วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ sirisuk ทำได้รึยังคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 5609 ครั้ง ]
:b1: :b1: ข้อความเปิดได้แล้วค่ะ

:b8: :b8: ขอบคุณทุกข้อความค่ะ :b8: :b8:

:b39: :b39: :b39: ธรรมเหล่านั้นมันเป็นของโลก

...ดู...รู้...ปล่อยให้มันเป็นของโลก...อย่าไปยึดเกาะมัน...

"เวลามีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทอง"
:b39: :b39: :b39:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
:b10: เปิดอ่านข้อความไม่เป็นค่ะ...ทำไงบ้างค่ะ... :b12: :b12:

แล้วถ้าจะส่งข้อความออกจะทำยังไงบ้างค่ะ ... :b12: :b12: :b12:

:b15: :b15: เหมือนกันค่ะ เปิดอ่านได้ แต่ส่งออกไม่เป็นค่ะ สอนด้วยนะคะ :b9: :b15: :b9: :b15:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
sirisuk เขียน:
:b10: เปิดอ่านข้อความไม่เป็นค่ะ...ทำไงบ้างค่ะ... :b12: :b12:

แล้วถ้าจะส่งข้อความออกจะทำยังไงบ้างค่ะ ... :b12: :b12: :b12:

:b15: :b15: เหมือนกันค่ะ เปิดอ่านได้ แต่ส่งออกไม่เป็นค่ะ สอนด้วยนะคะ :b9: :b15: :b9: :b15:


กรณี...ตอบกลับบุคคลที่ส่งบทความมาให้เรา
ตอนเปิดอ่าน
ให้ลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสุดหน้า จม. จะเห็น ปุ่ม "อ้างอิง" "reply" กดตรงนี้ค่ะ
และจะเกิดกรอบให้ พิมพ์ข้อความ...
พอพิมพ์เสร็จก็ เลื่อนหน้ากระดาษลงมาด้านล่างจะเห็นปุ่ม "ส่ง submit" ค่ะ


กรณีจะส่งให้ใคร
เมื่ออยู่ในหน้ากระดาน คลิกที่ชื่อผู้ที่เราจะส่งไปหา
จะเห็น block ประวัติส่วนตัว...
ที่ใต้รูปประจำสมาชิก จะเห็น "ภาพซองจดหมาย@" และ ภาพ "กระดาษดินสอ"
เลือก... "ซองจดหมาย" ส่งไปยัง mail
เลือก..."กระดาษและดินสอ"... ส่งไปยัง กล่องข้อความส่วนตัว...
ซึ่งจะขึ้นพื้นที่ให้เขียน...ค่ะ... :b4: :b4:

หรืออยู่ที่ ข้อความนี้ จะส่งหาเอกอน
ไม่ดูขอมูลด้านซ้าย...ที่เป็นข้อมูลของเอกอน...เห็นรูป "กระดาษดินสอ" ได้เหมือนกันค่ะ...

เดี๋ยวเอกอน จะส่งไปนะคะ ถ้าคุณตอบกลับมา แสดงว่า เป็นแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 24 ก.พ. 2010, 18:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
O.wan เขียน:
sirisuk เขียน:
:b10: เปิดอ่านข้อความไม่เป็นค่ะ...ทำไงบ้างค่ะ... :b12: :b12:

แล้วถ้าจะส่งข้อความออกจะทำยังไงบ้างค่ะ ... :b12: :b12: :b12:

:b15: :b15: เหมือนกันค่ะ เปิดอ่านได้ แต่ส่งออกไม่เป็นค่ะ สอนด้วยนะคะ :b9: :b15: :b9: :b15:


กรณี...ตอบกลับบุคคลที่ส่งบทความมาให้เรา
ตอนเปิดอ่าน
ให้ลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสุดหน้า จม. จะเห็น ปุ่ม "อ้างอิง" "reply" กดตรงนี้ค่ะ
และจะเกิดกรอบให้ พิมพ์ข้อความ...
พอพิมพ์เสร็จก็ เลื่อนหน้ากระดาษลงมาด้านล่างจะเห็นปุ่ม "ส่ง submit" ค่ะ


กรณีจะส่งให้ใคร
เมื่ออยู่ในหน้ากระดาน คลิกที่ชื่อผู้ที่เราจะส่งไปหา
จะเห็น block ประวัติส่วนตัว...
ที่ใต้รูปประจำสมาชิก จะเห็น "ภาพซองจดหมาย@" และ ภาพ "กระดาษดินสอ"
เลือก... "ซองจดหมาย" ส่งไปยัง mail
เลือก..."กระดาษและดินสอ"... ส่งไปยัง กล่องข้อความส่วนตัว...
ซึ่งจะขึ้นพื้นที่ให้เขียน...ค่ะ... :b4: :b4:

หรืออยู่ที่ ข้อความนี้ จะส่งหาเอกอน
ไม่ดูขอมูลด้านซ้าย...ที่เป็นข้อมูลของเอกอน...เห็นรูป "กระดาษดินสอ" ได้เหมือนกันค่ะ...

เดี๋ยวเอกอน จะส่งไปนะคะ ถ้าคุณตอบกลับมา แสดงว่า เป็นแล้ว


:b8: :b8: ขอบคุณค่ะ คุณเอรากอน... :b38: :b37: :b4: :b4:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b36: ขอเก็บข้อความถูกใจไว้อ่านค่ะ...เจ้าของข้อความคงไม่สงวนลิขสิทธิ์นะค่ะ

chalermsak เขียน:
อ้างคำพูด:
อายะเขียน
ท่านเหลิมครับ
ประสบการณ์ปฏิบัติของท่านแม้เวทนาระดับประถมยังไม่สามารถทนได้
แล้วผันตัวเองมาเผยแพร่ธรรมมะปฏิบัติ จากการอ่าน มันจะดีหรือคับ


นี่คือความเห็นที่เชื่อตามอาจารย์กันถึงแนวทางการปฏิบัติ ว่าต้องสามารถทนทุกข์ให้ได้
แล้วออกมาเผยแพร่สอนสอนตามกันมาในรูปแบบ

ภาวนาทุกข์หนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วให้ทุกข์นั้นหายไปด้วยอำนาจของ สมาธิ ( ถ้าทนได้จริง )

คุณอายะครับ ขอตั้งข้อสังเกตนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสรู้เพราะทนนั่งสมาธิ
บำเพ็ญทุกกรกริยา ทรมานตนเอง จนถึงที่สุดนะครับ

พระพุทธองค์ทรงสอน ให้กำหนดรู้ในทุกข์ครับ

หากคุณอายะ ยังไม่เข้าใจ ลองศึกษา พระวิปัสสนาจารย์ผู้ทรงพระไตรปิฏก ท่านบรรยายไว้ดังนี้

ทุกข์และการกำหนดทุกข์

http://larndham.org/index.php?showtopic=33557
กิจของอริยสัจ มีอย่างไร ?

ในอริยสัจนี้พระพุทธองค์ท่านวางกิจไว้อย่างไร? คือการปฏิบัติในอริยสัจธรรมนี้ เราจะทำอย่างไร?
อริยสัจนั้นมี ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และท่านวางกิจในอริยสัจไว้ดังนี้

๑. ทุกข์ เป็นกิจที่ต้องกำหนดรู้

๒. สมุทัย เป็นกิจที่ต้องละให้หมดไป

๓. นิโรธ เป็นกิจที่ต้องทำให้แจ้ง

๔. มรรค เป็นกิจที่ต้องเจริญให้เกิดขึ้น

เราต้องเข้าใจในกิจ หน้าที่อย่างนี้เสียก่อน เมื่อเราเข้าใจในกิจหน้าที่ของอริยสัจดีแล้ว
เวลาปฏิบัติก็ให้เป็นไปตามกิจ หรือหน้าที่นั้น
!
!
การกำหนดว่า ทุกข์หนอ ๆ แล้วทุกข์ก็หายไป เมื่อทุกขเวทนาหายไปแล้วก็เท่ากับว่า
ผู้นั้นต้องการให้สติปัฏฐานหายไป ตัวเวทนานั้นเป็นสติปัฏฐาน ท่านชี้แจงให้เรากำหนดเวทนา
โดยจะเป็นสุข หรือทุกข์ก็ตาม เมื่ออันใดเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้กำหนดแต่ละอย่าง ก็สามารถจะบรรลุ
พระนิพพานได้

แต่เมื่อมหาสติปัฏฐานเกิดขึ้นแล้ว กลับทำให้ความรู้สึกให้มหาสติปัฏฐานนั้นหมดไป ซึ่งถ้าพิจารณา
ดูด้วยเหตุผลแล้ว จะเป็นการถูกต้องไหม? เมื่อการปฏิบัติเช่นนี้ โดยทุกขเวทนาหายไปด้วยอำนาจ
การบังคับ ก็จะรู้สึกว่า ตัวเขาบังคับได้ ที่ถูกแล้วท่านกล่าวว่า ให้ดูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นเท่านั้น
ท่านไม่ได้สั่งให้ดูทุกขเวทนาเพื่อจะให้ทุกขเวทนาหายไป

ในมหาสติปัฏฐานนั้น ท่านให้ดูทุกขเวทนาซึ่งเป็นนามธรรม ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เที่ยง
ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครสามารถจะบังคับได้ นี่ ท่านให้ดูอย่างนี้

ทุกขเวทนานั้นเป็นนามธรรม มาจากเบญจขันธ์ ให้แลเห็นทุกข์โทษของเบญจขันธ์ แล้วความอาลัย
ความต้องการในเบญจขันธ์ ก็จะได้หมดไป ยิ่งเห็นทุกข์เห็นโทษในเวทนามากเท่าไหร่ ก็จะเป็นเหตุ
ให้การบรรลุพระนิพพานใกล้เข้ามาเท่านั้น

ถ้าทุกขเวทนาไม่มี ก็ต้องมีสุขเวทนา สุขเวทนาไม่มี ก็ต้องมีอุเบกขาเวทนา อันใดอันหนึ่ง
เพราะเวทนานี้ ประกอบกับจิตทั้งหมดทุกดวง ทั้ง ๘๙ ดวง ไม่มีเลยที่จะไม่ประกอบด้วยเวทนา

เพราะฉะนั้น เมื่อบังคับให้ทุกขเวทนาหายไป หรือหมดไปแล้ว ก็แสดงว่า ผู้ปฏิบัตินั้นไม่พอใจใน
ทุกขเวทนาและก็ยินดีสุขเวทนา การที่ยินดีพอใจในสุขเวทนา ก็คือยินดีพอใจในตัวเบญจขันธ์นั่นเอง

เมื่อทุกขเวทนาที่บังคับให้หายนั้นหมดไปแล้ว อะไรเล่า ที่จะมีมาแทน ก็สุขเวทนานั่นเอง
จะเกิดขึ้นมาแทน ด้วยอำนาจของสมาธิที่มีกำลังมาก เพราะทำให้ผู้นั้น รู้สึกเป็นสุขความพอใจนั้น
เช่นนี้แล้ว จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้อย่างไร ? เรื่องที่เรียนมานี้ ท่านคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว
ถ้าหากว่าท่านไปพบอย่างนี้เข้า ก็จะพิจารณาได้ว่า เป็นการถูกต้องตามเหตุผลหรือไม่ ?

--------------------------------------------------------------------------------

อ้างคำพูด:
กบนอกกะลา เขียน
หรือว่า..คุณ..เฉลิมศักดิ์..เข้าใจ..

ในสิ่งที่ พระไตรปิฏก อรรถกถา และพระวิปัสสนาจารย์ท่านบรรยายไว้..

...แล้วหรือยังครับ...???

หาก..เข้าใจแล้ว..แล้วคุณ..เฉลิมศักดิ์..เห็นจริงตามนั้น..มั้ยครับ???

ปล. ขออภัย..อ่านคำของท่านแล้วเกิดอาการคัน..นะครับ



คุณกบครับ ผมเข้าใจครับ โดยนัย ปริยัติ และกำลังฝึกหัดปฏิบัติ ในการกำหนดรู้ในทุกข์
ที่ถูก อิริยาบถต่าง ๆ ปิดบังไว้อยู่ครับ แต่วิปัสสนาปัญญายังไม่เกิดนะครับ

เหตุผลในการกำหนดอิริยาบถ โดยอาจารย์บุญมี เมธางกูร
http://www.abhidhamonline.org/Ajan/BM/hatpol.doc
ด้วยเหตุนี้ ในพุทธศาสนาจึงพูดว่า เรานั้นวิปลาส แปลว่า จิตคิดผิดไปจากความจริง หรือแปลว่า
เป็นบ้า เราไม่เคยคิดว่า ยืน เดิน นั่ง นอน นี้ลำบาก และเป็นเพราะทุกข์ ทำให้ต้องมี
การเปลี่ยนแปลง จากการศึกษาเล่าเรียน ทำให้รู้ว่าอำนาจของทุกข์ที่บีบคั้น ทำให้เราต้องมี
การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนไปเพราะความสุข

การรู้ขึ้นมาในใจเป็น ปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการรู้นี้ เรียกว่า สุตามยปัญญา

แต่ถ้าหากผู้ใดได้นำความรู้นี้ไปปฏิบัติ กำหนดแล้วเห็น ผู้นั้นจะได้ชื่อว่ามีปัญญาชนิด
จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการพิจารณา

ถ้าหากได้ญาณปัญญา เวลาปฏิบัติก็จะได้ปัญญาชนิด ภาวนามยปัญญา คือ นามรูปปริจเฉทญาณ
ตามนัยซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ

เมื่อปฏิบัติรู้ว่า ยืนเป็นรูป เดินเป็นรูป และรู้ว่ารูปนี้เป็นทุกข์ เราจะได้ นามรูปปริจเฉทญาณ
ตามนัยปริยัติ แปลว่าเล่าเรียนศึกษาแล้วเข้าใจ

แต่เมื่อลงมือปฏิบัติ เรามองเห็นว่า ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเพราะเรามีทุกข์มาบังคับ
จึงเปลี่ยนอิริยาบถ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกข์เกิดขึ้นจากอิริยาบถโดยตรง เช่น จะต้องทานอาหาร
ไปเข้าห้องน้ำ เป็นต้น คือต้องลุกจากที่ เพราะอำนาจของทุกข์มาบีบคั้น ให้เราต้อง
ผันแปรอิริยาบถ หาใช่ความสุข
ถ้ามีการพิจารณาเช่นนี้ในระหว่างปฏิบัติแล้ว ก็ได้ชื่อว่ามีญาณปัญญาเกิด จะได้
นามรูปปริจเฉทญาณ ตามนัยแห่งการปฏิบัติ กล่าวคือ เห็นว่าการยืน เดิน นั่ง นอนนี้เป็นทุกข์
เห็นว่าการยืน เดิน นั่ง นอนเป็นรูป ไม่ใช่เป็นนาม หรือไม่ใช่เป็นเรา

การเห็นเช่นนี้ แปลว่า จิตของเราน้อมเข้าไปรู้และเห็น นามอันหนึ่ง รูปอันหนึ่ง ส่วน
นามรูปปริจเฉทญาณ ตามนัยของวิปัสสนา จะเป็นไปอีกอย่าง กล่าวคือ จะต้องเข้าใจจริงๆ
ประกาศขึ้นมาในใจเลย

--------------------------------

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 00:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1-5.jpeg
1-5.jpeg [ 27.86 KiB | เปิดดู 5532 ครั้ง ]
:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

ต่างมุม ต่างวาระ ต่างความคิด จึงผิดไป

สาร(ภาษา) – คนสื่อสาร – คนรับสาร – ประสบการณ์ – ความนึกคิด
เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสื่อสาร บางครั้งอาจเข้าใจตรงกันบ้าง
บางครั้งอาจจะเข้าใจไปคนละทางบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

จากจิตจากใจ…ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเพื่อนไม่ว่าเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น

หากคิดย้อนกลับ

มุมที่ 1 เราเข้าไปสถานที่แห่งหนึ่งโดยมีเพื่อนอยู่ แต่เพื่อนไม่รู้ว่าเราคือเรา
หากเราไม่มีความรู้สึกดีดีในจิตในใจ เราจะเข้าไปทำไม หรือเพื่อนอาจคิดว่าเข้าไปเพราะ
มีบางสิ่งดึงเข้าไป นั้นก็อาจใช่ แต่การแสดงออกของเราที่มีต่อเพื่อนเป็นเช่นไร
เพื่อนคงรับรู้ได้ บอกให้ก็ได้ว่ารู้สึกเหมือนผู้มีพระคุณ เหมือนเป็นเพื่อนรัก
หากเรารู้สึกเป็นอย่างอื่นเราจะแสดงกิริยาใดต่อเพื่อนก็ได้ เพราะเพื่อนไม่รู้อยู่แล้วว่าเราคือเรา
ทุกสิ่งในสถานที่แห่งนั้นเป็นความจริงตามที่พูดที่เห็นทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดเสแสร้งแอบแฝง
ด้วยความจริงใจทั้งสิ้น

มุมที่ 2 ไม่มีความจำเป็น ที่เราจะบอกให้เพื่อนรู้ว่าเราคือเรา เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดต่อเราเลย
ซ้ำร้ายยังจะเกิดความเสียหายแก่เราด้วย แต่ทำไมเราจึงกล้าที่จะทำให้เพื่อนรู้ว่าเราคือเรา
ก็เพราะเรารู้สึกผิด ว่าเราเข้าไปทำอะไรบางอย่างให้เพื่อนเสียโอกาส โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ
ขณะนั้นเรากำลังมองแต่มุมของเรา เพราะมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามา เราจึงไปดึงเพื่อนมาแจมด้วย
ไม่ได้มองมุมของเพื่อน จึงกลายเป็นเข้าไปขัดจังหวะของเพื่อน…ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด…

มุมที่ 3 เพื่อนอาจจะรู้สึกว่าถูกหักเชิง หรืออะไรเกี่ยวกับศักดิ์ศรีทั้งหลายที่ผู้ชายมักมีกัน
ให้เข้าใจใหม่…เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิต ในใจ ในสมองแล้ว เราทิ้งมันไปนานแล้ว
ไม่งั้นเราคงรบกับใครต่อใครให้เพื่อนเห็นบ้างแล้ว…
ศักดิ์ศรีบ้าบอ ตัวกูของกูบ้าบอ ทิ้งมันไปซะ…
อย่าดึงคนอื่นเข้าเกี่ยวข้อง หรือไประรานเขา...มันไม่มีประโยชน์ อาจมีโทษขึ้นมาแทน
ทำสมถะให้มาก ๆ แล้ววิปัสสนา ตัวกูของกูมันจะหายไป…

เห็นถามใครต่อใครว่าทำสมถะ แล้วได้อะไร ก็ได้ผลของสมถะ(ฌาณ)นำมาทำวิปัสสนา
จนเกิดปัญญาจากฌาณ หยั่งรู้ด้วยฌาณ รู้แจ้งด้วยฌาณ ไม่ใช่รู้แจ้งด้วยสมอง จนนิพพานไงหละ

หลวงปู่ชาสอนไว้ด้วยภาษาง่ายๆ ปฏิบัติตามแล้วเห็นผลแน่นอน เอามาฝาก
viewtopic.php?f=7&t=29691&p=180095#p180095


เราคงพูดเท่านี้แหละ ต่อไปนี้เราจะไม่พูดอะไรแล้ว เราจะทำหน้าที่ที่มนุษย์ควรกระทำ
เราจะไม่ยุ่งกับใครแล้ว ขอยุ่งกับผู้ให้ความรู้ ความกระจ่างแจ้งทางธรรมดีกว่า…


สวัสดี...เพื่อนรัก

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 15:43, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 5485 ครั้ง ]
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

บารมี ๓๐ ทัศ

ชื่อชุด เพลงแปลจากบทสวดมนต์
โดย ชินกร ไกรลาศ


คลิกเพื่อฟัง
http://www.dhammathai.org/radio/playson ... ong/05.wma

คลิกเพื่อดาวน์โหลด
http://www.dhammathai.org/radio/downloa ... /05&&mp3=0

เนื้อหาบทสวดบารมี ๓๐ ทัศ

ทานะ ปาระมี สัมปันโน , ทานะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

สีละ ปาระมี สัมปันโน , สีละ อุปะปารมี สัมปันโน , สีละ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

เนกขัมมะ ปาระมี สัมปันโน , เนกขัมมะ อุปะปารมี สัมปันโน , เนกขัมมะ ปะระมัตถะปารมี
สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

ปัญญา ปาระมี สัมปันโน , ปัญญา อุปะปารมี สัมปันโน , ปัญญา ปะระมัตถะปารมี
สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

วิริยะ ปาระมี สัมปันโน , วิริยะ อุปะปารมี สัมปันโน , วิริยะปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

ขันตี ปาระมี สัมปันโน , ขันตี อุปะปารมี สัมปันโน , ขันตีปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

สัจจะ ปาระมี สัมปันโน , สัจจะ อุปะปารมี สัมปันโน , สัจจะ ปะระมัตถะปารมี
สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา

มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

อะธิฏฐานะ ปาระมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ อุปะปารมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ ปะระมัตถะปารมี
สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

เมตตา ปาระมี สัมปันโน , เมตตา อุปะปารมี สัมปันโน , เมตตา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน , อุเปกขา อุปะปารมี สัมปันโน , อุเปกขา ปะระมัตถะปารมี
สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

ทะสะ ปาระมี สัมปันโน , ทะสะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทะสะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน
เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมาม

เนื้อหาคำอธิบาย บารมี ๓๐ ทัศ

พระพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั้งหลายให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์
ทั้งหลาย การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ก่อนการตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินั้น ๆ
บารมีที่บำเพ็ญนั้นคือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี
สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเรียกว่าบารมี ๓๐ (๓ x ๑๐)
โดยแบ่งเป็นบารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี) บารมี ชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี) และ บารมีชั้นสูง ๑๐
(ปรมัตถบารมี) รวมเป็นบารมี ๓๐ ประการ ในอรรถกถาจริยาปิฎกพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓
ได้จัดชาดกเรื่องต่างๆ ลงในบารมีทั้ง ๓๐ ประการ มีนัยโดยสังเขปที่น่าศึกษา ดังนี้

๑. ทานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป ็นพระเจ้าสีวิราช (๒๗/๔๙๙)
ทรงบำเพ็ญทานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสส ันดร (๒๘/๕๔๗)
และทรงบำเพ็ญทานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นก ระต่ายป่าสสบัณฑิต (๒๗/๓๑๖)

๒. ศีลบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญศีลบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัตทันต์เลี้ยงมารดา (๒๗/๗๒)
ทรงบำเพ็ญศีลอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญานาคภ ูริทัต (๒๘/๕๔๓)

๓. เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอโยฆรราชกุมาร (๒๗/๕๑๐)
ทรงบำเพ็ญเนกขัมมอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นหัต ถิปาลกุมาร (๒๗/๕๐๙)
และทรงบำเพ็ญเนกขัมมปรมัตถบารมี ในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจูฬสุตโสม (๒๗/๕๒๗)

๔. ปัญญาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นสัมภวกุมาร (๒๗/๕๑๕)
ทรงบำเพ็ญปัญญาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอำมาต ย์วิธุรบัญฑิต (๒๘/๕๔๖)
และทรงบำเพ็ญปัญญาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นเสนกบัณฑิต (๒๗/๔๐๒)

๕. วิริยบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นพญากปิ (๒๗/๕๑๖)
ทรงบำเพ็ญวิริยอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ ้าสีลวมหาราช (๒๗/๕๑)
และทรงบำเพ็ญวิริยปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นพระมหาชนก (๒๘/๕๓๙)

๖. ขันติบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญขันติบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นจูฬธัมมปาลราชกุมาร (๒๗/๓๕๘)
ทรงบำเพ็ญขันติอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นธัมมิ กเทพบุตร (๒๗/๔๕๗)
และทรงบำเพ็ญขันติปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นขันติวาทีดาบส (๒๗/๓๑๓)

๗. สัจจบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญสัจจบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเ ป็นวัฏฏกะ (ลูกนกคุ่ม) (๒๗/๓๕)
ทรงบำเพ็ญสัจจอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาปลา ช่อน (๒๗/๗๕)
และทรงบำเพ็ญสัจจปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็น พระเจ้ามหาสุตโสม (๒๘/๕๓๗)

๘. อธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีในขณะที่เสวยพระชา ติเป็นพญากุกกุระ (๒๗/๒๒)
ทรงบำเพ็ญอธิษฐานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นมาต ังคบัณฑิต (๒๗/๔๙๗)
และทรงบำเพ็ญอธิษฐานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเ ป็นพระเตมิยราชกุมาร (๒๘/๕๓๘)

๙. เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นสุวรรณสามดาบส
(๒๘/๕๔๐) ทรงบำเพ็ญเมตตาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัณหา ทีปายนดาบส (๒๗/๔๔๔)
และทรงบำเพ็ญเมตตาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นพระเจ้าเอกราช

๑๐. อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีในขณะที่เสวยพระชา ติเป็นกัจฉปบัณฑิต
(๒๗/๒๗๓) ทรงบำเพ็ญอุเบกขาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญา มหิส (๒๗/๒๗๘)
และทรงบำเพ็ญอุเบกขาปรมัตถบารมีใน ขณะที่เสวยพระชาติเ ป็นโลมหังสบัณฑิต (๒๗/๙๔)
หมายเหตุ เลขหน้าเป็นลำดับเล่มพระไตรปิฎก เลขหลังเป็นลำดับชาดก เช่น (๒๗/๒๗๓)
หมายถึง พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ชาดกเรื่องที่ ๒๗๓)

การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติหนึ่ง ๆ มิใช่ว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่น ทรงบำเพ็ญทานบารมี หรือทรงบำเพ็ญศีลบารมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในชาติเดียวกันนั้น
ได้บำเพ็ญบารมีหลายอย่างควบคู่กันไป แต่อาจเด่นเพียงบารมีเดียว ที่เหลือนอกนั้นเป็นบารมี
ระดับรอง ๆ ลงไป เช่น ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี

http://sites.google.com/site/watkhungth ... _thaimusic

:b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 5453 ครั้ง ]
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

ว่าด้วยพระพุทธเจ้าไม่รับคำด่าของพราหมณ์

อักโกสกสูตรที่ ๒

[๖๓๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน อัน
เป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ฯ

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้สดับมาว่า ได้ยินว่า พราหมณ์ภารทวาช
โคตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระสมณโคดมแล้ว ดังนี้
โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ด่าบริภาษพระผู้มี
พระภาคด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ ฯ

[๖๓๒] เมื่ออักโกสกภารทวาชพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พระผู้มี
พระภาคได้ตรัสกะอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านย่อมสำคัญ
ความข้อนั้นเป็นไฉน มิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกของท่าน ย่อม
มาบ้างไหม ฯ

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ตอบว่า พระโคดมผู้เจริญ มิตรและอำมาตย์
ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกของข้าพระองค์ย่อมมาเป็นบางคราว ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็น
ไฉน ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับมิตรและอำมาตย์ญาติสาโลหิต
ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างหรือไม่ ฯ

อ. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์จัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่ม
ต้อนรับมิตรและอำมาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างในบางคราว ฯ

พ. ดูกรพราหมณ์ ก็ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่า
นั้นไม่รับ ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้นจะเป็นของใคร ฯ

อ. พระโคดมผู้เจริญ ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่า
นั้นไม่รับ ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้น ก็เป็นของข้าพระองค์อย่างเดิม ฯ

พ. ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธ
เราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับเรื่องมีการด่าเป็นต้น
ของท่านนั้น ดูกรพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว ดูกร
พราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว แล้วตรัสต่อไปว่า ดูกร
พราหมณ์ ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่ หมายมั่นตอบ
บุคคลผู้หมายมั่นอยู่ ดูกรพราหมณ์ ผู้นี้เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคด้วยกัน ย่อม
กระทำตอบกัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด ดูกร
พราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว ดูกรพราหมณ์ เรื่องมีการ
ด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว ฯ

อ. บริษัทพร้อมด้วยพระราชา ย่อมทราบพระโคดมผู้เจริญ อย่างนี้ว่า
พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระโคดมผู้เจริญ จึงยัง
โกรธอยู่เล่า ฯ

[๖๓๓] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้ว มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้น
แล้ว เพราะรู้ชอบ สงบ คงที่อยู่ ความโกรธจักมีมาแต่
ที่ไหน ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามก
กว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลไม่
โกรธตอบ บุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสงครามอัน
บุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติ
สงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสอง
ฝ่าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอื่น เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์
อยู่ทั้งสองฝ่าย คือของตนและของบุคคลอื่น ชนทั้งหลาย
ผู้ไม่ฉลาดในธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลา

ดังนี้ ฯ

[๖๓๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อักโกสกภารทวาชพราหมณ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระโคดมผู้เจริญ
ทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุ
ย่อมเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระ
ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนักของ
พระโคดมผู้เจริญ ฯ

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้บรรพชาได้อุปสมบทแล้วในสำนักของ
พระผู้มีพระภาค ก็ท่านอักโกสกภารทวาชอุปสมบทแล้วไม่นานแล หลีกไปอยู่
ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้
แจ้งซึ่งคุณวิเศษอันยอดเยี่ยมเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจาก
เรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ ด้วยปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่งเองใน
ปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้อง
ทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละท่านพระอักโกสก-
*ภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 185&Z=5246

:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:44
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"อสูรกายครวญ" :b1:

http://www.shockfmclub.com/webboard/ind ... opic=214.0


:b10: :b14: :b14: :b14: :b14: :b5: :b5: :b5: :b5: :b5: :b38: :b37:

.....................................................
ค น โ ง่ เ อ าใ จ ไ ว้ ที่ ป า ก ...ค น ฉ ล า ด เ อ า ป า ก ไ ว้ ที่ ใ จ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 19:44
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

ต่างมุม ต่างวาระ ต่างความคิด จึงผิดไป

สาร(ภาษา) – คนสื่อสาร – คนรับสาร – ประสบการณ์ – ความนึกคิด
เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสื่อสาร บางครั้งอาจเข้าใจตรงกันบ้าง
บางครั้งอาจจะเข้าใจไปคนละทางบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

จากจิตจากใจ…ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเพื่อนไม่ว่าเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น

หากคิดย้อนกลับ

มุมที่ 1 เราเข้าไปสถานที่แห่งหนึ่งโดยมีเพื่อนอยู่ แต่เพื่อนไม่รู้ว่าเราคือเรา
หากเราไม่มีความรู้สึกดีดีในจิตในใจ เราจะเข้าไปทำไม หรือเพื่อนอาจคิดว่าเข้าไปเพราะ
มีบางสิ่งดึงเข้าไป นั้นก็อาจใช่ แต่การแสดงออกของเราที่มีต่อเพื่อนเป็นเช่นไร
เพื่อนคงรับรู้ได้ บอกให้ก็ได้ว่ารู้สึกเหมือนผู้มีพระคุณ เหมือนเป็นเพื่อนรัก
หากเรารู้สึกเป็นอย่างอื่นเราจะแสดงกิริยาใดต่อเพื่อนก็ได้ เพราะเพื่อนไม่รู้อยู่แล้วว่าเราคือเรา
ทุกสิ่งในสถานที่แห่งนั้นเป็นความจริงตามที่พูดที่เห็นทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดเสแสร้งแอบแฝง
ด้วยความจริงใจทั้งสิ้น

มุมที่ 2 ไม่มีความจำเป็น ที่เราจะบอกให้เพื่อนรู้ว่าเราคือเรา เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดต่อเราเลย
ซ้ำร้ายยังจะเกิดความเสียหายแก่เราด้วย แต่ทำไมเราจึงกล้าที่จะทำให้เพื่อนรู้ว่าเราคือเรา
ก็เพราะเรารู้สึกผิด ว่าเราเข้าไปทำอะไรบางอย่างให้เพื่อนเสียโอกาส โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ
ขณะนั้นเรากำลังมองแต่มุมของเรา เพราะมีบางสิ่งบางอย่างเข้ามา เราจึงไปดึงเพื่อนมาแจมด้วย
ไม่ได้มองมุมของเพื่อน จึงกลายเป็นเข้าไปขัดจังหวะของเพื่อน…ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด…


มุมที่ 3 เพื่อนอาจจะรู้สึกว่าถูกหักเชิง หรืออะไรเกี่ยวกับศักดิ์ศรีทั้งหลายที่ผู้ชายมักมีกัน
ให้เข้าใจใหม่…เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิต ในใจ ในสมองแล้ว เราทิ้งมันไปนานแล้ว
ไม่งั้นเราคงรบกับใครต่อใครให้เพื่อนเห็นบ้างแล้ว…
ศักดิ์ศรีบ้าบอ ตัวกูของกูบ้าบอ ทิ้งมันไปซะ…
อย่าดึงคนอื่นเข้าเกี่ยวข้อง หรือไประรานเขา...มันไม่มีประโยชน์ อาจมีโทษขึ้นมาแทน
ทำสมถะให้มาก ๆ แล้ววิปัสสนา ตัวกูของกูมันจะหายไป…

เห็นถามใครต่อใครว่าทำสมถะ แล้วได้อะไร ก็ได้ผลของสมถะ(ฌาณ)นำมาทำวิปัสสนา
จนเกิดปัญญาจากฌาณ หยั่งรู้ด้วยฌาณ รู้แจ้งด้วยฌาณ ไม่ใช่รู้แจ้งด้วยสมอง จนนิพพานไงหละ

หลวงปู่ชาสอนไว้ด้วยภาษาง่ายๆ ปฏิบัติตามแล้วเห็นผลแน่นอน เอามาฝาก
viewtopic.php?f=7&t=29691&p=180095#p180095


เราคงพูดเท่านี้แหละ ต่อไปนี้เราจะไม่พูดอะไรแล้ว เราจะทำหน้าที่ที่มนุษย์ควรกระทำ
เราจะไม่ยุ่งกับใครแล้ว ขอยุ่งกับผู้ให้ความรู้ ความกระจ่างแจ้งทางธรรมดีกว่า…


สวัสดี...เพื่อนรัก

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

:b7: :b6: อีก 1 คนเก่าคนแก่....


ถ้าโกรธเพื่อน ให้มองคนไม่มีใครรัก
โกรธกันข้ามปี ไม่ดีแน่
แค่บอกว่าสำนึกผิด แต่ไม่เอ่ยคำว่าขอโทษ...
...ต่างคนก็ต่างทิฏฐิ... "ตัวกูของกู" ทิ้งมันไปจริงๆ หรือยัง

ไม่ได้บังอาจสอน แค่อีกหนึ่งมุมมอง (มองจากข้างนอก)

.....................................................
ค น โ ง่ เ อ าใ จ ไ ว้ ที่ ป า ก ...ค น ฉ ล า ด เ อ า ป า ก ไ ว้ ที่ ใ จ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




160200304903A.jpeg
160200304903A.jpeg [ 15.02 KiB | เปิดดู 5394 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8: ขอบคุณค่ะ คุณศรีฯ ที่มีจิตเมตตา เป็นห่วง

:b16: :b16: เราหายโกรธกันแล้วค่ะ เขาถามหาเมล็ดทานตะวัน

ไปหาซื้อแถวลพบุรี พึ่งจะกลับมาค่ะ เอามาฝากทั้งสองคนเลยนะค่ะ...

ฝากคุณศรีฯ กับคุณกรัชกายค่ะ นั่งคุยกันตามสบายนะค่ะ จะไปหาเพลงมาเปิดให้ฟังค่ะ...
:b12: :b12:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 01 มี.ค. 2010, 18:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 5355 ครั้ง ]


:b16: :b16: :b16: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b16: :b16: :b16:



:b5: :b5: :b5: :b14: :b14: :b14: :b14: :b14: :b14: :b14: :b14: :b14: :b5: :b5: :b5:



:b11: :b11: :b11: :b13: :b13: :b13: :b12: :b12: :b12: :b13: :b13: :b13: :b11: :b11: :b11:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 5340 ครั้ง ]
:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

ลึก...กว่ามหาสมุทร... (ในหลวง)

จากหนังสือ..หยุดความเลว... ที่ .. ไล่ล่าคุณ

คราวนี้มาดูที่ว่า...พระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรมนั้น...
ลึก...กว่ามหาสมุทร...
ดูซิ...ว่าลึกยังไง... ?


วันเฉลิมพระชนมพรรษา...ปีหนึ่ง...
ท่ามกลางคณะรัฐมนตรี...และผู้เข้าเฝ้า...ท่านบอกว่า...


กรุงเทพฯ...กำลังจะอดน้ำ...แล้วมีการประกาศให้รีบประหยัดน้ำ...
ท่านถามว่า....ประหยัดน้ำแล้ว....มันจะพ้นจากการไม่มีน้ำใช่ไหม... ?
ประหยัด...ไม่ใช่การแก้ปัญหา
ท่านบอกว่า...มันถึงเวลาที่จะต้องสร้างเขื่อนแล้วนะ...
สร้างเขื่อนที่....นครนายก......ได้น้ำเท่านี้นะ....
สร้างเขื่อนที่.....ลำน้ำแถวป่าสัก....ได้น้ำเท่านี้.....
สองเขื่อนนี้...มีน้ำพอ....เลี้ยงคนสิบล้านได้....ไม่มีขาด

ช่วงหนึ่ง....กรุงเทพฯมีปัญหาวิกฤติ....น้ำท่วม...
รัฐบาลหลายรัฐบาล...ผู้ว่า ก.ท.ม. ... หลายผู้ว่าฯ.....แก้ปัญหาไม่ตก.....

ในหลวง....บอกว่า....
ให้ทำโครงการแก้มลิง
ออก TV ... ชี้แจงรายละเอียด....มอบหมายให้ทุกฝ่ายดำเนินการ
ปรากฏว่า....ต่อมา...
กรุงเทพฯ...น้ำไม่ท่วม

เกิดวิกฤติจราจรที่ฝั่งธนฯ...
ตรงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ...แก้ปัญหากันไม่ตก...
ในหลวง...บอกว่า....ให้ขยายสะพานพระปิ่นเกล้าฯ...
สร้างทางด่วนลอยฟ้ารองรับ....ไปจนถึงพุทธมณฑล
แล้วสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่ม
ตรงแบงค์ชาติ...คือ สะพาน พระราม 8
ตอนนี้...วิกฤติจราจร...หาย...

พอมีปัญหาเศรษฐกิจ....ธุรกิจล้มกันระเนระนาด
ในหลวงคิดโครงการ
เศรษฐกิจพอเพียง...
ไม่ต้องรวย...แต่อยู่แบบไม่ทุกข์....ไม่ต้องฆ่าตัวตาย...

บอกไว้ละเอียดยิบว่า...
ในที่ดิน 15 ไร่ ... ขุดบ่อกักน้ำและเลี้ยงปลา 3 ไร่...
บนบ่อ...เลี้ยงไก่ไข่...คันบ่อปลูกพืชล้มลุกและยืนต้น....
ทำไร่นาสวนผสม 10 ไร่...
รวมถึงคอกสัตว์....กองปุ๋ย...ลานตากพืช...
เป็นที่อยู่อาศัย 2 ไร่....
มีรายได้เท่าไร....ค่าใช้จ่ายเท่าไร... ? พูดอย่างชัดเจน....
ถ้าทำอย่างนี้....ไม่ยากจน....สู้เขาได้

ประชุมใหญ่คราวที่แล้ว......
ทั่วโลกตกลงยอมรับ... หลักการเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง....
บอกว่า... จะเอาไปเผยแพร่ในประเทศต่าง ๆ ... ที่กำลังพัฒนา...

อีกเรื่องหนึ่ง...ที่เห็นกันชัด ๆ...
ที่สกลนคร....ตอนที่คอมมิวนิสต์กำลังรุ่งเรื่อง....
อาจารย์ต้องเดินทางจากสกลนคร...มา กาฬสินธุ์...
ต้องขับรถไต่เขา....เข้าไปในป่า....
เหมือนกับ....กำลังเข้าไปในป่า คอมมิวนิสต์ ...
ในขณะเดินทาง...มองไปในป่าข้างทางแล้ว....
รู้สึก....เสียว ๆ ....น่ากลัว...
คนขับรถสะกิดให้ดู....โน่น....พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์...
ในหลวงเสด็จมาประทับที่นั่น....
อ้อ....พ่อเรา....มานอนอยู่บนเขานี้ด้วย....
รู้สึกอบอุ่น....หายกลัว

ในหลวงเสด็จมาประทับที่นี่....เพื่อปลุกให้เรา....
กล้าหาญ...เสียสละ....และทำความดี....เหมือนพระองค์
เพราะฉะนั้น....โครงการทุกโครงการที่พระองค์ตั้งขึ้น....
กำนัน....นายอำเภอ....ผู้ว่าฯ....ต้องเข้าร่วม

มีเด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาว....เข้าป่าจริง....ไปร่วมอุดมการณ์กับคอมมิวนิสต์...
แต่ในหลวง....เข้าไปเยี่ยมพ่อ...เยี่ยมแม่ของเขา...ถึงในหมู่บ้าน...
ไปสร้างอ่างเก็บน้ำให้....ไปสอนให้ทอผ้า....เข้าไปฝึกอาชีพให้....
ทรงช่วยเหลือทุกอย่าง....

ลูกอยู่ในป่า....พวกที่หลงผิด...สำนึก
ขณะเราอยู่ในป่า....ในหลวงไปเลี้ยงพ่อแม่ให้เรา...
เกิดความจงรักภักดี....เปลี่ยนใจ....มอบตัว
ขอเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย....
เมืองไทยจึงสงบ....
แกนของความสำเร็จจริง ๆ อยู่ตรงนี้....

ทุกครั้งที่ในหลวงพูดออก ทีวี ... พอพูดเสร็จ...คนทั้งประเทศ...ตะลึง...
คิดไม่ถึง....ในหลวงจะคิดได้ถึงขนาดนี้....
รัฐบาลเอง....ก็ยังช้าไป...แต่ในหลวง....คิดหมดแล้ว....
คิดกระทั่งว่า....คนหนึ่งใช้น้ำกี่ลิตร....จำนวนคนเท่านั้น....ใช้น้ำเท่านี้
เขื่อนนี้....ได้น้ำมาเลี้ยงคนเท่าไร....อดน้ำแก้ยังไง.... ?
น้ำท่วม...แก้ยังไง... ?
เศรษฐกิจทรุด...แก้ยังไง...? บ้านเมืองเกิดวิกฤติ....แก้ยังไง.... ?
เพราะอย่างนี้....
จึงประทับท่วมหัวใจ......คนไทยทั้งประเทศ...
ที่ว่า....ลึกกว่ามหาสมุทร...คือ...

" ...ลึกซึ้ง... "


จากหนังสือ..หยุดความเลว... ที่ .. ไล่ล่าคุณ


จั่นเจา
คุณเสรี ลพยิ้ม
sirisuk

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 5334 ครั้ง ]
:b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

แก่นสารพระพุทธศาสนา
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

“แท้ที่จริงนั้น แก่นสารของพระพุทธศาสนาต้องการปฏิบัติกาย วาจา ใจ
ของตนให้บริสุทธิ์” “พระพุทธศาสนามิได้สอนให้ถือ แต่สอนให้ปฏิบัติ”


วัดที่ตัวเรา
ผู้นับถือพุทธศาสนา ไม่มีโอกาสไปวัดไปวา เราอยู่ที่บ้านจงให้พากันมีวัดภายใน
คือ ที่ตัวของเรา ที่บ้านของเราทุกๆ คน วัด คือ สถานที่ที่เราจะต้องบำเพ็ญคุณงามความดี

พุทธศาสนาสอนกาย วาจา แลใจ
พุทธศาสนาสอนกาย วาจา แลใจนี้อย่างเดียว ไม่ได้สอนสิ่งอื่นนอกจากสามสิ่งนี้
สามสิ่งนี้เป็นหลัก จะสอนศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่พ้นจากหลักทั้งสามอย่างนี้

ทำไมเราจึงละทุกข์ไม่ได้
คำสอนของพระพุทธองค์ตรัสว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ แต่ทำไมเราจึงละทุกข์ไม่ได้
ก็เพราะปัญญาของเราไม่พอ

พุทธศาสนามีที่จบ
เราเชื่อมั่นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมของจริงแท้แน่นอน เป็นนิยยานิกธรรม
นำผู้ปฏิบัติตามให้พ้นจากทุกข์ได้จริง อาตมาจึงว่าการศึกษาพุทธศาสนามีที่จบ

พระพุทธรูป
พระพุทธรูปนี้ คือ รูปของพระพุทธเจ้า หรือรูปนี้เป็นรูปของครูบาอาจารย์ของเรา
เราเคารพนับถือคุณงามความดีของท่าน แล้วเราทำดีอยู่ตลอดเวลา เห็นรูปนั้น นึกถึงคุณของท่าน
เพราะท่านทำดีอย่างนี้ๆ ท่านจึงได้เป็นอย่างนี้ จึงได้เป็นรูปอย่างนี้
แล้วเราก็ทำความดี ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อเราทำความชั่ว เรานึกถึงรูป
นึกถึงคุณของท่านแล้วเราก็จะละอายใจ ละความชั่วอันนั้นเสีย การนับถือเช่นนั้น
ไม่มีเสื่อมคลายตลอดเวลาเลย เราจะทำความดีตลอดเวลา
แต่จะให้อยู่ยงคงกระพันนั้นไม่ใช่ ให้เข้าใจโดยนัยที่อธิบายมาให้ฟังนี้

ความรู้เรื่องจิตใจเรียกว่า “วิชชา”
พระพุทธศาสนาสอนให้น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวของเรานี้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในตัวของเรา
สอนออกไปนอกนั้น นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นโลก เห็นอย่างไรเรียกว่าเห็นธรรม
เห็นภายนอกด้วยตาว่าเราเป็นก้อนทุกข์ ทั้งเห็นภายในคือ เห็นชัดด้วยใจด้วยเห็นเป็นธรรมทั้งหมด
เราต้องพิจารณาให้ถึงสภาวะตามเป็นจริงของสังขาร ให้เห็นชัดอย่างนั้นว่ามันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป มันไม่ใช่ตัวตนของเรา เรามัวเมามันก็หลงนะซิ หลงสมมติว่าเป็นตัวเป็นตน
จิตธรรมชาติเป็นของผ่องใส อาคันตุกะกิเลสมันพาให้เศร้าหมอง
ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี้ ก็เพื่อขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไป เพื่อให้มันใสสะอาดคืนตามสภาพเดิม
ให้เห็นจิตเห็นใจของตน จิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร
ความรู้เรื่องของจิตของใจนี้แหละเรียกว่า “วิชชา” เกิดขึ้นแล้วเป็นปัญญาเกิดขึ้นแล้ว

พระพุทธศาสนามีที่สุด
พระพุทธศาสนานี้ สอนมีจุดที่รวมได้ มีที่สุด หมดสิ้นสงสัย หมดเรื่อง ไม่เหมือนวิชาชีพอื่น
เขาสอนไม่มีที่สิ้นสุด จึงว่าพุทธศาสนาสอนถึงที่สุด แต่บุคคลผู้ทำตามนั้น ทำไม่ถึงที่สุด
จึงจำเป็นต้องทำสมาธิบ่อย ๆ จนกว่ามันจะถึงที่สุด

ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของอันเดียว มีความดีเกี่ยวพันกันตลอดหมด

ตรงไปตรงมา แต่คนไม่ชอบ
พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ตรงไปตรงมา แต่คนไม่ชอบ บังไว้ ปกปิดไว้ มันจึงไม่เห็นของจริง
พระองค์สอนตรงไปตรงมาเลย ท่านบอกว่าร่างกายเหมือนกับซากอสุภะ
ท่านว่าอย่างนั้น เป็นของปฏิกูลโสโครก มีคนใดมาพูดว่าเราสกปรกนี่ โกรธใหญ่ ไม่ชอบใจเลย

ฉลาดขึ้นมาบ้าง
คนใดเข้าใจว่าตนโง่ คนนั้นฉลาดขึ้นมาบ้าง

แก่นสารพระพุทธศาสนา
แท้ที่จริงนั้น แก่นสารพระพุทธศาสนา คือการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์
ตามคำสอนของพระพุทธองค์

พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรม
พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ผู้ใดทำกรรมดี
ย่อมได้รับผลของกรรมดี ผู้ใดทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว คนอื่นจะรับแทนไม่ได้

ทำดีด้วยตนเอง
พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ให้ทำดีด้วยตนเอง ย่อมได้ผลดีด้วยตนเอง (คือสิ่งที่เป็นมงคล)
ไม่ได้สอนให้คนอื่นทำให้ หรือทำให้คนอื่น

ปฏิบัติธรรมเพื่อรู้ถึงความเป็นจริง
ผู้มาศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือมาปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์
ก็หวังเพื่อให้รู้ถึงของจริงตามความเป็นจริง จะได้หายจากความหลงในสิ่งนั้นๆ

พระพุทธองค์สอนของจริง
ที่จริง คำสอนของพระพุทธองค์สอนของจริง ให้เห็นตามเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจตามเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น จะด้วยกรรมวิธีใดๆก็ตาม
เกิดขึ้นแล้ว มันไม่เที่ยง แปรปรวนไป เป็นทุกข์ เมื่อผู้มาพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เห็นจริงดังนี้แล้ว ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น เบื่อหน่าย ปล่อยวางในสิ่งเหล่านั้นได้แล้ว
ย่อมมองเข้ามาเห็นจิตของตนผ่องใส คราวนี้เห็นจิตของตนแล้ว
เมื่อเห็นจิตแล้ว มองดูเฉพาะจิตนั้น ไม่มองดูทุกข์ จิตนั้นก็เป็นอันหนึ่ง
ทุกข์กลายเป็นอันหนึ่งของมันต่างหาก

เมื่อมองลึกเข้าไปก็เห็นแต่ใจ คือมีอารมณ์อันหนึ่งของมันต่างหาก
จะไม่เกี่ยวข้องด้วยอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

กายกับใจ
พุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ได้สอนที่อื่นนอกจาก “กายกับใจ”

ร่างกายเป็นก้อนทุกข์
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า ร่างกายของคนเรานี้เป็นก้อนทุกข์ มีชาติเป็นต้น และมีมรณะเป็นที่สุด
เป็นของน่าเกลียด ควรเบื่อหน่าย ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของตน
เพราะมันไม่เป็นไปในอำนาจของตน

แก่นสารพระพุทธศาสนา
โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


.......................
คุณเสรี ลพยิ้ม
sirisuk

:b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร