วันเวลาปัจจุบัน 15 ส.ค. 2025, 11:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 129, 130, 131, 132, 133, 134, 135 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์จงประกอบ
ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ คือโบราณราชวัตรมั่นคง
พระราชทานอภัยให้ทูลเตือนได้ ไม่ทรงกริ้ว-
โกรธ มีความสุขสำราญไม่เดือดร้อน ปกครอง
แผ่นดินให้ร่มเย็น แม้จุติจากโลกนี้ไปแล้ว ก็
จงทรงถึงสุคติเถิด.

พระเจ้าธรรมิกราช ทรงฉลาดในอุบาย
เมื่อครองราชสมบัติด้วยอุบายอันเป็นธรรม คือ
กุศลกรรมบถ ๑๐ อันบัณฑิตแนะนำกล่าวไว้ดี
แล้วอย่างนี้ พึงยังมหาชนผู้กำเริบร้อนกายและ
จิต ให้ดับหายไป เหมือนมหาเมฆ ยังแผ่น-
ดินให้ชุ่มชื้นด้วยน้ำ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิรี จ ลกฺขี จ ได้แก่ บริวาร
สมบัติ และปัญญา.
บทว่า อนีโฆ แปลว่า จงเป็นผู้ปราศจากทุกข์.
บทว่า อุเปต ขตฺติย ความว่า ข้าแต่บรมกษัตริย์ ขอพระองค์
จงประกอบด้วยคุณธรรมเหล่านี้. พระบาลีก็อย่างเดียวกันนี้แหละ.

บทว่า €ิตมริยวตฺตี ความว่า โบราณราชวัตร กล่าวคือทศ-
พิธราชธรรม ชื่อว่า ฐิตอริยวัตร จงเป็นผู้ดำรงมั่นในราชธรรม เพราะ
ตั้งมั่นอยู่ในโบราณราชวัตร คือทศพิธราชธรรมนั้น.
บทว่า อนุปฺปีฬ ปสาส เมทนึ ความว่า และจงปกครอง
แผ่นดิน ไม่ให้พสกนิกรเดือดร้อน.

พระบาลีก็อย่างเดียวกันนี้แหละ.
บทว่า สุนีเตน ความว่า อันบัณฑิตแนะนำไว้ดี คือ ถูกต้อง
ตามทำนองคลองธรรม


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐.
บทว่า าเยน นี้ เป็นไวพจน์ของบทต้นนั่นเอง.
บทว่า อุปายโส แปลว่า ด้วยความฉลาดในอุบาย
บทว่า นยํ ความว่า พระเจ้าธรรมิกราช เมื่อทรงแนะนำ คือ
ครองราชสมบัติ.

บทว่า นิพฺพาปเย ความว่า เมื่อนายสุมังคละจะแสดงความว่า
พระเจ้าธรรมิกราช เมื่อบำบัดความกระวนกระวาย ทางกายและทางใจ
ได้ด้วยข้อปฏิบัตินี้ ชื่อว่า พึงทำมหาชนผู้กำเริบร้อน ด้วยทุกข์กาย
ทุกข์ใจให้ดับเย็นได้ เหมือนมหาเมฆยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่นด้วยน้ำฉะนั้น
ขอพระองค์จงทำมหาชนให้ดับเข็ญ เช่นนั้นเถิด.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงด้วยการประ-
ทานโอวาท แก่พระเจ้าโกศลแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจก-
พุทธเจ้าในครั้งนั้นได้ปรินิพพานแล้ว นายสุมังคละ คนเฝ้าพระราช-
อุทยานในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ พระราชาในครั้งนั้น
ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุมังคลชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาคังคมาลชาดกที่ ๕

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
อุโบสถกรรม จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า องฺคารชาตา ดังนี้.

ความย่อมีว่า วันหนึ่งพระศาสดาตรัสเรียกพวกรักษาอุโบสถมา
แล้วตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายทำอุโบสถกรรมให้
สำเร็จดีแล้ว ผู้ที่รักษาอุโบสถควรให้ทาน รักษาศีล ไม่โกรธ เจริญ
เมตตา อยู่รักษาอุโบสถ ก็บัณฑิตครั้งก่อนได้ยศใหญ่ เพราะอาศัย
อุโบสถกรรมที่รักษาครึ่งวัน ดังนี้ พวกอุบาสกเหล่านั้น กราบทูล
อาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี ในพระนครนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า สุจิบริวาร มี
สมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นผู้ยินดีในบุญกุศล มีให้ทานเป็นต้น. บุตรภรรยา
ก็ดี บริวารชนของเขาก็ดี โดยที่สุดแม้เด็กเลี้ยงโคในเรือนนั้นก็ดี

ทั้งหมดพากันอยู่รักษาอุโบสถ เดือนละ ๖ วัน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์
เกิดในตระกูลคนจนตระกูลหนึ่ง รับจ้างเขาเลี้ยงชีพ เป็นอยู่ด้วยความ
ลำบาก. พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักทำงานรับจ้าง จึงได้ไปยังเรือนของ
สุจิบริวารเศรษฐี ไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง เมื่อท่านเศรษฐี

ถามว่า ท่านมาทำไม จึงกล่าวว่า มาเพื่อรับจ้างทำงานในเรือนของท่าน.
ท่านเศรษฐีได้เคยพูดบอกแก่ลูกจ้างคนอื่นๆ ไว้ในวันที่มาถึงว่า ผู้ที่
ทำงานในเรือนนี้รักษาศีลทุกคน เมื่อท่านอาจรักษาศีลได้ ก็จงทำงาน
เถิด. แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ ท่านเศรษฐีไม่ได้บอกให้รักษาศีล.
กล่าวรับพระโพธิสัตว์ว่า ดีแล้วพ่อ ท่านจงอยู่รับจ้างทำงานเถิด.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
นับแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์เป็นคนว่าง่าย ทุ่มเทชีวิต มิได้คิด
เห็นแก่ความเหนื่อยยากของตน ทำงานทุกอย่างให้ท่านเศรษฐี. พระ-
โพธิสัตว์ไปทำงานแต่เช้าตรู่ ในตอนเย็นจึงกลับมา. อยู่มาวันหนึ่งเขา
ป่าวประกาศมหรสพในพระนคร. มหาเศรษฐีเรียกนางทาสีมาสั่งว่า

วันนี้เป็นวันอุโบสถ เจ้าจงหุงข้าวให้พวกกรรมกรในเรือนแต่เช้าทีเดียว
ถึงเวลาเขาจักได้กิน แล้วรักษาอุโบสถ. พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
ไปทำงาน. ไม่มีใครบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า วันนี้ท่านพึงรักษาอุโบสถ.
พวกกรรมกรที่เหลือบริโภคอาหารแต่เช้า แล้วรักษาอุโบสถ. แม้ท่าน
เศรษฐี พร้อมด้วยลูกเมียบริวารชน ได้อธิษฐานอุโบสถ. พวกที่รักษา

อุโบสถแม้ทั้งหมด ไปที่อยู่ของตนๆ นั่งนึกถึงศีล. พระโพธิสัตว์ทำงาน
ตลอดวัน กลับมาในเวลาที่พระอาทิตย์ตกแล้ว. ลำดับนั้น พวกจัด
อาหารได้ให้น้ำล้างมือแก่พระโพธิสัตว์ แล้วคดข้าวใส่ถาดส่งให้. พระ-
โพธิสัตว์ ถามว่า วันอื่นๆ ในเวลาเช่นนี้ได้มีเรื่องอื้ออึง แต่วันนี้

เขาไปไหนกันหมด เมื่อได้ฟังว่า ทุกคนสมาทานอุโบสถไปที่อยู่ของตนๆ
จึงคิดว่า เราเป็นคนทุศีลคนเดียว จักอยู่ไม่ได้ในกลุ่มของคนผู้มีศีล
เหล่านี้ เมื่อเราอธิษฐานองค์อุโบสถเดี๋ยวนี้ จักเป็นอุโบสถกรรมหรือ
ไม่หนอ คิดดังนี้แล้วจึงไปถามท่านเศรษฐี. ลำดับนั้น ท่านเศรษฐี

กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า แน่ะพ่อ จะเป็นอุโบสถกรรมไปทั้งหมดไม่ได้
เพราะไม่ได้อธิษฐานแต่เช้า แต่ก็เป็นเพียงกึ่งอุโบสถกรรมเท่านั้น.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เพียงเท่านี้ก็ช่างเถอะ ได้สมาทานศีลในสำนักของ
ท่านเศรษฐี อธิษฐานอุโบสถแล้วเข้าที่อยู่ของตน นอนนึกถึงศีลอยู่.
ครั้นราตรีล่วงเข้าปัจฉิมยาม ลมสัตถกวาตก็เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เพราะอดอาหารมาตลอดวัน. แม้ท่านเศรษฐีจะประกอบเภสัชต่างๆ นำ
มาให้บริโภค พระโพธิสัตว์ก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าสมาทานอุโบสถแล้ว
โดยยอมสละชีวิต ด้วยคิดว่า จักไม่ทำลายอุโบสถ. เวทนากล้าแข็งได้
เกิดขึ้น. เวลารุ่งอรุณ พระโพธิสัตว์ไม่อาจดำรงสติไว้ได้ คนทั้งหลาย
คิดว่า พระโพธิสัตว์จักตายในบัดนี้ จึงได้นำไปให้นอนอยู่ ณ ที่โรงเก็บ
อาหาร.

ขณะนั้น พระเจ้าพาราณสี ทรงรถพระที่นั่งทำปทักษิณพระนคร
ด้วยบริวารใหญ่ เสด็จถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ได้เห็นสิริราชสมบัติของ
พระเจ้าพาราณสี เกิดความโลภอยากได้ราชสมบัติ. เมื่อดับจิตแล้ว ได้
ไปปฏิสนธิในครรภ์อัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ด้วยอานิสงส์แห่ง

อุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง. พระอัครมเหสีได้ครรภบริหารแล้ว พอถ้วน
ทศมาสก็ประสูติพระราชโอรส. พระประยูรญาติทั้งหลาย พากันถวาย
พระนามว่า อุทัยกุมาร. อุทัยกุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว สำเร็จ
การศึกษาศิลปะทุกอย่าง ระลึกถึงบุพพกรรมของตนได้ด้วยญาณ เครื่อง

ระลึกชาติ จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมเล็กน้อยของเรา
ดังนี้. ครั้นพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติ ทอดพระเนตร
ดูสิริราชสมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วเปล่งอุทานเช่นนั้นอีก.

อยู่มาวันหนึ่ง ชาวเมืองเตรียมการเล่นมหรสพในพระนคร.
มหาชนพากันสนใจดูการเล่น. ครั้งนั้น บุรุษรับจ้างคนหนึ่ง อยู่ใกล้
ประตูทิศอุดรเมืองพาราณสี เก็บทรัพย์กึ่งมาสก ที่ได้มาด้วยการรับจ้าง
ตักน้ำไว้ที่ซอกอิฐกำแพงเมือง ได้อยู่ร่วมกับหญิงกำพร้าคนหนึ่ง ซึ่ง

เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างตักน้ำเหมือนกัน ในพระนครนั้น. หญิงนั้น
กล่าวกะเขาว่า นาย ในพระนครเขามีมหรสพกัน ถ้าท่านพอมีทรัพย์
อยู่บ้าง แม้เราทั้งสองก็จะไปเที่ยวเล่นกัน. เขาตอบว่า จ๊ะ เราพอมี
ทรัพย์.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มีเท่าไรนาย ?
มีอยู่กึ่งมาสก
ทรัพย์นั้นอยู่ไหน ?
ฉันเก็บไว้ในซอกอิฐใกล้ประตูทิศอุดร ที่เก็บทรัพย์ไกลจากที่
เราอยู่นี้ ๑๒ โยชน์ ก็ทรัพย์ในมือของเจ้า มีบ้างหรือ ?
มีจ๊ะ
มีเท่าไร ?
มีอยู่กึ่งมาสกเหมือนกัน

ทรัพย์ของเธอกึ่งมาสก ของฉันกึ่งมาสก รวมเป็นหนึ่งมาสก
เราจักเอาทรัพย์นั้น ส่วนหนึ่งซื้อดอกไม้ ส่วนหนึ่งซื้อของหอม ส่วน
หนึ่งซื้อสุรา แล้วไปเที่ยวเล่นกัน ท่านจงไปนำทรัพย์กึ่งมาสกที่เก็บไว้
มาเถิด.

บุรุษรับจ้างร่าเริงยินดีว่า ภรรยาเชื่อถือถ้อยคำของเรา จึงกล่าว
ว่า น้องรักเจ้าอย่าวิตกไปเลย ฉันจักนำทรัพย์นั้นมา ดังนี้ แล้วหลีก
ไป. บุรุษรับจ้างมีกำลังเท่าช้างสาร เดินล่วงมรรคาไปได้ ๖ โยชน์

ครั้นเวลาเที่ยง เดินเหยียบทรายร้อนราวกะว่าถ่านไฟ เขาร่าเริงยินดี
เพราะอยากได้ทรัพย์ นุ่งห่มท่อนผ้ากาสาวะ ประดับใบตาลที่หู เดิน
ขับร้องเพลงเฉื่อยเรื่อยไปผู้เดียว เดินผ่านไปทางพระลานหลวง.

พระเจ้าอุทัยราช เปิดสีหบัญชรประทับยืนอยู่ ทอดพระเนตร
เห็นบุรุษรับจ้างเดินมาอย่างนั้น ทรงพระดำริว่า อะไรหนอที่ทำให้
บุรุษนี้ไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนั้น มีความร่าเริงยินดีเดินร้อง
เพลงไป เราจักถามเขาดู ดังนี้ แล้วทรงส่งบุรุษไปคนหนึ่งให้เรียกมา.

เมื่อบุรุษนั้นไปบอกว่า พระราชาตรัสเรียกท่าน เขาตอบว่า พระราชา
เป็นอะไรกับเรา เราไม่รู้จักพระราชา ดังนี้. จึงถูกนำตัวไปโดยการ
ใช้กำลัง ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระราชาเมื่อจะตรัส
ถามเขา ได้ตรัสคาถาสองคาถา ความว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดารดาษไป
ด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง เมื่อเป็นเช่นนี้
เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดด
ไม่เผาเจ้าดอกหรือ เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่าง
ก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้
ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคารชาตา ความว่า แน่ะบุรุษ
ผู้เจริญ แผ่นดินนี้ร้อนระอุประดุจถ่านเพลิง.
บทว่า กุกฺกุฬานุคตา ความว่า ดาษไปด้วยทรายร้อนราวกะ
เถ้ารึง กล่าวคือ เถ้าอันร้อนทั่วแล้ว.

บทว่า วตฺตานิ ความว่า เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลง
ขับอยู่ได้.
บุรุษรับจ้างนั้น ได้ฟังดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กราบทูลเป็น
คาถาที่ ๓ ความว่า:-
ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์
ไม่ แต่ว่าวัตถุกามและกิเลสกาม ย่อมเผาข้า
พระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ อย่าง
มีอยู่ ความประสงค์เหล่านั้น ย่อมเผาข้าพระ-
องค์ แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาตปฺปา ได้แก่ วัตถุกามและ
กิเลสกาม ก็วัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้น ย่อมแผดเผาบุรุษ เพราะ
เหตุนั้น บุรุษรับจ้างจึงเรียกวัตถุกามและกิเลสกามเหล่านั้นว่า อาตัปปา.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า อตฺถา หิ วิวิธา ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ความ
ประสงค์หลายอย่าง กล่าวคือกิจการต่างๆ ที่จะต้องทำ เพราะอาศัย
วัตถุกามและกิเลสกาม ของข้าพระองค์มีอยู่ วัตถุกามและกิเลสกาม
เหล่านั้น เผาข้าพระองค์ ส่วนแดดไม่ชื่อว่า เผาข้าพระองค์. .

ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามบุรุษรับจ้างว่า ความประสงค์ของ
เจ้าเป็นอย่างไร ?

เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์อยู่ร่วม
กับหญิงกำพร้าใกล้ประตูทิศทักษิณ นางนั้นถามข้าพระองค์ว่า นายเรา
จักไปดูการเล่นมหรสพ ท่านมีทรัพย์อยู่ในมือบ้างไหม ? ข้าพระองค์
ได้กล่าวกะนางว่า ทรัพย์เราฝังเก็บไว้ที่ซอกกำแพงใกล้ประตูด้านทิศอุดร
นางกล่าวว่า ท่านจงไปนำทรัพย์นั้นมา เราทั้งสองจักไปดูการเล่น

มหรสพ แล้วส่งข้าพระองค์มา ถ้อยคำของนางนั้นจับใจข้าพระองค์
เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงถ้อยคำของนางนั้น ความร้อนคือกามย่อมเผาเอา
ความประสงค์ของข้าพระองค์เป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า
ถ้าเมื่อเจ้าไม่ย่อท้อต่อลมและแดดเห็นปานนี้ อะไรเป็นเหตุให้เจ้ายินดี
เดินร้องเพลง. บุรุษนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้า

พระองค์นำทรัพย์ที่ฝังไว้นั้นมาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางนั้น ด้วยเหตุ
ดังกราบทูลมานี้ ข้าพระองค์จึงยินดีขับเพลงขับ. พระราชาตรัสถามว่า
แน่ะบุรุษผู้เจริญ ก็ทรัพย์ที่ฝังเก็บไว้ที่ประตูด้านทิศอุดร มีประมาณ
แสนหนึ่งได้ไหม ? เขากราบทูล ไม่มีถึงดอก พระพุทธเจ้าข้า. พระ-

ราชาตรัสถามโดยลำดับว่า ถ้าเช่นนั้น มีห้าหมื่น สี่หมื่น สามหมื่น
สองหมื่น หนึ่งหมื่น ห้าพัน ห้าร้อย สี่ร้อย สามร้อย สองร้อย
หนึ่งร้อย ห้า สี่ สาม สอง หนึ่งกหาปณะ ครึ่งกหาปณะ หนึ่งบาท
สี่มาสก สาม สอง หนึ่งมาสก. บุรุษรับจ้างปฏิเสธทุกขั้นตอน เมื่อ

พระราชาตรัสว่า ครึ่งมาสก เขากราบทูลว่า ใช่แล้ว พระเจ้าข้า
ทรัพย์ของข้าพระองค์มีเพียงเท่านี้ ข้าพระองค์เดินมาด้วยนึกในใจว่า
นำทรัพย์มาได้แล้ว จักอภิรมย์กับนางดังนี้ ด้วยปิติโสมนัสนั้น ลมและ
แดดนั้น จึงไม่ชื่อว่า แผดเผาข้าพระองค์.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะบุรุษนั้นว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ แดด
ร้อนถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าไปที่นั้นเลย เราจะให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่เจ้า.
เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์จักตั้งอยู่ในพระ-
ดำรัสของพระองค์ รับเอาทรัพย์ครึ่งมาสกนั้น และจักไม่ทำทรัพย์ที่ฝัง
ไว้ให้เสียไป ข้าพระองค์จักไปถือเอาทรัพย์นั้น ไม่ยอมให้เสียเป้าหมาย

ของการเดินทาง. พระราชาตรัสว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ เจ้าจงกลับเถิด
เราจักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งมาสก สองมาสก พระองค์ตรัสพระราชทาน
เพิ่มขึ้น โดยทำนองนี้จนถึงโกฏิ ร้อยโกฏิ และทรัพย์กำหนดนับไม่ได้
แล้วตรัสให้เขากลับเสีย เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ

ข้าพระองค์ขอรับทรัพย์ที่พระราชทาน แม้ทรัพย์ที่ฝังไว้ ก็จักไปเอา.
ต่อจากนั้น พระราชาได้ตรัสเล้าโลมด้วยฐานันดรมีตำแหน่งเศรษฐี
เป็นต้น จนถึงจะให้ดำรงตำแหน่งอุปราช ด้วยพระดำรัสว่า เราจักให้
ท่านครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง จงกลับเสียเถิด ดังนี้ เขาจึงยินยอมรับ
พระดำรัส.

พระราชาทรงบังคับอำมาตย์ทั้งหลายว่า พวกเจ้าจงไปแต่งหนวด
ให้สหายของเรา แล้วให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วนำมาหาเรา. พวกอำมาตย์
ได้กระทำตามรับสั่งนั้น. พระราชาแบ่งราชสมบัติออกเป็นสองส่วน
พระราชทานให้บุรุษรับจ้างนั้น ครอบครองราชสมบัติครึ่งหนึ่ง. บาง

อาจารย์กล่าวว่า ก็บุรุษรับจ้างนั้น ครองราชสมบัตินั้นแล้ว ยังไปข้าง
ทิศอุดร ด้วยความรักทรัพย์ครึ่งมาสก. เหตุนั้นเขาจึงได้นามว่า อัฑฒ-
มาสกราช.

พระเจ้าอุทัยราชกับพระเจ้าอัฑฒมาสกราช ทรงสามัคคี สนิท
สนมกัน ครองราชสมบัติ วันหนึ่งเสด็จไปพระราชอุทยาน. พระเจ้า
อุทัยราช ทรงกีฬาในพระราชอุทยานนั้นจนเหนื่อยแล้ว เอาพระเศียร
พาดลงบนพระเพลาของพระเจ้าอัฑฒมาสกราช บรรทมหลับไป. เมื่อ
บรรทมหลับสนิทแล้ว พวกราชบริพารก็พากันไปเล่นกีฬาในที่นั้นๆ.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระเจ้าอัฑฒมาสกราชทรงดำริว่าประโยชน์อะไรที่เราจะเสวยราชสมบัติ
กึ่งหนึ่งอยู่เป็นนิตย์ เราจักปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสียแล้ว เสวย-
ราชสมบัติแต่ผู้เดียวดีกว่า ดังนี้แล้ว จึงชักพระแสงดาบออกจากฝัก
คิดจะปลงพระชนม์พระเจ้าอุทัยราชเสีย แล้วมาหวนคิดขึ้นว่า พระราชา
องค์นี้ได้ทำเราผู้เป็นคนจน คนกำพร้าให้มียศศักดิ์เสมอด้วยพระองค์

และตั้งเราไว้ในอิสรภาพใหญ่ยิ่ง การที่เราเกิดปรารถนาจะฆ่าผู้ที่ให้ยศ
แก่เราถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่เราไม่สมควรทำเลย คิดดังนี้แล้ว จึงยั้งสติ
ได้ สอดพระแสงดาบเข้าฝัก แต่หวนคิดแล้วคิดเล่าถึงสองครั้งสามครั้ง
จิตคิดฆ่านั้น ยังไม่สงบลงได้. ที่นั้น จึงตั้งพระทัยสะกดจิต คิดว่า

จิตดวงนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะพึงประกอบเราไว้ในกรรมลามก จึงแข็ง
พระทัยขว้างพระแสงดาบไปบนพื้นดิน ปลุกพระเจ้าอุทัยราชให้ตื่น
บรรทม แล้วหมอบลงแทบพระบาท กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ขอ
พระองค์จงงดโทษแก่ข้าพระองค์เถิด. พระเจ้าอุทัยราชตรัสว่า ดูก่อน
สหาย โทษในระหว่างท่านกับเราไม่มีมิใช่หรือ ?

มีพระองค์ หม่อมฉันได้ทำอย่างนี้ๆ.
ถ้าเช่นนั้นเรายกโทษให้ท่าน ก็เมื่อท่านอยากได้ครองราชสมบัติ
ก็จงครองราชสมบัติเถิด ส่วนเราจักเป็นอุปราชทำนุบำรุงท่าน.

พระเจ้าอัฑฒมาสกราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์
ไม่ต้องการราชสมบัติ เพราะตัณหานี้จักให้ข้าพระองค์ไปเกิดในอบาย
พระองค์จงครอบครองราชสมบัติของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเถิด ข้า

พระองค์จักขอลาบวช มูลรากแห่งกามคุณ ข้าพระองค์เห็นแล้ว ความ
จริงกามคุณนี้เจริญแก่ผู้ดำริอยู่ บัดนี้แต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ดำริถึง
อีกเลย ดังนี้ เมื่อจะเปล่งอุทาน จึงตรัสคาถาที่ ๔ ความว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดูก่อนกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้า
แล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่ดำริถึงเจ้า
อีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ ความว่า เจ้าจักไม่มีในภายใน
ของเราด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า น โหหิสิ ความว่า เจ้าจักไม่เกิด
ขึ้น. ก็แหละครั้นตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่มหาชนผู้ประ-
กอบในกามต่อไป จึงตรัสคาถาที่ ๕ ความว่า:-

กามแม้น้อย ก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชน
ย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก น่าสลดใจที่พวก
คนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียงเหล่านี้ จงมี
แก่เรา กุลบุตรผู้ประกอบความเพียร พึงเว้น
ให้ขาดเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหหา เป็นบทแสดงถึงความสลดใจ.
บทว่า ชคฺคโต แปลว่า ผู้เพียรเจริญอยู่.

ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า วัตถุกามและกิเลส-
กามแม้น้อย ก็ไม่พอเพียงสำหรับมหาชนนี้ มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วย
วัตถุกามและกิเลสกามแม้มาก น่าสลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป
เสียงเหล่านี้จงมีแก่เรา กุลบุตรผู้หมั่นประกอบความเพียร เจริญโพธิ-

ปักขิยธรรม ยังวิปัสสนาให้เจริญแล้ว พึงรู้แจ้งแทงตลอดได้ คือรู้แจ้ง
ได้ด้วยการกำหนดรู้ การละและการตรัสรู้ แล้วละได้.

พระเจ้าอัฑฒมาสกราช ครั้นแสดงธรรมแก่มหาชนอย่างนี้แล้ว
ให้พระเจ้าอุทัยราชทรงปกครองราชสมบัติ ละมหาชนผู้มีหน้าชุ่มด้วย
น้ำตาร้องไห้อยู่ เข้าหิมวันตประเทศ บวชแล้วยังฌานและอภิญญาให้
เกิด. เมื่อพระเจ้าอัฑฒมาสกราชบวชแล้ว พระเจ้าอุทัยราช เมื่อจะ


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เปล่งอุทานให้ครบกระบวนถ้วนความ จึงตรัสคาถาที่ ๖ ความว่า:-
การที่เราได้เป็นพระเจ้าอุทัยราชถึงความ
เป็นใหญ่ นี้เป็นผลแห่งกรรม มีประมาณน้อย
ของเรา มาณพใดละกามราคะออกบวชแล้ว
มาณพนั้นชื่อว่าได้ลาภดีแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทโย พระเจ้าอุทัยราชตรัสหมายถึง
พระองค์เอง. บทว่า มหตฺตปตฺตํ ความว่า ถึงความเป็นใหญ่ ได้แก่
บรรลุถึงซึ่งอิสริยยศอันไพบูลย์. บทว่า มาณวสฺส ความว่า ชื่อว่า
เป็นลาภอันมาณพผู้เป็นสหายของเรา ผู้ข้องอยู่ได้ดีแล้ว. พระเจ้าอุทัย-
ราช ตรัสไว้โดยมีความมุ่งหมายว่า มาณพใดละกามราคะ ออกบวชแล้ว
ดังนี้เท่านั้น.

ก็เนื้อความของคาถานี้ไม่มีใครรู้. อยู่มาวันหนึ่ง พระอัครมเหสี
ทูลถามเนื้อความของพระคาถากะพระราชา. ก็พระราชามีนายช่างกัลบก
คนหนึ่ง ชื่อ คังคมาล. นายคังคมาลนั้น เมื่อจะแต่งพระมัสสุพระราชา
ได้ทำบริกรรมด้วยมีดโกนก่อน แล้วจึงถอนพระโลมา ด้วยแหนบภาย

หลัง. เวลาที่บริกรรมด้วยมีดโกน พระราชาทรงมีความสุข เวลาที่ถอน
พระโลมา พระราชาทรงมีความทุกข์. นายช่างกัลบกนั้น ประสงค์จะ
ให้พระราชาพระราชทานพรก่อน และหวังว่าจะปลงพระศกบนพระ-
เศียร ต่อภายหลัง.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาได้ตรัสบอกความเรื่องนั้นแก่พระราช-
เทวีว่า น้องรัก นายมงคลกัลบกของเราเป็นคนโง่ เมื่อพระราชเทวี
ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ นายมงคลกัลบกทำอย่างไรจึงจะควร ตรัสว่า
ควรจะถอนเส้นโลมาก่อน แล้วจึงทำบริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง.
พระราชเทวีให้เรียกนายช่างกัลบกมาตรัสว่า คราวนี้เมื่อถึงวันที่จะแต่ง

พระมัสสุถวายพระราชา ท่านพึงถอนเส้นพระโลมาก่อน แล้วทำ
บริกรรมด้วยมีดโกนต่อภายหลัง เมื่อพระราชาทรงประทานพรให้ ท่าน
พึงกราบทูลว่า ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์จงบอกเนื้อความแห่ง
อุทานคาถาของพระองค์ เราจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน. นายช่าง

กัลบก รับพระเสาวนีว่า ดีแล้ว ครั้นถึงวันที่จะแต่งพระมัสสุ ได้หยิบ
แหนบก่อน เมื่อพระราชาตรัสถามว่า แน่ะคังคมาล ทำไมเจ้าจึงไม่
กระทำเหมือนครั้งก่อนๆ เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
ธรรมดาช่างกัลบกย่อมทำแม้สิ่งที่ไม่เคยทำ ทูลแล้วก็ถอนพระโลมาก่อน

แล้วทำบริกรรมด้วยมีดโกน ในภายหลัง. พระราชาตรัสว่า เจ้าจงรับ
พร. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น ขอพระองค์
จงตรัสบอกเนื้อความของอุทานคาถา. พระราชาทรงละอายพระทัยที่จะ
ตรัสบอก เรื่องที่พระองค์เป็นคนยากจน จึงตรัสว่า เจ้าจะต้องการพร

ข้อนี้ทำไม จงรับพรอย่างอื่นเถิด. ช่างกัลบกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงประทานพรข้อนี้ แก่ข้าพระองค์เถิด


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระเจ้าข้า. พระราชาทรงกลัวมุสาวาทกรรม จึงทรงรับคำ แล้วรับสั่ง
ให้จัดแจงตกแต่งสิ่งทั้งปวง ตามนัยที่กล่าวแล้วในกุมมาสปิณฑชาดก
ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ตรัสเล่า ปุริมกิริยาทั้งปวงว่า ดูก่อนคังคมาละ
ในภพก่อนเราเกิดเป็นคนจนที่เมืองนี้ มีศรัทธารักษาศีลครึ่งวัน จุติจาก

อัตตภาพนั้น ได้มาเกิดในตระกูลกษัตริย์ ชื่อว่า อุทัยราช ด้วยเหตุนี้
เราจึงกล่าวครึ่งคาถาข้างต้น ครั้นสหายของเราละกามราคะไปบวชแล้ว
เราเป็นคนประมาท หลงครองราชสมบัติอยู่นี่เอง ด้วยเหตุนี้ เราจึง
กล่าวครึ่งคาถาข้างท้าย พระราชาตรัสบอกเนื้อความแห่งอุทาน ด้วย
ประการฉะนี้.

ช่างกัลบกฟังเรื่องราวนั้นแล้ว คิดว่า ได้ยินว่าพระราชาได้
ราชสมบัตินี้ ด้วยการรักษาอุโบสถกึ่งวัน ขึ้นชื่อว่ากุศลอันบุคคลควรทำ
ถ้ากระไร เราพึงบวชสร้างที่พึ่งของตนเถิด คิดแล้วก็ละวงศ์ญาติและ
โภคสมบัติ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตบรรพชา แล้วไป

หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤๅษี ยกไตรลักษณ์ขึ้นเจริญวิปัสสนา ก็สำเร็จ
ปัจเจกโพธิญาณ ครองบาตรจีวรที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ จำพรรษาที่ภูเขา
คันธมาทน์ ห้าพรรษา คิดว่า จักเยี่ยมพระเจ้าพาราณสี จึงเหาะมา
นั่งอยู่บนมงคลศิลา ในมงคลราชอุทยาน. คนเฝ้าพระราชอุทยานจำได้

จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ นายช่างกัลบกคังคาลมาล เป็น
พระปัจเจกพุทธเจ้า เหาะมานั่งอยู่ในมงคลราชอุทยาน. พระราชาทรง
สดับแล้ว รีบเสด็จออกมาด้วยหวังว่า จักไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า.
พระราชชนนี ก็เสด็จออกไปพร้อมกับพระราชา. พระราชาเสด็จเข้าสู่

พระราชอุทยานไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง พร้อมด้วยบริษัท. พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อจะทำปฏิสันถาร
กับพระราชา ได้เรียกพระราชาตามนามสกุลว่า ดูก่อนพรหมทัต
พระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท ครองราชสมบัติโดยธรรม บำเพ็ญบุญมีให้

ทานเป็นต้นอยู่หรือ ดังนี้แล้ว ทำปฏิสันถาร. พระราชชนนีได้สดับ
ดังนั้น ทรงพระพิโรธว่า คังคมาลนี้ มีชาติเป็นคนเลว ลามก เป็น


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 04 ม.ค. 2019, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ลูกช่างกัลบก ไม่รู้จักประมาณตน เรียกโอรสของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้า
แผ่นดิน เป็นกษัตริย์โดยชาติ โดยชื่อว่า พรหมทัต ดังนี้ จึงตรัส
คาถาที่ ๗ ความว่า:-

สัตว์ทั้งหลาย ย่อมละกรรมชั่วด้วยตบะ
แต่สัตว์เหล่านั้น จะละความเป็นคน ผู้ใช้หม้อ
ตักน้ำให้เขาอาบได้หรือ แน่ะ คังคมาละ การที่
ท่านข่มขี่ด้วยตบะ แล้วร้องเรียกโอรสของเรา
โดยชื่อว่าพรหมทัตในวันนี้นั้น ไม่เป็นการ
สมควรเลย.

คาถานั้น มีอธิบายดังนี้ พระราชชนนีตรัสว่า สัตว์ทั้งหลาย
เหล่านี้ ย่อมละบาปกรรมได้ด้วยตบะ คือตบะคุณที่ตนสร้างสมไว้ แต่
ตบะเหล่านั้นจะละความเป็นผู้ใช้หม้อตักน้ำให้เขาอาบได้ด้วยหรือ แน่ะ
คังคมาละ การที่ท่านใช้ตบะของตนข่มขี่ เรียกโอรสของเราโดยชื่อว่า
พรหมทัตในวันนี้นั้น เป็นการไม่สมควรเลย.

พระราชาตรัสห้ามพระชนนีแล้ว เมื่อจะประกาศคุณของพระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า จึงตรัสคาถาที่ ๘ ความว่า:-
ข้าแต่เสด็จแม่ เราทั้งหลายพร้อมทั้ง
พระราชาและอำมาตย์ พากันไหว้พระปัจเจก-
พุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เป็นผู้อันชน
ทั้งปวงไหว้แล้ว เชิญเสด็จแม่ทอดพระเนตร
ดูผลแห่งขันติและโสรัจจะ ในปัจจุบันเถิด.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 129, 130, 131, 132, 133, 134, 135 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร