วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 08:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


พี่หญิงมีเรื่องสงสัยคันหัวใจจริงๆเลยค่ะ คือมีน้องคนนึงมาถามพี่หญิงว่า
ทำไมเราต้องไปวัดไปนั่งฟังพระสวดด้วย พี่หญิงก็ตอบไปว่าก็ไปนั่งฟัง
พระท่านสอน ที่ท่านสวดส่วนนึงคือคำสอนของพระพุทธเจ้า อีกส่วนนึง
ก็คือพิธีกรรม ระลึก สรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า น้องเขาก็ถามว่า
แล้วฟังรู้เรื่องเหรอ

เออ นั่นสิ่ ง่ะ พี่หญิงไปไม่เป็นเลยค่ะ ไม่รู้จะตอบเขายังไง เพราะพี่หญิง
เองเวลาฟังพระท่านสวดพี่หญิงก็ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ เพราะพระท่านสวด
ภาษาบาลี พี่หญิงไม่ได้เรียนภาษาบาลีซะด้วยสิ่ เรียนบ้างนิดหน่อยตอน
ประถม

สิ่งที่น้องเขาถามมันทำให้พี่หญิงคันหัวใจซะจริงเลยค่ะ อยากจะให้ผู้
ที่มีความรู้ช่วยมาขานไขให้หายข้องใจซักครา

คือสำหรับพี่หญิงเองนะคะ พี่คิดว่าหากเราฟังพระท่านสวดเป็นภาษาไทย
คือแปลไทยแล้วเราเข้าใจมันก็ดีใช่มั้ยคะ แต่นี่พระท่านสวดเป็นภาษาบาลี
แล้วเราไม่เข้าใจน่ะสิ่ แล้วเราจะฟังไปเพื่ออะไรล่ะก็ในเมื่อเราฟังไม่เข้าใจ
ฟังไปก็ไม่ได้อะไรเลย แต่เราก็ฟังๆกันมาโดยที่ไม่เอะใจ ไม่เคยสงสัยอะไร
ใช่มั้ยคะ

เด็กสมัยนี้ฉลาดกว่าเด็กสมัยก่อน ฉลาดกว่าพี่หญิงนะคะ เด็กสมัยนี้เงื่อนไขเยอะ
เดี๋ยวอย่างนั้น เดี๋ยวอย่างนี้ มีแต่คำถามตลอดเวลา คือเวลาเขาสงสัยอะไรเขาก็จะ
แสดงออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ในสิ่งที่เขาสงสัย คือเกิดคำถามอยู่ตลอดเวลา กล้าคิด
กล้าทำ ต่างกับสมัยก่อที่เวลาสงสัยแล้วไม่กล้าถาม กลัว กลัวถามแล้วโดนด่า
โดนตำหนิ โดนหาว่าก้าวร้าว เป็นเด็กไม่ดี เด็กสมัยก่อนจึงได้แต่ทำตามๆกันมา
โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่กล้าปริปากถาม ปริปากพูดอะไร เพราะกลัว
ไม่กล้าแสดงออกมากนัก

พี่หญิงว่าเด็กสมัยนี้ก็ดีนะคะ คือเราอย่าเก็บความสงสัยไว้จนวันตาย โดยไม่กล้า
ปริปากถาม ประหนึ่งว่าสิ่งที่สงสัยนั้นเป็นสิ่งลี้ลับที่ห้ามแตะต้อง มิฉะนั้นจะโดนผี
หักคอ

พี่ๆน้องๆช่วยมาตอบข้อสงสังพี่หญิงทีนะคะว่า เราฟังพระสวดกันไปทำไมโดยที่เรา
ไม่รู้ความหมายของมันเลย เพราะพระท่านไม่ได้สวดแปลไทย ท่านสวดแต่บาลีล้วนๆ
มันดีสำหรับคนที่เรียนบาลีมาเพราะเขาเข้าใจความหมายของมัน แล้วคนที่ไม่ได้เรียน
บาลีมาล่ะ เขาฟังไปก็ไม่รู้ความหมาย แล้วทำไมต้องฟังคะ ฟังเพื่ออะไร เพราะฟังไป
ก็ไม่เข้าใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบจากประสบการณ์ส่วนตัวเลยนะ :b12:
ตอนเป็นเด็กคุณน้องก็ฟังพระสวดและไม่รู้ความหมาย แต่คุณน้องมีความศรัธรามากในขณะที่ฟัง และเรามีความตั้งใจฟังในเสียงสวด ในขณะนั้นจิตก็เกิดความรู้สึกสงบรู้สึกปิติปราศจากความคิดทั้งหลายไม่ฟุ้งซ่าน
จิตสงบระวับจากนิวรณ์ ซึ่งการฟังพระสวดก็ทำให้ได้อานิสงค์จากการฟังเช่นกัน เพราะเมื่อเราตั้งใจฟังอย่างสงบปราศจากความคิดทั้งหลายปราศจากความฟุ้งซ่าน จิตเราก็เป็นสมาธิปราศจากนิวรณ์ จิตใจเราก็เบิกบานบานผ่องใสไม่ขุ่นมัว คนที่ฟังพระสวดแม้เข้าใจบาลีทุกคำแต่ขณะที่ฟังแต่จิตใจไม่สงบคิดนั่นคิดนี่ ก็ไม่ได้อานิสงค์เหมือนคนที่ตั้งใจฟังพระสวดด้วยความศรัทธราและจิตก็ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ จิตใจก็เป็นกุศล สงบไม่ฟุ้งซ่านปราศจากนิวรณ์ครอบงำ :b1: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าฟังสวดแล้วเราสบายใจ พี่หญิงฟังพี่ก็สบายใจนะคะ แต่เราไม่รู้ความหมาย
จึงทำให้ไม่เกิดความทราบซึ้ง ไม่เกิดความรู้ ไม่เกิดปัญญาจากการฟังพระสวด

เปรียบเสมือนคนฟังเพลง อย่าเช่นพี่หญิงฟังเพลงอินเดีย พี่หญิงก็ฟังเพราะดนตรี
ไพเราะ แต่ไม่รู้ว่าเขาร้องว่ายังไง เพราะไม่รู้ภาษาเขา แต่ชอบดนตรีสนุกดี รู้สึก
เบิกบานใจ

หรือไม่ก็เหมือนกับเราไปฟังคอนเสิร์ตดงบังชินกิ เราไม่รู้ภาษาเกาหลี่ แต่เราชอบ
ดนตรีที่เขาเล่น รู้สึกสนุก เบิกบานใจ

เช่นเดียวกันกับฟังพระท่านสวดบาลี เรารู้สึกสบายใจ เบิกบานใจ แต่เราไม่เกิด
ความทราบซึ้ง ความปิติ เพราะเราไม่รู้จะเอาอะไรมาทราบซึ้ง ไม่รู้จะเอาอะไร
มาปิติ ก็ในเมื่อเราไม่รู้ความหมาย จะให้เราทราบซึ้งกับอะไร

มันก็เหมือนๆกับการทานอาหาร หากปากเรารับรดชาดได้ปกติ เมื่อเราทานอาหาร
อร่อยถูกปาก เราก็เกิดความทราบซึ้งในรสชาดอาหารนั้น เพราะปากเรารู้รส เราประ
ทับใจกับรสชาด เราจึงเกิดความปิติ เบิกบาน

แต่ถ้าหากมีวันนึงเราป่วย ปากเราไม่รู้รสชาด ต่อให้เป็นอาหารเหลา อร่อยขั้นเทพ
พอทานเข้าไปมันก็ไม่ทำให้เราทราบซึ้ง ไม่ทำให้เราปิติไปได้หรอกค่ะ เพราะทาน
ไปก็ไม่รู้รส เมื่อไม่รู้รส จะเอาอะไรมาปิติ เอาอะไรมาเบิกบาน จริงมั้ยคะ

หรืออีกตัวอย่า ถ้ามีคนล่ำลือว่าคุณน้องสวย คุณกรัชกายหล่อขั้นเทพ แต่บังเอิญว่า
พี่หญิงตาบอด พี่หญิงจะรู้มั้ยล่ะว่าคุณน้องและคุณกรัชกาย หล่ออย่างไร สวยอย่างไร
ก็ในเมื่อมองไม่เห็น

ก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ อย่าคิดว่าเป็นการเถียงกันหรือโต้กันไปมาเลยนะคะ
แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆที่เกิดความสงสัย เมื่อยังไม่กระจ่างก็จะถามไปถามมาเท่านั้นเองค่ะ

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




index.jpg
index.jpg [ 9.21 KiB | เปิดดู 4914 ครั้ง ]
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:



พูดกับคนไม่รู้เข้าใจช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาหิมาลัยอีกน่า ศีล คือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย สมาธิคือตั้งใจฟัง (จะฟังออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ) ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นสมาธิเกิดแล้ว :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาเทียบเคียง...จากกระทู้นี้

การทำวัตร-สวดมนต์ (พระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=18485

และจากบอร์ด...การสวดมนต์ คาถา และฟังธรรม นี้
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=28

จะเข้าใจ สิ้นสงสัย ได้ด้วยตนเองค่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:



พูดกับคนไม่รู้เข้าใจช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาหิมาลัยอีกน่า ศีล คือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย สมาธิคือตั้งใจฟัง (จะฟังออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ) ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นสมาธิเกิดแล้ว :b1:

ถ้าพี่คิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก พี่ก็ไม่สามารถให้ธรรมทานผู้อื่นได้ พี่ไม่สามารถให้ธรรมทานแก่ผู้ที่ยังขาดปัญญา ผู้ที่ยังขาดความรู้ทางธรรมได้ ธรรมทานที่อยู่เหนือการให้ทั้งปวง หมายถึง การชี้ทางให้ผู้ที่ยังขาดความเข้าใจในทางธรรม แต่พอเค้าได้คำชี้แนะจากเราก็ทำให้เค้าเกิดสัมมาทิฐฐิและปฏิบัติตามนั้น โดยไม่มีความลังเลสงสัยในธรรม นั้นคือการให้ธรรมทานที่แท้จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบังคับเค้าว่า ต้องถือศีล5นะ ต้องสวดมนต์นะ ต้องนั่งสมาธินะ ต้องอย่างงั้นอย่างนี้นะแบบนั้นไม่ใช่ธรรมทานนะเจ้าค่ะ เพราะบอกเค้าไปถ้าเค้าไม่ทำตามหรือทำตามแต่สักแต่ว่าทำไปแบบขาดความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ธรรมทาน :b13:
ปล.ถึงแม้เราจะให้ธรรมทานแก่เค้าแล้วแต่ท้ายสุดก็ขึ้นอยู่กับตัวเค้าเองด้วยว่าจะเข้าใจตามนั้นได้หรือไม่ แล้วแต่บุญแต่กรรมนะ :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:



พูดกับคนไม่รู้เข้าใจช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาหิมาลัยอีกน่า ศีล คือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย สมาธิคือตั้งใจฟัง (จะฟังออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ) ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นสมาธิเกิดแล้ว :b1:



ถ้าพี่คิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก พี่ก็ไม่สามารถให้ธรรมทานผู้อื่นได้ พี่ไม่สามารถให้ธรรมทานแก่ผู้ที่ยังขาดปัญญา ผู้ที่ยังขาดความรู้ทางธรรมได้ ธรรมทานที่อยู่เหนือการให้ทั้งปวง หมายถึง การชี้ทางให้ผู้ที่ยังขาดความเข้าใจในทางธรรม แต่พอเค้าได้คำชี้แนะจากเราก็ทำให้เค้าเกิดสัมมาทิฐฐิและปฏิบัติตามนั้น โดยไม่มีความลังเลสงสัยในธรรม นั้นคือการให้ธรรมทานที่แท้จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบังคับเค้าว่า ต้องถือศีล5นะ ต้องสวดมนต์นะ ต้องนั่งสมาธินะ ต้องอย่างงั้นอย่างนี้นะแบบนั้นไม่ใช่ธรรมทานนะเจ้าค่ะ เพราะบอกเค้าไปถ้าเค้าไม่ทำตามหรือทำตามแต่สักแต่ว่าทำไปแบบขาดความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ธรรมทาน :b13:


ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่


กำลังพูดกับคนๆนี้ คิกๆๆ ไม่รู้เข้าใจพุทธธรรม ถึงได้บอกก่อนหน้าให้ไปที่บอร์ด...โน่นไง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:



พูดกับคนไม่รู้เข้าใจช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาหิมาลัยอีกน่า ศีล คือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย สมาธิคือตั้งใจฟัง (จะฟังออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ) ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นสมาธิเกิดแล้ว :b1:



ถ้าพี่คิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก พี่ก็ไม่สามารถให้ธรรมทานผู้อื่นได้ พี่ไม่สามารถให้ธรรมทานแก่ผู้ที่ยังขาดปัญญา ผู้ที่ยังขาดความรู้ทางธรรมได้ ธรรมทานที่อยู่เหนือการให้ทั้งปวง หมายถึง การชี้ทางให้ผู้ที่ยังขาดความเข้าใจในทางธรรม แต่พอเค้าได้คำชี้แนะจากเราก็ทำให้เค้าเกิดสัมมาทิฐฐิและปฏิบัติตามนั้น โดยไม่มีความลังเลสงสัยในธรรม นั้นคือการให้ธรรมทานที่แท้จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบังคับเค้าว่า ต้องถือศีล5นะ ต้องสวดมนต์นะ ต้องนั่งสมาธินะ ต้องอย่างงั้นอย่างนี้นะแบบนั้นไม่ใช่ธรรมทานนะเจ้าค่ะ เพราะบอกเค้าไปถ้าเค้าไม่ทำตามหรือทำตามแต่สักแต่ว่าทำไปแบบขาดความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ธรรมทาน :b13:


ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่


กำลังพูดกับคนๆนี้ คิกๆๆ ไม่รู้เข้าใจพุทธธรรม ถึงได้บอกก่อนหน้าให้ไปที่บอร์ด...โน่นไง :b32:

อิตานี่มีสิทธิ์อะไรมาไล่เราไปบอร์ดโน้นบอร์ดนี้ เป็นเจ้าชีวิตเราตั้งกะมะไหร่ :b32: ธรรมมะของคุนน้องคือธรรมทาน คือการชี้แนะผู้อื่นด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่ใช่การพูดธรรมมะหรือถกธรรมเพื่อจะแข่งดีกะใคร เข้าใจไว้ซะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:08
โพสต์: 92

แนวปฏิบัติ: สมถะกรรมฐาน
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: การทำสังฆทาน
ชื่อเล่น: ไผ่
อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คงเป็นการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อ่ะครับ ตามความคิดผมนะ และก็ตอนกล่าวถึงพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พระธรรม มันก็ได้ยินนะบางครั้งในภาษาบาลีหรือสัณกฤตก็มีคำพวกนี้เช่น พุทธะ สังฆะ อะไรประมาณนี้ พอเราฟังแล้วเราก็ชื่นใจ รู้ถึงพระคุณท่าน และการตั้งใจฟังจนใจจดใจจ่อจนเสียงรวมเป็นหนึ่งกับใจเราก็ทำให้เรามีสมาธิไงครับ และอาจจะไปหาความหมายเพิ่มเติมนะหนังสือสวดมนต์ก็ได้ครับ ประมาณนี้นะ ผมว่าฟังแล้วมีสมาธิครับ ทำให้เกิดสติปัญญาทบทวนด้วยครับ พี่หญิง

.....................................................
อย่าได้เห็นแก่ความสุข สนุกสนานชั่วครู่คราว
เพราะผลกรรมที่ตามมามันสุดแสนจะ
ทุกข์ทรมาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:



พูดกับคนไม่รู้เข้าใจช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาหิมาลัยอีกน่า ศีล คือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย สมาธิคือตั้งใจฟัง (จะฟังออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ) ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นสมาธิเกิดแล้ว :b1:



ถ้าพี่คิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก พี่ก็ไม่สามารถให้ธรรมทานผู้อื่นได้ พี่ไม่สามารถให้ธรรมทานแก่ผู้ที่ยังขาดปัญญา ผู้ที่ยังขาดความรู้ทางธรรมได้ ธรรมทานที่อยู่เหนือการให้ทั้งปวง หมายถึง การชี้ทางให้ผู้ที่ยังขาดความเข้าใจในทางธรรม แต่พอเค้าได้คำชี้แนะจากเราก็ทำให้เค้าเกิดสัมมาทิฐฐิและปฏิบัติตามนั้น โดยไม่มีความลังเลสงสัยในธรรม นั้นคือการให้ธรรมทานที่แท้จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบังคับเค้าว่า ต้องถือศีล5นะ ต้องสวดมนต์นะ ต้องนั่งสมาธินะ ต้องอย่างงั้นอย่างนี้นะแบบนั้นไม่ใช่ธรรมทานนะเจ้าค่ะ เพราะบอกเค้าไปถ้าเค้าไม่ทำตามหรือทำตามแต่สักแต่ว่าทำไปแบบขาดความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ธรรมทาน :b13:


ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่


กำลังพูดกับคนๆนี้ คิกๆๆ ไม่รู้เข้าใจพุทธธรรม ถึงได้บอกก่อนหน้าให้ไปที่บอร์ด...โน่นไง :b32:


อิตานี่มีสิทธิ์อะไรมาไล่เราไปบอร์ดโน้นบอร์ดนี้ เป็นเจ้าชีวิตเราตั้งกะมะไหร่ :b32: ธรรมมะของคุนน้องคือธรรมทาน คือการชี้แนะผู้อื่นด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่ใช่การพูดธรรมมะหรือถกธรรมเพื่อจะแข่งดีกะใคร เข้าใจไว้ซะ :b13:



ไม่ได้ไล่ เพียงถามว่าเคยพากันเดินไปที่นั่นมั้ย ดูๆจริตคุณน้องกับที่นั่นเหมือนไปกันได้ คิกๆๆ :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2013, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
น่าจะได้ สอง ขั้น คือ ศีล กับ สมาธิ :b1:

ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่ :b32:



พูดกับคนไม่รู้เข้าใจช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก ยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาหิมาลัยอีกน่า ศีล คือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย สมาธิคือตั้งใจฟัง (จะฟังออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ) ตั้งแต่ต้นจนจบ นั่นสมาธิเกิดแล้ว :b1:



ถ้าพี่คิดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรก พี่ก็ไม่สามารถให้ธรรมทานผู้อื่นได้ พี่ไม่สามารถให้ธรรมทานแก่ผู้ที่ยังขาดปัญญา ผู้ที่ยังขาดความรู้ทางธรรมได้ ธรรมทานที่อยู่เหนือการให้ทั้งปวง หมายถึง การชี้ทางให้ผู้ที่ยังขาดความเข้าใจในทางธรรม แต่พอเค้าได้คำชี้แนะจากเราก็ทำให้เค้าเกิดสัมมาทิฐฐิและปฏิบัติตามนั้น โดยไม่มีความลังเลสงสัยในธรรม นั้นคือการให้ธรรมทานที่แท้จริง
แต่ไม่ได้หมายความว่าไปบังคับเค้าว่า ต้องถือศีล5นะ ต้องสวดมนต์นะ ต้องนั่งสมาธินะ ต้องอย่างงั้นอย่างนี้นะแบบนั้นไม่ใช่ธรรมทานนะเจ้าค่ะ เพราะบอกเค้าไปถ้าเค้าไม่ทำตามหรือทำตามแต่สักแต่ว่าทำไปแบบขาดความเข้าใจ ก็ไม่ใช่ธรรมทาน :b13:


ตอบอะไรแบบนี้ไร้แก่นสาร ไม่น่าเชื่อถือ ตอบให้มันเหมือนคนมีปัญญาทางพุทธศาสนาหน่อยสิพี่


กำลังพูดกับคนๆนี้ คิกๆๆ ไม่รู้เข้าใจพุทธธรรม ถึงได้บอกก่อนหน้าให้ไปที่บอร์ด...โน่นไง :b32:


อิตานี่มีสิทธิ์อะไรมาไล่เราไปบอร์ดโน้นบอร์ดนี้ เป็นเจ้าชีวิตเราตั้งกะมะไหร่ :b32: ธรรมมะของคุนน้องคือธรรมทาน คือการชี้แนะผู้อื่นด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่ใช่การพูดธรรมมะหรือถกธรรมเพื่อจะแข่งดีกะใคร เข้าใจไว้ซะ :b13:



ไม่ได้ไล่ เพียงถามว่าเคยพากันเดินไปที่นั่นมั้ย ดูๆจริตคุณน้องกับที่นั่นเหมือนไปกันได้ คิกๆๆ :b13:

คุนน้องเคยสมัครพร้อมกับเวปธรรมจักร แต่คุนน้องไม่ได้เข้านานแล้ว มีสองสามวันที่เว็ปธรรมจักรเข้าไม่ได้คุนน้องก็เข้าเว็ปพี่กรัชกายบ้าง เข้าญานทิพย์บ้าง คุนน้องว่าถ้าจะเข้าเว็ปญานทิพย์ คุนน้องเข้าไปอ่านเว็ปพลังจิตยังสนุกกว่าอีก :b32: อ้อแล้วอีกอย่างนึงถ้าพี่คิดว่าจริตคุนน้องเหมาะกับที่นั่น ทำไมคุนน้องถึงไม่ไปดักดานอยู่ที่นั่น มาสิงสถิตทำไมเว็ปธรรมจักร อย่าพูดมากนะเด่วงอนจะไม่เข้ามาคุยด้วยเลย อิอิ :b31:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2013, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


การฟังพระสวดนั้น student มีความเห็นว่าสำคัญมาก และอาจบรรลุธรรมได้เช่นกัน เพราะเรามีจุดมุ่งหมายในการฟัง เราต้องตั้งคำถามว่า มีอะไรในนั้น studentเอง แย่กว่าคนอื่น เพราะไม่เข้าใจเวลาพระสวด แต่studentมีจุดมุ่งหมาย เวลาฟัง studentได้สัมผัสธรรม ธรรมที่เป็นของจริงอีกรูปแบบหนึ่ง ธรรมที่เป็นของจริงที่ลำดับการเกิดดับของนามรูปได้อย่างชัดเจนมาก คือโสตนั่นเอง หากเราตั้งใจฟังและพิจารณาการทำงานของโสต จะเห็นได้อย่างชัดเจน และเป็นการฝึกฝนการตั้งจิตไปที่โสตสำหรับผู้ที่ฝึกวิปัสสนาภาวนาเป็นอย่างดี จังหวะของพระสวดนั้น เป็นจังหวะที่ทำให้การเกิดดับของผัสสะสมบูรณ์และชัดเจนกว่าผัสสะทางโสตที่เกิดขึ้นในรูปแบบอื่น เช่น แตรรถในท้องถนน เกืดขึ้นไม่สม่ำเสมอและเรียงตัว ฟังและพิจารณาตามยากกว่า แต่ รถที่วิ่งผ่านหน้าเรานั้น เรากลับพิจารณาเสียงได้ง่ายกว่า เพราะรู้จังหวะตั้งแต่เสียงเกิดจนดับลง (รถห่างจากไป) student ถือเอาการฟังเสียง เป็นการฝึกที่สำคัญมาก เพราะตั้งแต่เริ่มฝึกสมาธิหากย้อนกลับไปอ่านกระทู้เก่าๆจะเห็นได้ว่ามีคำถามเรื่องเกี่ยวกับเสียงเยอะมาก

การเรียงลำดับเสียงที่เรียบร้อย ทำไห้เราได้พิจารณาธรรมที่ชัดเจนขึ้น การฟังพระสวดนั้น ถือเป็นโอกาสที่ดีมากในการฝึกความเพียรอีกรูปแบบหนึ่งครับผม

นี่คือตัวอย่างของจุดมุ่งหมายในการฟังพระสวด แต่ก็มีจุดมุ่งหมายอื่นๆ เช่น ฟังแล้วเกิดศรัทธา เกิดสมาธิ มีปิติจากการฟัง นั่นเองครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2013, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองอ่านลิ้งนี้ดูครับอาจจะทำให้เจ้าของกระทู้คลายความสงสัยได้
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=44730

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 156 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร