดาะเคราะห์ของตนเอง ด้วยเชื่อว่าเต่าเป็นผู้ที่มีอายุยืนถ้าหากได้ปล่อยเต่าก็จะทำให้ตนเองมีอ ายุยืนเหมือยอย่างเต่า ซึ่งมักเป็นความเชื่อฝังใจของคนไทยมาแต่โบราณแล้ว และบางคนก็คิดไปว่า ครั้งหนึ่งแม้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ยังเคยได้เสวยพระชาติเป็นพระยาเต่าเรือ นช่วยชีวิตคนเอาไว้ไม่น้อยเช่นกัน การปล่อยเต่าจึงเท่ากับการสร้างบุญอย่างมหาศาลเช่นกัน ตาเผื่อนเจอะเจอเอาแม่ค้าใจบุญเข้าถึงกับสะอึก เพราะใจจริงของแกนั้นต้องการที่จะเอาเต่าไปกินหาได้เอาไปปล่อยตามที่แม่ค้ าคิดไว้ เมื่อกลับมาถึงบ้านตาเผื่อนก็จัดแจงหยิบเอาหม้อใส่น้ำแล้วเอาหม้อไปวางบนเ ตาไฟทันที พอน้ำเดือดเต็มที่ ตาเผื่อนก็เปิดฝาหม้อออกแล้วเอาเต่าซึ่งยังเป็นๆออกจากในถุง ใส่ลงไปในหม้อน้ำซึ่งกำลังเดือดพล่านเพราะ ความร้อนทันทีแล้วปิดฝาไว้ดังเดิม สักครู่เปิดฝาหม้อออกแล้วเอาเต่าออกมานำไปปรุงเป็นอาหารตามที่แกชอบต่อไป ชีวิตของตาเผื่อนมีความสุขอยู่อย่างหนึ่งคือ ได้รับประทานอาหารที่แกโปรดปราน แต่บางครั้งเนื่องจากตาเผื่อนแกก็มิได้มีฐานะร่ำรวยจะหาเงินไปซื้อเต่าทุก ครั้งคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากความอยากกินเต่าจึงได้ไปเที่ยวขโมยเต่าที่เขานำเอาไปปล่อยไว้ในว ัดมาทำเป็นอาหาร ชีวิตของตาเผื่อนมีความสุขอยู่กับการกินในช่วงเวลาหนึ่ง และแล้ววันหนึ่งซึ่งเป็นวันเวลาที่กรรมของแกมาถึง เมื่อชีวิตเข้าสู่วัยชราลงไปอีก โรคภัยไข้เจ็บก็เข้ามาเยี่ยมเยียนแกหนักขึ้น กระทั่งบางครั้งก็จะพยุงเอาไว้ไม่อยู่ นับวันพละกำลังก็เสื่อมถอยสุขภาพที่แข็งแรงก็เสื่อมโทรมเพราะโรคภัยไข้เจ็ บมาเบียดเบียนบ่อยครั้งยิ่งนานวันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เพราะกำลังของแกทานเอาไว้ไม่ไหวจนยากแกการพยาบาลรักษาของหมอ เพราะหมอบอกว่าในร่างกายแกเป็นโรคหลายโรคมีโรคอื่นแทรกซ้อนอยู่มากหมายหลา ยชนิด ไม่สามารถที่จะให้การรักษาให้เป็นปกติดังเดิมได้ และต่อมาอีกไม่กี่วันหลังจากที่แกล้มป่วยประมาณ ๒ สัปดาห์แกก็มีอาการแปลกๆขึ้น คือแกจะคลานและยืดคอออกมาเหมือนเต่าและร้อง “ฮาก ฮาก” อยู่ตลอดเวลาน่าเวทนายิ่งนัก ซึ่งเมื่อใครๆที่ไปดุอาการของแกก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเพราะตาเผื่อนคนนี้ ชอบฆ่าเต่าและขโมยเต่าจาดวัดมาฆ่ากิน

เป็นอาหารกรรมเลยสนองตอบแกทันตาเห็ นนั่นเอง “นี่แหละหนาคงเป็นกรรมที่ทำไว้”

ที่เขียนมาเล่านี้เพื่อทุกคนได้หมั่นทำความดี ผู้ประเสริฐจงเชื่อเถิดในเรื่อง

กรรม เป็นบทนำของชีวิตให้เกิดสุขได้ จงเชื่อเถิดว่ากรรมนั้นมีจริง ตราบเท่าที่ท่านยังทำแต่กรรมเวร…..ไม่มีคำว่าสาย



กรรมของคนเผาตลาด

ชีวิตของคนหรือสัตว์ไม่อาจฝืนธรรมชาติได้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นไปตามธรรมชาติทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือค้นพบนั้นแท้จริงแล้วก็คือกฎของธรรมชาตินั่ นเอง หาได้สิ่งเร้นลับหรือ ปาฏิหาริย์ มหัศจรรย์อะไรไม่ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราเรียกว่า”ธรรมะ” นั่นก็คือธรรมชาติ โดยเป็นเรื่องธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันในสังคม หากใครปฏิบัติตามก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แต่หากใครปฏิบัติผิดไปหรือฝืนธรรมชาติของคนผู้นั้นก็จะเป็นทุกข์ คำสอนของ

พระพุทธเจ้าล้วนแต่เป็นแนวทางดำเนินชีวิตของผู้คนให้พ้นจากทุกข ์แล้วจะเป็นทุกข์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองกรรมเวรจึงเป็นของจริงกล่าวคือ เมื่อบุคคลใดทำอะไรลงไปย่อมมี ผลลัพย์ ตามมา การกระทำบางอย่างให้ผลบวกเรียกว่ากรรมดี การกระทำบางอย่างในทางลบก็เรียกว่ากรรมชั่ว เช่น เราไหว้เขาเขาก็ไหว้ตอบ เราให้สิ่งของดีๆแก่เขาเขาก็รักเรา เราลักขโมยของเขาเขาก็เกลียดชังเรา มันเป็นกฎแห่งกรรมพื้นๆที่เราพบเห็นได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน

แต่มีกรรมบางอย่างที่เรามองไม่เห็นผลในทันที อาจใช้เวลานานเป็นเดือนเป็นปี หรือบางที่ข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียวกว่าผลลัพย์ที่แท้จริง จะปรากฎออกมาเช่น นักการเมืองบางคนโกงกันในขณะนั้นอาจจะมีความเป็นอยู่อย่างหรูหรามีหน้ามีต าในสังคม ท้ายชีวิตเขาอาจถูกฟ้องร้อง ถูกพิพากษายึดทรัพย์สินหมดตัวหรือต้องเข้าคุกตารางไปเลยก็มี เคยมีนักการเมืองในต่างประเทศตายในคุกมาแล้วโดยเฉพาะในต่างประเทศ อดีตนายกรัฐมนตรีต้องติดคุก หรือแม้ทั่งถูกประหารชีวิตก็เคนมีมาแล้ว กรรมบางอย่างไม่อาจส่งผลในชาตินี้ต้องรอชาติหน้าจึงจะได้รับชั่ว แต่มันอยู่ไกลที่ดิฉันไม่บังอาจที่จะสาธยายถึง จึงพูดถึงเฉพาะผลกรรมทันตาเห็นในชาติรี้เท่านั้นที่จังหวัดหนึ่งในภาคกลาง เมื่อหลายปีมาแล้ว ไม่ขออ่านนามเพราะเป็นการพาดพิงโจ่งแจ้ง เกินไปญาติพี่น้องของเขาอาจเสียหายได้ ที่อำเภอนั้นมีเศรษฐีผู้หนึ่งเป็นเจ้าของตลาด มีตึกแถวให้เช่ามากมายนานมาแล้วหลายปี ตึกแถวเหล่านั้นเก่าและทรุดโทรม เศรษฐีผู้เป็นเจ้าของก็อยากจะรื้อทั้งหมดเพื่อสร้างใหม่ให้ทันสมัย จึงเทียวบอกให้ผู้เช่าทั้งหลายให้ย้ายออก แต่ก็ไม่มีผู้เช่ารายใดเอาใจใส่เพราะมีเข้าของเต็มร้าน รวมทั้งลงทุนต่อเติมเสริมแต่งไปมาก และเคยเช่าอยู่อาศัยมานานปีดีดัก สรุปได้ว่าไม่มีผู้เช่ารายใดย้ายออกแม้แต่รายเดียว เศรษฐีเจ้าของตลาดมีความโลภเป็นนิสัย และไร้ความเมตตาปราณีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็คิดการชั่วจ้างวานให้คนลอบวางเ พลิง ปรากฏว่าเกิดไฟไหม้กลางดึก ขณะที่ผู้คนหลับนอนไฟไหม้ห้องแถวเก่าๆที่ปลูกติดกันเป็นพืดเป็นเชื่อเพลิง อย่างดีประกอบมีลมพัดเข้ามาอีก จึงเกิดเพลิงไหม้ลุกโชติช่วงอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านแตกตื่นหนีไฟกันโกลาหล ที่ขนของหนีทันก็ขนกันจ้าละหวั่น ที่ขนไม่ทันก็ถูกไฟเผามอดไหม้วอดวายไป รถดับเพลิงซึ่งมีอยู่ไม่กี่คันไม่อาจสู้แรงเพลิงได้ แม้จะขอรถดับเพลิงในอำเภออื่นๆระดมกันมาช่วยก็ไม่สามารถสะกัดเพลิงได้ ดังนั้นเมื่อรุ่งเช้าตลาดทั้งตลาดจึงวอดวายเป็นเถ้าถ่านเหลือแต่ซาก ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยร้องไห้ระงมกันไปหมด ใครๆก็รู้อยู่แก่ใจว่า เป็นการลอบวางเพลิงเพื่อขับไล่ผู้อยู่อาศัย แต่ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะเอาผิดแก่มือเพลิงและผู้บงการได้ ผู้คนจึงได้แต่สาบแช่งคนใจชั่วเหล่านั้น ไม่นานหลังจากนั้นตึกใหม่ๆสวยงามก็ถูกเนรมิตขึ้นมาแทน เปิดให้คนซื้อ เช่าทำมาค้าขายต่อ นานไปผู้คนก็ลืมความเจ็บปวดที่เคยได้รับ เศรษฐีเจ้าของตลาดมีความสุขอยู่ในบ้านหลังใหญ่โอ่อ่ามีถึงหลายไร่อยู่หลัง ตลาดนี้เอง เวลามีงานสำคัญตามธรรมเนียมก็เสนอตัวให้ความชวยเหลืออุปถัมภ์บริจาคเงินกา รกุศลต่างๆอยู่เป็นนิจ กลายเป็นคนสำคัญในท้องถิ่น ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเคารพพนมไหว้ ยกเว้นชาวตลาดที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังที่มากับสาปแช่งอยู่ในใจ เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราเศรษฐีเจ้าของตลาดก็ป่วยเป็นโรคประหลาด มีอาการปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายโดยไม่รู้สาเหตุ แม้เข้ารักษาในโรงพยาบาลราคาแพงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จึงออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวที่บ้าน การป่วยแรมเดือนทำให้บุตร ภรรยา เอือมระอาทอดทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวเป็นของปกติ จะมีคนมาคอยดูแลเป็นบางเวลาเฉพาะตอนที่ให้ข้าวปลาอาหาร ดูแลจัดที่หลับที่นอนให้เท่านั้น อาการป่วยของเศรษฐีนั้นไม่เหมือนใคร กล่าวคือ ไม่มีไข้ อวัยวะภายในภายนอกทุกส่วนปกติ แต่มีอาการร้อนใน และปวดแสบปวดร้อนตามผิวหนังต้องร้องโอดโอยครวญครางอยู่ทั้งวันทั้งคืน แม้กินยาขนานใดก็ไม่หาย ต้องอาบน้ำลูบตัวอยู่เสมอ สวมเสื้อผ้าไม่ได้ เพียงแต่เอาผ้าปกปิดอวัยวะบางส่วนมิให้น่ารังเกียจอุจจาดตาเท่านั้น วันนั้นภรรยาและบุตรพากันออกจากบ้านไปทำธุระที่อื่นรวมทั้งเด็กรับใช้ในบ้ านก็เอาไปด้วย ปล่อยให้เศรษฐีอยู่บ้านตามลำพังเพียงคนเดียว เมื่อพากันกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น ภรรยาไปดูที่ห้องนอนพบแต่เตียงว่างเปล่า จึงเดินออกตามหาและเรียกก็ไม่มีเสียงขานตอบ หาตามที่ต่างๆในบ้านก็ไม่พบ จึงไปดูที่ห้องน้ำพบเศรษฐีนอนตายอยู่ที่พื้นห้องน้ำ สันนิฐานว่าในช่วงที่อยู่คนเดียวแกคงร้อนทุรนทุราย จึงกระเลือกไปหาที่เย็นๆในห้องน้ำและขาดใจตายที่ห้องน้ำนั่นเอง

บ้านคือชีวิตบั้นปลายของคนรวยผู้มีกรรมหนัก ชาวบ้านในตลาดทราบข่าวต่างโจทก์จรรย์ กันไปว่าคงเป็นเพราะบาปกรรมที่ให้คนเผาตลาดจนวอดวายในครั้งนั้นนั่นเอง กรรมจึงตามสนองในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า

สามใบ้

ความเมตตาเป็นธรรมอันลึกซึ้งไม่อาจแสดงออกมาได้ด้วยวาจา แต่ต้องเกิดจากจิต ดังนั้นบางคนมีวาจาเหมือนเมตตาแต่แร้งจิตใจก็มีอยู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เรื่องก็มีอยู่ว่ามีสองสามีภรรยา มีอาชีพเป็นครูเหมือนกัน ครูชายชื่อครูทวี ครูหญิงชื่อครูบุบผา สองคนเป็นผู้มีอันจะกินเพราะมาจากรากฐานครอบครัวที่ค่อนข้างรวย ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือในความเป็นครู แต่ทั้งสองคนไม่มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล จึงมีความหวังว่าจะต้องมีทายาทเอาไว้ฝากผียามชราสักสองคน



“เราควรจะเลี้ยงพระทั้งวัด อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและขอลูกสักคนดีไหม” ครูทวีบอกครูบุบผา ซึ่งเธอก็ขานรับด้วยความยินดีบรรดาญาติต่างยินดีร่วมมือในการทำบุญครั้งนี ้ ข้าวปลาอาหารเลิศรสยกมาถวายพระที่ศาลา

ที่วัดแห่งนั้นในจังหวัดเชียงราย มีเด็กชายอายุประมาณ ๑๐ ขวบคนหนึ่ง ร่างการซูบผอมโกโรโกโส ไม่มีใครเอาใจใส่ดูแลเป็นเด้กที่พ่อแม่ไม่สนใจเอามาทิ้งไว้ที่วัดเพราะเป็ นเด็กใบ้

วันนั้นกลิ่นอาหารหอมฉุยเตะจมูกเด็กใบ้ที่กำลังหิวจัดจึงเดินเข้าไปร้อง “แบะ แบะ แบะ” แล้วชี้ให้ดูที่ท้องเพื่อขออาหารกินบ้าง ครูสองผัวเมียรู้สึกเคืองใจนัก เพราะอาหารยังไม่ได้ถวายพระจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้อง “xxxใบ้ไปให้พ้น” ครูทวีตวาด “ยังไม่ถึงเวลาอย่ามายุ่ง” ครูบุบผาสำทับด้วยสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังของครูทั้งสองคน พร้อมทั้งลงมือผลัดใส เด็กใบ้ซึ่งกำลังหิวโหยตาลายจึงเดินแอบข้าเสาศาลาในวัด พอสองผัวเมียเผลอ เด็กใบ้ก็คว้าเอาอาหารในถาดที่เตรียมไว้ถวายพระวิ่งไปทางหลังวัดเพื่อกินอ าหารให้หายหิว มีเสียงคนร้องเอะอะ ครูทวีกับครูบุบผาจึงวิ่งไปตามเด็กใบ้และชิงเอาอาหารกลับคืนมา เรื่องควรจะยุติเพียงเท่านี้ แต่เพราะตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศลจึงกลายเป็นโทสะเข้าครอบงำสองผัวเมีย ครูทวีจับเด็กใบ้ก็ฟาดกระหน่ำทั้งเท้าและมือ ครูบุบผาก็ตนด้วยความโกรธแค้น เด็กใบ้ที่น่าสงสารส่งเสียงร้องออกมาไม่เป็นภาษาพยายามดิ้นรนให้พ้นไปจากค วามทารุนของคนทั้งสอง ใครมองเห็นดวงตาของเด็กใบ้ในขณะนั้นจะเห็นความคับแค้นน้อยเนื้อต่ำใจ อาฆาตพยาบาทอย่างรุนแรง แต่ก่อนที่เด็กใบ้จะทรุดตัวตายไปคามือ ผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามาห้ามปรามเอาไว้เด็กใบจึงรอดตาย แต่สองคนผัวเมียก็ยังพ่นถ้อยคำอันหยาบคายออกมาเป็นการระบายโทสะ หลังจากงานบุญกุศลผ่ายไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น อาการแพ้ท้องของครูบุบผาสร้างความยินดีปรีดาให้แก่ครูทวียิ่งนัก ครูบุบผาคลอดลูกสาวน่าตาน่าเอ็นดู ขาวอวบอ้วน ครูทวีแสนหลงไหลลูกสาวของตนยิ่งนัก และอดดีใจไม่ได้ว่า การทำบุญเลี้ยงพระในครั้งนั้นส่งกุศลผลบุญรุนแรงนัก ทำให้ได้ลูกสาวน่ารักปานนี้ สองพ่อแม่ ทะนุถนอมเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่และหลงรักอย่างสุดใจ ลูกสาวโตวันโตคืน แต่น่าประหลาดว่าเป็นเด็กที่นอนหลับง่ายและไม่ตกใจตื่น ใครจะทำเสียงดังอย่างไรก็ไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ แม้อายุย่างเข้าสองขวบแล้วก็ไม่ยอมพูด เสียงที่ลูกสาวเปล่งออกมามีแต่เพียงเสียง “แบะ แบะ แบะ” ความเศร้าเสียใจครอบงำ เห็นลูกทีไรความเจ็บปวดรวดเร้าก็เกิดขึ้นครั้งไป และในไม่ช้าครูบุบผาก็คลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง อาการก็เหมือนเดิมคือเป็นใบ้ ในปีถัดไปก็ได้ลูกสาวอีกคนหนึ่ง อาการก็เหมือนเดิมอีกคือเป็นเด็กใบ้ แต่แล้วก็เป็นเด็กใบ้ทั้งสามคนครูทวีหมดหวังและยอมแพ้ จึงบอกกับครูบุบผาผู้เป็นภรรยาว่า “คุณควรทำหมันได้แล้ว ขืนมีอีกก็คงจะเป็นใบ้อีก” สองผัวเมียจึงยุติแห่งการเกิดเพียงเท่านั้น แต่ผลกรรมที่ตนเองได้ร่วมกันก่อกันเอาไว้กับเด็กใบ้ที่วัด ยังคงต้องรับผลต่อไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ความทุกข์โทมนัสของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นใบ้ซ้อนๆกันทั้งสามคนนั้นไม่อาจที่จ ะพายาใดมารักษาให้หายได้ วิบากกรรมนี้ต้องรับไปจนตลอดชีวิต แต่เด็กใบ้ทั้งสามนี้ได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้หรือ จึงต้องมารับผลของกรรมชั่วของพ่อแม่ด้วย

ใครทำกรรมอย่างไรก็ต้องได้รับผลอย่างนั้นมิใช่หรือ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะกฎแห่งกรรมได้กำหนดเอาไว้แล้วอย่างไม่มีผิดพลาดเลย วิญญาณของเด็กทั้งสามที่ล่องลอยอยู่นั้นจะต้องเคนก่อกรรมอันชั่วเอาไว้ เช่น ด่าพ่อแม่ ด่าพระธรรมคำสอน หรือด่าสิงศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นภาวะจิตใจจึงมีแต่โทสะโมหะเยี่ยงเดียวกับครูทวีครูและครูบุบผา จึงผสมวิ่งเข้าหากันต่างคนต่างได้รับผลกรรมของตนไป “กรรมจึงกำหนดวิถีชีวิตในโลกนี้ไว้แล้วอย่างถูกต้องที่สุด เพราะต่างก็ได้กระทำกรรมนั้นไว้ด้วยตนเองมิใช่หรือ



มารศาสนา

ความมักได้และหวังประโยชน์ส่วนตัวย่อมเกิดขึ้นกับคนที่มีความโลภ โกรธ หลง ความอยากได้อยากมีโดยไม่คำนึงถึงว่าผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นอย่างไร ไม่เกรงกลัวต่อบาปและกรรมตามตอบสนองในภายหลัง เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่อำเภอปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ น้าจอมเป็นคนขายของโบราณให้กับพวกฝรั่ง มีแจกันลายครามสมัยโบราณหรือเศียรพระพุทธรูป เรื่องเศียรพระพุทธรูปนี้เองเป็นผลกรรมทำให้แกจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถและสั งเวช

เรื่องมีอยู่ว่า น้าจอมได้ไปเอาพระพุทธรูปซึ่งอยู่ที่จังหวัดอยุธยา แต่แกจะเอามาด้วยทางใดไม่อาจจะรู้ได้ ซึ่งได้พระพุทธรูปมาองค์หนึ่งเป็นองค์ที่สวยงามมากซึ่งไม่อยากขายเท่าไรนั ก แกก็เลื่อยพระองค์นั้นขาดเป็นสองท่อน ส่วนบนขายให้ฝรั่งไป ส่วนล่างเอาไปถวายหลวงพ่อที่วัดในอำเภอปลายมาศนั่นเอง หลวงพ่อได้พระพุทธรูปท่อนล่างไว้ด้วยความสลดใจที่มนุษย์มีจิตใจร้าย แม้แต่พระพุทธรูปที่เคารพสักการะบูชา ก็ยังทำลายเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่นึกถึงเวรกรรมที่ตามตอบสนองในอนาคตเลย

เมื่อใครรู้ใครก็ด่า ใครรู้ใครก็แช่ง มนุษย์ใจร้ายอย่างนั้นจะอยู่ด้วยคามสุขได้อย่างไรท่ามกลางคนสาปแช่งเช่นนั ้น เมื่อหลวงพ่อได้พระพุทธรุปท่อนล่างมาแล้วท่านก็ได้จัดการบูรณะโดยการต่อพร ะเศียร ทำการติดต่อเชื่อมส่วนบนให้สมบูรณ์เป็นพระองค์เดิมแล้วตั้งไว้เคารพบูชาบน กุฏิท่าน พระพุทธรูปองค์นั้นจึงเป็นพระพุทธรูปยืนเด่นอยู่บนกุฏิหมู่พระพุทธรูปจำนว นมาก ผู้ที่ขึ้นไปก็ได้พบเห็นและกราบไหว้ทุกคน ต่อมาเวลาผ่านไป วันหนึ่งน้าจอมก็มีธุระไปเขตอำเภอ เมื่อน้าจอมเมื่อน้าจอมนั่งรถขับไปออกจากซอยก็ชนเอากับรถอีกคันหนึ่งที่ขั บด้วยความเร็วสูงแล้วชนกันอย่างแรงจนกระทั้งพังยับเยินตรงบริเวณปากซอย น้าจอมได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ผู้พบเห็นเหตุการณ์คิดสังเวชและสงสาร เพราะเห็นท่าทางกิริยาแสดงถึงอาการเจ็บปวดไม่สามารถทนอยู่ ได้ดิ้นรนทุกข์ทรมานมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามช่วยเหลือน้าจอมซึ่งบาดเจ็บสาหัสรีบนำส่งโรงพยา บาลอย่างเร่งด่วน น้าจอมบิดตัวหน้าบูดหน้าเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร้องไห้ครวญครางเหมือนทารก พิษบาทแผลสาหัส ทำให้ครั่งเพ้อพูดออกมาว่า “เจ็บปวดทนไม่ไหวแล้ว ขอความกรุณาเอาเลื่อยมาเลื่อยหน้าอกที ทรมานเหลือเกิน” ไม่มีใครทราบคำที่น้าจอมตระโกนออกมานั้น หมายความว่าอย่างไร คนคงเข้าใจว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดเพ้อคลั่งอยากให้ร่างกายแยกออกเป็นสองท ่อนเพื่อจะได้ตายเร็วขึ้น ดับความทุกข์ทรมานนั้นเสียที เหตุการณ์ดังกล่าวครั้งนี้ได้ทราบถึงฝรั่งที่เคยซื้อพระพุทธรูปท่อนบนไว้ เมื่อได้มีผู้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ฝั่งคนนั้นก็ตกใจกลัว นับตั้งแต่เขาได้นำพระพุทธรูปท่อนบนไว้ในบ้าน เหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้นก่อนที่จะได้นำพระพุทธรูปเข้าบ้าน ครอบครัวของเขามีความสุขมากมีแต่ความสนุกสนานรื่นเริง แต่เมื่อนำเศียรพระพุทธรูปเข้ามาแล้ว เหตุการณ์หลายๆอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดปั่นป่วนประเดี๋ยวคนนั้นป่วย ประเดี๋ยวคนนี้ก็ป่วยไม่ว่างเว้นจากโรคภัย มีแต่ความเครียดจิตใจไม่สบายอยู่ตลอดเวลา มองดูอะไรไม่ถูกหูไม่ถูกตา นึกถึงความปั่นป่วนในครอบครัวนี้แล้วก็นึกถึงเศียรพระพุทธรูปองค์นี้คงให้ โทษแน่ เมื่อยิ่งคิดยิ่งชัดเจนขึ้นมากการงานที่เคนทำเคยลงทุนในประเทศไทยก็ไม่ก้า วหน้ากลับยิ่งขาดทุนล่มจมลงไป เขาเชื่อแน่ว่า ทุกอย่างที่เขาได้ทำไว้กับพระพุทธรูปรับซื้อของโจรเป็นแน่แท้ และเพราะความอยากได้ของเขานั่นเองโดยไม่คิดหน้าคิดหลังว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา



คำสารภาพ….เมียน้อย



ขึ้นชื่อว่า บาปกรรมนั้นย่อมมีจริง เมื่อก่อนฉันเองไม่เคนเชื่อเรื่องนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดิฉันแต่งงานกับคนข้างบ้าน มีอาชีพทำสวนยางพารา และทำสวนตามประสาคนในแถบชนบททั่วไป

เมื่อฉันแต่งงานก็มาอยู่บ้านสามี เขาก็มีสวนยางพารา กรีดได้วันละประมาณ ๕๐ กว่าชิ้น เราอยู่กินกันได้เพียง ๓ ปีกว่าและยังไม่มีลูกด้วยกัน สามีของฉันก็ถูกคดีฆ่าผู้อื่น เขารับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุก ๖ ปี รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ลดเหลือกึ่งหนึ่ง เขาไม่เคยถูกคดีมาก่อนก็เลยได้รับการลดหย่อนลงมาอีก คงเหลือจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน ช่วงนั้นฉันปลูกกระท่อมหลังเล็กๆอยู่ใกล้บ้านพ่อแม่ของสามี เมื่อสามีติดคุกฉันก็ยังอยู่อาศัยที่กระท่อมหลังเดิม เพราะต้องดูแล เป็ด ไก่ หมูที่เลี้ยงไว้ ในบรรดาญาติของสามีก็มีน้าชายผู้หนึ่งอายุมากกว่าฉันประมาณ ๑๐ ปี เขามีศักดิ์เป็นน้าของสามี ฉันเองก็เรียกว่าน้า เขาแต่งงานแล้วมีบุตร ๓ คน และไปอยู่กับภรรยาที่ต่างจังหวัด นานๆจึงแวะมาเยี่ยมเยียนแม่เขาสักครั้ง ครั้งหนึ่งในช่วงสามีติดคุก ฉันอยู่คนเดียวก็มีคนใกล้บ้านมาเคาะประตูยามค่ำคืนเพราะเห็นว่าเห็นอยู่คน เดียว เมื่อน้าชายของสามีกลับมาเยี่ยมแม่เขา ฉันก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พร้อมขอร้องให้เขาช่วยจับคนที่แอบมาเกาะแกะฉัน

ในยามวิกาลโดยให้เขามาอยู ่ในบ้านยามวิกาล เมื่อหลายคืนเข้าใจฉันก็เริ่มเขว ประกอบที่ฉันต้องเหินห่างจากสามีมานาน จนในที่สุด ฉันก็ตกเป็นของเขาโดยความเต็มใจ เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่ ๒ ที่ ๓ ตามมา จนฉันหลงรักเขาทั้งๆที่ฉันยังมีสามี ทั้งๆที่ว่าน้าเขามีภรรยามีลูกถึง ๓ คน แต่ฉันก็ยังไม่มีความคิดอะไร ฉันใช้มารยาหญิงและความสาวหลอกล่อเขาจนเขาแอบมาพบกับดิฉันบ่อยๆ แต่แล้วก็พลาด

เมื่อฉันตั้งท้องไม่อาจสู้หน้าใครได้ ฉันต้องเนรเทศตัวเองออกจากบ้านของสามี ก่อนหน้าที่สามีจะพ้นโทษเพียง ๔ เดือน เมื่อสามีออกจากคุกเขาก็ไปตามงอนง้อ แต่ฉันก็พยายามหลบน้าเขา จนกระทั่งฉันพบ

ผู้ชายคนใหม่เขายินดีที่รับเลี่ยงลูกฉันโดยไม่คำนึงถึงอด ีต แต่เมื่อดิฉันคลอดลูกคนแรกได้เพียงเดือนกว่าๆ เขาก็ตีจากไปโดยไม่ให้เหตุผลอะไร จากนั้นฉันก็มีสามีคนใหม่ในขณะที่กำลังมีท้องได้ ๘ เดือน เขาก็หนีจากไป ฉันต้องไปคลอดลูกและอยู่กับพ่อกับแม่ เมื่อลูกคนที่สองอายุได้แค่ปีกว่าๆ ก็มีคนมาชอบ ฉันก็ตกลงใจไปกับเขาและมีท้องเป็นคนที่ ๓ แต่คงเป็นเพราะเวรกรรมที่ดิฉันยังผิดศีลข้อกาเมฯสามีก็ตายจากไปด้วยอุบัติ เตุ ฉันต้องคลอดลูกในขณะที่ไม่มีพ่อของลูก มีเพียงพ่อแม่และญาติพี่น้องเท่านั้นที่คอยดูแลเอาใจใส่ฉัน จากนั้นปีกว่าๆฉันก็ได้สามีใหม่อีก แต่มันนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานมาก เพราะเขาเอาแต่กินเหล้าเมายา ไม่สนใจเรื่องการงานแต่อย่างใด เมากลับมาก็ดุด่าทุบตีฉันโดยไม่มีเหตุผล ทุกวันนี้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานเป็นที่สุด จะเลิกกันก็เป็นห่วงลูกเป็นห่วงตัวเอง ประการสุดท้ายน้าชายของสามีคนแรกเขาก็พยายามทวงสิทธิ์เรื่องลูก ฉันก็พยายามหลบหลีกเขาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ตามราวีตลอด ทุกวันนี้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานเป็นที่สุด แม้มีสามีก็หาความสุขไม่ได้ ฉันเพิ่งสำนึกได้ว่า ที่ฉันต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในขณะนี้ เป็นเพราะบาปกรรมมี่ฉันผิดศีลข้อกาเมฯไปยุ่งเกี่ยวกับสามีคนอื่น ทำให้ลูกเมียเขาต้องคิดมากจนต้องทำให้เกิดความแตกแยกในครอบครัวท่านทั้งหล ายจงเชื่อเถิดบาปกรรมนี้มีจริง และมันส่งผลให้เราได้ในชาตินี้ ฉันอยู่เพื่อลูกและเพื่อชดใช้บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ฉันขออโหสิกรรมจากทุกคนที่ฉันเคยกระทำบาปต่อพวกเขาให้หมดเวรหxxxรรมแต่เพี ยงชาตินี้ชาติเดียวอย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย

และขอเตือนชาวโลกทั้งหลายพึงทราบไว้ว่า “ความชั่วทั้งปวง การประพฤติผิดในกามจงงดเว้นอย่าได้ประมาทเลย กรรมบันดาล

ท่านอาจจะเคยได้ยินคนอื่นๆเขาพูดว่า “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” ซึ่งผู้คนใดๆนั้นซึ่งก่อกรรมทำชั่วทางวาจากรรมนั้นต้องตอบสนองแน่นอน ดังเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของลุงเขียน ซึ่งได้ก่อกรรมชั่วทางวาจาผู้หนึ่ง กรรมนั้นกลับมาสนองจนทำให้พิการเท่าทุกวันนี้

เป็นธรรมดาของคนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมจะมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนก็ร่างกายอ้วนท้วมแข็งแรง และสมบูรณ์ดี บางคนก็มีร่างกายไม่สมประกอบ เช่น หัวโต จมูกแหว่ง หูหนวก ตาบอด ขาเป๋ ตาเหล่ มือกุด เป็นต้น ซึ่งมีอาการพิการต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลของกรรมที่เขาเคยทำเอาไว้จึงบ ันดาลให้เป็นเช่นนั้น คนที่เกิดมาแล้วมีลักษณะดังกล่าวนี้ บางคนก็มีปมด้อยนึกน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาหรือโชคชะตาของตน

ผู้ที่ได้พบเห็นบางคนเกิดความสลดใจสังเวชและสงสารอย่างจริงใจ แต่ก็มีบางคนอาจจะคิดสมน้ำหน้าที่เขาเกิดมาเช่นนั้น หรือเกิดมาแล้วถึงเป็นก็มี (มีต่อ)

อ.ธเนศ อุ่นศิริ





บันทึกเมื่อ: ส.ค. 24, 2003 07:55:52 pm

Quote



บางคนเห็นเป็นเรื่องสนุกเมื่อเห็นผู้ที่มีร่างกายไม่สมประกอบแล้วมักจะพูด จาหรือหัวเราะเยาะเย้ยให้เขาเหล่านั้นได้รับความอับอาย หรือกระทบกระเทือนจิตใจเอาเสียอีก ซึ่งการกระทำเช่นนี้หารู้หรือไม่ว่าเป็นกรรมชั่วทางวาจา นั่นก็เป็นการประทุษร้ายจิตใจของผู้อื่นทางวาจา ซึ่งจัดเป็นกรรมเช่นเดียวกัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องของลุงเขียน ที่ได้รับอนุญาตจากท่านแล้ว ท่านฝากเรื่องกฎแห่งกรรมเรื่องนี้มีจริงอย่าทำอย่างเด็จขาด เรื่องมีอยู่ว่า ลุงเขียนเป็นคนหนึ่งที่เห็นผู้ที่มีรูปร่างกายไม่สมประกอบแล้วแกจะพูดจากร ะทบกระทั่งหรือหัวเราะเยาะเย้ยเขาเสมอ เช่น เห็นคนตาเหล่ก็มักจะพูดว่า “เจ้าพ่อเหล่” หรือเห็นคนขาเป๋เดินมาก็มักจะพูดว่า “เจ้าพ่อเป๋” ซึ่งฟังแล้วแสนจะรื่นหูแกยิ่งนักเก๋ไปอีกแบบ บางครั้งลุงเขียนก็แกล้งทำกิริยาวาจาล้อเลียนเขา เช่นเห็นคนขาเป๋เดินมาก็ทำเป็นคนขาเป๋เดินตามไป และนี่ก็คือเหตุการณ์ของลุงเขียนในอดีต สมัยที่หนุ่มๆ พอแก่ก็คิดถึงความควรทำหรือไม่ควรทำเลย เห็นเป็นเพียงความสนุกของตนเองเป็นใหญ่บนความทุกข์ของคนอื่น ต่อมาวันหนึ่งลุงเขียนปลูกต้นไม้ให้ผล เช่น มะม่วง ลำไย บนบริเวณบ้านของลุงเขียนและด้วยความอยาก เมื่อมองขึ้นข้างบนต้นมะม่วงเห็นผลมะม่วงสุกเหลืองหอมน่ารับประทานจึงปีนข ึ้นลำต้นเพื่อหวังผล ตามประสาคนแก่มือไม้ไม่สู้แต่ใจอึดร่างกาย ๕๐ กว่าปี ลุงเขียนขึ้นยังไม่ถึงลำต้นมะม่วงเลย เพราะโดนxxxัดเลยเผลอเอามือไปปัดปกป้อง แกเลยตกลงจากต้นมะม่วง ลุงเขียนได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ซึ่งมีชาวบ้านนำส่งโรงพยาบาล ผล

ปรากฏว่าหมอดูแล้วลุงเขียนขาหักข้างหนึ่ง กระดูกแตกข้างในถ้าไม่ตัดมันจะเกิดเป็นมะเร็งได้ เป็นอันว่าลุงเขียนต้องยอมให้ตัดขา กลายเป็นคนขาด้วนข้างหนึ่งไป ลุงเขียนบอกว่าเวรกรรมมันมีจริงพอนึกถึงเรื่องกรรมทีไรลุงเขียนต้องน้ำตาร ่วงที่มาทนทุกข์เสียขา ถ้าว่าจะเป็นเหตุบังเอิญก็ไม่ใช่แน่ นี่แหละคือกรรมทางวาจาที่ตัวเองชอบพูดเยาะเย้ยคนอื่นเขา จนตัวเองต้องขาด้วนเหมือนเขา



ทำอย่างไรได้อย่างนั้น



คำโบราณกล่าวว่า “ถ้าท่านมองคนในแง่ร้ายก็มีแต่ทางขาดทุน ถ้าท่านมองคนในแง่ดีก็มีแต่จะได้ผลกำไรในชีวิต แม้ผู้นั้นจะเป็นคนดีน้อยคนดีมากหรือเศรษฐียาจก เราก็ควรจะมองในแง่ดี มนุษย์เราจะมัวแบ่งชั้นวรรณะกันอยู่ทำไม”

เรื่องที่ดิฉันจะเล่าเป็นคติเตือนใจท่านผู้ฟัง เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งของอำเภอมะม่วงสามสิบจังหวัดอุบลราชธานี

เรื่องก็มีอยู่ว่า นายเผ่า(นามสมมุติ)เป็นหัวหน้าครอบครัว ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีพ่อแม่และเมียพร้อมด้วยลูกชาย 2 คน ลูกสาวอีก 4 คน และหลานๆ อีก 5-6 คน

นายเผ่ามีอาชีพทำนา เลี้ยงเป็ด ไก่ หมู วัว ควาย ตามประสาชาวบ้าน แต่นายเผ่าเป็นคนไม่ค่อยมีความเตตาต่อสัตว์เลี้ยงเกือบทุกชนิด เพราะเวลามีเป็ด ไก่ ของเพื่อนมาที่บ้าน แกก็มักจะตีไล่ยิง จนเป็ดไก่แตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง สัตว์ที่นายเผ่าเกลียดที่สุดเห็นจะเป็นสุนัข เพราะเหตุใดก็ม่ทราบถ้าเห็นสุนัขวิ่งอยู่ไม่ว่าจะเป็นบริเวณบ้านแกเองหรือ ที่ของใครก็ไม่สนใจ แกจะต้องเอาไม้ค้อนมาไล่ตีเสมอๆ

นายเผ่าเป็นคนมีนิสัยไม่ค่อยพูดกับใคร แต่ถ้าพูดก็ไม่รู้สรรหาคำพูดมาจากตำราเล่มไหน แต่ละคำออกมาจากปากล้วนแต่เป็นคำที่หยาบคายเป็นคำด่าทั้งสิ้น

เหตุนี้เองทำให้เพื่อนบ้านใกล้ชิดไม่ค่อยมีใครมาสุงสิงด้วย ประกอบด้วยนายเผ่าแกเป็นคนไม่ชอบทำบุญตักบาตร ไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา ไม่ว่าจะเป็นงานทำบุญตามเทศกาลต่างๆ หรืองานของชาวบ้าน แกก็ไม่สนใจ

ไม่ไปร่วม เวลาลูกเมียบอกให้ไปทำบุญที่วัด แกก็บอกว่า”บาปบุญมีที่ไหน”บอกไม่ให้แกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แกก็ว่า”บาปไม่ได้ขี่ช้างสูบยามานี่ ฉันไม่กลัวหรอก ตัวบาปไม่เห็นมี ฉันไม่เห็นคนที่ตายไปแล้วกลับมาบอกเลยว่าบาปบุญมีหรือเปล่า”

คำพูดนี้ล้วนแต่เป็นความคิด ความเชื่อของตัวนายเผ่าเองทั้งสิ้น ซึ่งพอแก่ตัวลงอย่าว่าแต่ญาติๆเลย ลูกเมียก็ไม่ค่อยมีใครมาสนใจแก เพื่อนฝูงก็ไม่มี ลูกทั้ง 6 คน ของแกก็แต่งงานไปหมดทุกคน และก็แยกไปอยู่กับครอบครัวของตน

แล้ววันหนึ่งทุกคนไม่คาดคิดก็มาถึง นายเผ่าได้ป่วยเป็นโรคอะไรไม่มีใครรู้เป็นได้แค่ 2-3 วัน แล้วก็ตาย ซึ่งตอนที่นายเผ่าตายนั้นมีอายุได้ 60 กว่าปีแล้ว แต่ตามชนบทแถวบ้านเราถือว่ายังแก่ไม่มากพอที่จะเป็นโรคชราตาย ตอนที่นายเผ่าใกล้จะตายนั้น ก็มีอาการแปลกๆเสียงที่แกร้องฟังๆ ดูคล้ายกับเสียงสุนัขร้องเมื่อตอนที่สุนัขถูกตีเจ็บๆและบางทีก็เหมือนกับไ ก่หรือเป็ดร้อง

เมื่อนายเผ่าตายลงก็ไม่ค่อยมีคนมาทำบุญด้วย มีไม่กี่สิบคน พอถึงตอนที่จะเผาก็เผาแบบธรรมดา เองไม้แห้งมากองเองโลงศพขึ้นตั้งแล้วก็เอาไม้แห้งทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการเผาไม่มีที่เผาศพ เพราะเป็นหมู่บ้านชนบทยังไม่เจริญ ตอนเผาก็เผาราวๆ 6 โมงเย็น พอเผาเสร็จ ต่างคนก็ต่างกลับบ้าน และคิดว่ารุ่งเช้าจะมาเก็บกระดูก พอตอนเช้าพวกญาติๆก็พากันมาเก็บกระดูกแต่พอมาถึงที่เผาศพก็พบว่ากระดูกของ นายเผ่าไม่ครบส่วนที่หายไปก็คือหัวกระโหลก บางส่วนได้หายไปซึ่งต่างก็สงสัยว่าหายไปไหน จึงพากันค้นหาตามบริเวณใกล้ๆ ไม่นานก็พบหัวกะโหลกของนายเผ่าอยู่ไกลออกไปประมาณ 60 เมตร ปรากฎว่าสุนัขกำลังคาบหัวกะโหลกของนายเผ่าอยู่พวกญาติๆก็เลยพากันมาทำบุญท ี่วัดให้นายเผ่าตามประเพณี ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวบ้านอยู่หลายเดือนเ หมือนกัน

กรรมที่นายเผ่าเคยสร้างไว้กับสัตว์ต่างๆ ได้ตามมาสนองจนต้องจบชีวิตลงด้วยโรคแปลกๆ ซึ่งไม่มีใครรู้ตายแล้วแม้แต่หัวกะโหลกก็ยังถูกสุนัขคาบไปกัดแทะเล่น นี่แหละมนุษย์ผู้ไม่รู้จักบาปบุญว่าเป็นอย่างไร

บทสรุป

ตั้งแต่โบราณกาล ตราบจนเท่าทุกวันนี้ “กฎแห่งกรรม” ยัง ปรากฏให้เห็นกระจ่างชัด ไม่เคยปิดบังอำพราง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุ มีผล ประจักษ์ยานยืนยันให้มีเห็นอยู่อย่างต่อหน้าต่อตาทุกคน แล้วยังจะมีอะไรที่ต้องลังเลสงสัยอะไรอีกหรือ ขอให้สาธุชนผู้ตั้งมั่นอยู่ในความดี จงรู้ไว้เถิดว่า “กฎแห่งกรรม”นั้นมีจริงไม่คิดไม่เลยจะดีกว่า

กรรมใดที่ใครก่อ กรรมนั้นหนอตอบสนอง

เป็นไปตามครรลอง ตามกฎของคำว่ากรรม

กรรมชั่วพามั่วทุกข์ กรรมดีถูกสุขหนักหนา

กรรมใดที่ใครทำ ผลของกรรมย่อมนำมา

ก็คือกรรมของเรา กำหนดขึ้นมาเอง……



ด้วยความรัก และปรารถนาดีต่อทุกคนและตนเอง

อาจารย์ธเนศ อุ่นศิริ

ดวงอมร กฤษณัมพก

ชมรมเว็บพระพุทธศาสนา







:: คำตอบของท่าน



คอยติดตามผลงานของชมรมเว็บพระพุทธศาสนา ในชุดต่อไป แต่ต้องเรียนว่า เรื่องที่เสนอไปเป็นเรื่องจริง อ้างอิงได้ ท่านที่เคยมีประสบการณ์เรื่องเหล่านี้อยากเตือนสติผู้อื่นก็สามารถลงได้ตา มสะดวก และขออนุโมทนามา ณ.ที่นี้ด้วย

 
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 12:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนากับสิ่งดีดีที่คุธเนศ ได้กรุณานำมาแบ่งกันอ่าน

เพื่อให้ได้ทราบถึงกฏแห่งกรรม



ใครทำกรรมใดไว้ ย่อมได้รับผลกรรมนั้น

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
อยากถาม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.ย. 2005, 10:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากถามว่าคนที่แย่งหรือไปเป็นเมียน้อยเค้าและทำให้ครอบครัวของคนอื่นแตกแยกนั้นคือผิดศีลกเมข้อ3 แล้วหากว่าคนๆนั้น(ผู้หญิง) มีสามีและทำให้สามีช้ำใจจนตายด้วยวิธีการต่างๆเช่น ฆ่าตัวตาย นั้นผิดศีลข้อ 1 หรือไม่แล้วกรรมนั้นจะเป็นอย่างไรในชาตินี้ ที่ถามเพราะเคยได้ยินคนที่โดนหักหลังแบบนี้และเห็นคนที่แย่งสามีคนอื่นก็ยังสุขดีอยู่กับชายคนที่ตัวแย่งมาไม่เห็นเป็นอะไรเป็นเพราะกรรมดียังมีใช่หรือไม่ ถามเป็นความรู้
 
อยากรู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2005, 12:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วพวกผู้ชายที่ชอบพูดโกหกละค่ะ คิดแต่ได้แล้วก็ทิ้ง เวรกรรมอะไรจะตามทันค่ะ
 
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 14 ต.ค.2007, 10:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง