วันเวลาปัจจุบัน 01 พ.ย. 2024, 06:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


ในอดีตกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ มีพระขีณาสพ ๒๐,๐๐๐ รูปเป็นบริวาร ได้เสด็จไปกรุงพาราณสีเพื่อโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ พวกชาวเมืองรู้ว่า พระบรมศาสดาเสด็จมาโปรด ได้กำหนดกำลังทรัพย์ของตนเองว่า จะทำบุญกับภิกษุสงฆ์กี่รูปดี เพราะมีมากถึง ๒๐,๐๐๐ รูป บางคนมีทรัพย์ ไม่มาก ก็รวมกัน ๘ คนบ้าง ๑๐ คนบ้าง ได้ถวายอาคันตุกทานด้วยความปีติเบิกบาน

วันหนึ่ง หลังจากเสร็จภัตกิจ พระบรมศาสดาได้ทรงทำอนุโมทนาว่า


"อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้คิดว่า เราให้ของของตนเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาชักชวนคนอื่น เมื่อคิดเช่นนี้ จึงให้ทานด้วยตนเองเท่านั้น ไม่ชักชวนผู้อื่น บุคคลนั้นย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติ ไม่ได้บริวารสมบัติในที่ที่ตนไปบังเกิด บางคนชักชวนผู้อื่น แต่ตนเอง ไม่ยอมบริจาค เมื่อผลบุญบังเกิดขึ้น ย่อมได้บริวารสมบัติเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้โภคทรัพย์สมบัติ รวยบริวารแต่ขาดแคลนทรัพย์สมบัติ

บางคนเป็นคนตระหนี่ ทั้งตนเองไม่ยอมให้ทาน และไม่ชักชวนคนอื่น จะไปบังเกิดภพภูมิไหน ก็ไม่มีโภคทรัพย์สมบัติ ไม่มีบริวารสมบัติ ต้องเป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างอัตคัดขัดสน กินเดนคนอื่น
แต่บางคนเป็นผู้มีปัญญา รู้คุณค่าของทานว่า คือ เสบียงสำหรับเดินทางไกลในสังสารวัฏอย่างแท้จริง จึงให้ทานด้วยตนเอง และขยันชักชวนผู้อื่นให้มาร่วมบุญ เขาย่อมได้รับอานิสงส์ใหญ่ คือ ได้ทั้งโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ ในที่ที่ตนเกิดแล้ว"


หนุ่มบัณฑิตคนหนึ่งนั่งในธรรมสภา ได้ฟังอนุโมทนากถานั้นแล้ว จึงสอนตนเองว่า บัดนี้เราจะทำสมบัติทั้งสองอย่าง ให้บังเกิดขึ้นกับตัวเรา จึงคลานเข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดา พลางทูลนิมนต์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ขอพระองค์โปรดทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

พระบรมศาสดาตรัสถามว่า "ต้องการภิกษุเท่าไรล่ะ" ด้วยความศรัทธาอยากได้บุญใหญ่ แม้รู้ว่าลำพังตนเองไม่มีทรัพย์พอที่จะเลี้ยงพระได้ถึง ๒๐,๐๐๐ รูป แต่อาศัยแรงกายและกำลังสติปัญญาว่า ถ้าหากไปเที่ยวชักชวนผู้อื่นให้มาร่วมบุญ จะสามารถเลี้ยงพระได้หมดทุกรูป จึงทูลว่า ขอนิมนต์หมดทั้ง ๒๐,๐๐๐ รูป

เมื่อพระบรมศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว หนุ่มคนนี้รีบกลับเข้าไปในหมู่บ้าน เที่ยวเดินบอกบุญเพื่อนๆ ให้มาร่วมกันถวายมหาสังฆทาน ชาวเมืองต่างปวารณาร่วมถวาย ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๑๐๐ รูปบ้าง ตามกำลังฐานะของตนเอง บางคนเลี้ยงคนเดียวไม่ไหว ก็รวมเป็นกลุ่ม ขอรับเลี้ยงพระถึง ๕๐๐ รูป หนุ่มบัณฑิตผู้เป็นต้นบุญรีบจดคำปวารณาของแต่ละคนไว้ในบัญชีบุญ จะได้รู้ว่าครบ ๒๐,๐๐๐ รูปหรือยัง เมื่อยังไม่ครบ ก็ได้เที่ยวชักชวนไปเรื่อยๆ

สมัยนั้นในกรุงพาราณสี มีชายคนหนึ่งชื่อ มหาทุคตะ เพราะความเป็นผู้ยากจนมาก ยากจนกว่าใครทั้งหมดในเมือง บางวันเขาและภรรยาต้องไปขออาหารเหลือเดน ที่ชาวบ้านจะเททิ้งมากินประทังชีวิต เมื่อบัณฑิตผู้มีจิตใจงดงามเดินผ่านมาพบเข้า เกิดความกรุณา อยากให้เขาพ้นจากความยากลำบาก จึงได้บอกเรื่องที่ตนนิมนต์พระไว้

และชักชวนให้มหาทุคตะรับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง มหาทุคตะปฏิเสธ เพราะรู้ว่า ตนเองยากจนเข็ญใจขนาดนี้ ต้องขอเขากินแทบทุกวัน จะถวายทานได้อย่างไร แต่บัณฑิตยอดกัลยาณมิตร ก็ไม่ละความพยายาม ยังชักชวนต่อไปว่า

"สหายเอ๋ย คนในเมืองนี้ ต่างร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ต้องทำงานหนัก มีเงินทองมากมาย เพราะเขาทำบุญมาดี ส่วนท่านยากจนอยู่เช่นนี้ เพราะไม่ค่อยให้ทาน จงรีบทำบุญเถิด"

แม้มหาทุคตะจะจนทรัพย์แต่ไม่อับจนปัญญา ในวันนั้นบุญเก่าตามมาทัน ส่งผลให้เกิดปัญญา เขาคิดว่า "ที่เราอดอยาก ยากจนอยู่ทุกวันนี้ เพราะความตระหนี่ของเราแท้ๆ ดังนั้น วันนี้ เราจะต้องทำบุญใหญ่ให้ได้"

จึงตอบตกลง รับเลี้ยงพระภิกษุ ๑ รูปทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทรัพย์มาจากไหน เพื่อไปซื้ออาหารมาเลี้ยงพระ แต่อาศัยใจถึงจึงรับไว้ก่อน ส่วนเขาจะทำ ความปรารถนาของตน ให้สำเร็จได้หรือไม่อย่างไร คงต้องมาติดตามกันในตอนต่อไป

เขารีบกลับบ้านไปชักชวนศรีภรรยาคู่ทุกข์คู่ ยาก ให้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสัก ๑ รูป ภรรยาก็ไม่ขัดข้อง และกล่าวอนุโมทนาว่า "พี่คิดถูกแล้ว เมื่อชาติก่อนเราไม่ได้ให้อะไรๆ ชาตินี้จึงต้องเกิดเป็นคนยากจน เราทั้งสองคนออกไปทำงานรับจ้าง จะต้องสามารถหาอาหารมาถวายพระได้อย่างแน่นอน ฉันขออนุโมทนากับพี่ด้วย" จากนั้นทั้งสองคนมุ่งตรงไปยังบ้านของเศรษฐี เพื่อขอรับจ้างทำงาน

มหาเศรษฐีเห็นมหาทุคตะมาขอรับจ้างทำงาน จึงถามว่า "เธอจะทำอะไรให้ฉันได้บ้างล่ะ"

มหาทุคตะตอบอย่างนอบน้อมว่า "ท่านเศรษฐีจักให้ทำอะไร ผมทำได้หมดแหละครับ"

มหาเศรษฐีบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ ฉันจะเลี้ยงพระ ๓๐๐ รูป เจ้าจงมาผ่าฟืนเถอะ"

มหาทุคตะดีใจมากที่ได้งานทำ เมื่อได้มีดและขวานมาแล้ว เขาตั้งท่าถกเขมรอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใช้ทั้งมีดและขวานผ่าฟืนไปอย่างกระฉับกระเฉง ด้วยอาการร่าเริงยิ่งนัก

เศรษฐีสังเกตเห็นมหาทุคตะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ จึงถามว่า "วันนี้ดูเธอขยันทำงานเหลือเกิน เธอไปได้แรงบันดาลใจ มาจากไหน จึงขยันเป็นพิเศษ"

มหาทุคตะตอบว่า "กระผมกำลังปีติที่จะได้เลี้ยงพระรูปหนึ่ง จึงตั้งใจทำงาน เพื่อจะนำอาหารที่ท่านเศรษฐีเมตตามอบให้นี้ ไปจัดถวายพระ"

เศรษฐี ฟังแล้ว ก็อนุโมทนาในความตั้งใจดีของมหาทุคตะ ที่จะบริจาคมหาทานในครั้งนี้
ฝ่ายภรรยาของมหาทุคตะเข้าไปขอทำงานกับภรรยาเศรษฐี นางได้รับหน้าที่ในการตำข้าวและฝัดข้าว ทำไปก็ปลื้มปีติใจไป จนภรรยาเศรษฐีสังเกตเห็น ได้ถามสาเหตุว่า ทำไมจึงร่าเริงผิดปกติ นางจึงเล่าเรื่องที่รับเลี้ยงพระ ภรรยาท่านเศรษฐีก็อนุโมทนาชื่นชม

วันนั้นทั้งวัน มหาทุคตะและภรรยาได้ช่วยกันรับจ้างทำงานที่บ้านเศรษฐี เพื่อหาเงินมาซื้อภัตตาหารเลี้ยงพระ หลัง จากเสร็จงานแล้ว ท่านเศรษฐีได้ให้ค่าแรงเพิ่มเป็นสองเท่าด้วยความเลื่อมใส ใจของคนเรานี่ ทันทีที่คิดจะให้ ก็ได้กลับคืนมา ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ทั้งสองภรรยาสามียินดีร่าเริงว่า ได้ไทยธรรมแล้ว ตกเย็นจึงกลับบ้านพักผ่อน รุ่งเช้าภรรยารีบลุกขึ้นมาจัดแจงอาหาร ส่วนมหาทุคตะไปเก็บผักที่แม่น้ำ ชาวประมงยืนทอดแหอยู่ ได้ยินเสียงร้องเพลงด้วยความรู้สึกสบายอารมณ์ของมหาทุคตะ จึงตะโกนถาม เมื่อรู้ว่ามหาทุคตะจะเลี้ยงพระ ต่างมีจิตเลื่อมใส ขอร่วมบุญด้วยการมอบปลาตะเพียน ๔ ตัว ที่เก็บไว้ให้

ขณะมหาทุคตะกำลังถือปลากลับบ้าน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะก็ร้อน พระองค์ทรงตรวจดูมนุษยโลกด้วยทิพยจักษุ ทรงทราบว่า "มหาทุคตะจะถวายภัตตาหารแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า" แต่เนื่องจากอาหารของมหาทุคตะไม่ประณีตพอที่จะถวายพระบรมศาสดา จึงทรงดำริว่า

"ถ้ากระไร เราควรไปบ้านของมหาทุคตะ ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว เพื่อจะได้บุญอีกส่วนหนึ่ง" จากนั้นได้แปลงกายเป็นมาณพหนุ่ม มุ่งตรงไปที่บ้านของมหาทุคตะ บอกว่า ตนเองรู้วิชาปรุงอาหารให้มีรสเลิศ รสอร่อย ใครได้รับประทานแล้ว จะติดอกติดใจกันทุกคน มหาทุคตะดีใจว่า มีคนมาช่วยทำครัวให้ เพราะตนเอง และภรรยาไม่มีความรู้ในเรื่องการทำครัว ที่ผ่านมานั้น อาหารที่รับประทานแต่ละมื้อ ส่วนมากมักไปเที่ยวขอเขากินประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น การจะทำอาหารที่ประณีตถวายพระนั้น ไม่เคยเลย เขาได้บอกหนุ่มคนนั้นว่า ตนเองไม่มีเงินค่าจ้างให้ พระอินทร์ บอกว่า

"หากท่านจะทำอาหารถวายพระ เราไม่ขอรับค่าจ้าง แต่ ขอให้เราเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญที่ท่านทำไปก็แล้วกัน"

มหาทุคตะดีใจมาก ที่ตัดสินใจจะทำความดีที่ทำได้ยาก เคยคิดว่าเป็นปัญหา แต่กลับไม่มีปัญหา จึงรู้สึกปลื้มใจตลอดเวลา จากนั้นก็เชิญหนุ่มแปลกหน้าผู้ใจดี เข้าไปทำอาหารในครัว ส่วนตนเองก็ไปนิมนต์พระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน เช้าวันนั้น ผู้นำบุญได้กราบนิมนต์ภิกษุให้ไปรับภัตตาหาร ตามบ้านต่างๆ ตามบัญชีรายชื่อที่จดไว้จนครบ แต่ลืมแบ่งพระไว้ให้แก่มหาทุคตะ เมื่อมหาทุคตะมาขอรับพระ ก็ไม่มีให้ ทำให้มหาทุคตะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เสมือนหอกคมกริบแทงที่หัวใจ หมดแรงทรุดกายลงนั่งกอดเข่าร้องไห้ วิงวอนขอแบ่งพระสักรูปหนึ่งจากเจ้าภาพทั้งหลาย

มหาชนเห็นอาการเศร้าโศกของมหาทุคตะแล้วเกิดความสงสาร พากันตำหนิผู้ชักชวนเขาทำบุญ ว่าท่านได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว ที่ลืมแบ่งพระภิกษุให้มหาทุคตะ แม้ทุกคนจะสงสาร แต่ไม่มีใครยอมแบ่งพระภิกษุให้ ด้วยเสียดายบุญที่ตนจะได้รับ บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกละอายใจมาก ได้กล่าวขอโทษ และแนะนำว่า


"สหาย เอ๋ย ยังมีพระผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่เหลืออยู่อีกองค์หนึ่ง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าท่านมีบุญ พระองค์ก็คงจะรับอาราธนาเป็นแน่"

มหาทุคตะรู้สึกว่า ตนเองพบปัญหาใหญ่ขึ้นทุกขณะ เพราะขณะนี้ตนมีศรัทธา มีไทยธรรม แต่ไม่มีพระมาเป็นเนื้อนาบุญ ส่วนพระบรมศาสดานั้นเล่า ทรงมีอุปัฏฐากเป็นบุคคลสำคัญมากมาย การที่พระพุทธองค์จะทรงรับนิมนต์เราผู้ไม่มี ชื่อเสียงเลย คงเป็นการยากเหลือเกิน ถึงอย่างไรในใจก็ไม่ยอมสิ้นหวัง มุ่งหน้าไปที่ประตูพระคันธกุฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันนั้น พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นมหาทุคตะเข้ามาในข่ายพระญาณ ทรงทราบว่า มหาทุคตะคิดจะเลี้ยงพระ ได้ตั้งใจทำงานรับจ้างเพื่อทำบุญ แต่ว่ามหาทุคตะจะไม่ได้เลี้ยงพระ เนื่องจากคนที่มาบอกบุญลืมแบ่งพระให้ มีแต่เราตถาคตเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของมหา ทุคตะในครั้งนี้ เมื่อทรงเห็นเช่นนั้นแล้ว ทรงทำสรีรกิจแต่เช้าตรู่ แล้วเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ประทับนั่งรอคอยเวลาที่จะสงเคราะห์ มหาทุคตะ ฝ่ายมหาทุคตะ เมื่อได้รับคำแนะนำแล้ว ได้มุ่งหน้าไปสู่พระคันธกุฎี ซึ่งมีทั้งพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ พร้อมทั้งเหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลาย ที่กำลังรอคอยรับบาตรจากพระบรมศาสดา ทุกท่านต่างพูดห้ามปรามมหาทุคตะว่า

"เวลานี้ ไม่ใช่เวลามาขออาหาร เจ้าจงออกไปเสียก่อน"

เพราะที่ผ่านมา เคยเห็นแต่มารอคอยรับอาหารที่เหลือหลังจากพระฉันเสร็จแล้ว มหาทุคตะตอบว่า ข้าพระองค์ไม่ได้มาขออาหาร แต่มาเพื่อถวายบังคมพระบรมศาสดาต่างหาก" เขาซบศีรษะลงที่ธรณีพระคันธกุฎี ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ พลางกราบทูลเสียงดังว่า "ผู้ที่ยากจนกว่าข้า พระองค์ ในเมืองนี้ไม่มีอีกแล้ว พระเจ้าข้า ขอพระองคทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด ขอทรงทำความสงเคราะห์แก่ข้าพระองค์เถิด"

ธรรมดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอนุเคราะห์ชนทุกชั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงรับอาราธนา แล้วประทานบาตรแก่มหาทุคตะ มหาทุคตะรับบาตรไปด้วยความดีใจ เสมือนหนึ่งได้มหาสมบัติจักรพรรดิ น้ำตาไหลอาบแก้ม ด้วยความปลาบปลื้มปีติยินดี แม้พระราชามหาอำมาตย์ จะอ้อนวอน ขอบาตร หรือต่อรองขอซื้อบาตร ด้วยราคาเป็นแสน เขาก็ไม่ยอมขาย เพราะมหาทุคตะเป็นผู้มีปัญญา เห็นว่าบุญเท่านั้นที่จะเป็นสมบัติติดตัวไปได้ ทั้งในภพนี้และภพเบื้องหน้า จึงไม่ยอมยกบุญนี้ให้แก่ใคร

บุญใหญ่นี้ไม่ใช่ของสาธารณะสำหรับคนทั่วไป จึงตอบปฏิเสธว่า "สิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่สุดในเวลานี้คือบุญ แม้เอาทรัพย์สมบัติมากองเท่าภูเขา ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องการ" เมื่อมหาทุคตะไม่ให้บาตรกับใคร ก็ไม่มีผู้ใดสามารถมายื้อแย่งเอาบาตรที่พระบรมศาสดาทรงประทานให้ได้

ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน ทรงดำริว่า มหาทุคตะ แม้เขาจะเอาทรัพย์มาล่อ ก็ไม่ยอมให้บาตรของพระศาสดาแก่ใคร ช่างมีใจเด็ดเดี่ยวจริงหนอ ถ้าอย่างไร หลังจากมหาทุคตะถวายไทยธรรมแล้ว เราจึงจะทูลอาราธนาพระบรมศาสดาไปรับภัตตาหาร ที่พระราชมณเฑียรทีหลังก็ได้ จากนั้นต่างชักชวนกันตามเสด็จพระบรมศาสดาไปที่บ้านของมหาทุคตะ

ฝ่ายท้าวสักกเทวราช ครั้นจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ปูอาสนะอันสมควรสำหรับพระบรมศาสดา มหาทุคตะทูลอาราธนาพระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปข้างใน ปกติบ้านของมหาทุคตะจะหลังเล็กและต่ำมาก ถ้าหากไม่ก้มตัวลงจะเข้าประตูบ้านไม่ได้ แต่สำหรับพระพุทธองค์แล้ว พระองค์ไม่ต้องก้มก็เสด็จเข้าไปได้ เพราะแผ่นดินใหญ่ยุบลงต่ำเอง นี่เป็นผลแห่งมหาทานบารมีที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ถวายไว้ดีแล้ว และเป็นผลแห่งการแสดงความนอบน้อมต่อบุคคลผู้ควรกราบไหว้บูชา ฉะนั้นภพชาตินี้ จึงไม่มีใครหรือสิ่งใด ที่พระองค์ต้องก้มศีรษะให้อีกต่อไป

เมื่อพระบรมศาสดาประทับนั่งแล้ว ท้าวสักกะเปิดข้าวยาคูและภัตตาหาร อันมีกลิ่นเหมือนสุธาโภชน์ของเหล่าเทวดา กลิ่นนั้นหอมหวนยวนใจตลบไปทั่วทั้งเมือง พระราชาทรงตรวจดูข้าวยาคูและอาหารของมหาทุคตะแล้ว บังเกิดความอัศจรรย์ใจ กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน คิดว่า ไทยธรรมของมหาทุคตะจะเป็นอย่างไร จึงตามมาดู ครั้นเห็นแล้ว ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหม่อมฉันไม่เคยเห็นอาหารที่ใดที่เลิศเช่นนี้มาก่อนเลย พระเจ้าข้า" หลังจากนั้นก็กราบทูลลาเสด็จกลับพระราชมณเฑียร

มหาทุคตะและภรรยา พร้อมด้วยท้าวสักกะ ต่างกุลีกุจอ ถวายอาหารหวานคาว น้ำดื่ม น้ำล้างพระหัตถ์ด้วยความเลื่อมใส เมื่อพระบรมศาสดาเสวยภัตตาหารแล้ว ทรงอนุโมทนาในกุศลจิตศรัทธาของมหา ทุคตะ จากนั้นเสด็จลุกจากอาสนะเพื่อกลับพระวิหาร พระอินทร์ทรงบอกให้มหาทุคตะรับบาตร และตามส่งพระบรมศาสดา มหาทุคตะรีบเข้าไปประคองบาตร ตามเสด็จด้วยความปลื้มปีติในบุญใหญ่ครั้งนี้

เมื่อเสร็จภัตกิจได้ตามไปส่งเสด็จที่พระวิหาร ส่วนพระอินทร์ก็เสด็จกลับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ใน ขณะนั้น สิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดฝันพลันบังเกิดขึ้น ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกลงมาเต็มบ้าน จนล้นออกมานอกบ้าน ภายในบ้านไม่มีที่ว่างเลย ภรรยาของมหาทุคตะต้องจูงลูกๆ ออกไปยืนอยู่ข้างนอก

ฝ่ายมหาทุคตะกลับจากวิหารเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น บังเกิดมหาปีติ ขนลุกไปทั่วสรรพางค์ ปลื้มใจว่า ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกเพราะพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ รวมทั้งบุญญานุภาพที่ตัวได้ทำในวันนี้ จากนั้นเขารีบไปยังราชสำนัก พลางกราบทูลพระราชาว่า "บ้านของข้าพระองค์เต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขอพระองค์ทรงให้ราชบุรุษนำเกวียนไปขนทรัพย์นั้นมาเถิด พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงอัศจรรย์ในทานที่มหาทุคตะถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดผลบุญทันตาเห็น ทรงส่งเกวียน ๑,๐๐๐ เล่ม ไปขนสมบัติมาเทลงที่พระลานหลวง กองทรัพย์ได้สูงประมาณเท่าต้นตาล พระราชารับสั่งให้ชาวเมืองประชุมกัน พลางตรัสถามว่า

"ในเมืองนี้ มีใครมีทรัพย์มากถึงเพียงนี้บ้าง" ชาวเมืองทูลว่า "ไม่มี พระเจ้าข้า" พระราชาเห็นว่า สมบัติเหล่านี้ เป็นของมหาทุคตะที่ได้มาด้วยบุญ จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง

พระราชาได้ตรัสบอกสถานที่ที่จะสร้างบ้านใหม่ให้กับเศรษฐีคนใหม่ ซึ่งสถานที่ตรงนั้นเคยเป็นบ้านของเศรษฐีเก่าคนหนึ่ง ขณะที่เศรษฐีใหม่เข้าไปดูพื้นที่ และคนงานกำลังแผ้วถางพื้นที่ให้เรียบนั้น

หม้อทรัพย์ได้ผุดแออัดยัดเยียดกันขึ้นมา สร้างความแตกตื่นและอัศจรรย์ใจให้กับคนงาน และท่านเศรษฐีใหม่เป็นอย่างยิ่ง พระราชารับสั่งว่า "หม้อทรัพย์เกิดเพราะบุญของเธอนั่นเอง เพราะฉะนั้นเธอจงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ เหล่านั้นเถิด"

เศรษฐีใหม่ปลูกบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า วิถีชีวิตใหม่ได้เริ่มขึ้น จากที่เคยยากจนอนาถาก็กลายมาเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความตระหนักในบุญว่า เป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสุข และความสำเร็จทุกอย่าง เขาจึงไม่ประมาทเหมือนภพชาติในอดีตอีก

ได้ ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน และตั้งใจมั่นว่า จะไม่ขอจนข้ามชาติอีกต่อไป ได้บำเพ็ญบุญถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ รวมไปถึงคนยากจนอนาถา ที่มาขอพึ่งพาอาศัยจนตลอดชีวิต เมื่อละโลกไปแล้ว ได้บังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


แก้ไขล่าสุดโดย ปราชญ์บ้านนอก เมื่อ 21 ธ.ค. 2013, 08:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุค่ะ ท่านสมกับชื่อว่า "ปราชญ์บ้านนอก"
เพราะแต่ละเรื่องที่นำมาโพสต์มีแต่ประเทืองปัญญาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2014, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2016, 17:27 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร