วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 04:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 57, 58, 59, 60, 61, 62, 63 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาลมีพระราชาพระนามว่า ภรุราช เสวยราช-
สมบัติอยู่ในแคว้นภรุ. ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นดาบส เป็น
ครูประจำคณะ ได้อภิญญาห้าและสมาบัติแปด อยู่ในหิมวันต-
ประเทศมาช้านาน จึงแวดล้อมไปด้วยดาบส ๕๐๐ ลงจาก
หิมวันตประเทศ เพื่อต้องการอาหารรสเค็มและเปรี้ยว ได้ไป

ถึงภรุนครโดยลำดับ ออกบิณฑบาต ณ เมืองนั้น แล้วออกจาก
นครนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรย้อย ซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยสาขา และค่าคบ
ทางประตูด้านเหนือ กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว อาศัยอยู่ ณ โคน
ต้นไม้นั่นเอง. เมื่อคณะฤๅษีนั้นอยู่ ณ ที่นั้นล่วงไปครึ่งเดือน
ครูประจำคณะอื่นมีบริวาร ๕๐๐ มาเที่ยวขอภิกษาในนครนั้น

ครั้นออกจากนครแล้วนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรย้อยเช่นเดียวกันทาง
ประตูทิศใต้ กระทำภัตรกิจแล้วอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเอง. คณะ
ฤๅษีทั้งสองเหล่านั้น พักอยู่ตามพอใจ ณ ที่นั้นแล้วก็กลับสู่
หิมวันตประเทศตามเดิม. เมื่อคณะฤๅษีเหล่านั้นไปแล้ว ต้นไทร
ทางประตูทิศใต้ก็แห้งโกร๋น เมื่อคณะฤาษีเหล่านั้นมาอีกครั้ง

หนึ่ง คณะที่อยู่ต้นไทรทางทิศใต้มาถึงก่อนรู้ว่าต้นไม้ของตน
แห้งโกร๋น เที่ยวขอภิกษาออกจากนครไปโคนต้นไม้ทางทิศอุดร
กระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ก็พักอยู่ ณ ที่นั้นเอง. ส่วนฤๅษีอีก
พวกหนึ่งมาถึงทีหลัง เที่ยวภิกขาจารในนครแล้วไปยังโคนต้นไม้
เดิมของตน กระทำภัตกิจแล้วก็พักผ่อน. พวกฤๅษีทั้งสองคณะ

ก็ทะเลาะกันเพราะต้นไม้ว่า ต้นไม้ของเรา ต้นไม้ของเรา เลย
เกิดทะเลาะกันใหญ่. ฤๅษีพวกหนึ่งกล่าวว่า พวกท่านจะเอา
ที่ที่เราอยู่มาก่อนไม่ได้. พวกหนึ่งกล่าวว่า พวกเรามาถึงที่นี่
ก่อน พวกท่านจะเอาไม่ได้. พวกฤๅษีเหล่านั้นต่างทุ่มเถียงกัน
ว่า เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าของ ดังนี้แล้วพากันไปราชตระกูล

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพื่อต้องการโคนต้นไม้. พระราชาทรงตัดสินให้คณะฤๅษีที่มา
อยู่ก่อนเป็นเจ้าของ. ส่วนฤๅษีอีกพวกหนึ่งคิดว่า พวกเราจะ
ไม่ยอมให้ใครว่าตนว่า ถูกพวกฤๅษีพวกนี้ให้แพ้ได้ จึงตรวจดู
ด้วยทิพยจักษุ เห็นเรือนรกหลังหนึ่งสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ์
ทรงใช้สอย จึงนำมาถวายเป็นสินบนแด่พระราชา พากันถวาย

พระพรว่า มหาบพิตร ขอพระองค์จงตัดสินให้พวกอาตมาเป็นเจ้า
ของ พระราชาทรงรับสินบนแล้ว ทรงตัดสินให้ฤๅษีทั้งสองคณะ
เป็นเจ้าของว่า จงอยู่กันทั้งสองคณะเถิด. ฤๅษีอีกฝ่ายหนึ่งนำ
ล้อแก้วของเรือนรกนั้นมาถวายเป็นสินบน แล้วทูลว่า มหาบพิตร

ขอพระองค์ทรงตัดสินให้พวกอาตมาเป็นเจ้าของเถิด. พระราชา
ได้ทรงทำตามนั้น. คณะฤๅษีมีความร้อนใจว่า พวกเราละวัตถุ
กามและกิเลสกามออกบวช จะทะเลาะติดสินบนเพราะโคนต้นไม้
เป็นเหตุ เป็นการทำที่ไม่สมควร จึงรีบหนีออกไปสู่หิมวันต-
ประเทศตามเดิม. เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ แคว้นภรุรัฐทั้งสิ้น

ต่างร่วมกันพิโรธพระเจ้าภรุราชว่า พระราชาทำให้ผู้มีศีล
ทะเลาะกัน เป็นการทำที่ไม่สมควร จึงบันดาลให้แคว้นภรุรัฐ
อันกว้างใหญ่ ๓๐๐ โยชน์กลายเป็นสมุทรไป ก่อให้เกิดความ
พินาศ. ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นถึงความพินาศ เพราะอาศัยพระเจ้า-
ภรุราชพระองค์เดียว ด้วยประการฉะนี้.

พระศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มา พระองค์ตรัสรู้แล้ว
ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราได้ฟังมาว่า พระราชาในภรุรัฐได้ทรง
ประทุษร้ายต่อฤๅษีทั้งหลายแล้ว ทรงประสบ
ความวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น.

เพราะฉะนั้นแล ปัณฑิตทั้งหลาย จึงไม่
สรรเสริญการลุอำนาจแก่ฉันทาคติ บุคคลไม่ควร
มีจิตคิดร้าย ควรกล่าวแต่คำที่อิงความจริง.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิสีนมนฺตรํ กตฺวา ความว่า เปิดช่อง
ให้ด้วยอำนาจฉันทาคติ. บทว่า ภรุราชา คือพระราชาแคว้นภรุ.
บทว่า อิติ เม สุตํ ความว่า เราได้สดับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว.
บทว่า ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมํ ความว่า เพราะพระเจ้าภรุราชทรง
ถึงฉันทาคติ จึงวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น ฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลาย

จึงไม่สรรเสริญการถึงฉันทาคติ. บทว่า อทุฏฺฐจิตฺโต ความว่า
บุคคลไม่ควรมีจิตคิดร้ายด้วยกิเลส ควรกล่าวคำจริง. บทว่า
สจฺจูปสญฺหิตํ ความว่า ควรกล่าวคำที่อิงสภาพ คือ อิงเหตุ อิงผล
เท่านั้น. ในชนเหล่านั้น พวกใดกล่าวคำจริง คัดค้านว่า ที่
พระเจ้าภรุราช ทรงรับสินบนนี้เป็นการทำที่ไม่สมควร ที่สำหรับ

ชนเหล่านั้นดำรงอยู่ ได้ปรากฏขึ้นเป็นเกาะพันหนึ่ง ในนาลิเกร-
ทวีป จนทุกวันนี้.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
มหาบพิตรไม่ควรเป็นผู้ลำเอียงด้วยฉันทาคติ ไม่ควรทำให้
บรรพชิตทั้งสองคณะทะเลาะกัน แล้วทรงประชุมชาดก. เรา
ตถาคตได้เป็นหัวหน้าคณะฤๅษีสมัยนั้น. พระราชา ในเวลาที่
พระตถาคตเสวยภัตตาหารเสร็จแล้วเสด็จกลับไป ได้ส่งพวก

ราชบุรุษให้ไปรื้ออารามเดียรถีย์. พวกเดียรถีย์ก็ตั้งไม่ติด
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาภรุราชชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระปัญญาบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า ปุณฺณํ นทึ ดังนี้.

ความย่อมีว่าในวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากัน
ปรารภพระปัญญาของพระตถาคต ในโรงธรรมว่า อาวุโส
ทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระปัญญามาก มีพระปัญญา
ลึกซึ้ง มีพระปัญญาแจ่มใส มีพระปัญญาว่องไว มีพระปัญญา

แหลม มีพระปัญญาชำแรกกิเลส ทรงประกอบด้วยพระปัญญา
เฉลียวฉลาด. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลาย

กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ใน
บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนตถาคตก็มีปัญญาฉลาดในอุบายเหมือน
กัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลปุโรหิต ครั้นเจริญ
วัย เรียนศิลปะสำเร็จทุกอย่าง ในเมืองตักกสิลา เมื่อบิดาล่วง
ลับไปแล้ว ได้ตำแหน่งปุโรหิต เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของ
พระเจ้าพาราณสี. ครั้นต่อมา พระราชาทรงเชื่อคำของผู้ยุแหย่

ทรงพิโรธขับพระโพธิสัตว์ออกจากกรุงพาราณสี ด้วยพระดำรัส
ว่า เจ้าอย่าอยู่ในราชสำนักของเราเลย. พระโพธิสัตว์พาบุตร
ภรรยาไปอาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านแคว้นกาสีแห่งหนึ่ง. ต่อมา พระ-
ราชาทรงระลึกถึงคุณของพระโพธิสัตว์ ทรงดำริว่า การที่เรา

จะส่งใคร ๆ ไปเรียกอาจารย์ไม่สมควร แต่เราจะผูกคาถาหนึ่ง
คาถา เขียนหนังสือ ให้ต้มเนื้อกา แล้วห่อหนังสือและเนื้อด้วย
ผ้าขาวประทับตราส่งไปให้ ผิว่า ปุโรหิตเป็นคนฉลาด อ่าน
หนังสือแล้วรู้ว่าเนื้อกาก็จักกลับมา ถ้าไม่รู้ก็จักไม่มา. ทรง
เขียนคาถานี้เริ่มต้นว่า ปุณฺณํ นทึ ลงในใบลานว่า :-

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ชนทั้งหลายพูดถึงแม่น้ำที่เต็มแล้วว่า การ
ดื่มกินได้ก็ดี พูดถึงข้าวกล้าที่เกิดแล้วว่า กาซ่อน
อยู่ได้ก็ดี พูดถึงคนที่รักกันไปสู่ที่ไกลว่า จะกลับ
มาถึงเพราะกาบอกข่าวก็ดี กานั้นเรานำมาให้
ท่านแล้ว ขอเชิญบริโภคเนื้อกานั้นเถิด ท่าน
พราหมณ์.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺณํ นทึ เยน จ เปยฺยมาหุ ความ
ว่าชนทั้งหลายกล่าวว่าแม่น้ำที่กาดื่มได้ ได้กล่าวถึงแม่น้ำที่เต็ม
แล้วกาดื่มได้ เพราะแม่น้ำที่ไม่เต็มไม่เรียกว่า กาดื่มได้. เมื่อใด
กายืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำสามารถยืดคอลงไปดื่มได้ เมื่อนั้น ท่าน
กล่าวแม่น้ำนั้นว่า กาดื่มได้. คำว่า ยวํ ในบทว่า ชาตํ ยวํ เยว

จ คุยฺหมาหุ เป็นเพียงเทศนา แต่ในที่นี้หมายเอาข้าวกล้าอ่อน
ที่เกิดงอกงามสมบูรณ์ทุกชนิด. ด้วยว่า ข้าวกล้านั้นเมื่อใดสามารถ
ปกปิดกาที่เข้าไปภายในได้ เมื่อนั้นชื่อว่า กาซ่อนอยู่ได้. บทว่า
ทูรํ คตํ เยน จ อวฺหยํ ความว่า บุคคลเป็นที่รักจากไปไกลนาน ๆ
ย่อมพูดถึงกัน เพราะได้เห็นกามาจับหรือได้ยินเสียงกาส่งข่าว

ว่า กากา พูดกันอย่างนี้ว่า บุคคลชื่อนี้คงจักมา เพราะกาส่งข่าว.
บทว่า โส ตฺยาภโต ความว่า เนื้อนั้นเรานำมาให้ท่านแล้ว. บทว่า
หนฺท จ ภุญฺช พฺราหฺมณ ความว่า เชิญท่านพราหมณ์รับไป
บริโภคเถิด คือ บริโภคเนื้อกานี้.

พระราชาทรงเขียนคาถานี้ลงในใบลานแล้ว ทรงส่งไป
ให้พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์อ่านหนังสือแล้ว ก็ทราบว่า
พระราชาทรงต้องการพบเรา จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
คราวใดพระราชาทรงระลึกถึงเรา เพื่อ
จะส่งเนื้อกาให้เรา คราวนั้นเนื้อหงส์ก็ดี เนื้อนก
กะเรียนก็ดี เนื้อนกยูงก็ดี เป็นของที่เรานำไป
ถวายแล้ว การไม่ระลึกถึงเสียเลย เป็นความ
เลวทราม.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโต มํ สรตี ราชา วายสมฺปิ ปหาตเว
ความว่า คราวใดพระราชาทรงได้เนื้อกามาย่อมระลึกถึงเรา
เพื่อจะส่งเนื้อกานั้นมาให้. บทว่า หํสา โกญฺจา มยุรา จ ความว่า
แต่คราวใด เขานำเนื้อหงส์เป็นต้นมาถวาย พระองค์ได้เนื้อหงส์
เป็นต้นเหล่านั้น คราวนั้นไฉนพระองค์จึงไม่ระลึกถึงเรา. บทว่า

อสติเยว ปาปิยา ความว่าการได้เนื้ออะไรก็ตาม แล้วระลึกถึง
เป็นความดี แต่ไม่ระลึกถึงเสียเลย เป็นความลามกในโลก เหตุ
แห่งการไม่ระลึกถึงเสียเลยเป็นความเลวทราม แต่เหตุนั้นมิได้
มีแด่พระราชาของเรา พระราชายังทรงระลึกถึงเรา ทรงหวัง
การกลับของเรา เพราะฉะนั้นเราจะไป.

พระโพธิสัตว์ได้เทียมยานไปเฝ้าพระราชา พระราชา
พอพระทัย แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตตามเดิม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นอานนท์ในครั้งนี้ ส่วนปุโรหิต
คือ เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาปุณณนทีชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุโกกาลิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อวธิ วต อตฺตานํ ดังนี้. เรื่องราว จักมีแจ้งในมหาตักการิชาดก.

ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
โกกาลิกะมิใช่ฆ่าตัวเองด้วยวาจาในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน
ก็ฆ่าตัวตายด้วยวาจาเหมือนกัน จึงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลอำมาตย์ ครั้นเจริญ
วัย ได้เป็นผู้สอนอรรถและธรรมของพระองค์. แต่พระราชา
พระองค์ช่างพูด. เมื่อพระองค์ตรัสคนอื่นไม่มีโอกาสพูดได้เลย.
พระโพธิสัตว์ประสงค์จะปรามความพูดมากของพระองค์ จึงคิด

ตรองหาอุบายสักอย่างหนึ่ง. ก็ในกาลนั้นมีเต่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่
ที่สระแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ. มีลูกหงส์สองตัวหากิน จน
สนิทสนมกับเต่า. ลูกหงส์สองตัวนั้นครั้นสนิทสนมแน่นแฟ้น วัน
หนึ่งจึงพูดกับเต่าว่า เต่าสหายรัก ที่อยู่ในถ้ำทองที่พื้นภูเขา

จิตรกูฏ ในป่าหิมพานต์ของพวกเรา เป็นประเทศน่ารื่นรมย์
ท่านจะไปกับเราไหม. เต่าถามว่า เราจะไปได้อย่างไรเล่า.
ลูกหงส์กล่าวว่า เราจักพาท่านไป หากท่านรักษาปากไว้ได้
ท่านจะไม่พูดอะไรกะใคร ๆ เลย. เต่าตอบว่า ได้ พวกท่านพาเรา

ไปเถิด. ลูกหงส์ทั้งสองจึงให้เต่าคาบไม้อันหนึ่ง ตนเองคาบปลาย
ไม้ทั้งสองข้างบินไปในอากาศ. พวกเด็กชาวบ้านเห็นหงส์นำเต่า
ไปดังนั้น จึงตะโกนขึ้นว่า หงส์สองตัวนำเต่าไปด้วยท่อนไม้.
เต่าอยากจะพูดว่า ถึงสหายของเราจะพาเราไป เจ้าเด็กถ่อย
มันกงการอะไรของเจ้าเล่า จึงปล่อยท่อนไม้จากที่ที่คาบไว้ ใน

เวลาที่ถึงเบื้องบนพระราชนิเวศน์ในนครพาราณสี เพราะหงส์
พาไปเร็วมาก จึงตกในอากาศแตกเป็นสองเสี่ยง. ได้เกิดเอะอะ
อึงคะนึงกันว่า เต่าตกจากอากาศแตกสองเสี่ยง.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระราชาทรงพาพระโพธิสัตว์ไป มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม
เสด็จไปถึงที่นั้น ทอดพระเนตรเห็นเต่า จึงตรัสถามพระโพธิสัตว์
ว่า ดูก่อนท่านบัณฑิต ทำอย่างไรจึงได้ตกมา. พระโพธิสัตว์คิด
ว่า เราคอยมานานแล้ว ใคร่จะถวายโอวาทพระราชา เที่ยวตรอง
หาอุบายอยู่ เต่าตัวนี้คงจะคุ้นเคยกับหงส์เหล่านั้น พวกหงส์จึง

ให้คาบไม้ไปด้วยหวังว่า จะนำไปป่าหิมพานต์ จึงบินไปในอากาศ
ครั้นแล้วเต่าตัวนี้ได้ยินคำของใคร ๆ อยากจะพูดตอบบ้าง เพราะ
ตนไม่รักษาปาก จึงปล่อยท่อนไม้เสีย ตกจากอากาศถึงแก่
ความตาย จึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ธรรมดาคนปากกล้า
พูดไม่รู้จบ ย่อมได้รับทุกข์เห็นปานนี้แหละ พระเจ้าข้า แล้วได้
กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

เต่าพออ้าปากจะพูด ได้ฆ่าตนเองแล้ว
หนอ เมื่อตนคาบท่อนไม้ไว้ดีแล้ว ก็ฆ่าตนเสีย
ด้วยวาจาของตนเอง. ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ในหมู่นรชน บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เห็นเหตุอันนี้
แล้ว ควรเปล่งแต่วาจาที่ดี ไม่ควรเปล่งวาจานั้น
ให้ล่วงเวลาไป ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตร
เต่าผู้ถึงความพินาศเพราะพูดมาก.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อวธิ วต ได้แก่ ได้ฆ่าแล้วหนอ.
บทว่า ปพฺยาหรํ ได้แก่ อ้าปากจะพูด. บทว่า สุคฺคหิตสฺมึ
กฏฺฐสฺมึ ความว่า เมื่อท่อนไม้อันตนคาบไว้ดีแล้ว. บทว่า วาจาย
สกิยา วธิ ความว่า เต่าเมื่อเปล่งวาจาในเวลาไม่ควร เพราะ

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ความที่ตนปากกล้าเกินไป จึงปล่อยที่ที่คาบไว้แล้ว ฆ่าตนเอง
ด้วยวาจาของตนนั้น. เต่าได้ถึงแก่ความตายอย่างนี้แหละ มิใช่
อย่างอื่น. บทว่า เอตมฺปิ ทิสฺวา คือเห็นเหตุนี้แหละ. บทว่า
นรวีรเสฏฺฐ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ มีความเพียรสูง
เป็นพระราชาผู้ประเสริฐด้วยความเพียรในนรชนทั้งหลาย.

บทว่า วาจํ ปมุญฺเจ กุสลํ นาติเวลํ ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต
พึงเปล่งวาจาที่เป็นกุศลอย่างเดียว ประกอบด้วยสัจจะเป็นต้น
คือพึงกล่าววาจาที่เป็นประโยชน์ ประกอบด้วยกาล ไม่พึงกล่าว
วาจาเกินเวลา เกินกาลไม่รู้จักจบ. บทว่า ปสฺสสิ ความว่า

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นประจักษ์แล้วมิใช่หรือ. บทว่า
พหุภาณเนน แปลว่า เพราะพูดมาก. บทว่า กจฺฉปํ พฺยสนํ คตํ
คือ เต่าถึงแก่ความตายอย่างนี้.

พระราชาทรงทราบว่า พระโพธิสัตว์กล่าวหมายถึง
พระองค์ จึงตรัสว่า ท่านพูดหมายถึงเราใช่ไหม ท่านบัณฑิต.
พระโพธิสัตว์กราบทูลให้ชัดเจนว่า ข้าแต่มหาราช ไม่ว่าจะเป็น
พระองค์หรือใคร ๆ อื่น เมื่อพูดเกินประมาณย่อมถึงความพินาศ
อย่างนี้. พระราชาตั้งแต่นั้นมาก็ทรงงดเว้นตรัสแต่น้อย.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก เต่าในครั้งนั้นได้เป็นโกกาลิกะในครั้งนี้ ลูกหงส์สองตัว
ได้เป็นพระมหาเถระสองรูป พระราชาได้เป็นอานนท์ ส่วน
อำมาตย์บัณฑิตได้เป็นเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถากัจฉปชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภการเล้าโลมของภรรยาเก่า ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า น มายมคฺคิ ตปติ ดังนี้.

เรื่องย่อมีว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ
ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
ตรัสถามว่า ใครทำให้เธอกระสัน กราบทูลว่า ภรรยาเก่า
พระเจ้าข้า. ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ

หญิงนี้ทำความเสื่อมเสียให้แก่เธอ แม้เมื่อก่อนเธออาศัยหญิงนี้
ถึงกับถูกเสียบด้วยหลาวย่างในถ่านเพลิง ถูกกินเนื้อ ได้อาศัย
บัณฑิตจึงรอดชีวิตมาได้ แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระราชา. อยู่
มาวันหนึ่งชาวประมงยกปลาที่ติดตาข่ายตัวหนึ่ง วางไว้หลังหาด
ทรายอันร้อน เสี้ยมหลาวด้วยคิดว่าจะปิ้งปลานั้นที่ถ่านเพลิง
แล้วเคี้ยวกิน. ปลาร้องรำพันถึงนางปลา ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-

ไฟนี้ก็ไม่เผาเราให้เร่าร้อน แม้หลาวที่
พรานแหเสี้ยมเป็นอย่างดีแล้วก็ไม่ยังความทุกข์
ให้เกิดขึ้นแก่เรา แต่การที่นางปลาเข้าใจว่า เรา
ไปหานางปลาตัวอื่นด้วยความยินดี อันนี้จะเผา
เราให้เร่าร้อน. ไฟคือราคะนั้นแล ย่อมเผาเรา
ให้เร่าร้อน พรานแหทั้งหลาย ขอได้ปล่อยเราเถิด
สัตว์ผู้ตกยากอยู่ในกาม ท่านไม่ควรฆ่า.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบทเหล่านั้น บทว่า น มายมคฺคิ ความว่า ไฟนี้ย่อมไม่
เผาเรา คือไม่ทำให้เราเร่าร้อน ไม่ทำให้เราเศร้าโศก. บทว่า
น สูโล คือ แม้หลาวนี้พรานแหเสี้ยมไว้อย่างดีก็ไม่เผาเรา คือ
ไม่ยังความโศกให้เกิดแก่เรา. บทว่า ยญฺจ มํ มญฺญเต มจฺฉี
ความว่า แต่นางปลาเข้าใจเราอย่างนี้ว่า เราไปหานางปลาอื่น

้ด้วยความยินดีในกามคุณห้า นั่นแหละทำให้เราเร่าร้อน ทำให้เรา
เศร้าโศก เผาเรา. บทว่า โส มํ ทหติ ความว่า ไฟคือราคะนั้น
ย่อมเผาเรา. บทว่า จิตฺตญฺจูปตเปติ มํ ความว่า จิตของเรา
ประกอบด้วยราคะ ทำให้เราเร่าร้อน ลำบาก. บทว่า ชาลิโน

เรียกชาวประมง. ด้วยว่าชาวประมงเหล่านั้น ท่านเรียกว่า
ชาลิโน เพราะมีตาข่าย. บทว่า มุญฺจถยิรา ได้แก่ ปลาอ้อนวอน
ว่า ข้าแต่นาย โปรดปล่อยข้าพเจ้าเถิด. บทว่า น กาเม หญฺญเต
กฺวจิ ความว่า สัตว์ที่ตั้งอยู่ในกาม ถูกกามชักนำไป ไม่ควรฆ่า
โดยแท้. ปลารำพันว่า คนเช่นท่านไม่ควรฆ่าปลานั้นเลย. อนึ่ง

ปลาผู้ติดตามหานางปลา เพราะเหตุกาม คนเช่นท่านควรฆ่า
โดยแท้.

ในขณะนั้นพระโพธิสัตว์ไปถึงฝั่ง ได้ยินปลานี้รำพัน จึง
เข้าไปหาชาวประมงให้ปล่อยปลานั้นไป.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุกระสัน
ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล นางปลาในครั้งนั้น ได้เป็นภรรยาเก่า
ในครั้งนี้ ภิกษุกระสันได้เป็นปลา ส่วนปุโรหิต คือ เราตถาคต
นี้แล.
จบ อรรถกถามัจฉชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภอุบาสกผู้ขายผักผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า สพฺโพ โลโก ดังนี้. เรื่องราวพิสดารอยู่ในเอกนิบาต
นั้นแล้ว.

แม้ในทุกนิบาตนี้ พระศาสดาตรัสถามอุบาสกนั้นว่า ดูก่อน
อุบาสก ทำไมหายไปนานนัก. อุบาสกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ลูกสาวของข้าพระองค์มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ ข้าพระองค์
ลองทดลองดู แล้วจึงยกให้เด็กหนุ่มของตระกูลผู้หนึ่ง เพราะมัว
จัดการเรื่องนั้นอยู่ จึงไม่ได้โอกาสมาเฝ้าพระองค์. ลำดับนั้น

พระศาสดาตรัสกะอุบาสกนั้นว่า ดูก่อนอุบาสก ลูกสาวของท่าน
มิใช่เป็นผู้มีศีลในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน ก็มีศีล และท่านก็
ทดลองนางแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดา. ในกาลนั้น
อุบาสกขายผักผู้นี้แหละคิดจะทดลองลูกสาว จึงนำเข้าป่าแล้ว
จับมือทำเป็นต้องการด้วยอำนาจกิเลส. ลำดับนั้นอุบาสกได้กล่าว
กะลูกสาวผู้คร่ำครวญอยู่ด้วยคาถาแรกว่า :-

สัตว์โลกทั้งปวง เป็นผู้พอใจในการเสพ
กาม ดูก่อนแม่เสคคุ เจ้าเป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรม
ของชาวบ้าน ความที่เจ้าเป็นนางกุมารี ถูกบิดา
จับมือในป่าชัฏร้องไห้อยู่ในวันนี้เป็นธรรมดา.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺโพ โลโก. อตฺตมโน อโหสิ
ความว่า แน่ะแม่หนู สัตว์โลกทั้งสิ้นพอใจในการเสพกามนี้.
บทว่า เสคฺคุ เป็นชื่อของหญิงนั้น. ดูก่อนแม่เสคคุ เจ้าไม่ฉลาด
ในธรรมของชาวบ้าน. ท่านอธิบายว่า เจ้าไม่ฉลาดในธรรมของ
ชาวบ้าน คือ ในธรรมของคนถ่อยนี้. บทว่า โกมาริโก นาม

ตวชฺช ธมฺโม. ความว่า แม่หนู สภาพของเจ้านี้อย่างไร ในวันนี้.
ยํ ตวํ คหิตา ปวเน ปโรทสิ ความว่า อุบาสกถามว่า เจ้าถูกเรา
จับมือด้วยความเชยชมในป่านี้ เจ้าคร่ำครวญ คือ ไม่ยอม สภาพ
ของเจ้านี้ คือ อะไรกัน เจ้ายังเป็นเด็กหญิงอยู่หรือ.

กุมารีฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า จริงจ้ะพ่อ ลูกยังเป็นเด็ก
หญิงอยู่ แล้วคร่ำครวญกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
เมื่อฉันได้รับทุกข์แล้ว ผู้ใดเป็นที่พึ่งได้
ผู้นั้นคือบิดาของฉัน กลับมาทำกรรมมิดีมิร้าย
ฉันในป่า ฉันจะคร่ำครวญหาใครในป่าได้อีกเล่า
ผู้ใดเป็นที่พึ่งได้ ผู้นั้นกลับมาทำฉันถึงสาหัส.

อุบาสกขายผักนั้น ลองใจลูกสาวในครั้งนั้นด้วยประการ
ฉะนี้แล้ว จึงพาไปบ้าน ยกให้เด็กหนุ่มแห่งตระกูล แล้วไปตาม
ยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม อุบาสกขายผัก
ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ลูกสาวในครั้งนั้นได้เป็นลูกสาวใน
ครั้งนี้นั่นเอง ส่วนรุกขเทวดาผู้ทำเหตุนั้นให้ประจักษ์ คือ เรา
ตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาเสคคุชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพ่อค้าโกงคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า สฐสฺส สาเถยฺยมิทํ ดังนี้.

ความพิสดารมีอยู่ว่า ชนสองคนคือพ่อค้าโกง และพ่อค้า
บัณฑิต ชาวเมืองสาวัตถี เดินทางไปด้วยกัน บรรทุกสินค้าเต็ม
เกวียน ๕๐๐ เล่ม เที่ยวทำการค้าจากทิศตะวันออกไปยังทิศต่าง ๆ
ครั้นได้กำไรมากก็กลับกรุงสาวัตถี. พ่อค้าบัณฑิตได้กล่าวกับ

พ่อค้าโกงว่า สหายเรามาแบ่งสินค้ากันเถิด. พ่อค้าโกงคิดว่า
พ่อค้าคนนี้ลำบากด้วยการนอน การบริโภคอันแร้นแค้นมา
เป็นเวลานาน บริโภคอาหารมีรสเลิศต่าง ๆ ในเรือนของตน
จักตายเพราะอาหารไม่ย่อย ทีนั้นแหละสินค้าทั้งหมดอันเป็นส่วน

ของเขาก็จักเป็นของเราแต่ผู้เดียว จึงกล่าวว่า ฤกษ์และวันยัง
ไม่พอใจ พรุ่งนี้มะรืนนี้จึงค่อยรู้ แกล้งถ่วงเวลาไว้. พ่อค้าผู้เป็น
บัณฑิต แค่นให้เขาแบ่งได้แล้วจึงถือเอาของหอมและดอกไม้ไป
เฝ้าพระศาสดาบูชาพระศาสดาถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสถามว่า ท่านมาถึงเมื่อไร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า มาได้ประมาณกึ่งเดือนพระเจ้าข้า.
ตรัสถามว่า เพราะเหตุไรจึงล่าช้าอย่างนี้ ไม่มาสู่ที่พุทธุปฐาก
เขากราบทูลให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า อุบาสกมิใช่ใน
บัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน พ่อค้านี้ก็เป็นคนโกงเหมือนกัน อุบาสก
ทูลอาราธนาจึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2018, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลอำมาตย์ ครั้นเจริญ
วัย ได้เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีของพระองค์. ในครั้งนั้นมีพ่อค้า
สองคน คือพ่อค้าชาวบ้านกับพ่อค้าชาวกรุง เป็นมิตรกัน. พ่อค้า
ชาวบ้านฝากผาล ๕๐๐ ไว้แก่พ่อค้าชาวกรุง. พ่อค้าชาวกรุง

ขายผาลเหล่านั้นแล้วเก็บเอาเงินเสีย แล้วเอาขี้หนูมาโรยไว้ใน
ที่เก็บผาล ครั้นต่อมาพ่อค้าชาวบ้านนอกมาหากล่าวว่า ขอท่าน
จงคืนผาลให้เราเถิด พ่อค้าโกง กล่าวว่า ผาลของท่านถูกหนูกิน
หมดแล้ว จึงชี้ให้ดูขี้หนู. พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า ถูกหนูกินแล้ว
ก็ช่างเถิด เมื่อหนูกินแล้วจะทำอย่างไรได้. จึงพาบุตรของพ่อค้า

โกงนั้นไปอาบน้ำให้เด็กนั้นนั่งอยู่ภายในห้องในเรือนของสหาย
ผู้หนึ่ง แล้วกล่าวว่า อย่าให้ทารกนี้แก่ใคร ๆ เป็นอันขาด แล้ว
ตนเองก็อาบน้ำกลับไปเรือนพ่อค้าโกง พ่อค้าโกงถามว่า ลูก
ของเราไปไหน. พ่อค้าบ้านนอกบอกว่า ในขณะที่เราวางบุตร

ของท่านไว้ริมฝั่งแล้วดำลงไปในน้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาเอา
กรงเล็บโฉบบุตรของท่าน แล้วบินไปสู่อากาศ แม้เราพยายาม
ปรบมือร้องก็ไม่สามารถให้มันปล่อยได้. พ่อค้าโกง กล่าวว่า
ท่านพูดโกหก เหยี่ยวคงไม่สามารถโฉบเอาเด็กไปได้ดอก. พ่อค้า

บ้านนอกกล่าวว่า สหายจะว่าถูกก็ถูก จะว่าไม่ถูกก็ถูก แต่เรา
จะทำอย่างไรได้ เหยี่ยวเอาบุตรของท่านไปจริง ๆ. พ่อค้าโกง
ึคุกคามพ่อค้าบ้านนอกว่า เจ้าโจรใจร้ายฆ่าคน คราวนี้เราจะไป
ศาล ให้พิพากษาลงโทษท่าน แล้วออกไป. พ่อค้าบ้านนอก
กล่าวว่า ทำตามความพอใจของท่านเถิด แล้วไปศาลกับพ่อค้า
โกงนั้น.

* เมื่อยังเห็นประโยชน์ในการดื่มเหล้าเบียร์อยู่ ใจย่อมจะไม่ยอมออกห่าง
* เมื่อจะเลิกควรมองให้เห็นโทษ ท่องคิดพิจารนาบ่อยๆ จะเกิดความกลัว ความเบื่อหน่าย
คลายกำนัด และกำจัดทิ้งไป
* ห่างไกลธรรม ย่อมยังชีวิตตนให้ตกต่ำ
* คิดก่อนพูด ก่อนจะรูดบัตรเครดิตควรคิดให้ดีฃ
* ใช้จ่ายง่าย ระวังจะหมดตัว
* หาเงินทองนั้นยากแท้ แต่หาเพื่อนแท้นั้นยากกว่า หาคนดียากที่สุด
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 57, 58, 59, 60, 61, 62, 63 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร