หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ใครจะหยาบละเอียดแค่ไหน นิสัยวาสนามีมาก มีน้อยเพียงไร จงยกตนให้เหนือกิเลสประเภทต่าง
ๆ ด้วยความเพียร จะจัดว่าเป็นผู้มีวาสนาบารมีเต็มหัวใจด้วยกัน
หากไม่มีความเพียรเป็นเครื่องแก้ อย่างไรก็นอนกอดวาสนาที่เต็มไปด้วยกิเลสตัวหยิ่ง
ๆ อยู่นั่นแล บาง...ก็ฟาดมันลงไปให้แหลกละเอียด หนา...ก็ฟาดมันลงไปให้แหลกละเอียดเหมือนกันหมด
จะสมนามว่าเป็นนักรบนักปฏิบัติเพื่อกำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึกออกจากใจโดยแท้
ถ้าจับจุดของความรู้ไม่ได้ ก็อย่าลืมคำบริกรรมภาวนา ไปที่ไหน
อยู่ในท่าอิริยาบถใด คำบริกรรมให้ติดแน่นกับจิต ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมภาวนานั้นเสมอเช่น
พุทโธ ก็ตาม อัฐิ ก็ตาม เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ บทใดก็ตาม
ให้จิตติดอยู่กับบทนั้น ไม่ให้จิตไปทำงานอื่น
ถ้าปล่อยนี้เสีย จิตก็เถลไถลไปทำงานอื่นซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสไปเสีย
ไม่ใช่เรื่องของธรรมที่เป็นความมุ่งหมายของเรา
บทธรรมที่เราตั้งขึ้นมานั้น เพื่อให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรมบทนั้น
ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมที่เรากำหนดขึ้นเอง อาศัยธรรมบทต่างๆ
เป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะของจิต ขณะทำลงไปก็เป็นธรรม จิตใจก็สงบ
นี่แล หลักการปฏิบัติที่จะทำให้จิตสงบเยือกเย็นได้โดยลำดับของนักภาวนาทั้งหลาย

เรื่องสติปัญญาต้องขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เราจะไปเอาเรื่องเก่าที่เคยเป็นมา
มาปฏิบัติไม่ได้ เป็นเรื่องนิทาน หรือเป็นเรื่องปริยัติ เป็นตำรับตำราไปเสีย
มันไม่ขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ หากว่าจะเป็นอุบายของสติปัญญาที่เคยเป็นมาแล้ว
ก็ให้เกิดขึ้นมาโดยสด ๆ ร้อน ๆ อย่าให้เกิดด้วยการคาดหมาย

การที่จะตั้งหลักตั้งฐานเบื้องต้นนี้ลำบากเหมือนกัน แม้ลำบากแค่ไหนก็อย่างถือเป็นอารมณ์
จะเป็นอุปสรรคเพื่อผลที่ตนต้องการ จงถือความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์นี้เป็นธรรมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเพิ่มพูนให้มาก
สติ ซึ่งเป็นธรรมสำคัญ จะต้องเพิ่มพูนให้มากเพื่อความเหนียวแน่นมั่นคง
เพื่อความสืบต่อแห่งการระลึกรู้ตัวเสมอ

จิตเป็นสิ่งลึกลับมากเพราะกิเลสพาให้ลึกลับ กิเลสมันเอาจิตเข้าไปหมกไปซ่อนไว้ในสถานที่ที่เราไม่อาจเอื้อมรู้ได้เห็นได้
ถูกกิเลสตัวจอมปลอมปิดบังไว้หมด ตัวมันออกหน้าออกตาหลอกลวงไว้ตลอดเวลาจึงไม่เห็นโทษของตน
ไม่เห็นโทษของกิเลสที่พาให้เกิดให้ตาย

ปัญญา...ในโอกาสที่ควรพิจารณาก็ควรพิจารณาแยกแยะทั้งภายนอกทั้งภายใน
เทียบเคียงกัน มรรคนั้นเป็นได้ทั้งภายนอกทั้งภายใน ปัญญาเป็นได้ทั้งภายนอกภายใน
ถ้าทำให้เป็นปัญญาที่เรียกว่า มรรค

ทุกขสัจนี้เป็นเหมือนหินลับปัญญานะ ถ้าเราพิจารณาแบบพระพุทะเจ้าสอน
แบบอริยสัจเป็นของจริง ๆ เรื่องทุกขเวทนานี้เป็นหินลับปัญญาให้คมกล้า
ทุกขเวทนากล้าสาหัสเข้าไปเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆ ถอยไม่ได้

เรียนไปทำไม เรียนไม่สังเกต เรียนไม่พิจารณา เรียนไม่นำมาเป็นคติเครื่องพร่ำสอนตน
จะเกิดประโยชน์อะไรเพราะการเรียนการจดจำเปล่า ๆ นั้น

การสั่งสอนอรรถสั่งสอนธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สอนตรงที่มันแบกมันหามนี่
ให้ปลดให้เปลื้องออกไปด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร แล้จะได้โปร่งโล่งเบาสบาย
อิสรเสรี คือ ใจที่หลุดพ้นจากกิเลสนี้เท่านั้น

การคลี่คลาย การพิจารณาทางด้านปัญญา ก็เพื่อแก้สิ่งจอมปลอมทั้งหลาย
ซึ่งปีนเกลียวกับธรรม คือ ความจริงล้วน ๆ ออกโดยลำดับ จิตจะเปิดเผยตัวเองขึ้นอย่างชัดเจน
ความยึดมั่นถือมั่นภายในร่างกาย เมื่อพิจารณาจนถึงขั้น อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา อย่างซึ่งภายในใจแล้ว จะยึดถือไว้ไม่ได้ จะสลัดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นภายในร่างกายนี้ออกโดยสิ้นเชิง
รู้ประจักษ์กับจิต กาย เวทนา ก็สักแต่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ตามธรรมชาติของมันเป็นความจริงแต่ละอย่างๆ
กายก็ไม่ทราบความหมายของทุกขเวทนา หรือสุขเวทนา อุเบกขาเวทนา
เวทนานั้นจะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา ก็ไม่ทราบความหมายของตน
และไม่ทราบความหมายของกายของใจ เป็นแต่ธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นตามหลักความจริงของตน
แล้วก็ดับไปตามธรรมชาติของมัน

ถ้าจิตมีสติปัญญารอบตัวอยู่แล้ว จะพิจารณารู้แจ้ง เห็นความจริงในความจริงทั้งหลาย
ทั้งส่วนเวทนาสาม แยกตัวออกโดยลำดับๆ ส่วนสัญญาสังขารไม่ต้องพูด
มันก็เป็นอาการเหมือนกันนั่นแล เกิดขึ้นแล้วดับไป มันเป็นกองไตรลักษณ์ทั้งหมด
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเบิกออก ๆ จิตถอยตัวเข้ามา การพิจารณาก็แคบเข้าไปๆ
เพราะสิ่งไรที่พิจารณารู้แจ้งเห็นจริงแล้วมันปล่อยเอง

...จิตเป็นเหมือนกัน สมาธิแน่นปึ๋งเหมือนหิน แต่มันไม่ใช้ปัญญานะสิ
ถ้าใช้ปัญญามันก็ไปรวดเร็วกว่านั้น มันเพลินกิน เพลินนอนอยู่กับสมาธินั่นเสีย
มันขี้เกียจ มันสบาย ไม่ยุ่งกับอะไร จิตอิ่มของมัน อิ่มตัวในขั้นสมาธินะ
ไม่ใช่อิ่มตัวด้วยการหลุดพ้นโดยประการทั้งปวงแล้ว มันอิ่มตัวในสมาธิไม่ยุ่งกับอารมณ์อะไร
รูปเสียงอะไร ๆ ไม่ยุ่ง สบายอยู่อย่างนั้นแบบหมูได้เขียง ไม่ได้คิดว่า
เขียงคือที่รองสับยำหมูเลย

ธรรมะ...ท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะได้เห็นความบกพร่องของตนเอง
แล้วแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ์ได้

กิเลสนี้อยู่ประจำตลอดเวลา และกล่อมสัตว์โลกได้อย่างสนิทปิดหูปิดตา
ไม่สามารถที่จะทราบว่ามีนเป็นภัยได้เลย

|