ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สามเณรนิรนาม สมัยกัสสปะพุทธเจ้า (พระยามิลินท์ ในสมัยพุทธกาล) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50332 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Duangtip [ 21 มิ.ย. 2015, 13:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | สามเณรนิรนาม สมัยกัสสปะพุทธเจ้า (พระยามิลินท์ ในสมัยพุทธกาล) |
![]() สามเณรนิรนาม สมัยกัสสปะพุทธเจ้า (ต่อมาคือ พระยามิลินท์ ในสมัยพุทธกาล) :: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก ==================== วันนี้ขอเล่าประวัติ สามเณร “นิรนาม” รูปหนึ่ง มีชีวิตอยู่ก่อนพุทธกาลนี้ คือในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ว่าอย่างนั้น ความว่า ในอารามแห่งหนึ่ง มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่อาศัยอยู่ ภิกษุทั้งหลายถือ “วัตร” อย่างเคร่งครัด คือตื่นเช้าขึ้นมาก็จะจับไม้กวาดกวาดลานวัด ลานเจดีย์ เก็บขยะไปทิ้งอย่างพร้อมเพียงกัน วัดวาอารามสะอาดสะอ้านน่ารื่นรมย์ สมนาม “อาราม” อาราม แปลตามศัพท์ว่า สถานที่ที่คนมาแล้วรื่นรมย์ (อาคนฺตฺวา รมนฺติ เอตฺถาติ อาราโม = สถานที่ใดที่คนทั้งหลายมาถึงแล้วมีความรื่นรมย์ สถานที่นั้นเรียกว่า อาราม) ส่วนสถานที่ใดแม้ว่าจะมีพระสงฆ์อยู่ คนเข้าไปถึงแล้ว มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ เหลียวไปไหนก็มีแต่ขยะ และรอยขีดเขียนคำไม่สุภาพตามกำแพง และมีกลิ่นปัสสาวะเหม็นคลุ้ง แถมยังมีเสียงเพลงลูกทุ่งลอยมากับสายลม อ้อ ตามลานวัดก็มีตลาดสด หรือไม่ก็เป็นลานจอดมากกว่าจะทำเป็นสวนหย่อม มีต้นไม้ใบหนาให้คนที่มาถึงได้นั่งพักให้ร่มรื่นชื่นอารมณ์ สถานที่ดังว่านี้ไม่สมนามว่า อาราม ดอกครับท่าน วันหนึ่งภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกวาดลานวัดอยู่อย่างขะมักเขม้น เรียกสามเณรน้อยรูปหนึ่งมาสั่งว่า สามเณรเอาขยะไปทิ้งที สามเณรน้อยทำเป็นไม่ได้ยิน ภิกษุหนุ่มนึกว่าสามเณรไม่ได้ยินจริงๆ จึงเรียกตั้งสามครั้ง เจ้าสามเณรน้อยรูปนี้ก็แกล้งเอาหูทวนลมเสีย ภิกษุหนุ่มจึงเอาด้ามไม้กวาดตีสามเณรพร้อมคำรามว่า “มันดื้อจริงวะ เณรน้อยรูปนี้” บังคับให้เธอเอาขยะไปทิ้งจนได้ สามเณรน้อยร้องไห้พลางขนขยะไปทิ้งพลาง แล้วตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ดังๆ ว่า “ด้วยบุญคือการนำขยะไปทิ้งนี้ ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุพระนิพพาน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ก็ขอให้เป็นผู้มีศักดิ์ (อำนาจ) มากดุจแสงพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน” เมื่อทิ้งขยะเสร็จแล้ว จึงไปอาบน้ำยังแม่น้ำ เห็นคลื่นมันก่อตัวแล้วซัดเข้ามาฝั่งแล้วๆ เล่าๆ จึงตั้งความปรารถนาว่า “ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุพระนิพพาน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ขอให้มีปฏิภาณเฉียบคมไม่รู้หมดสิ้นดุจเกลียวคลื่นเหล่านี้” ฝ่ายภิกษุหนุ่มไปอาบน้ำเหมือนกัน ได้ยินสามเณรน้อยอธิษฐานดังนั้น ก็ยิ้มนึกในใจ (นึก “ในใจ” ทั้งนั้นแหละ “นอกใจ” ไม่มีดอก) ว่าเณรเปี๊ยกนี้ ทิ้งขยะก็เพราะเราใช้ให้ทำ ถ้ามีอานิสงส์จากการทิ้งขยะ เราควรจะได้ก่อน ว่าแล้วก็อธิษฐานดังๆ ว่า “ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังไม่บรรลุพระนิพพาน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ขอให้มีปฏิภาณเฉียบคมไม่รู้หมดสิ้นดุจเกลียวคลื่นเหล่านี้ และขอให้สามารถแก้ปัญหาทุกข้อที่สามเณรนี้จะพึงถาม” ทั้งสอง คือ ทั้งภิกษุหนึ่งและสามเณร ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏตลอดพุทธันดรหนึ่ง ตกมาถึงพุทธกาลนี้ สามเณรนิรนามนั้นมาเกิดเป็น พระยามิลินท์ (เป็นกษัตริย์ชาวกรีกผู้นับถือพระพุทธศาสนา นามเดิมว่า เมนานเดอร์) ภิกษุหนุ่มมาเกิดเป็นบุตรโสณุตตรพราหมณ์ แห่งหมู่บ้านกชังคละ เชิงเขาหิมาลัย เด็กน้อยมีนามว่า นาคเสน พราหมณ์ผู้เป็นพ่อเป็นพราหมณ์นับถือศาสนาฮินดู มิได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่เคยทำบุญในพระพุทธศาสนา แม้จะมีพระภิกษุรูปหนึ่งยืนที่หน้าบ้านของตน แกก็มิได้สนใจ รำคาญเข้าก็ไล่ตะเพิด พระท่านก็ไม่ว่าอะไร เช้าวันรุ่งขึ้นก็มายืนสงบหน้าบ้านแกอีก แกก็ไล่ไปเหมือนเดิม ![]() ธรรมเนียมไทยไม่เช่นนั้น ถ้าเห็นพระมายืนรอรับบิณฑบาตก็นินทาแล้ว “อะไรกัน ทำไมไม่เดินบิณฑบาต มายืนรอทำไม อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” ครับไม่ถูกต้องตามวัฒนธรรมไทย แต่มิได้ผิดวัฒนธรรมพุทธนะขอรับ ![]() ถามอีกว่า ทำไมพระเถระรูปนี้จึงทนทู่ซี้มายืนหน้าบ้านพราหมณ์คนนี้ตั้งนาน (ว่ากันว่าเป็นเวลา ๗ ปี) ตอบว่า เพราะท่านถูกทำ “พรหมทัณฑ์” คือในช่วงที่พระอรหันต์ทั้งหลายประชุม “วางแผน” เกี่ยวกับอนาคตพระพุทธศาสนานั้น ท่านรูปนี้มัวแต่เข้าฌานสมาบัติอยู่ ไม่ได้มาประชุมด้วยจึงถูกสงฆ์ลงโทษ ให้หาวิธีเอาเด็กน้อยนาคเสนมาบวชให้ได้ เพื่อจะได้เป็นกำลังพระพุทธศาสนา ปราบคนมิจฉาทิฐิที่เห็นผิดอย่างพระยามิลินท์ที่พูดถึงนี้ วันหนึ่งท่านเดินกลับวัด สวนทางกับพราหมณ์โสณุตตระ พราหมณ์ถามท่านว่า สมณะ วันนี้ท่านไปบ้านข้าพเจ้าหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่า ไป จึงถามว่า “ได้อะไรบ้างไหม” ถามไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครใส่บาตรดอก แต่ผิดคาด พระเถระตอบเบาๆ ว่า “วันนี้อาตมาได้ โยม” ได้ยินดังนั้นก็หูร้อนทันทีรีบไปบ้านถามคนในบ้านด้วยความโกรธว่า “ใครให้ข้าวสมณะ” เมื่อทุกคนปฏิเสธว่ามิ “ได้ให้เลย” ก็ยิ่งโกรธกำลังสองคือโกรธสมณะ หาว่าพูดเท็จ พรุ่งนี้เถอะ ข้าจะจับผิดสมณะรูปนี้ให้ได้ รุ่งเช้าขึ้นมา แกก็นั่งรอพระเถระแต่เช้า พอเห็นหน้าก็ต่อว่าหาว่าท่านโกหก เมื่อวานนี้ไม่มีใครให้อะไรท่านเลย ท่านกลับบอกว่าได้ “อาตมาได้จริงๆ โยม” พระตอบสงบ “ได้อะไร” “ได้คำพูดไพเราะ เมื่อวานนี้ภรรยาของท่านกล่าวกับอาตมาว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด ตลอด ๗ ปี อาตมาไม่ได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีเลย มาเมื่อวานนี้ได้คำพูดอ่อนหวานว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด อาตมาหมายเอาคำพูดนี้ อาตมาจึงบอกโยมว่าอาตมาได้” ฟังพระเถระอธิบาย พราหมณ์ก็อึ้ง นึกไม่ถึงว่าสมณศากยบุตรนั้นเป็นผู้มีจิตใจละเอียดอ่อนปานนั้น มีจิตใจกตัญญูรู้คุณอะไรปานนั้น เพียงแค่ได้คำพูดอ่อนหวานฉันไมตรีจิต ก็ยังซาบซึ้งว่าเป็นบุญคุณ จึงเกิดความเลื่อมใสนิมนต์ขึ้นไปฉันภัตตาหารที่บ้านเป็นประจำ แต่วันนั้นมาพระเถระก็กล่าวธรรมกถาวันละเล็กละน้อยโปรดโยมอุปัฏฐากของท่าน เด็กน้อยนาคเสนเห็นพระเถระนุ่งห่มแปลกๆ ก็เข้ามาซักถามทำไมนุ่งห่มอย่างนี้ ทำไมไม่ไว้ผมเหมือนคนอื่น พระเถระก็อธิบายให้ฟังว่าพระในพระพุทธศาสนาต้องครองเพศอย่างนี้ ถามว่าท่านรู้ไตรเพทไหม ท่านบอกว่าท่านรู้ เมื่อถามไถ่เรื่องราวของไตรเพท พระเถระก็ตอบได้หมด พอพระเถระถามบ้างก็ตอบไม่ได้ จึงอยากจะขอเรียนจากพระเถระ พระเถระว่า จะไม่สอนให้แก่คนที่ไม่ถือเพศอย่างเดียวกับตน เด็กน้อยนาคเสน อยากเรียนจากพระเถระ จึงตัดสินใจบวช ไปขออนุญาตพ่อแม่ไม่ได้รับอนุญาตในเบื้องต้น จึงประท้วงด้วยการอดอาหาร ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ได้บวชก็ขออดอาหารตายดีกว่า พ่อแม่กลัวลูกตาย และคิดอีกทีว่า ลูกชายของตนเป็นคนใฝ่รู้มาก เมื่ออยากได้ความรู้แล้ว ไม่มีใครห้ามได้ เธอบวชเรียนได้ความรู้จากพระเถระแล้วก็คงสึกออกมา จึงอนุญาตให้ลูกชายบวช ลืมบอกไปว่า พระเถระที่เทียวไล้เทียวขื่อตลอดเวลา ๗ ปี กว่าจะได้เด็กน้อยนาคเสนมาเป็นศิษย์รูปนี้ นามว่า พระโรหนเถระ ท่านโรหนะได้ให้เด็กน้อยนาคเสนบวชเป็นสามเณร ขณะนั้นอายุเพียง ๗ ขวบ บวชแล้วก็ให้การศึกษาอบรมอย่างดี โดยให้เรียนอภิธรรมก่อน ว่ากันว่า อภิธรรม ๗ คัมภีร์ สามเณรน้อยนาคเสนใช้เวลา ๗ เดือนก็เรียนจบและมีความแตกฉานอย่างดีเยี่ยม เธอได้สาธยายให้พระอรหันต์ทั้งหลายฟังอย่างแม่ยำ ไม่ผิดพลาด เมื่ออายุครบบวชพระ ก็ได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีพระโรหนะเป็นพระอุปัชฌายะ ตามประวัติดูเหมือนว่า นาคเสนขณะยังเป็นสามเณรอยู่ได้ศึกษาเฉพาะอภิธรรม ต่อเมื่อบวชแล้วจึงถูกส่งไปศึกษาปิฎกอื่น (พระสูตร และพระวินัย) จากพระอัสสคุต และพระธัมมรักขิต จนเป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎกอย่างหาผู้เปรียบปานได้ยาก ภายหลังถูกพระธัมมรักขิตเตือนว่า “อย่าเป็นเพียงเด็กเลี้ยงโค รับค่าจ้างเลี้ยงโคให้เขา แต่มิได้ดื่มรสน้ำนมโค” ความหมายก็คือ อย่าบำเพ็ญตนเป็นเพียงพหูสูต รู้หลักทฤษฎีเท่านั้น จงนำเอามาปฏิบัติจนได้รู้เห็นด้วยตนเองด้วย ท่านจึงคร่ำเคร่งบำเพ็ญสมาธิวิปัสสนาจนในที่สุดได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทา (ความแตกฉานใน ๔ ด้าน คือ แตกฉานในอรรถ ในธรรม ในภาษา และในปฏิภาณ) ในช่วงที่กล่าวถึงนี้ คู่ปรับเก่าในอดีตชาติ (พระยามิลินท์) ได้โต้วาทะหักล้างนักปราชญ์ต่างๆ จนไม่มีใครสู้ได้ต่างหลบหน้าไปหมด พระหนุ่มนาคเสนจึงได้เดินทางไปยังเมืองสาคละ เพื่อโต้วาทะกับพระยามิลินท์ การโต้วาทะอันลือลั่นครั้งนั้น ได้บันทึกไว้ในหนังสือชื่อว่า มิลินทปัญหา อยากทราบไหวพริบปฏิภาณของพระหนุ่มอดีตสามเณรน้อยนามว่า นาคเสน ว่าเฉียบคมอย่างไร หาอ่านจากหนังสือเล่มนี้ ![]() เมนานเดอร์ (พระยามิลินท์) กษัตริย์กรีกผู้นับถือพระพุทธศาสนา ![]() ![]() ![]() เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ====================
![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46459 ![]() กษัตริย์กรีกผู้นับถือพระพุทธศาสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50325 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=58999 ![]() http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14385 ![]() http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14401 ![]() http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14582 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=28346 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=27616 |
เจ้าของ: | Duangtip [ 12 พ.ค. 2025, 09:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สามเณรนิรนาม สมัยกัสสปะพุทธเจ้า (พระยามิลินท์ ในสมัยพุทธ |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |