วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 14:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 123, 124, 125, 126, 127, 128, 129 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผมหงอกของ
หม่อมฉันเอง ไม่ใช่ของพระองค์ ผมหงอก
งอกขึ้นบนศีรษะ บนกระหม่อมของหม่อมฉัน
เอง หม่อมฉันได้ทูลคำเท็จ โดยตั้งใจว่า จัก
ทำประโยชน์ให้ตน ขอพระองค์ทรงโปรด

พระราชทานอภัยโทษหม่อมฉันสักครั้งหนึ่งเถิด
เพคะ ข้าแต่มหาราช พระองค์ยังทรงหนุ่ม มี
พระโฉมน่าทัศนา ยังทรงอยู่ในปฐมวัยเหมือน
ตองกล้วยแรกผลิฉะนั้น ข้าแต่พระทูลกระ-
หม่อมจอมคน ขอพระองค์ทรงเสวยราชสมบัติ

ทรงดูแลหม่อมฉันเถิด และอย่าทรงทยานไป
สู่การประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้ผลตามกาลเวลา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเมว สีสํ ความว่า พระราชินี.
ทรงแสดงว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของหม่อมฉันเอง. คำว่า อุตฺต-
มงฺคํ เป็นไวพจน์ของคำว่า สีสํ นั่นเอง บทว่า อตฺถํ ความว่า
หม่อมฉันทูลคำเท็จด้วยหวังว่า จักทำความเจริญแก่ตนเอง. บทว่า เอกา-

ปราธํ ความว่า โทษผิดอย่างหนึ่งของข้าพระองค์นี้. บทว่า ป€มุคฺคโต
ความว่า เจริญขึ้นโดยปฐมวัย. บทว่า โหหิ ได้แก่ โหสิ เป็นผู้
อธิบายว่า ดำรงอยู่แล้วในปฐมวัย. ปาฐะว่า โหสิ เยว ก็ดี. บทว่า
ยถา กลีโร ความว่า พระราชินีทรงชี้แจงว่า ตองกล้วยอ่อนมีผิวนวล

ต้องลมอ่อนพัดโชยย่อมพริ้วงามฉันใด พระองค์ก็มีพระรูปโฉมฉันนั้น.
ปาฐะว่า ป€มุคฺคโต โหสิ ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นก็มีเนื้อความว่า หน่อ
ของไม้อ่อนแรกขึ้น น่าทัศนาฉันใด พระองค์ก็น่าทัศนาฉันนั้น. บทว่า

มมฺจ ปสฺส ความว่า ขอพระองค์จงทรงดูแลหม่อมฉันด้วยเถิด.
อธิบายว่า โปรดอย่าทรงกระทำให้หม่อมฉันเป็นหม้ายไม่มีที่พึ่งเลย.
บทว่า กาลิกํ ความว่า พระนางทูลว่า ธรรมดาการประพฤติพรหม-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
จรรย์ ที่ชื่อว่าให้ผลตามกาลเวลา เพราะจะให้ผลในอัตภาพที่ ๒ ที่ ๓
ส่วนราชสมบัติ ชื่อว่า ให้ผลไม่เลือกกาลเวลา เพราะอำนวยความสุข
คือกามคุณในอัตภาพนี้ทีเดียว พระองค์นั้นอย่าทรงละราชสมบัติที่ให้ผล
ไม่เลือกกาลเวลา แล้วทรงโลดแล่นไปตามการประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้
ผลตามกาลเวลาเลย.

พระโพธิสัตว์ ครั้นทรงสดับคำนั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ
เธอพูดถ้อยคำนั้นที่ควรเป็นไปได้ เพราะว่า เมื่อวัยของเราที่มีความ
เปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมสีดำทั้งหลายเหล่านี้
ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนใยป่านไปหมด. จริงอยู่ เมื่อวัยของกุมาร
ทั้งหลายที่เช่นกับพวงดอกไม้ มีดอกอุบลเขียวเป็นต้น และของขัตติย-

กัญญาเป็นต้น ผู้เปรียบปานกับด้วยรูปทอง อุดมสมบูรณ์ด้วยความ
หนุ่มสาวและความสง่างาม มีความเปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ได้เปลี่ยน
แปลงไปแล้ว เราจะเห็นทั้งสิ่งที่น่าตำหนิทั้งความชำรุดแห่งสรีระของ
คนทั้งหลาย ผู้ถึงความชราแล้ว ดูก่อนนางผู้เจริญ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้

โลกของสัตว์ผู้มีชีวิตนั้น ก็มีความวิบัติเป็นจุดจบ ดังนี้แล้ว เมื่อทรง
แสดงธรรมด้วยพุทธลีลาในเบื้องสูง จึงได้กล่าวคาถาทั้ง ๒ ว่า:-
เราเห็นกุมารีรุ่นสาว ผู้มีรูปร่างสวยงาม
มีผิวพรรณเกลี้ยงเกลา มีทรวดทรงเฉิดฉาย
อ่อนละมุนละไมเหมือนเถากาลวัลลี ต้องลม
โชย เอนตัวเข้าใกล้ชายเหมือนยั่วยวนชายอยู่

ฉะนั้น ต่อมาเราได้เห็นนารีคนนั้น มีความชรา
มีอายุล่วงไป ๘๐ ปี ๙๐ ปี ถือไม้เท้าสั่นงกงัน
มีร่างกายโค้งค้อมลงเหมือนกลอนเรือนเดินไป.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต. บทว่า สา-
มฏฺ€ปสฺสํ ความว่า มีต้นแขนเกลี้ยงเกลา อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็เป็น
สมฏฺ€ปสฺสํ นั่นแหละ. อธิบายว่า มีผิวพรรณเกลี้ยงเกลาที่ต้นแขน
ทั้งหมด. บทว่า สุตนุํ ได้แก่ มีรูปร่างสวยงาม. บทว่า สุมชฺฌํ ได้แก่
มีลำตัวได้สัดส่วนทรวดทรงดี. บทว่า กาลปฺปลฺลวาว ปเวลฺลมานา

ความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เถากาลวัลลี เถาหญ้านาง ที่ขึ้นดีๆ งามๆ
ในเวลายังเล็ก ยังเป็นยอดอ่อนอยู่ทีเดียว ต้องลมโชยเบาๆ ก็โอนเอน
ไปมาทางโน้นทางนี้ฉันใด หญิงสาวนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน เอนตัว
เข้าไปทำร้ายความสง่างามของหญิง. บทว่า ปโลภยนฺตีว นเรสุ คจฺฉติ
เป็นสัตตมีวิภัติลงในอรรถว่าใกล้. หญิงสาวนั้นไปใกล้สำนักชายทั้งหลาย

เป็นเหมือนยั่วยวนชายเหล่านั้นอยู่. บทว่า ตเมน ปสฺสามิ ปเรน นารึ
ความว่า สมัยต่อมาเราเห็นหญิงคนนี้นั้นถึงความชรา คือความสวยงาม
แห่งรูปที่หายไปแล้วหมดความสวยงาม. พระโพธิสัตว์กล่าวถึงคุณของ
รูปด้วยคาถาที่ ๑ บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงโทษ จึงได้กล่าวอย่างนี้. บทว่า

อาสีติกํ นาวุติกฺจ ชจฺจา ความว่า ๘๐ ปี หรือ ๙๐ ปี แต่เกิดมา-
บทว่า โคปาณสีภคฺคสมํ มีเนื้อความว่า มีร่างกายคดค้อมเหมือน
กลอนเรือน คือมีสรีระคดโค้งเหมือนกลอนเรือน เดินหลังค่อมเหมือน
กับหาเก็บเงินกากณึกหนึ่งที่หายไป. ก็ขึ้นชื่อว่า หญิงที่พระโพธิสัตว์
เคยเห็นเมื่อเวลายังสาว แล้วได้เห็นอีกในเวลาอายุ ๙๐ ปี ไม่มีก็จริงแล
แต่ว่า คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาภาวะของหญิงที่เห็นได้ด้วยญาณ.

พระมหาสัตว์ ครั้นทรงแสดงโทษของรูปด้วยคาถานี้ โดย
ประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศความเบื่อหน่ายของตน
ในการครองเรือน จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถาไว้ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เราครุ่นคิดถึงคุณและโทษของรูปนั้นอยู่
นั่นเอง จึงนอนอยู่กลางที่นอนแต่คนเดียว
เราเมื่อพิจารณาเห็นว่า ถึงเราก็จะเป็นอย่างนี้
จึงไม่ยินดีในเรือน เวลานี้เป็นเวลาแห่งการ
ประพฤติพรหมจรรย์ ความยินดีของผู้อยู่ครอง
เรือนนี้แหละ เป็นเหมือนเชือกผูกเหนี่ยวไว้
ธีรชนตัดเชือกนี้ได้แล้ว ไม่อาลัยใยดี จะละ
กามสุข แล้วหลีกเว้นหนี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสหํ ตัดบทเป็น โส อหํ ความว่า
เรานั้น. บทว่า ตเมวานุวิจินฺตยนฺโต ความว่า ครุ่นคิดถึงคุณและโทษ
ของรูปทั้งหลายนั้นนั่นเอง. บทว่า เอวํ อิติ เปกฺขมาโน ความว่า
พิจารณาเห็นอยู่ว่า หญิงนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วฉันใด ถึงฉันก็เป็นฉัน

นั้น คือจักถึงความชรา มีสรีระคดค้อมลงไป. บทว่า เคเห น รเม
ความว่า เราไม่ยินดีในเรือน. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส กาโล ความว่า
พระโพธิสัตว์ทรงแสดงว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เวลานี้เป็นเวลาการ
ประพฤติพรหมจรรย์ของเรา เพราะฉะนั้น เราจักออกบวช. จ อักษร

ในคำว่า รชฺชุ วาลมฺพนี เจสา เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า สิ่งนี้
เป็นเสมือนเครื่องผูกเหนี่ยวไว้. สิ่งนี้คืออะไร คือความยินดีของผู้อยู่
ในเรือนใด. อธิบายว่า ความยินดีด้วยอำนาจของกามในอารมณ์ทั้งหลาย
มีรูปเป็นต้น ของผู้ครองเรือนใด. ด้วยบทนี้ พระโพธิสัตว์ทรงแสดง
ถึงความที่กามทั้งหลายมีคุณน้อย. ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ บุรุษ

ผู้ป่วยไม่สามารถพลิกตัวได้ด้วยกำลังของตนเอง ผู้พยาบาลต้องผูกเชือก
สำหรับเหนี่ยวไว้ โดยบอกว่า จงเหนี่ยวเชือกนี้พลิกตัว. เมื่อเขาเหนี่ยว
เชือกนั้นพลิกตัว ก็คงมีความสุขกายและความสุขใจหาน้อยไม่ฉันใด


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อสัตว์ทั้งหลายผู้เร่าร้อนเพราะกิเลส ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถ
จะพลิกใจได้ ด้วยสามารถแห่งความสุขเกิดแต่วิเวก ปรารภอารมณ์มีรูป
เป็นต้น ที่สถิตอยู่ท่ามกลางเรือน ด้วยอำนาจการซ่องเสพเมถุนธรรม
ในเวลาพวกเขาเร่าร้อนเพราะกิเลส พลิกไปพลิกมาอยู่ ความยินดีใน
กาม ได้แก่ ความสุขกาย สุขใจ เมื่อเกิดขึ้นชั่วครู่เท่านั้น ก็มีประมาณ

เพียงเล็กน้อย กามทั้งหลาย ชื่อว่า มีคุณมากอย่างนี้. บทว่า เอตํปิ
เฉตฺวาน ความว่า ก็เพราะเหตุที่กามทั้งหลาย มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก. ในกามนี้ยิ่งมีโทษ ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายเห็นโทษนั้น
อยู่ จึงทอดทิ้งราชสมบัติ ไม่อาลัยใยดีเหมือนบุรุษจมหลุมคูถแล้วละทิ้ง
ไม่อาลัย ฉะนั้น ละกามสุขที่มีประมาณเพียงเล็กน้อย แต่มีทุกข์มาก
อย่างนี้ แล้วเว้นหนีไป. ครั้นออกไป แล้วก็ถือบวชอันเป็นที่รื่นรมย์ใจ.

พระมหาสัตว์ ครั้นทรงแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา ชี้ให้เห็นคุณ
และโทษในกามทั้งหลายอย่างนี้ แล้วตรัสสั่งให้เรียกสหายมา ทรงมอบ
ราชสมบัติให้ เมื่อญาติมิตรและสหายผู้มีใจดีทั้งหลาย คร่ำครวญกลิ้ง
เกลือกไปมาอยู่นั่นเอง ทรงทอดทิ้งสิริราชสมบัติ แล้วบวชเป็นฤษี
ยังฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้น ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศ
สัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรมยังชนจำนวนมากให้ได้ดื่มน้ำ
อัมฤต แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า พระอัครมเหสีในครั้งนั้น ได้แก่
มารดาพระราหุลในบัดนี้ พระราชาผู้เป็นพระสหาย ได้แก่ พระอานนท์
ส่วนพระเจ้าสุสีมะ ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุสีมชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโกฏสิมพลิชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การข่มกิเลสแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหํ ทสสตพฺยามํ
ดังนี้. เรื่องจักมีแจ้งชัดในปัญญาสชาดก.

แต่ในที่นี้ พระศาสดาทรงเห็นภิกษุทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป
ถูกกามวิตกครอบงำ ภายในโกฏิสัณฐารกะ จึงทรงประชุมสงฆ์ ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า สิ่งที่ควรระแวง ก็ควรระแวง ขึ้นชื่อว่า
กิเลสทั้งหลาย เมื่อเจริญขึ้นก็ย่อมทำลายเรา เหมือนต้นไทรเป็นต้น

เมื่อเติบโตขึ้น ก็ทำลายต้นไม้ฉะนั้น ด้วยเหตุนั้น ในปางบรรพ์เทวดา
ผู้เกิดที่โกฎสิมพลิงิ้วใหญ่ เห็นนกตัว ๑ กินลูกนิโครธ ถ่ายอุจจาระรด
กิ่งต้นไม้ของตน ได้ประสบความกลัวว่า ต่อแต่นี้ไปวิมานของเราจักมี
ความพินาศ ดังนี้. แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวดาที่โกฏสิมพลี
ภายหลังพญาครุฑตัวหนึ่งเนรมิตอัตภาพ ๑๕๐ โยชน์ ใช้ลม
ปีกพัดน้ำในทะเลแหวกออกเป็น ๒ ส่วน แล้วเฉี่ยวเอานาคราชตัวหนึ่ง

ยาวพันวาที่หางให้ขยอกเหยื่อที่พญานาคนั้นใช้ปากคาบไว้ทิ้ง บินไป
ทางยอดป่า มุ่งหมายโกฏสิมพลี. นาคราชเมื่อห้อยหัวลง จึงคิดว่า เรา
จักสลัดตัวให้หลุด จึงสอดขนดเข้าไปที่ต้นนิโครธต้น ๑ พันต้นนิโครธ
ยึดไว้. ต้นนิโครธก็ถอนขึ้น เพราะความแรงของพญาครุฑและพญา
นาคร่างใหญ่. พญานาคก็ไม่ปล่อยต้นไม้เลย. ครุฑจึงเฉี่ยวเอา


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พญานาคพร้อมกับต้นนิโครธไปถึงโกฏสิมพลี แล้วให้พญานาคนอนบน
ด้านหลังของลำต้นไม้ ฉีกท้องกินมันข้นของพญานาคแล้วทิ้งซากที่เหลือ
ลงทะเลไป. ก็บนต้นนิโครธนั้นมีนกตัวเมียตัวหนึ่ง เมื่อพญานาคทิ้ง
ต้นนิโครธแล้ว มันก็บินไปเกาะอยู่ระหว่างกิ่งของต้นโกฏสิมพลี. รุกข-
เทวดาเห็นมันแล้วสะดุ้งกลัวตัวสั่นไปโดยคิดว่า นกตัวเมียตัวนี้จักถ่าย

อุจจาระรดลำต้นไม้ของเรา ต่อนั้นไปพุ่มไทรหรือพุ่มไม้ป่า ก็จะขึ้นท่วม
ทับถมต้นไม้ทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นวิมานของเรา ก็จักพินาศ. เมื่อ
รุกขเทวดาสั่นสะท้านอยู่ โกฏสิมพลี ก็สั่นไปถึงโคน. พญาครุฑ
เห็นรุกขเทวดาสั่นสะท้านอยู่ เมื่อจะถามถึงเหตุ จึงได้กล่าวคาถาว่า:-

เราได้เอาพญานาคยาวตั้งพันวามาแล้ว
ท่านทรงพญานาคนั้น และเราอยู่ได้ไม่สั่น
สะท้าน. ดูก่อนโกฏสิมพลีเทพบุตร ก็เพราะ
เหตุอะไร ? ท่านเมื่อทรงนกตัวเล็กๆ นี้ ที่มีเนื้อ
น้อยกว่าเรา จึงกลัวตัวสั่นสะท้านไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสสตพยามํ ความว่า ยาวพันวา
บทว่า อุรคมาทาย อาคโต ความว่า เราเอางูตัวใหญ่มา ณ ที่นี้อย่างนี้.
บทว่า ตฺจ มฺจ ความว่า ทั้งงูตัวใหญ่ทั้งฉัน. บทว่า ธารยํ
ได้แก่ ธารยมาโพ คือทรงไว้อยู่. บทว่า พฺยถสิ ความว่า สั่นเทิ้ม
อยู่. บทว่า กิมตฺถํ ความว่า พญาครุฑถามว่า ประโยชน์อะไร

คือเพราะเหตุอะไร ? พญาครุฑเรียกเทพบุตรตามนามของต้นไม้ว่า
โกฏสิมพลี. เพราะว่าต้นสิมพลี คือต้นงิ้วต้นนั้น ได้ชื่อว่า โกฏสิมพลี
เพราะมีลำต้นและกิ่งก้านใหญ่ แม้เทพบุตรผู้สิงอยู่บนต้นโกฏสิมพลีนั้น
ก็ได้ชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน.

ลำดับนั้น เทพบุตรเมื่อจะกล่าวถึงเหตุแห่งการสั่นสะท้านนั้น
จึงได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า:-
ดูก่อนพญาครุฑ ท่านมีเนื้อเป็นภัก-
ษาหาร นกตัวนี้มีผลไม้เป็นภักษาหาร นกตัวนี้
จักจิกกินลูกนิโครธ ลูกกร่าง ลูกมะเดื่อ และ
ลูกโพธิ์ แล้วมาถ่ายรดลำต้นไม้ของเรา. ต้น

ไม้เหล่านั้นจะเติบโตขึ้น พวกมันเกิดในที่อับ
ลมไม่มีอากาศที่ข้างเรา จักปกคลุมเรา ทาเรา
ไม่ให้เป็นต้นไม้. ต้นไม้ต้นอื่นๆ เป็นหมู่ไม้
มีรากมีลำต้นที่มีอยู่ ก็จะถูกสกุณชาติตัวนี้
ทำลายไป โดยการนำพืชผลมากิน. เพราะว่า
ต้นไม้ทั้งหลายที่งอกขึ้น จะเจริญเติบโตขึ้น
เลยต้นไม้เจ้าป่า ที่มีลำต้นใหญ่ไป ข้าแต่พญา
ครุฑ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ามองเห็นภัยที่ยัง
ไม่มาถึง จึงสั่นสะท้านอยู่.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
โสมทัตตมาตังคะ ซึ่งในวันก่อนมาต้อน
รับเราไกลถึงในป่าเป็นเวลานาน เราไม่เห็น
ไปที่ไหนเสียแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุเร ความว่า ก่อนแต่วันนี้. บทว่า
ปจฺจุเทติ ความว่า ออกมาต้อนรับ. บทว่า อรฺเ ทูรํ ความว่า
ต้อนรับเราไกลถึงในป่า ที่ไม่มีคนนี้. บทว่า อายติ ความว่า ถึงพร้อม
ด้วยกาลที่ยาวนาน.

ดาบสเดินมาพลางคร่ำครวญไปพลางอย่างนี้ เห็นลูกช้างนั้นล้ม
อยู่ที่จงกรมแล้ว เมื่อจักคอคร่ำครวญอยู่ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:-
นี้เองคือช้างโสมทัตตเชือกนั้น นอนตาย
แล้ว มันนอนตายอยู่ที่พื้นดิน เหมือนยอด
เถาย่านทราย ที่ถูกเด็ดทิ้งแล้ว โสมทัตตกุญชร
ได้ตายไปแล้วหนอ.

วา ศัพท์ ในคำว่า อยํ วา ในคาถานั้น มีความหมายว่า ทำ
ให้แจ่มชัด. ดาบสเมื่อจะให้เรื่องนั้นชัดแจ้งว่า ช้างเชือกนี้เอง คือช้าง
โสมทัตตนั้น ไม่ใช่เชือกอื่น. บทว่า อลฺลปิตํ ได้แก่ปลายหน่อของเถา
ย่านทราย. บทว่า วิจฺฉิโต ความว่า เด็ดขาดแล้ว มีอธิบายว่า เหมือน

หน่อเถาย่านทราย ที่เขาเอาเล็บเด็ดทิ้งลงที่เนินทรายร้อนๆ ในกลางฤดู
ร้อน. บทว่า ภุมฺยา ได้แก่ ภูมิยํ คือบนพื้นดิน. บทว่า อมรา วต
ความว่า ตายแล้วหนอ. ปาฐะว่า อมรี ก็มี.

ในขณะนั้น ท้าวสักกะกำลังตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นเหตุการณ์
นั้น ทรงดำริว่า ดาบสนี้ละทิ้งลูกเมียไปบวชแล้ว บัดนี้ยังมาสร้างความ
สำคัญในลูกช้างว่าเป็นลูกคร่ำครวญอยู่ เราจักให้ท่านสลดใจแล้วได้สติ
ดังนี้แล้ว จึงมายังอาศรมบทของท่านสถิตอยู่ที่อากาศนั่นเอง กล่าวคาถา
ที่ ๓ ว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เมื่อท่านเป็นอนาคาริก หลุดพ้นไปแล้ว
การที่ท่านโศกเศร้าถึงสัตว์ที่ตายไปแล้ว ไม่
เป็นการดีสำหรับท่านผู้เป็นสมณะ.

ดาบสครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๔ ว่า:-
ข้าแต่ท้าวสักกะ ความรักใคร่ย่อมเกิด
ขึ้นในดวงใจของมนุษย์หรือมฤค เพราะการ
อยู่ร่วมกันโดยแท้ อาตมภาพจึงไม่อาจจะไม่
เศร้าโศกถึงสัตว์ที่เป็นที่รักได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคสฺสวา ความว่า ในที่นี้ท่าน
เรียกสัตว์เดียรฉานทั้งหมดว่า มฤค. บทว่า ตํ โยค ปิยายิตํ สตฺตํ
คือสัตว์ที่เป็นที่รัก.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะเมื่อจะโอวาท ท่านได้ภาษิตคาถา ๒ คาถา
ว่า:-

เหล่าสัตว์ผู้ร้องไห้คร่ำครวญ ก็ร้องไห้
ถึงสัตว์ผู้ตายไปแล้วและจักตาย เพราะฉะนั้น
ท่านฤษี ท่านอย่าได้ร้องไห้เลย เพราะสัต-
บุรุษทั้งหลายเรียกการร้องไห้ว่าเป็นโมฆะ ข้า
แต่ท่านผู้ประเสริฐ ถ้าคนที่ตายแล้ว ล่วงลับ

ไปแล้ว พึงกลับฟื้นขึ้นมาไซร้ พวกเราทุกคน
ก็จงมาชุมนุมกันร้องไห้ถึงญาติของกันและกัน
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย รุทนฺติ ลปนฺติ จ ความว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เหล่าชนผู้ร้องไห้คร่ำครวญทุกคน ย่อมร้องไห้ถึง
คนที่ตายไปแล้วนั่นแหละและจักตาย. เมื่อพวกเขาพากันร้องไห้อยู่อย่าง
นี้ ก็ไม่มีเวลาน้ำตาจะเหือดหน้า เพราะฉะนั้น ท่านฤษี ท่านอย่า
ร้องไห้ไปเลย. เพราะเหตุไร ? บทว่า โรทิตํ โมฆมาหุ สนฺโต

ความว่า เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การร้องไห้เป็นสิ่งไร้ผล. บทว่า
มโต เปโต ความว่า ถ้าหากคนที่ตายแล้วนั้นถึงการนับว่า เป็นผู้
ล่วงลับไปแล้ว จะพึงฟื้นขึ้นมาเพราะการร้องไห้ไซร้. เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเราแม้ทุกคน ก็จงไปชุมนุมกันร้องไห้ถึงญาติของกันและกันเถิด.
พวกเราจงออกไปเถิดเฝ้ากันอยู่ทำไม.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ดาบสได้ฟังคำนั้นแล้ว กลับได้สติ ปราศจากความเศร้าโศกเช็ด
น้ำตาแล้วได้กล่าวคาถาที่เหลือ ด้วยการสดุดีท้าวสักกะว่า:-

อาตมภาพถูกไฟ คือความโศกแผดเผา
แล้วหนอ. มหาบพิตรทรงช่วยดับความร้อนรน
ทุกอย่างให้หายไป เหมือนเอาน้ำดับไฟที่ไหม้
เปรียงก็ปานกัน มหาบพิตร ได้ทรงถอนลูกศร
คือความโศก อันปักอยู่ที่หัวอกของอาตมภาพ
ออกไปแล้ว เมื่ออาตมภาพถูกความโศก

ครอบงำ มหาบพิตรได้ทรงบรรเทาความโศก
ถึงบุตรนั้นเสียได้ ข้าแต่ท้าวสักกะ อาตมภาพ
นั้นเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก อันมหาบพิตร
ทรงถอนออกแล้ว หายโศกแล้ว ใจก็ไม่ขุ่น
มัว ทั้งจะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ต่อไป เพราะ
ได้ฟังเทพดำรัสของมหาบพิตรแล้ว.

ท้าวสักกะครั้นทรงโอวาทดาบสอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จไปสู่ที่ประ-
ทับของพระองค์นั่นเอง.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาประกาศสัจธรรมทั้ง
๔ แล้ว ทรงประชุมชาดกไว้ว่า ลูกช้างในครั้งนั้น ได้แก่สามเณรใน
บัดนี้ ดาบส ได้แก่หลวงตา ส่วนท้าวสักกะ ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๕

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาสุสีมชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
มหาภิเนษกรมณ์ แล้วตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาฬานิ เกสานิ ปุเร
อเหสุํ ดังนี้.

ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งที่ธรรมสภา พรรณนาถึง
การเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ของพระทศพล. พระศาสดาเสด็จมาถึง แล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไรหนอ ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้ แล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เราตถาคตผู้บำเพ็ญบารมีเต็มแล้วมากมาย

หลายแสนโกฏิกัปป์ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์ แม้
ในกาลก่อนเราตถาคตก็ทอดทิ้งราชสมบัติ ในกาสิกรัฐประมาณสาม-
ร้อยโยชน์ออกสู่อภิเนษกรมณ์เหมือนกัน แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องใน
อดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในท้องของภรรยาหลวงของปุโรหิต
ของพระองค์. ในวันที่พระโพธิสัตว์เกิดนั่นเอง ฝ่ายพระราชโอรสของ
พระเจ้าพาราณสีก็ประสูติ. ในวันขนานนามและพระนามของกุมาร

และพระราชกุมารเหล่านั้น พวกปุโรหิตขนานนามพระมหาสัตว์นั้นว่า
สุสีมกุมาร ส่วนพระนามของพระราชบุตรว่า พรหมทัตกุมาร. พระเจ้า-
พาราณสีทรงดำริว่า สุสีมกุมารเกิดวันเดียวกันกับบุตรของเรา จึงมี
พระบรมราชโองการไปยังพระโพธิสัตว์ พระราชทานพี่เลี้ยง ทรงให้

เจริญวัยพร้อมกับพระราชกุมารนั้น. กุมารแม้ทั้ง ๒ นั้น จำเริญวัยแล้ว
เป็นผู้มีรูปร่างสวยงาม มีผิวพรรณเหมือนเทพกุมาร เรียนศิลปะทุกอย่าง
ที่เมืองตักกสิลา สำเร็จแล้วก็กลับมา. พระราชบุตรทรงเป็นอุปราช
ทรงเสวย ทรงดื่ม ประทับนั่ง ประทับบรรทมอยู่ร่วมกับพระโพธิสัตว์
โดยสิ้นรัชกาลพระชนก ก็เสวยราชย์แทน พระราชทานยศสูงแก่


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระมหาสัตว์ ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งปุโรหิต วันหนึ่งรับสั่งให้เตรียม
พระนคร แล้วทรงแต่งพระองค์เหมือนท้าวสักกเทวราช ประทับนั่งบน
คอช้างต้นที่เมามัน มีส่วนเปรียบด้วยช้างเอฬาวรรณที่ตบแต่ง แล้ว
ทรงให้มหาสัตว์นั่งบนหลังช้าง ณ ที่นั่งด้านหลัง ทรงทำปทักษิณ
พระนคร. ฝ่ายสมเด็จพระราชชนนีประทับยืนที่ช่องพระแกล ด้วย

พระดำริว่า เราจักมองดูลูก ทอดพระเนตรเห็นปุโรหิตนั่งอยู่เบื้อง
พระปฤษฎางค์ของพระราชานั้นผู้ทรงทำปทักษิณพระนครแล้วเสด็จมา
ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงงดพระกระยาหาร
แล้วเสด็จบรรทมด้วยหมายพระทัยว่า เราเมื่อไม่ได้ปุโรหิตนี้ก็จักตาย
ณ ที่นี้นั่นเอง. พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นพระราชชนนี จึงตรัสถามว่า

แม่ของฉันไปไหน ? ทรงสดับว่า ประชวร จึงเสด็จไปถึงที่ประทับ
ของพระราชชนนี ทรงถวายบังคม แล้วตรัสถามว่า เสด็จแม่พระเจ้าข้า
เสด็จแม่ประชวรเป็นอะไร ? พระนางไม่ตรัสบอกพระองค์ เพราะทรง
ละอาย. พระองค์จึงเสด็จไปประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์ รับสั่งให้
เรียกพระมเหสีของพระองค์มา ทรงส่งไปด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไป

แล้วทราบการประชวรของเสด็จแม่. พระนางเสด็จไป แล้วทรงนวด
พระปฤษฎางค์ไปพลางทูลถามไปพลาง. ธรรมดาผู้หญิงทั้งหลายจะไม่
ซ่อนความลับต่อผู้หญิงด้วยกัน. พระราชชนนีนั้น ตรัสบอกเนื้อความ
นั้น. ฝ่ายพระราชินีทรงสดับคำนั้น แล้วจึงเสด็จไปทูลพระราชา-

พระราชารับสั่งว่า เรื่องนั้นยกไว้เถอะ เธอจงไป จงให้เสด็จแม่เบา
พระทัย ฉันจักตั้งปุโรหิตให้เป็นพระราชา แล้วตั้งเสด็จแม่ให้เป็น
อัครมเหสี. พระนางจึงได้เสด็จไป แล้วทรงให้พระราชชนนีเบาพระทัย.
ฝ่ายพระราชารับสั่งให้ปุโรหิตเข้าเฝ้า แล้วตรัสบอกเนื้อความนั้น แล้ว

รับสั่งว่า สหายเอ๋ย ขอสหายจงให้ชีวิตแก่เสด็จแม่ สหายจงเป็น
พระราชา เสด็จแม่จะเป็นพระมเหสี เราจะเป็นอุปราช. ปุโรหิตนั้น
ทูลคัดค้านว่า ข้าพระองค์ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ แต่เมื่อพระองค์ทรง
รบเร้าบ่อยๆ ก็รับ. พระราชาได้ทรงอภิเษกปุโรหิตให้เป็นพระราชา
พระราชชนนีให้เป็นอัครมเหสี ส่วนพระองค์ทรงเป็นอุปราช. เมื่อ


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทั้ง ๒ พระองค์นั้น ทรงประทับอยู่สมัครสมานกัน ในกาลต่อมาพระ-
โพธิสัตว์ ทรงระอาพระทัยในท่ามกลางเรือน การครองเรือน ทรง
ละกามทั้งหลาย แล้วทรงมีพระทัยน้อมไปในการบรรพชา ไม่ทรงอาลัย
ไยดีถึงความยินดีด้วยอำนาจกิเลส ประทับยืน ประทับนั่ง เสด็จบรรทม
แต่ลำพังพระองค์เดียวได้เป็นเสมือนถูกจองจำอยู่ที่เรือนจำ และเป็น

เสมือนไก่ถูกขังไว้ในกรง. ลำดับนั้น พระมเหสีของพระองค์ ทรงดำริ
ว่า พระราชาพระองค์นี้ ไม่ทรงอภิรมย์กับเรา ประทับยืน ประทับนั่ง
และทรงบรรทมแต่ลำพังพระองค์เดียว แต่พระราชาพระองค์นี้ เป็นคน
หนุ่ม ส่วนเราเป็นคนแก่ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของเรา ถ้ากระไรแล้ว

เราควรจะสร้างความเท็จขึ้นว่า ข้าแต่สมมติเทพ บนพระเศียรของ
พระองค์ปรากฏพระเกษาหงอก ดังนี้ ให้พระราชาทรงยอมรับ แล้ว
ทรงอภิรมย์กับเราด้วยอุบายนั้น วันหนึ่ง จึงทรงทำเป็นเสมือนหาเหา
บนพระเศียรของพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรง
ชราแล้ว บนพระเศียรของพระองค์ปรากฏพระเกษาหงอกเส้นหนึ่ง

เพคะ. พระราชาตรัสว่า ข้าแต่นางผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอเธอจงถอน
ผมหงอกเส้นนั้นมาวางไว้บนมือของฉัน. พระนางจึงทรงถอนพระเกษา
เส้น ๑ จากพระเศียรของพระราชาทิ้งมันไป แล้วทรงหยิบเอาพระ-
เกษาหงอกเส้น ๑ จากพระเศียรของตน แล้ววางบนพระหัตถ์ของพระ-
ราชานั้น โดยทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นี้พระเกษาหงอกของพระองค์.

พระเสโทไหลออกจากพระนลาฏ ที่เสมือนกับแผ่นทองของพระโพธิสัตว์
ผู้ทรงสะดุ้ง เพราะทรงเห็นพระเกษาหงอกเท่านั้น แล้วก็ทรงกลัว.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระองค์เมื่อทรงโอวาทตน ทรงดำริว่า ดูก่อนสุสีมะ เจ้าเป็นคนหนุ่ม
แต่กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว เจ้าจมอยู่ในเปือกตม คือกาม เหมือนหมู
บ้านจมอยู่แล้วในเปือกตม คือคูถ ฉะนั้น ไม่สามารถถอนตนขึ้นได้
บัดนี้เป็นเวลาของเจ้าที่จะละกามทั้งหลายเข้าสู่ป่าหิมพานต์บวช แล้ว
ประพฤติพรหมจรรย์มิใช่หรือ ? ดังนี้ แล้วจึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า:-

เมื่อก่อนผมสีดำ เกิดบนศีรษะของเจ้า
ตามที่ของมันแล้ว สุสีมะเจ้า วันนี้เจ้าเห็น
เส้นผมเหล่านั้นมีสีขาว แล้วจงประพฤติธรรม
เถิด เวลานี้เป็นเวลาแห่งการประพฤติพรหม-
จรรย์แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาปเทเส ความว่า พระโพธิสัตว์
ตรัสว่า ก่อนแต่นี้ ผมทั้งหลายมีสีเหมือนแมลงภู่และดอกอัญชัญ ได้
เกิดแล้วบนศีรษะของเจ้า ซึ่งเป็นถิ่นที่เหมาะแก่ผมทั้งหลายในที่นั้นๆ
บทว่า ธมฺมํ จร ความว่า พระโพธิสัตว์ทรงบังคับตนเองว่า เจ้าจง

ประพฤติธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส มีเนื้อ
ความว่า เป็นเวลาแห่งเมถุนวิรัติของเจ้าแล้ว. เมื่อพระโพธิสัตว์พรรณนา
คุณการประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้แล้ว พระราชินีทรงสะดุ้งพระทัย
เพราะทรงกลัวว่า เราตั้งใจว่าจะทำการมัดพระทัยพระราชาไว้ แต่กลาย

เป็นทำการสละไปเสีย จึงทรงดำริว่า เราจักสรรเสริญพระฉวีวรรณ
แห่งพระสรีระ เพื่อต้องการไม่ให้พระราชาพระองค์นี้เสด็จออกผนวช
จึงได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาว่า:-


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2019, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ผมหงอกของ
หม่อมฉันเอง ไม่ใช่ของพระองค์ ผมหงอก
งอกขึ้นบนศีรษะ บนกระหม่อมของหม่อมฉัน
เอง หม่อมฉันได้ทูลคำเท็จ โดยตั้งใจว่า จัก
ทำประโยชน์ให้ตน ขอพระองค์ทรงโปรด

พระราชทานอภัยโทษหม่อมฉันสักครั้งหนึ่งเถิด
เพคะ ข้าแต่มหาราช พระองค์ยังทรงหนุ่ม มี
พระโฉมน่าทัศนา ยังทรงอยู่ในปฐมวัยเหมือน
ตองกล้วยแรกผลิฉะนั้น ข้าแต่พระทูลกระ-

หม่อมจอมคน ขอพระองค์ทรงเสวยราชสมบัติ
ทรงดูแลหม่อมฉันเถิด และอย่าทรงทยานไป
สู่การประพฤติพรหมจรรย์ที่ให้ผลตามกาลเวลา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเมว สีสํ ความว่า พระราชินี.
ทรงแสดงว่า ผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของหม่อมฉันเอง. คำว่า อุตฺต-
มงฺคํ เป็นไวพจน์ของคำว่า สีสํ นั่นเอง บทว่า อตฺถํ ความว่า
หม่อมฉันทูลคำเท็จด้วยหวังว่า จักทำความเจริญแก่ตนเอง. บทว่า เอกา-

ปราธํ ความว่า โทษผิดอย่างหนึ่งของข้าพระองค์นี้. บทว่า ป€มุคฺคโต
ความว่า เจริญขึ้นโดยปฐมวัย. บทว่า โหหิ ได้แก่ โหสิ เป็นผู้
อธิบายว่า ดำรงอยู่แล้วในปฐมวัย. ปาฐะว่า โหสิ เยว ก็ดี. บทว่า
ยถา กลีโร ความว่า พระราชินีทรงชี้แจงว่า ตองกล้วยอ่อนมีผิวนวล
ต้องลมอ่อนพัดโชยย่อมพริ้วงามฉันใด พระองค์ก็มีพระรูปโฉมฉันนั้น.


* ไม่เจอกับตัวก็ไม่คิดกลัวอะไรง่ายๆ
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 123, 124, 125, 126, 127, 128, 129 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร