วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 22:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2009, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว..จะไปไหนดีหว่า..
:b7: :b7: :b7: :b7: :b7: :b7: :b7:


ก็ไปอยู่ในจาน...งัย :b16: :b16: :b16:

ก็เรื่องอะไรคุณไปเบรคแม่สาวลมกรดอย่างนั้นล่ะ
เรารึ...อุตสาห์เฝ้านั่งมองเธออย่างเงียบ ๆ เพราะเธอออกจะน่ารัก
เธอเลยไม่ลงมาสนทนาด้วยเลยเห็นมั๊ย :b34:

รึว่าเธอจะกลัว... อย่างที่คุณว่าจริง ๆ ... :b14: :b14:

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 00:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ก็ไปอยู่ในจาน...งัย :b16: :b16: :b16:

:b12: :b12: :b12:


ยังไม่ได้อาบน้ำ..เช็ดถูขี้ไคล..เลย :b6: :b6: :b6: :b6: :b6:

อีกอย่าง..ผมว่า..เธอใช้รถถัง..ขับไปทำงาน..

กบตัวน้อยไหนเลยจะไปเบรกเธอได้...เหยียบจนกบแบนเป็นกล้วยปิ้ง..เธอยังไม่รู้สึกว่าเหยียบอะไรเลยคุณ..

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลใดไม่มีปริยัติ ปริปุจฉาก็ไม่มี อธิคมก็ไม่มี ปฏิภาณของบุคคลนั้นจักแจ่มแจ้งได้อย่างไร?

ท่านวิสุทโธ ผมก็แสดงธรรมเท่าที่ได้ศึกษา ยืนยันได้เท่าที่ปฏิบัติ อะไรเห็นว่าขัดต่อพระธรรม ไม่ลงรอยในพระสูตร ก็เอามาบอกเล่าเก้าสิบ อย่างคำถามที่ผมถามท่านว่า พระพุทธองค์เคยสอนให้อุบาสกอุบาสิกานั่งสมาธิเพื่อบรรลุถมรรคผลมีอยู่หรือ? ก็เพราะในพระไตรปิฎกมิได้มีระบุหรือกล่าวถึง สิบปีของท่านในห้องสมุดก็คงพอจะระลึกได้

ท่านแสดงออกมาเหมือนกับการศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎกเป็นเรื่องมิควรอย่างนั้นแหละ

ที่นี่เราศึกษากันเป็นคณะ มีบุคคลกรหลายระดับ ทั้งทางโลกและทางธรรม มีผู้เริ่มหันมาศึกษาพระธรรมโดยตรงจากพระไตรปิฎกมากขึ้น ภูมิธรรมสูงขึ้น เริ่มแยกแยะได้แล้วว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาแต่ครั้งโบราณกาล สิ่งใดใช่ธรรมสิ่งใดไม่ใช่ธรรม สิ่งใดใช่วินัยสิ่งใดไม่ใช่วินัย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง
ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
ท่านกล่าวว่า บุญอะไรก็ไม่ยิ่งใหญเท่าการเจริญพระกรรมฐาน
คนเราเกิดมาในความทุกข์
หาความสุขที่จะเสมอต้นเสมอปลายนั้นแสนยาก
ถ้าเรามีสติอยู่ในสมาธิ เราก็สามารถชนะจิตใจของเราได้
แล้เราก็สามารถชนะคนอื่นได้โดยไม่ยากนัก
การเจริญสติปฏิบัติธรรม ถ้าทำโดยต่อเนื่องไปจะเป็นคนมีธรรมะประจำใจ
จะเป็นคนเรียบร้อยอิริยาบถก็จะเปลี่ยนเป็นเรียบร้อย สวยงาม น่าดู น่ารัก น่าชม
การเจริญพระกรรมฐานไม่ใช่ของยาก แต่ปัญหาอยู่ที่ความตั้งใจทำ
เรามีศรัทธาหรือเปล่า หากเราเอาชนะจิตใจของเราได้
เราจะมีความสุขมาก ถ้าเราแพ้อยู่ตลอด
ราก็จะไม่สามารถชนะกิเลสความชั่วต่างๆ ภายในตัวของเรได้เลย
เช่น ความโลภ โกรธ หลง การเจริญกรรมฐานทำให้ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกกระเบียดนิ้ว
เราสอนตัวเองได้เมื่อใดแล้ว เราก็จะสอนคนอื่นได้
คนที่รักตัวเองจริงแล้วจะไม่กลัวตาย จะทำอะไรก็มีขันติธรรม
มีอะไรมากระทบจิตใจก็สามารถอดทนได้
มีสติที่มั่นคงแล้วทุกสิ่ง ทำอะไรจะไม่ประมาทพลาดพลั้งไปได้เลย
เพราะฉะนั้น การเจริญกรรมฐานจึงมีประโยชน์
ตั้งสติเอาไว้พิจารณาทุกข์ เราแก้ทุกข์ถึงเวลาทุกข์แล้วก็เอาสุขมาอย่างไร
ถึงเวลามีความทุกข์ความยากต้องรีบแก้ทันที

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ..............


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎก
เป็นเรื่องปกติสมควรของพุทธศาสนิกชนทุกท่านอยู่แล้ว..
ไม่มีใครตำหนิหรือห้ามปราม...มีแต่ส่งเสริมให้ศึกษา..เพื่อนำมาประพฤติปฏิบัติธรรม
แต่..ที่ผมติ..ก็เรื่องความเห็นผิด..ในเรื่องสมาธิที่คุณไม่เข้าใจอะไรเลย..
ทำเหมือนการทำสมาธิเป้นสิ่งน่ารังเกียจ..
ทั้งๆที่ ศีล สมาธิ ปัญญา หนุนเนื่องส่งเสริมซึ่งกันและกัน
จะมากน้อยก่อนหลังไม่สำคัญ..
ขอให้ทำจริงปฏิบัติจริง..
จึงเป็นสิ่งสมควร..มิใช่เอาแต่ตำหนิในสิ่งที่เราไม่รู้จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 21:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
บุคคลใดไม่มีปริยัติ ปริปุจฉาก็ไม่มี อธิคมก็ไม่มี ปฏิภาณของบุคคลนั้นจักแจ่มแจ้งได้อย่างไร?


อ้างคำพูด:
ผมก็แสดงธรรมเท่าที่ได้ศึกษา ยืนยันได้เท่าที่ปฏิบัติ

ปฏิบัติเท่านี้..ก็ได้เท่านี้..อันนี้ไม่มีใครเขาว่า..แต่ไม่ฟัง..ไม่ใคร่ครวญดู..ผู้ที่เขาไปไกลกว่าตัว..นี้ซี..ปัญหา

อ้างคำพูด:
อะไรเห็นว่าขัดต่อพระธรรม ไม่ลงรอยในพระสูตร ก็เอามาบอกเล่าเก้าสิบ

ตัวคุณทั้งดุ้น..นี้แหละ..ขัดพระธรรม..

เจ้าตัวทิฏฐิ..มานะ..อวิชชา..ที่มันบอกว่า..ตัวข้าเก่งแล้ว..รู้แล้ว..นี้แหละ..ขัดพระธรรม

รู้ตัวหรือเปล่า?

อ้างคำพูด:
อย่างคำถามที่ผมถามท่านว่า พระพุทธองค์เคยสอนให้อุบาสกอุบาสิกานั่งสมาธิเพื่อบรรลุถมรรคผลมีอยู่หรือ? ก็เพราะในพระไตรปิฎกมิได้มีระบุหรือกล่าวถึง สิบปีของท่านในห้องสมุดก็คงพอจะระลึกได้


มรรค ข้อที่ 7..8..สัมมาสติ..สัมมาสมาธิ..ไม่ใช่ทรงสอนให้ปฏิบัติหรอกหรือ..ท่านใบลานเปล่า

พูดอย่างนี้..ภาวนาไม่เป็นชัด ๆ..

:b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทั้งๆที่ ศีล สมาธิ ปัญญา หนุนเนื่องส่งเสริมซึ่งกันและกัน จะมากน้อยก่อนหลังไม่สำคัญ..


รบกวนท่านช่วยพิจารณาดังนี้นะครับ ว่าพระไตรปิฎกแสดงไว้ตามนี้หรือไม่

๑) การแสดงว่า ถือศีล นั่งสมาธิ เพื่อได้ภาวนายมปัญญา จากนั้นก็นำปัญญาที่ได้มาวิปัสสนา จนได้วิปัสสนาปัญญา มีแสดงในพระไตรปิฎกที่เดียวคือ แสดงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

๒) การแสดงการวิปัสสนาในสมาธิ มีแสดงจุดเดียว คือ การให้พวกโยคีที่มีสมาธิอยู่แล้ว มีภาวนายมปัญญา ให้ไปวิปัสสนาในองค์ฌาน

๓) สติปัฏฐานนั้นแสดงไว้เพื่อการบรรลุอนาคามีผลและอรหันตผล เพื่อตัดสังโยชน์เบื้องสูง

๔) การแสดงการละสังโยชน์เบื้องล่าง ส่วนมากในพระไตรปิฎก ให้พิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ แสดงไว้ใน สังยุตตนิกาย ขุททกนิกาย มหานิทเทส และ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส ยกตัวอย่างเช่น

.... ๑)
(ท้าวสักกะสนทนาธรรมกับท่านพระโมคคัลลาน์ ในจูฬตัณหาสังขยสูตร)
ท้าวสักกะจึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลาน์ผู้นฤทุกข์ ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายอภิวาทแล้ว จึงได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

เมื่อข้าพเจ้าทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดังนั้นแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดีทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ก็ไม่ยึดมั่นสิ่งอะไรๆ ในโลก

เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่นย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้

ดูกรจอมเทพ กล่าวโดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนมีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วนเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลาน์ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา โดยย่อแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้แล.

...... ๒)

ดูกรภิกษุบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยงจึงจะละอวิชชาได้ วิชา จึงจะเกิด บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งรูป ... จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัสสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้นกาย ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนาทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ดูกรภิกษุ บุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ฯ

.... ๓)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดยความเป็น อนัตตา สังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งรูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตาสังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมารมณ์มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโน สัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา สังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล สังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 30 ก.ย. 2009, 14:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 22:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
๑) การแสดงว่า ถือศีล นั่งสมาธิ เพื่อได้ภาวนายมปัญญา จากนั้นก็นำปัญญาที่ได้มาวิปัสสนา จนได้วิปัสสนาปัญญา มีแสดงในพระไตรปิฎกที่เดียวคือ แสดงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

๒) การแสดงการวิปัสสนาในสมาธิ มีแสดงจุดเดียว คือ การให้พวกโยคีที่มีสมาธิอยู่แล้ว มีภาวนายมปัญญา ให้ไปวิปัสสนาในองค์ฌาน



รู้จักคำว่า ภาวนายมปัญญา ดีพอหรือยัง..
คำนี้..ความหมายเดียวกับคำว่า..ปัญญาญาณ
เพราะสัมมาทิฐิในอริยมรรค...พิจารณาภายในกายและจิต
ถ้าจิตส่งออกนอกกายและจิตเป็นมิจฉาทิฐิ
นี่คือ..คำสอนของหลวงปู่มั่น ในขันธวิมุตติสมังคี


ปัญญาของพระอริยะเจ้า...ท่านพิจารณาภายในกายและจิต
จิตของพระอริยะเจ้าท่านไม่ส่งออกนอกกายและจิต..เป็นสัมมาสมาธิ
ปัญญาของปุถุชน..จิตส่งออกเป็นสมุทัย..เป็นมิจฉาทิฐิ
มีแต่อารมณ์ฟุ้งซ่าน..วุ่นวายขาดสติ..ไม่มีองค์สมาธิ

ภาวนายมปัญญา นี้จะเกิดในมีแต่พระอริยะเจ้าเท่านั้น...
ปุถุชนจะมีแต่ สุตตปัญญา และจินตปัญญา
แต่สำคัญผิด..คิดว่าที่ธัมมวิจย..ของตน..เป็นวิปัสสนา..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2009, 21:17
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
๒) การแสดงการวิปัสสนาในสมาธิ มีแสดงจุดเดียว คือ การให้พวกโยคีที่มีสมาธิอยู่แล้ว มีภาวนายมปัญญา ให้ไปวิปัสสนาในองค์ฌาน


พวกโยคี..ภาวนาเป็นองค์ฌาน แต่เป็นมิจฉาสมาธิ และมิจฉาสติ
เป็นสมาธิโดยธรรมชาติไม่มีองค์ภาวนา เช่น คำบริกรรรม หรือ อาณาปาณสติ ฯลฯ
จึงไม่มีจิตผู้รู้..ดิ่งลงสู่ความสงบ..ดับอายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ดับเวทนาทั้งภายนอกและภายใน..ดับสนิท
แต่กิเลสไม่ดับ..เพราะไม่ได้เจริญองค์มรรค 8
อันเป็นทางสายเดียวเท่านั้น..ที่ฆ่าสังหารกิเลสได้..ทางอื่นไม่มี

ไปเหมาเอาเองว่า..ถ้ามีวิปัสสนา..กิเลสกลัวหัวหด..ไม่กล้าโผล่หน้า
วิปัสสนาต้องเจริญมรรคทั้ง 8 ไม่ใช่แค่เจริญสัมมาทิฐิ องค์เดียว..แล้วจะเป็นวิปัสสนา
ธรรรมะเหมาเข่ง..แค่คิด..ก็ผิดแล้ว..นี่ละมิจฉาทิฐิ..ตัวจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2009, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


"ภาวนายมปัญญา" คือปัญญาใดๆ ที่เกิดจากฌานสมาบัติ ปัญญานี้ไม่มีอะไรจะสามารถปหานกิเสล แต่เป็นเครื่องมือในการพิสูจณ์ธรรม

พระพุทธองค์พิสูจณ์ธรรมและประกาศแล้ว หากต้องการรู้เหมือนที่พระพุทธองค์รู้ ก็ให้ได้อย่างน้อยโสดาปัตติผลก่อน สมาธิขั้นอัปปนาที่เกิดก่อนโสดาปัตติมรรค เป็นมิจฉาสมาธิ หากไปติดตาข่ายดักพรมณ์เสียก่อน ก็หมดโอกาสถึงมรรคผล

"ธรรมอันใดเกิดแต่เหตุ" ศีล สมาธิ ปัญญา มิได้จะสร้างอะไรขึ้นมาก่อนก็ได้ ผิดหลักสัจจะธรรม ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ท่านเห็นไม่ตรง องค์ธรรมในมรรค ๘ ก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย มิใช่อะไรเกิดก่อนก็ได้อย่างที่ท่านกำลังเข้าใจ สัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะนั้นมิได้เกิดมาได้ง่ายๆ หากท่านไม่รู้อุบายในการก้าวออกจากกิเลสแล้ว โอกาสที่ท่านจะเจริญจนได้มรรคผลนั้นไม่มี

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


สืบเนื่องจาก



อ้างคำพูด:

viewtopic.php?f=29&t=25898

3.จากการที่อ่านกระทู้ที่กล่าวว่าการนั้งสมาธิมีข้อเสีย ซึ่งผมก็อ่านไปถึง หน้า 4 ของกระทู้นั้นได้ ซึ่งบอกตรงๆว่า มันทำให้ผมเกิดความคิดว่าจะนั่งสมาธิดีหรือไม่ ซึ่งแต่ก่อนนั้นมีความต้องการนั้งมากๆเพราะจะได้ทำให้มีสติจำอะไรได้แม่นยำ เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่พออ่านแล้วเกิดความกลัวที่จะเริ่มเลยทันที แต่ก็อ่านแล้วก็มีส่วนนึงกล่าวว่า ผุ้มีปัญญาน่าจะคิดได้ว่าดีหรือไม่ แต่ผมนั้นไร้ซึ่งปัญญาจริงๆ จึงอยากได้คำแนะนำในส่วนนี้มากๆ




ขออนุญาต นำข้อดีของสมาธิภาวนา ที่ได้รับการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จนนักวิทยาศาสตร์ยอมรับถึงประโยชน์ของสมาธิภาวนา มาลงประกอบกระทู้

ลองอ่าน ข้อมูล เรื่องเหล่านี้ดูน่ะครับ

จาก

http://www.crs.mahidol.ac.th/news/article/part1.pdf

น.พ.บรูช แมคอีแวน จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยเยล ได้ศึกษางานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับผลกระทบของความเครียดต่อสุขภาพ พบว่า ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลงเป็นเหตุให้เซลล์มะเร็งแพร่หลายได้เร็ว ขึ้น และทำให้ร่างกายติดเชื้อไวรัสได้ เร็วขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ที่หัวใจ เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้โรคเบาหวานกำเริบและอาการของโรคหอบหืดเลวลง เกิดอาการลำไส้อักเสบ ความเครียดที่เกิดติดต่อกันนานๆ มีส่วนทำให้เซลล์สมองเสื่อมลง ซึ่งส่งผลให้ความจำเสื่อมลงไปด้วย (Bruce Mcevan , Eliot Stellor , Stress and the Individual of Internal Medicine , 1993)

จิตแพทย์ เซลดอน โคเฮน แห่งมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ทำงานร่วมกับหน่วยวิจัยเกี่ยวกับไข้หวัดของเมืองเซฟฟิลด์ประเทศอังกฤษ พบว่า ผู้ป่วย ที่ได้รับเชื้อหวัด ไม่ได้เป็นไข้หวัดทุกคน ถ้าหากมีภูมิต้านทานดี คนที่มีความเครียดน้อยจะติดหวัดได้ 27 % เมื่อได้รับเชื้อหวัดจะติดหวัดทันที ในขณะที่ผู้มีความ เครียดมาก จะติดหวัดเป็น 47 % นอกจากนั้น นายแพทย์ ผู้นี้ได้ทดลองด้วยการให้คู่สมรสจำนวนหนึ่งจดบันทึกไว้ติดต่อกัน 3 เดือน ปรากฏว่าคู่สมรสที่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ ราว 3-4 วัน เมื่อได้รับเชื้อหวัดจะติดหวัดทันที เพราะภูมิต้านทานต่ำมาก เนื่องจากมีความเครียดสูง

นอกจากนั้น จิตแพทย์ผู้นี้ยังพบว่าในกรณีผู้ป่วยที่มักเป็นเริมที่ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ เริมมักจะเกิด ขึ้นอีกในเวลามีความเครียด โดยวัดระดับแอนตี้บอดี (หรือสารภูมิต้านทาน ที่เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อไวรัสหรือสารเคมีที่เข้าสู่ร่างกาย) ในเลือด ซึ่งแสดงให้เห็นภูมิต้านทานโรคต่อเชื้อไวรัสเริมและนายแพทย์โคเฮน ยังพบว่า นักศึกษาแพทย์หญิงที่เพิ่ง หย่าใหม่ๆ หรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม (อัลไซ-เมอร์) มักจะมีเริมขึ้นบ่อยๆ เพราะมีความเครียดสูง (Sheldon Cohen, et al , ‘Psychological stress and susceptibility to common cold ,’ The new England Journal of Medicine , 1991)

การทดลองต่างๆ ชี้ให้เห็นความจริงของคำสอนใน พุทธศาสนาที่ว่า สาเหตุสำคัญของโรคคือกิเลสในใจเรา ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เป็นผลมาจากการเป็นคนมีความโลภ และความโกรธ เช่น ความโลภทำให้รับประทานอาหารไขมันมากเพราะติดใจในรสอร่อย ทำให้เกิดความอยากที่ยับยั้งไม่ได้ ในทำนอง เดียวกัน ความโกรธหรือความเกลียด มีผลร้ายต่อสุขภาพเช่นเดียวกับความเครียด ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเหตุที่สภาพจิตใจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ ทั้งทางกายและทางใจ ดังนั้นความผ่อนคลายทั้งทางกายและใจ จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน โรคจิตประสาท หอบหืด รวมทั้งโรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง

วิธีการผ่อนคลายที่แพทย์แผนปัจจุบันให้ความ สนใจมากเป็นพิเศษ คือ นำการปฏิบัติในพุทธศาสนา มาใช้ในการบำบัดโรค

มีการสวดมนต์ การแผ่เมตตา และการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเป็นสำคัญ




และ การพักผ่อนที่ดีกว่าการนอนหลับ

http://www.oknation.net/blog/surasakc/2 ... 12/entry-1


นอกจากนี้ มีการวิจัย ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย เรื่อง อานาปานสติกับ ความสามารถในการเรียนรู้ และ การจดจำ.

ทำเพียงวันละ30นาที เป็นเวลาต่อเนื่อง8สัปดาห์.

พบว่า มีการเพิ่มขึ้นของ

1.ความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญก่อนและหลัง ของงานต่างๆ
2.สามารถจดจ่อกับข้อมูลที่ต้องการทำความเข้าใจมากขึ้น
3.มีความตื่นตัวมากขึ้น ไม่เฉื่อยชา

ๆลๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2009, 07:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
"ภาวนายมปัญญา" คือปัญญาใดๆ ที่เกิดจากฌานสมาบัติ ปัญญานี้ไม่มีอะไรจะสามารถปหานกิเสล แต่เป็นเครื่องมือในการพิสูจณ์ธรรม

พระพุทธองค์พิสูจณ์ธรรมและประกาศแล้ว หากต้องการรู้เหมือนที่พระพุทธองค์รู้ ก็ให้ได้อย่างน้อยโสดาปัตติผลก่อน สมาธิขั้นอัปปนาที่เกิดก่อนโสดาปัตติมรรค เป็นมิจฉาสมาธิ หากไปติดตาข่ายดักพรมณ์เสียก่อน ก็หมดโอกาสถึงมรรคผล



คุณเอ๋ย...ทำไมเป็นได้ขนาดนี้..

"ภาวนายมปัญญา" .....................ปัญญานี้ไม่มีอะไรจะสามารถปหานกิเสล แต่เป็นเครื่องมือในการพิสูจณ์ธรรม

นี้มันมิจฉาทิฏฐิ..ชัด ๆ

ตั้งใหม่ให้ตรง..นะครับ..

ขอให้เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรมในชาติปัจจุบัน..นี้นะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร