วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 12:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 20:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 13:20
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


รักต่างภพ นาเคนทร์ กับ เกตุดารา

นิยายรักอิงธรรมะ สนุก ซาบซึ้ง มีคติสอนใจ โดย ว. ณ เมืองจันทร์

๑. ดอกไม้ไฟน้ำ

ค่ำคืนหนึ่งของวันนั้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ สาวสวยผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้าหวานละมุน รูปร่างสูงโปร่งบางระหง แต่งตัวเรียบง่าย ออกจะดูปอนๆด้วยซ้ำ ทว่ากลับดูด้วยบุคลิกของความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ผนวกกับลักษณะท่าทางที่แสดงถึงความเป็นคนรุ่นใหม่ ทันสมัย กำลังขะมักเขม้นใช้กล้องวิดีโอบันทึกปรากฏการณ์ ลูกไฟประหลาดสีแดงอมชมพู เป็นชุดหลายดวง ที่พุ่งทะยานขึ้นจากลำน้ำโขง โดยพุ่งสูงเป็นแนวตรง ประมาณ ๕๐- ๑๕๐ เมตร ก่อนสลายจางหายไปในความมืด ลูกไฟที่มีขนาดตั้งแต่เท่าหัวแม่มือจนถึงขนาดเท่าไข่ไก่ ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ไม่มีที่ตก คือไม่มีการตกลงมาบนพื้นน้ำ ลูกไฟ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “บั้งไฟพญานาค”

เธอเพลิดเพลินมุ่งมั่นบันทึกปรากฏการณ์ลูกไฟอย่างเอาจริงเอาจังเสียจนหารู้ไม่ว่า พฤติกรรมของตนกำลังเป็นที่ต้องตาต้องใจของบุรุษหนุ่มรูปงาม สง่า ผิวละเอียดขาวนวล ผุดผ่อง ผิดมนุษย์ธรรมดาสามัญ
“ช่าง เอาจริงเอาจัง ตั้งอก ตั้งใจถ่ายภาพลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงเสียเหลือเกิน”
บุรุษนิรนามรำพึงกับตัวเอง เมื่อเผลอมองหญิงสาวโดยมิอาจละสายตา
“เธอเป็นใคร มาจากไหนกันนะ ยิ่งพิศยิ่งสวย คลับคล้ายคลับคลาเหมือนผู้ที่เราตามหามานานแสนนาน”
รำพึงกับตัวเอง แล้วก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ตั้งคำถามถามตัวเองอีกว่า
“ทำไมเราจึงประทับใจสตรีผู้นี้นัก ทั้งที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก หรือจะเป็นเพราะมีพลังบางอย่างในตัวเธอที่ทำให้เราอยากรู้จัก พลังของความสนใจในความงามและความมหัศจรรย์ของลูกไฟ ที่ยังเป็นปริศนาของมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ ว่าเหตุใดคนหนองคายบางคนจึงเรียกว่า “บั้งไฟผี” ทว่าชาวเวียงจันทร์ กลับเรียกว่า “ดอกไม้ไฟน้ำ”

ด้วยความสงสัยว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร ในที่สุดบุรุษนิรนามผู้นั้นจึงได้ถามขึ้นว่า
“ ถ่ายรูปดอกไม้ไฟน้ำไปก็เท่านั้น มิสู้ลงไปดูใกล้ๆ ที่เมืองบาดาลใต้มหานทีแม่โขง แหล่งที่มาของ ดอกไม้ไฟน้ำ จะไม่ดีกว่าหรือ?”
ขณะที่ถาม ใจก็กระหวัดไปถึงคนรักในอดีตซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับสตรีสาวผู้นี้มาก อีกทั้งยัง จำได้ไม่ลืมเลือนว่า เธอก็สนใจหลงใหลในความงามของดอกไม้ไฟน้ำเช่นกัน หรือสตรีผู้นี้ จะเป็นนางผู้เป็นที่รักของเรามาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ เราจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นใคร เมื่อคิดเช่นนั้น น้ำเสียงที่ถามจึง นุ่มนวลน่าฟัง
“ ไม่อยากรู้ที่มาของดอกไม้ไฟน้ำบ้างหรือ?”

เสียงที่กังวานอยู่ข้างๆ หูของหญิงสาว ทำให้เธอต้องหันขวับมาจ้องมองหน้าเจ้าของเสียง ดวงตาสองคู่สบกันโดยมิได้ตั้งใจ สายตา หวาน คม อมเศร้า ที่ประดับด้วยขนตางอน ดูมีเสน่ห์ลึกลับน่าค้นหาจ้องเขม็งอย่างสงสัย กึ่งสนเท่ห์ เมื่อพบว่า ดวงตาสีมรกตคู่นั้น ที่มองตรงมาที่เธอ ช่างมีพลังอำนาจดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด เหมือนมิใช่คนธรรมดา สายตาที่คมกริบ อีกทั้งยังเป็นประกายระยิบระยับ ออกแววล้อเลียนนั้น ช่างบ่งบอกถึงความมีฤทธิ์อำนาจเกินสามัญชน หรือจะเป็นเทวดาแปลงกายลงมา หญิงสาว เจ้าของนาม เกตุดารา ครุ่นคิด ถามตัวเอง อีกทั้งมิอาจละสายตาจากดวงหน้างามราวกับเทพเจ้า ผู้เป็นเจ้าของเรือนกายสูง สง่า องอาจ ผึ่งผาย ที่มองมาคล้ายจะแย้มยิ้มให้ในที
“ เหมือนเคยรู้จักมักคุ้นกันมานานแสนนาน แต่ต้องพลัดพรากจากกันไปแสนไกล”

ด้วยอาการของคนที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เกตุดารารำพึงกับตัวเองจนเผลอตัวเกือบจะทำกล้องวิดีโอพลัดหล่นหลุดมือ ทว่าเธอก็ยังมีสติ พอทีจะรีบตะครุบคว้าไว้ได้ทัน ก่อนที่กล้องจะร่วงลงสู่พื้น แต่ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมาอีกที เทพลึกลับของเกตุดารา ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ เอะ! หายไปไหนแล้ว หรือผีหลอกเรา แต่ผีที่ไหนจะหล่อขั้นเทพอย่างนี้”
หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวา ทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนที่จะหันไปถามนพ เพื่อนชายที่ก้าวยาวๆตรงมาหา
“ นพ นพ เห็นผู้ชายคนหนึ่งไหม? หน้าตาหล่อราวกับเทพเจ้าอพอลโล ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ แห่งดนตรี กวี และวรรณคดี”
เกตุดาราบรรยายความ ทำสีหน้าเคลิบเคลิ้ม พอเห็นนพจ้องตะลึงมอง แล้วทำตาโต เกตุดาราก็ได้สติ ยิ้มเขินๆ แล้วเสแสร้งทำหน้าขึงขัง ย้ำด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังว่า
“ เกดเพิ่งจะเห็นเขาตรงนี้ เมื่อกี้นี้เอง”
“ ใคร เกด เห็นใครหรือ ? นพไม่เห็นมีใครเลย ตรงนี้มีแต่เราสามคนเท่านั้นเอง” นพทำหน้างงๆ
“ เกดเห็นเขาจริงๆ เขายังพูดกับเกดด้วย คนอะไร หล่อน่าดู โอ้ย ไม่เคยเห็นใครหล่ออย่างนี้เลย” สำเนียงชื่นชมชายหนุ่มเหมือนพูดเล่น แต่แก้มใสสุกปลั่งแดงระเรื่อ ดวงตาคู่งามเป็นประกายระยิบระยับ
“ นพเชื่อเรื่องรักแรกพบไหม? เกดว่าเกดกำลังจะตกเหว.......เหวแห่งความรัก” แกล้งพูดเล่น แหย่เพื่อน แต่ในใจยังถวิลหา อยากเห็นหน้าบุรุษลึกลับอีกสักครั้ง
“ เกด เกดรู้ไหม? คิริมานนทสูตร หน้า ๘กล่าวไว้ว่า ......

“ ความรักทั้งปวงนั้นเป็นกองกิเลสทั้งสิ้น ถ้าห้ามใจให้ห่างจากกองกิเลสได้ จึงจะได้รับความสุขทั้งชาตินี้ชาติหน้า”

นพรีบขัดขึ้นทันที ด้วยท่าทางเคร่งครัด ประหนึ่งตัวเองเป็นผู้ทรงศีล และกำลังบรรยายธรรมให้สีกาสาวฟัง
“ บ้า นพ เกดพูดเล่นต่างหาก” เกตุดาราค้อนควับ แล้วต่อว่าเพื่อนอีก
“สมกับที่เคยเป็นลูกศิษย์ติดตามพระธุดงค์ เกดไม่ลืมหรอกว่า มีเพื่อนเป็นอดีตท่านมหา เคยบวชเรียนมาแล้ว แต่นพ เกดเห็นเขาจริงๆนะ” ประโยคหลังยืนยันหนักแน่น ปราศจากแววตัดพ้อเหมือนประโยคแรกๆ
“ไม่มีใครเล้ย เกดตาฝาดแล้ว เห็นพุ่มไม้เป็นเทพเจ้า เทพบุตรสุดเสน่หาไปได้อย่างไร?” รุ้งระวีเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเกตุดาราเดินหัวเราะขำเพื่อนรัก ที่ทำท่าทางเหมือนกำลังตกหลุมรักผู้ชายที่เพิ่งได้พบหน้าเป็นครั้งแรกอย่างถอนตัวไม่ขึ้น พร้อมกับก้าวยาวๆ จากทิศทางตรงกันข้ามกับเกตุดารามาสมทบกับนพ
“ไม่จริง ไม่ได้ตาฝาด เมื่อกี้เขายังพูดกับเกดเลย เขาบอกว่า ถ่ายรูปดอกไฟน้ำไปก็เท่านั้น มิสู้ลงไปดูใกล้ๆ ที่เมืองบาดาลใต้มหานที แม่โขงไม่ดีกว่าหรือ เค้าพูดอย่างนี้จริงๆ” เกตุดารายืนยันมั่นใจเต็มที่
“ อ้าว ถ้าเขายืนพูดอยู่ข้างหลังเกดเมื่อกี้นี้ เราก็ต้องเห็นเขาสิ ทำไมหายตัวไปเร็วนัก เอะ หรือมิใช่คน.......”

รุ้งระวีพูดยังไม่จบประโยค ก็อ้าปากค้าง ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ ตาตี่ ๆเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก กับภาพที่ปรากฏบนคลองจักษุ เกตุดารางุนงงเมื่อเห็นกิริยาของเพื่อนรัก หันขวับกลับไปดูบ้าง ก็พลันได้เห็นสิ่งมีชีวิต ที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายงู แต่บนหัวมีหงอนสีแดงสวยงามมาก มีแผงที่คอเหมือนคอม้า ตาเป็นสีแดงจ้า ลำตัวใหญ่ยาวขนาดเท่าต้นหมาก มีเกล็ดสีมรกตเป็นมันเลื่อม เลื้อยอย่างรวดเร็วหายเข้าไปในพุ่มไม้ใบหนา ในบริเวณของที่พักแบบโฮมสเตย์ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในพื้นที่ที่มีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่ทั้งสามคนมาเช่าพักอยู่ในจังหวัดหนองคาย

นพไม่ทันได้เห็นเหมือนเพื่อนสาวทั้งสอง เพราะยืนตะแคงข้างให้ และเพลินมองบั้งไฟพญานาคที่พุ่งขึ้นมาอีกเป็นชุด แต่พอเหลียวมาเห็นสีหน้าเผือดซีด ตะลึงงัน ตาค้างเหมือนถูกมนต์สะกดของเพื่อนสาวทั้งสอง ก็เพ่งพิศด้วยพิศวง มั่นใจว่าเพื่อนจะต้องได้เห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเข้าแล้ว จึงถามขึ้น
“ ทำไมทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก ตั้งสติให้ดี ไม่มีอะไรหรอก บอกนพมาซิ มีอะไร เห็นอะไรหรือ?”
เกตุดาราตั้งสติได้ก่อน ยกมือขยี้ตาเบาๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไรในความสลัวใต้เงาไม้ ดังนั้นทั้งสองจึงช่วยกันกึ่งลากกึ่งจูงรุ้งระวี ที่ยังมีท่าทางตื่นตระหนก ปากคอสั่น ไม่สามารถแม้แต่จะเปล่งเสียงผ่านลำคอ จนนพต้องเอื้อมมือมาแตะเบาๆที่ไหล่ซ้ายของเพื่อนสาว แล้วโอบค้างไว้ประหนึ่งปลอบขวัญอยู่ในที พูดขึ้นว่า
“ ถ้าได้เห็นอะไรประหลาด มหัศจรรย์ ก็อย่าตกใจ เทพยดาท่านคงแปลงกายมาล้อเล่น ท่านคงมาทดสอบจิตใจ ความกล้าหาญ ว่าจะกล้าสักแค่ไหน คงไม่มีอะไรหรอก แสดงว่าทั้งเกดและรุ้งต้องมีคุณสมบัติพิเศษ จึงสื่อสารกับท่านได้ จริงไหม?”
นพเข้าใจปลอบขวัญ น้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน เรียกสติของรุ้งให้กลับคืนมาได้อย่างน่าพิศวง พอหายตกใจทั้งสองก็แข่งกันบรรยายถึงสิ่งที่เห็นให้นพฟัง จนนพต้องขัดขึ้นมาว่า
“ อย่าแย่งกันเล่าซิ นพไม่รู้จะฟังใครดี จากลักษณะที่เล่ามา นพคิดว่าน่าจะเป็นพญานาค กลับที่พักกันก่อนดีกว่า”

นพตัดสินใจชวนกลับเพราะเห็นเพื่อนทำท่าตกใจอีก สองสาวเห็นพ้องด้วยจึงเดินกลับกันมาเงียบๆ ต่างคนต่างคิดไปต่างๆนาๆ แต่ทั้งสองคนก็เชื่อนพ ด้วยรู้ประวัติของเพื่อนรักดีว่า นพเป็นกำพร้าทั้งพ่อและแม่ อดีตเป็นเด็กน้อยลูกอีสานโดยกำเนิด เมื่อพ่อและแม่ตายก็อยู่กับตาและยาย นพเคยอาสาขอสมัครเป็นศิษย์ ติดตามการจาริกธุดงค์ของพระธุดงค์รูปหนึ่งที่เดินทางผ่านหมู่บ้าน และมาพักค้างสอนธรรมะให้ชาวบ้านอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ด้วยความที่มีจิตใจฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนามาแต่เด็ก นพจึงช่วยอุปัฎฐากรับใช้ท่าน และด้วยชอบการผจญภัยจึงขอร่วมเดินทางติดตามท่านไปด้วย เมื่อท่านออกจากหมู่บ้านไป โดยท่านสัญญาว่าจะพากลับมาส่งเมื่อถึงเวลาสมควร

เด็กชายนพ เป็นผู้มีศรัทธา อุตสาหะมาก แม้ต้องตรากตรำกรำแดดและฝน อดบ้าง อิ่มบ้าง เด็กน้อยก็ไม่เคยปริปากบ่น คงร่วมเดินทางไปกับท่านเป็นแรมปีโดยไม่ย่อท้อ หลังจากกลับมาอยู่กับตาและยายอีกครั้งหนึ่ง และเรียนจบชั้นประถมตอนปลายแล้ว ตาและยายก็พาไปฝากฝังเป็นศิษย์วัด ทำให้นพได้เรียนรู้ การฝึกหัดสวดมนต์ไหว้พระ และอุปัฎฐากรับใช้เจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสจับตามองอยู่หลายเดือน เห็นว่านพเป็นเด็กเรียบร้อย ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยโกหกและขยันหมั่นเพียรดี จึงจัดการบวชเณรให้พร้อมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน เมื่อบรรพชาแล้ว นพได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรม รวมทั้งท่องบทสวดมนต์ต่างๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญ บวชเรียนได้ ๖ ปี ก็ลาสิกขาบท กลับไปใช้ชีวิตทางโลกอีกครั้งหนึ่ง และเรียนต่อจนสำเร็จระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ต่อมานพสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ และได้ทุนเรียนต่อระดับปริญญาตรี นพเป็นคนดีจึงมีเพื่อนมาก และสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของนพ ก็คือ เกตุดารากับรุ้งระวีนั่นเอง
“ นพรู้รายละเอียดเกี่ยวกับดอกไม้ไฟน้ำไหม? ช่วยเล่าให้เกดฟังหน่อยซิ” เกตุดาราขอร้องให้นพเล่าถึงความเชื่อเกี่ยวกับดอกไม้ไฟน้ำ เมื่อกลับมาถึงที่พัก โดยไม่สนใจกับเสียงเรียกเชิญชวนให้ทั้งสามคนไปกินอาหารเย็นที่เจ้าของบ้านพักโฮมสเตย์จัดเตรียมไว้ ทั้งๆที่เลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว เพราะทั้งสองคนใจจดใจจ่อ อยากจะรู้ที่มาที่ไปของดอกไม้ไฟน้ำตามความเชื่อของคนแถบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นที่เกิดของดอกไม้ไฟน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างที่เดินกลับบ้านพัก นพบอกว่า ดอกไม้ไฟน้ำ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพญานาค ซึ่งก็คือสิ่งที่ทั้งเกตุดาราและรุ้งระวีเพิ่งจะได้เห็นกับตาตัวเอง นพเองก็สนใจดอกไม้ไฟน้ำอยู่มาก เมื่อนึกย้อนอดีตทวนความจำไปเมื่อครั้งติดตามพระอาจารย์ไปธุดงค์ นพจึงเริ่มเล่าว่า
“ พระธุดงค์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยเห็นลูกไฟประหลาดห้าดวง เห็นในคืนช่วงออกพรรษา และเห็นที่หนองน้ำที่วัดป่าแห่งหนึ่งแต่ไม่ใช่ในจังหวัดหนองคาย แต่ลูกไฟประหลาดที่เห็น ก็มีลักษณะเหมือนกันทุกอย่างกับดอกไม้ไฟน้ำที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงที่จังหวัดหนองคาย แล้วพระอาจารย์ของท่านบอกว่า เทวดาเป็นผู้จุดบั้งไฟหรือที่เรียกว่า ดอกไม้ไฟน้ำ และที่ไหนมีบั้งไฟเกิดขึ้น ที่นั่นจะเจริญรุ่งเรือง และอุดมสมบูรณ์”
“ หยุดก่อนนพ ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับพญานาคเลย” รุ้งระวีใจร้อน ถามขัดขึ้นก่อนที่นพจะเล่าต่อ
“ใจเย็น ๆซิ ชอบขัดจังหวะจริง นพหมดอารมณ์เล่าแล้ว กินข้าวกันก่อนเถอะ หิวแล้ว”
นพทำเป็นเล่นตัว แต่สองสาวกลับยิ่งกระหายใคร่รู้ คะยั้นคะยอให้เพื่อนเล่าต่อจนได้
“ ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็กินไปเล่าไปก็แล้วกัน” นพเริ่มเล่าต่อ
“ ในวันออกพรรษานี้ ชาวพุทธในจังหวัดหนองคาย และชาวเวียงจันทร์ เชื่อกันว่า สวรรค์ โลกมนุษย์ และเมืองบาดาล จะเปิดถึงกันในวันนี้ โดยเอาไปเชื่อมโยงกับพระพุทธประวัติ เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะทรงต้องการที่จะแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา คือพระนางสิริมหามายา ซึ่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว พระนางเสด็จบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรม โปรดพระมารดาตลอดพรรษา พุทธมารดาเมื่อได้สดับแล้วทรงบรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด หลังจากแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” นพหยุดเล่า หันไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่จะเล่าต่อ

“ จากหนังสือ ประวัติพระพุทธเจ้า ของวัดพระเชตุพน ที่นพเคยอ่าน เขียนเล่าไว้ว่า ผู้คนที่นับถือพุทธศาสนาในเมืองไทย ถือว่า วันออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางศาสนาวันหนึ่ง จึงนิยมทำบุญตักบาตรกันในวันนี้ เพราะถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงค์ การทำบุญตักบาตรในวันนี้จึงเรียกว่า การตักบาตรเทโว ย่อมาจากเทโวโรหณะ แปลว่า ตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันที่ พระพุทธองค์เสด็จลงจากเทวโลก”
“ รุ้งเพิ่งจะรู้ในวันนี้เอง ว่า การตักบาตรเทโว มีที่มาอย่างนี้เอง มิน่าเล่าที่ในจังหวัด อุทัยธานีจึงมีงาน การตักบาตรเทโวที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะพระท่านจะเดินลงมาจากบนเขาที่มีพระพุทธบาทจำลอง เพื่อให้ประชาชนได้ตักบาตร รุ้งได้เห็นรูปที่เขาถ่ายมาก็ยังประทับใจมาก” รุ้งระวีเสริมขึ้น ก่อนที่นพจะเล่าต่อ
“ ในวันนี้เอง พระพุทธองค์ได้แสดงปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่ง โดยทรงเปิดโลก บันดาลให้ เทวโลก มนุษยโลก และยมโลก ต่างก็เห็นซึ่งกันและกันทั่วจักรวาล เทวโลก หมายถึงตั้งแต่ พรหมโลก ลงมาจนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษยโลก คือ โลกมนุษย์ และยมโลก คือ โลกที่อยู่ทางเบื้องต่ำ คือ นรกทุกขุม จนกระทั่งถึง อเวจีมหานรก ดังนั้นผู้อาศัยอยู่ในทั้งสามโลก จึงต่างมองเห็นกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นเทวดาและมนุษย์ แล้วต่างก็เหลียวมองดูพระพุทธองค์ ผู้เสด็จลงจากสวรรค์ ด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่”
“ แล้วเกี่ยวข้องกับ ดอกไม้ไฟน้ำอย่างไรล่ะ?” รุ้งระวีถามอีก
“ เกี่ยวข้อง เพราะว่า ชาวเวียงจันทร์ และชาวพุทธส่วนใหญ่ เชื่อกันว่าในวันนี้เอง เมื่อมองเห็นพระพุทธองค์ เสด็จลงจากสวรรค์ พญานาคทั้งหลาย ต่างพ่นลูกไฟถวาย เพื่อแสดงความชื่นชมยินดี และ ลูกไฟที่พ่นถวาย จึงมีชื่อเรียกว่า ดอกไม้ไฟน้ำ หรือบั้งไฟพญานาค”
“ นพจำแม่นจัง” เกตุดาราเอ่ยชมขึ้น แล้วซักต่อด้วยความสนใจใคร่รู้ “ แสดงว่าในวันนั้น พญานาคก็เห็น พระพุทธเจ้า เห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก และเห็นมนุษย์ด้วย แล้ว พญานาคเป็นเทวดา หรือเป็นสัตว์ล่ะ?”
“ พระเทพวิสุทธิกวี ที่วัดโสมนัสวิหาร ท่านเคยอธิบายไว้ว่า การเกิดของสัตว์โลกมี สี่ชนิด ได้แก่ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคลหรือของสกปรก และโอปปาติกะกำเนิด คือ เกิดลอยขึ้น หรือผุดขึ้นทันทีทันใด ได้แก่พวกเทวดา และพรหมทุกจำพวก สัตว์นรก เปรต อสุรกาย คือ นอกจาก มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานแล้ว นอกนั้นเป็นโอปปาติกะกำเนิดทั้งสิ้น โอปปาติกะ นั้น เกิดแล้วใหญ่โตทันทีเลย ไม่ต้องนอนในท้องมารดา เวลาตายก็ไม่ต้องทิ้งร่างหายไปเลย ส่วน พญานาค นั้น นพเคยศึกษาพบว่า ทางพุทธศาสนาเชื่อว่า เป็นพวกกึ่งเทวดา กึ่งสัตว์ เป็นประเภท โอปปาติกะกำเนิดเช่นกัน”
“ นพ เธอนี่แสนรู้จัง รู้ไปหมด มีอะไรที่ไม่รู้บ้าง ต้องให้รางวัลแล้ว” รุ้งระวีชมเพื่อน พร้อมกับเดินมุ่งหน้าเข้าไปในครัว เพื่อจะไปหยิบผลไม้มากินกับเพื่อน โดยตั้งใจจะเอาส้มเขียวหวานมาเป็นรางวัลให้นพ แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในครัว ยังไม่วายหันมาแซวเพื่อน
“ อย่างไรก็ตาม พญานาคถึงแม้จะเป็นกึ่งเทวดา กึ่งสัตว์ ก็ถือว่ายังเป็นเดรัจฉานอยู่นั่นแหละ แถมยังเป็น ประเภท ครึ่งบกครึ่งน้ำ เหมือนกับนพนั่นแหละ ครึ่งคน ครึ่งพระ”

รุ้งระวีลับสายตาหายเข้าไปในครัวเพียงครู่เดียว แต่แล้วทั้งนพและเกตุดาราก็พลันสะดุ้งโหยง ตกใจกับเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจสุดๆของรุ้งระวี ทั้งสองแข่งกัน กระโจนพรวดเดียวไปที่ประตูครัว ก็ทันได้เห็นว่า ในครัวมีงูเหลือม
ตัวขนาดเท่าต้นขาของรุ้งระวี ถือว่าใหญ่เอาการ ไม่รู้ว่ามาจากไหน กำลังเลื้อยช้า ๆ ลงไปข้างล่างทางหน้าต่างห้องครัวแล้วหายไปในความมืด
ทั้งสามคนยืนตะลึงมองตาค้างอยู่ชั่วขณะ แต่เมื่อหายตกใจ รุ้งระวีก็โวยวายตามนิสัย
“ โอ้ย จะบ้าตาย วันนี้มันเป็นวันอะไรนะ ตอนหัวค่ำเจอพญานาค ตกกลางคืนเห็นงูเหลือม ไม่อยู่แล้วหนองคายกลับกรุงเทพฯ กันเถอะ” หันไปชวนเพื่อนกลับบ้าน
“ จะไปได้อย่างไร คืนนี้ดึกแล้ว นอนค้างที่นี่ก่อน แล้วเราก็เช่าบ้านเขาไว้แล้ว ต้องค้างอีกคืนหนึ่ง” นพขัดขึ้น
“ เกดล่ะ เกดว่าอย่างไร?” รุ้งระวีหันไปถามเพื่อนพร้อมกับดึงแขน จูงออกมาจากห้องครัว
“ เกดเห็นด้วยกับนพนะ จริงๆ แล้ว เกดอยากจะค้างต่ออีกสักสองสามคืนด้วยซ้ำ ชักสนใจเรื่องพญานาคแล้วซิ เกดว่างูเหลือมตัวที่เราเห็น จะต้องเป็นพญานาคแปลงกายมาล้อเล่นกับรุ้งระวีแน่เลย เพราะรุ้งไปว่าพญานาคเป็นเดรัจฉาน จริงๆแล้ว เขาเป็นกึ่งเทวดา กึ่งสัตว์ต่างหาก แล้วยังมีจิตเป็นกุศล อุตส่าห์พ่น ดอกไม้ไฟน้ำถวายพระพุทธองค์อีก เกดตัดสินใจแล้วละนพ เกดจะต้องค้นหาความจริงเกี่ยวกับพญานาคให้ได้ เกดรู้สึกสนใจเรื่องพญานาคจังเลย ทำไมเขามาปรากฏกายให้เกดเห็น แล้วเกดก็รู้สึกประทับใจอย่างน่าประหลาด อยากได้รู้ความจริง” พูดจบก็จ้องมองหน้านพ แสดงท่าทางมุ่งมั่นตั้งใจอย่างที่พูดจริงๆ นพรู้นิสัยเพื่อนดี ว่าถ้าเกตุดาราตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว จะต้องทำให้ได้ ไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ อีกทั้งยังมีเลือดนักสู้ ไม่ยอมแพ้กับปัญหาอุปสรรคใด ๆ ก็เลยไม่โต้แย้งอะไร ตัดบทว่า
“ คืนนี้ดึกแล้ว เราเดินทางมาทั้งวัน หัวค่ำก็เจอเหตุการณ์ประหลาด กลางคืนเจองูเหลือม ไม่รู้ว่าตอนดึกจะเจออะไรอีก สงสัยได้เห็นผีแน่ๆ” พูดแล้วก็หัวเราะเสียงดัง ขบขันกับท่าทางตาเหลือกตาปลิ้นของเพื่อนสาวทั้งสอง
“ ไม่เอาแล้ว นพถ้าจะบ้า พูดอะไรอย่างนี้ เกดไปอาบน้ำนอนกันเถอะ”
“ เออ น่าจะชวนเสียตั้งนานแล้ว เกดชักจะง่วงแล้ว เกดกับรุ้งไปอาบน้ำ แล้วจะเข้านอนนะนพ”
“ ตกลง นพก็จะไปสวดมนต์ก่อน นอนหลับฝันดีนะ” นพยิ้มให้เพื่อนก่อนจะแยกย้ายกันไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร