วันเวลาปัจจุบัน 06 ส.ค. 2025, 08:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 98, 99, 100, 101, 102, 103, 104 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีผู้ที่บิดาตาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กินฺนุ
สนฺตรมาโนว ดังนี้.

ได้ยินว่า กฎุมพีนั้น เมื่อบิดาตายแล้ว เที่ยวปริเทวนาการ
ร่ำไร ไม่อาจบรรเทาความโศกได้. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเห็น
อุปนิสัยโสดาปัตติผลของกฎุมพีนั้น ทรงพาปัจฉาสมณะเสด็จเที่ยว
บิณฑบาตในนครสาวัตถี เสด็จไปถึงเรือนของกฎุมพีนั้น ประทับนั่ง

บนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว จึงตรัสกะกฎุมพีนั้นผู้นมัสการแล้วนั่งอยู่
ว่า อุบาสก ท่านเศร้าโศกหรือ เมื่อกฎุมพีนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จึงตรัสว่า อาวุโส โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย
ฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว เมื่อบิดาตาย ไม่เศร้าโศกเลย อัน
กฎุมพีนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในเรือนของกฎุมพี ญาติทั้งหลาย
ตั้งชื่อของพระโพธิสัตว์นั้นว่า สุชาตกุมาร. เมื่อสุชาตกุมารนั้นเจริญ
วัยแล้ว ปู่ได้กระทำกาลกิริยาตายไป ลำดับนั้น บิดาของสุชาตกุมาร

นั้นก็เพียบพูนด้วยความโศก จำเดิมแต่บิดากระทำกาลกิริยา จึงไปยัง
ป่าช้า นำกระดูกมาจากป่าช้า สร้างสถูปดินไว้ในสวนของตน แล้ว
ฝังกระดูกเหล่านั้นไว้ในสวนนั้น ในเวลาที่ผ่านไปๆ ได้บูชาสถูปด้วย
ดอกไม้ทั้งหลาย เดินเวียนเจดีย์ร่ำไรอยู่ ไม่อาบน้ำ ไม่ลูบไล้ ไม่

บริโภค ไม่จัดแจงการงานทั้งปวง. พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้นจึงคิดว่า
บิดาของเรา จำเดิมแต่เวลาที่ปู่ตายไปแล้ว ถูกความโศกครอบงำอยู่
ไม่รู้วาย ก็เว้นเราเสีย ผู้อื่นไม่สามารถจะทำบิดาเรานั้นให้รู้สึกตัวได้
เราจักกระทำบิดานั้นให้หมดความโศก ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง ได้เห็น

โคตายตัวหนึ่งที่ภายนอกบ้าน จึงนำหญ้าและน้ำดื่มมาวางไว้ข้างหน้า
โคตายตัวนั้นแล้วพูดว่า จงกิน จงกิน จงดื่ม จงดื่ม. พวกคนที่ผ่าน
มาๆ เห็นดังนั้น พากันกล่าวว่า สุชาตะผู้สหาย ท่านเป็นบ้าไปแล้ว


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หรือ ท่านจึงให้หญ้าและน้ำแก่โคตาย. สุชาตกุมารนั้นไม่ได้กล่าว
ตอบอะไรๆ. ลำดับนั้น ชนทั้งหลายจึงพากันไปยังสำนักแห่งบิดาของ
สุชาตกุมารนั้นแล้วกล่าวว่า บุตรของท่านเป็นบ้าไปแล้ว ให้หญ้าและ
น้ำแก่โคตาย. เพราะได้ฟังคำของชนทั้งหลายนั้น ความโศกเพราะ

บิดาของกฎุมพีก็หายไป ความโศกเพราะบุตรกลับดำรงอยู่. กฎุมพี
นั้นจึงรีบมาแล้วกล่าวว่า พ่อสุชาตะ เจ้าเป็นบัณฑิตมิใช่หรือ เพราะ
เหตุไร จึงให้หญ้าและน้ำแก่โคตาย แล้วได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-

เหตุไรหนอ เจ้าจึงเป็นเหมือนรีบด่วน
เกี่ยวเอาหญ้าอันเขียวสดมาแล้ว บ่นเพ้อถึง
วัวแก่ผู้ปราศจากชีวิตว่า จงเคี้ยวกินๆ วัวที่
ตายแล้วจะพึงลุกขึ้นได้เพราะหญ้าและน้ำ
เป็นไม่มีแน่ เจ้าบ่นเพ้อไปเปล่าๆ เหมือน
คนผู้ไร้ความคิด ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตรมาโนว ความว่า เป็น
เสมือนรีบด่วน. บทว่า ลายิตฺวา แปลว่า เกี่ยวแล้ว. บทว่า วิลปิ
แปลว่า บ่นเพ้อแล้ว . บทว่า คตสนฺตํ ชรคฺควํ ได้แก่ โคแก่
ที่ปราศจากชีวิต. บทว่า ตํ ในบทว่า ยถาตํ เป็นเพียงนิบาต.

อธิบายว่า คนผู้ไม่มีความคิด คือมีปัญญาน้อย พึงบ่นเพ้อไป ฉันใด
เจ้าก็บ่นเพ้อไปเปล่า ๆ คือไม่เป็นจริงได้ ฉันนั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ศีรษะ เท้าหน้า เท้าหลัง หางและหู
ของวัว ยังตั้งอยู่อย่างนั้นตามเดิม ผมเข้าใจ
ว่า วัวตัวนี้จะพึงลุกขึ้นได้ ศีรษะหรือมือ
และเท้าของคุณปู่มิได้ปรากฎเลย คุณพ่อ
นั่นเองมาร้องไห้อยู่ที่สถูปดิน เป็นคนไร้ความ
คิดมิใช่หรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเถว ความว่า ยังตั้งอยู่เหมือน
ดังตั้งอยู่ในครั้งก่อน. บทว่า มญฺเ ความว่า ผมเข้าใจว่า โค
ตัวนี้จะลุกขึ้น เพราะอวัยวะมีศีรษะเป็นต้น เหล่านั้นยังตั้งอยู่เหมือน
เดิมอย่างนั้น. บทว่า เนวยฺยกสฺส สีสํ ความว่า ส่วนศีรษะหรือ
มือและเท้าของคุณปู่มิได้ปรากฎ. บาลีว่า ปิฏฺ€ิปาทา น ทิสฺสเร

ดังนี้ก็มี. บทว่า นนุ ตฺวญฺเว ทุมฺมติ ความว่า เบื้องต้น ผม
เห็นศีรษะเป็นต้นอยู่จึงกระทำอย่างนั้น ส่วนคุณพ่อไม่เห็นอะไรเลย
เพราะเทียบกับผมแล้ว คุณพ่อนั้นแหละเป็นผู้ไร้ความคิดตั้งร้อยเท่า
พันเท่า มิใช่หรือ เพราะเหตุนั้น สังขารทั้งหลายชื่อว่ามีการแตกไป
เป็นธรรมดา ย่อมแตกไป จะมัวร่ำไรอะไรในข้อนั้น.

บิดาของพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า บุตรของเราเป็น
บัณฑิต รู้กิจในโลกนี้และโลกหน้า ได้กระทำกรรมนี้เพื่อต้องการให้
เรารู้ได้เอง จึงกล่าวว่า พ่อสุชาตผู้บัณฑิต พ่อรู้แล้วว่าสังขารทั้งปวง
ไม่เที่ยง ตั้งแต่นี้ไปพ่อจักไม่เศร้าโศก ชื่อว่าบุตรผู้นำความโศกของ
บิดาออกไปได้ พึงเป็นเช่นตัวเจ้า เมื่อจะทำการชมเชยบุตร จึงกล่าว
ว่า :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
เจ้ารดพ่อผู้เดือดร้อนยิ่งนักให้หายร้อน
ทำความกระวนกระวายของพ่อให้ดับได้หมด
สิ้น เหมือนบุคคลเอาน้ำรดไฟที่ติดเปรียงให้
ดับไปฉะนั้น เจ้ามาถอนลูกศรคือความโศกที่
เสียบแน่นอยู่ในหทัยของพ่อออกได้แล้วหนอ
เมื่อพ่อถูกความโศกครอบงำ เจ้าได้บรรเทา
ความโศกถึงบิดาเสียได้.

พ่อเป็นผู้ถอนลูกศรคือความโศกออก
ได้แล้ว ปราศจากความเศร้าโศก หมดความ
มัวหมอง ลูกรัก พ่อจะไม่เศร้าโศก จะไม่
ร้องไห้ เพราะได้ฟังคำของเจ้า.

คนผู้มีปัญญา มีใจอนุเคราะห์ ย่อม
ทำบุคคลให้หลุดพ้นจากความเศร้าโศกได้
เหมือนกับพ่อสุชาตบุตรของเรา ทำเราผู้บิดา
ให้หลุดพ้นความโศก ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิพฺพาปเย แปลว่า ให้ดับแล้ว.
บทว่า ทรํ ได้แก่ ความกระวนกระวาย เพราะความโศก. บทว่า
สุชาโต ปิตรํ ยถา ความว่า พ่อสุชาตบุตรของเรา ทำเราผู้เป็น
บิดาให้พ้นจากความโศก เพราะความที่ตนเป็นผู้มีปัญญา ฉันใด

แม้คนอื่นผู้มีปัญญา ก็ย่อมทำคนอื่นให้หลุดพ้นจากความเศร้าโศก
ฉันนั้น.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ
กฎุมพีก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. ส่วนสุชาตกุมารในครั้งนั้น ได้เป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุชาตชาดกที่ ๒

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยตำบลสุงสุมารคีรีในแขวงภัคคชนบท
ประทับอยู่ในเภสกฬาวัน ทรงปรารภโพธิราชกุมาร จึงตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า นยิทํ นิจฺจํ ภวิตพฺพํ ดังนี้

ครั้งนั้นพระโอรสของพระเจ้าอุเทนนามว่า โพธิราชกุมาร
ประทับอยู่ ณ สุงสุมารคีรี รับสั่งให้เรียกช่างไม้ผู้ชำนาญศิลปะ
คนหนึ่งมาให้สร้างปราสาทชื่อโกกนุท โดยสร้างไม่ให้เหมือนกับ
พระราชาอื่น ๆ ก็แหละครั้นให้สร้างเสร็จแล้ว มีพระทัยตระหนี่ว่า

ช่างไม้คนนี้จะพึงสร้างปราสาทเห็นปานนี้ แก่พระราชาแม้องค์อื่น
จึงให้ควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของช่างไม้นั้นเสีย. เพราะเหตุนั้น แม้
ความที่พระโพธิราชกุมารให้ควักนัยน์ตาของช่างไม้นั้น ก็เกิดปรากฎ
ในหมู่ภิกษุสงฆ์. เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย จึงนั่งสนทนากันใน

โรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า โพธิราชกุมารรับสั่งให้
ควักนัยน์ตาทั้งสองข้างของนายช่างไม้เห็นปานนั้น โอ ! ช่างกักขฬะ
หยาบช้า สาหัสนัก. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้น
กราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน โพธิราชกุมารนี้ก็เป็นผู้กักขฬะ
หยาบช้า สาหัส เหมือนกันและในบัดนี้เท่านั้นยังไม่สิ้นเชิง แม้ใน
กาลก่อน โพธิราชกุมารนี้ก็ให้ควักพระเนตรของกษัตริย์ ๑,๐๐๐ องค์


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ให้ปลงพระชนม์ทำพลีกรรมด้วยเนื้อของกษัตริย์ ๑,๐๐๐ องค์นั้น
แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์อยู่ในเมืองตักก-
ศิลา. ขัตติยมาณพและพราหมณ์มาณพในพื้นชมพูทวีป พากันเรียน
ศิลปะในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้นเอง พระโอรสแม้ของพระเจ้า
พาราณสี นามว่า พรหมทัตกุมาร ก็เรียนพระเวททั้ง ๓ ในสำนัก

ของพระโพธิสัตว์นั้น. แต่ตามปกติ พรหมทัตกุมารนั้นได้เป็นผู้
กักขฬะ หยาบช้า ทารุณ. พระโพธิสัตว์รู้ว่าพรหมทัตกุมารนั้นเป็น
ผู้กักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ด้วยอำนาจวิชาดูอวัยวะ ได้กล่าวสอนว่า
ดูก่อนพ่อ เธอเป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า ทารุณ ความเป็นใหญ่ที่ได้

ด้วยความหยาบช้า ย่อมไม่ดำรงอยู่นาน เมื่อความเป็นใหญ่พินาศไป
คนผู้หยาบช้านั้นย่อมไม่ได้ที่พึ่งเหมือนคนเรือแตกไม่ได้ที่พึ่งพำนักใน
สมุทรฉะนั้น เพราะฉะนั้น เธออย่าได้เป็นผู้เห็นปานนั้น ดังนี้ จึงได้
กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-

ดูก่อนพรหมทัตกุมาร ความเกษม
สำราญ ๑ ภิกษาหารที่หาได้ง่าย ๑ ความ
เป็นผู้สำราญกายนี้ ๑ ไม่พึงมีตลอดกาล
เป็นนิตย์ เมื่อประโยชน์ของตนสิ้นไป ท่าน
อย่าได้เป็นผู้ล่มจมเลย เหมือนคนเรือแตก
ไม่ได้ที่พึ่งอาศัย จมอยู่ในท่ามกลางทะเล
ฉะนั้น.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บุคคลทำกรรมใด ย่อมเห็นกรรมนั้น
ในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว
ย่อมได้ผลชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใด ผล
ย่อมงอกขึ้นเช่นนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขตา จ กาเย ความว่า
ดูก่อนพ่อพรหมทัต ความเกษมสำราญก็ตาม ความมีภิกษาที่หาได้ง่าย
ก็ตาม หรือความสบายกายก็ตาม ทั้งหมดนี้ ย่อมไม่มีเป็นนิตย์
คือตลอดกาลทั้งปวงแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ความเกษมสำราญเป็น
ต้นนี้เป็นของไม่เที่ยงมีความไม่มีเป็นธรรมดา. บทว่า อตฺถจฺจเย

ความว่า ท่านนั้น ในเมื่อความเป็นใหญ่ปราศจากไปโดยความเป็นของ
ไม่เที่ยงคือ เพราะประโยชน์ของตนล่วงไป อย่าได้เป็นผู้ล่มจม
เหมือนคนเรือแตก. เมื่อไม่ได้ที่พึ่งอาศัยในท่ามกลางสาคร ย่อมเป็น
ผู้จมลงฉะนั้น. บทว่า ตานิ อตฺตนิ ปสฺสติ ความว่า บุคคลผู้
ประสบผลของกรรมเหล่านั้น ชื่อว่าเห็นกรรมในตน.

พรหมทัตกุมารนั้นไหว้อาจารย์แล้วไปถึงนครพาราณสี แสดง
ศิลปะแก่พระบิดา แล้วดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช เมื่อพระบิดา
สวรรคตแล้ว ก็ได้เสวยราชสมบัติ. ท้าวเธอมีปุโรหิตชื่อว่าปิงคิยะ
เป็นคนกระด้างหยาบช้า เพราะความโลภในยศ เขาจึงคิดว่า ถ้ากระไร

เรายุให้พระราชานี้จับพระราชาทุกองค์ในชมพูทวีปทั้งสิ้น เมื่อ
เป็นอย่างนี้ พระราชานี้จักเป็นพระราชาแต่พระองค์เดียว แม้เรา
ก็จะได้เป็นปุโรหิตแต่ผู้เดียว. ปุโรหิตนั้นทำให้พระราชานั้นเชื่อถือ
ถ้อยคำของตน. พระราชาจึงยกกองทัพใหญ่ออก ล้อมนครของ
พระราชาองค์หนึ่งแล้วจับพระราชาองค์นั้น. พระราชานั้นยึดราช-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น ด้วยอุบายนี้นั่นแหละ ห้อมล้อมด้วย
พระราชา ๑,๐๐๐ องค์ ได้ไปด้วยหวังว่า จักยึดราชสมบัติในนคร-
ตักกศิลา. พระโพธิสัตว์ปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมพระนครกระทำให้เป็น
นครที่คนอื่นกำจัดไม่ได้. ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีให้วงม่านที่โคนต้นไทร
ใหญ่ริมแม่น้ำคงคา แล้วทำให้เพดานข้างบน ลาดที่บรรทมแล้ว

พักอยู่. ท้าวเธอแม้จะพาเอาพระราชา ๑,๐๐๐ องค์ ในพื้นชมพูทวีป
ออกรบอยู่ ก็ไม่อาจยึดเมืองตักกศิลาได้ จึงตรัสถามปุโรหิตว่า ท่าน
อาจารย์ พวกเรามาพร้อมกับพระราชาเหล่านี้ ไม่สามารถยึดเมือง
ตักกศิลาได้ควรจะทำอย่างไรดี. ปุโรหิตกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า

เราทั้งหลายจงควักนัยน์ตาของพระราชา ๑,๐๐๐ พระองค์แล้วปลง
พระชนม์เสีย ผ่าท้องถือเอาเนื้ออร่อย ๕ ชนิด กระทำพลีกรรมแก่
เทวดาผู้บังเกิดอยู่ที่ต้นไทรนี้ แล้ววงรอบต้นไทรด้วยเกลียวพระอันตะ
แล้วเจิมด้วยโลหิต ชัยชนะจักมีแก่พวกเราอย่างเร็วพลันทีเดียว ด้วย

อุบายอย่างนี้. พระราชาทรงรับว่า ดีละ แล้ววางคนปล้ำผู้มีกำลัง
มากไว้ภายในม่าน ให้เรียกพระราชามาทีละองค์ แล้วให้ทำให้สลบ
ด้วยการบีบรัดแล้วควักเอานัยน์ตาแล้วฆ่าให้ตาย เอาแต่เนื้อไว้ ลอย
ซากศพไปในแม่น้ำคงคา ให้ทำพลีกรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ให้

ตีกลองบวงสรวงแล้วเสด็จไปรบ. ครั้งนั้น ยักษ์ตนหนึ่งชื่ออัชชิสกตะ
มาควักพระเนตรเบื้องขวาของพระเจ้าพาราณสีนั้นแล้วก็ไป. เวทนา
ใหญ่หลวงเกิดขึ้นแล้ว ท้าวเธอได้รับเวทนา จึงเสด็จไปบรรทม


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หงายบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ ณ โคนต้นไทร. ขณะนั้น แร้งตัวหนึ่ง
คาบเอากระดูกชิ้นหนึ่งซึ่งมีปลายคมกริบ มาจับอยู่บนยอดไม้ กินเนื้อ
หมดแล้วทิ้งกระดูกลงมา ปลายกระดูกลอยมาตกลงที่พระเนตรซ้าย
ของพระราชา ทำพระเนตรทั้งสองแตกไปเหมือนหลาวเหล็กแทง

ฉะนั้น. ขณะนั้น ท้าวเธอจึงกำหนดได้ถึงถ้อยคำของพระโพธิสัตว์.
พระองค์จึงทรงบ่นเพ้อว่า อาจารย์ของเรากล่าวไว้ว่า สัตว์เหล่านี้
ย่อมเสวยวิบากอันสมควรแก่กรรม เหมือนบุคคลเสวยผลอันสมควร
แก่พืช ดังนี้ เห็นจะเป็นเหตุนี้จึงกล่าวไว้ แล้วได้กล่าวคาถา
๒ คาถาว่า :-

ปาจารย์ได้กล่าวคำใดไว้ว่า ท่านอย่า
ได้ทำบาปกรรมที่ทำแล้วจะทำให้เดือดร้อน
ในภายหลัง คำนั้นเป็นคำสอนของอาจารย์เรา.
ปิงคิยปุโรหิตนั้น มาบ่นเพ้อแสดงต้น
ไทรนี้ว่า มีกิ่งแผ่ไพศาล มเดชานุภาพ
สามารถให้ความชนะได้ เราได้ให้ฆ่ากษัตริย์
ผู้ประกอบด้วยราชอลังการ ลูบไล้ด้วยแก่น
จันทน์แดง ถึงพันพระองค์ ที่ต้นไม้ใด
บัดนี้ ต้นไม้นั้นไม่อาจทำการป้องกันอะไร
แก่เราได้ ความทุกข์อันนั้นแหละกลับมา
สนองเวรแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ ตทาจริยวโจ ความว่า
คำนี้นั้น เป็นคำของอาจารย์. พระเจ้าพาราณสีตรัสเรียกอาจารย์นั้น
โดยโคตรว่า ปาจารย์. บทว่า ปจฺฉา กตํ ความว่า อาจารย์ได้
ให้โอวาทว่า บาปใดที่เธอกระทำไว้ บาปนั้นจะทำเจ้าให้เดือดร้อน

ลำบาก ในภายหลัง เธออย่าทำบาปนั้นเลย ดังนี้ แต่เราไม่ได้กระทำ
ตามคำของอาจารย์นั้น. ปิงคิยปุโรหิตบ่นเพ้อแสดงต้นไทรว่า อยเมว
แปลว่า ต้นนี้แหละ. บทว่า เวนสาโข ได้แก่ มีกิ่งแผ่กว้างไป.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บทว่า ยมฺหิ จ ฆาตฺยึ ความว่า ให้ปลงพระชนม์กษัตริย์ ๑,๐๐๐
องค์ ที่ต้นไม้ใด. บทว่า อลงฺกเต จนฺทนสารลิตฺเต นี้ ท่าน
แสดงว่า เราให้ฆ่ากษัตริย์เหล่านั้น ผู้ประดับด้วยราชอลังการลูบไล้
ด้วยแก่นจันทน์แดง ที่ต้นไม้ใด ต้นไม้นั้น. คือต้นนี้ บัดนี้ ไม่

สามารถกระทำการต้านทานอะไรแก่เรา. บทว่า ตเมว ทุกฺขํ ความว่า
พระเจ้าพาราณสีทรงร่ำไรว่า ทุกข์อันเกิดจากควักนัยน์ตาของคนอื่น
อันใด ที่เรากระทำแล้วทุกข์นี้กลับมาถึงเราเหมือนอย่างนั้นแหละ
บัดนี้ คำของอาจารย์เราถึงที่สุดแล้ว.

ท้าวเธอเมื่อทรงคร่ำครวญอยู่อย่างนี้แล ทรงหวนระลึกถึง
พระอัครมเหสี จึงกล่าวคาถาว่า :-
พระนางอุพพรีอัครมเหสีของเรา มี
พระฉวีวรรณดังทองคำ ลูบไล้ทาตัวด้วย
แก่นจันทน์แดง งดงามเจริญตา ยามเมื่อ
เยื้องกราย เหมือนกิ่งไม้สิงคุ ยามเมื่อต้อง
ลมอ่อนๆ ไหวสะเทือนอยู่ฉะนั้น เรามิได้
เห็นพระนางอุพพรีแล้ว เพราะตาบอด จัก
ตายแน่ การที่เราไม่ได้เห็นพระนางอุพพรีนั้น
จักเป็นทุกข์ยิ่งกว่ามรณทุกข์นี้เสียอีก

คำที่เป็นคาถานั้นมีความว่า พระนางอุพพรีอัครมเหสีเรา
มีพระฉวีวรรณงามดังทองคำ ยามเมื่อกระทำอิตถีวิลาศกิริยาเยื้อง
กรายของหญิงย่อมงดงาม เหมือนกิ่งไม้สิงคุที่ชี้ไปตรงๆ ยามถูกลม
อ่อนรำเพยพัดไหวโอนงามอยู่ฉะนั้น. บัดนี้ เราไม่ได้เห็นพระนาง-

อุพพรีนั้น เพราะนัยน์ตาทั้งสองข้างแตกไปแล้ว จักต้องตาย การที่
เรามองไม่เห็นพระนางอุพพรีนั้น จักเป็นทุกข์ยิ่งกว่ามรณทุกข์นี้.

พระเจ้าพาราณสีนั้นทรงบ่นเพ้ออยู่อย่างนี้ ตายแล้วบังเกิดใน
นรก. ปุโรหิตผู้อยากได้ความเป็นใหญ่ไม่อาจทำการต้านทานพระเจ้า
พาราณสีนั้น ไม่อาจทำความเป็นใหญ่แก่ตน. เมื่อพระเจ้าพาราณสี
นั้นพอสวรรคตเท่านั้น พลนิกายต่างพากันแตกสานซ่านเซ็นไป.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประ-
ชุมชาดกว่า. พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นโพธิราชกุมาร ปิงคิย
ปุโรหิต ได้เป็นพระเทวทัต อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในครั้งนั้น ได้เป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเวนสาขชาดกที่ ๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาอุรคชาดกที่ ๔

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีคนหนึ่งผู้มีภรรยาตายแล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า อุรโคว ตจํ ชิณฺณํ ดังนี้

เรื่องปัจจุบัน เป็นเหมือนเรื่องกฎุมพีผู้มีภรรยาตาย และมี
บิดาตายแล้วนั่นแหละ. แม้ในชาดกนี้ พระศาสดาเสด็จไปยัง
นิเวศน์ของกฎุมพีนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วตรัสถามกฎุมพีนั้น
ผู้มาถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ว่า อาวุโส ท่านเศร้าโศกหรือ เมื่อกฎุมพี
นั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เศร้าโศก

ตั้งแต่บุตรของข้าพระองค์ตายไปแล้ว จึงตรัสว่า อาวุโส ชื่อว่าสิ่งที่มีการ
แตกทำลายเป็นธรรมดา ย่อมจะแตกทำลายไป ชื่อว่าสิ่งที่มีการพินาศ
ไปเป็นธรรมดา ย่อมจะพินาศไป ก็แหละสิ่งที่มีการแตกและการพินาศ
ไปนั้น จะมีแก่คนผู้เดียวเท่านั้นก็หามิได้ จะมีในหมู่บ้านเดียวเท่านั้น

ก็หามิได้ ชื่อว่าสภาวธรรม คือ ความไม่ตายย่อมไม่มีในภพทั้งสาม
ในจักรวาลอันหาประมาณมิได้ แม้สังขารอย่างหนึ่งซึ่งสามารถดำรง
อยู่โดยภาวะนั้นเท่านั้น ชื่อว่าเที่ยงยั่งยืนย่อมไม่มี สัตว์ทั้งปวงมีความ
ตายเป็นธรรมดา สังขารทั้งหลายมีการแตกสลายไปเป็นธรรมดา แม้

โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อบุตรตายแล้ว คิดว่า สิ่งที่มีการพินาศ
ไปเป็นธรรมดา พินาศไปแล้ว จึงไม่เศร้าโศกเลย อันกฎุมพีนั้นทูล
อาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ ณ หมู่บ้านใกล้ประตู
เมืองพาราณสี สั่งสมทรัพย์สมบัติไว้เลี้ยงชีพด้วยกสิกรรม. พระโพธิ
สัตว์นั้นได้มีทารก ๒ คน คือ บุตร ๑ ธิดา ๑. พระโพธิสัตว์นั้น
เมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว ได้นำนางกุมาริกามาจากสกุลที่เสมอกัน. ดังนั้น

ชนเหล่านั้นได้เป็น ๖ คนด้วยกันกับนางทาสี คือ พระโพธิสัตว์
ภรรยา บุตร ธิดา ลูกสะใภ้ และทาสี. ชนเหล่านั้นได้เป็นผู้สมัคร
สมานยินดีอยู่กันด้วยความรัก. พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่คนทั้ง ๕
ที่เหลืออย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงให้ทานโดยนิยามตามทำนองที่หาได้

เท่านั้น จงรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม เจริญมรณัสสติ จงกำหนด
ถึงภาวะคือความตายของท่านทั้งหลาย เพราะความตายของสัตว์เหล่านี้
เป็นของยั่งยืน ชีวิตไม่ยั่งยืน สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเสื่อม
สิ้นไปเป็นธรรมเทียว ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาททั้งกลางคืน

และกลางวันเถิด. ชนทั้ง ๕ นั้น รับโอวาทว่า สาธุ แล้วเป็นผู้ไม่ประมาท
เจริญมรณสติอยู่. อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์ไปนาพร้อมกับบุตร
ไถนาอยู่ บุตรลากหยากเหยื่อมาเผา ในที่ไม่ไกลบุตรนั้น มีอสรพิษ
อยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ควันไฟกระทบตาของอสรพิษนั้น มันโกรธ

เลื้อยออกมาคิดว่า ภัยเกิดแก่เราเพราะอาศัยคนผู้นี้ จึงกัดบุตรชาย
จมทั้ง ๔ เขี้ยว เขาล้มลงตายทันที พระโพธิสัตว์เหลียวมาดูเห็นบุตร
ชายนั้นล้มลงจึงหยุดโคแล้วไปหา รู้ว่าบุตรชายนั้นตายแล้ว จึงยก
บุตรนั้นขึ้นให้นอนอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง คลุมผ้าไว้ ไม่ร้องไห้ ไม่ปริ-

เทวนาการร่ำไร. ไถนาไปพลาง กำหนดถึงเฉพาะความเป็นอนิจจังว่า
ก็สิ่งที่มีการแตกเป็นธรรมดา แตกไปแล้ว สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา
ตายไปแล้ว สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สำเร็จด้วยความตาย. พระโพธิ-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
สัตว์นั้น เห็นบุรุษผู้คุ้นเคยกันคนหนึ่งเดินไปทางใกล้นาจึงถามว่า จะ
ไปเรือนหรือพ่อ เมื่อเขากล่าวว่าจ้ะ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่าน
พึงแวะไปยังเรือน แม้ของพวกเรา บอกกะนางพราหมณีเขาว่า
วันนี้ ไม่ต้องนำภัตตาหารไปเพื่อคนสองคนเหมือนดังก่อน พึงนำ

อาหารไปเฉพาะสำหรับคนผู้เดียวเท่านั้น และเมื่อก่อน ทาสีผู้เดียว
เท่านั้น นำอาหารมา แต่วันนี้ คนทั้ง ๔ พึงนุ่งห่มผ้าขาว ถือของ
หอมและดอกไม้มา. บุรุษนั้นรับคำแล้วไปบอกแก่นางพราหมณีเหมือน
อย่างนั้น. นางพราหมณีถามว่า ดูก่อนพ่อ ข่าวนี้ใครให้ท่านมา ?
บุรุษนั้นตอบว่า พราหมณ์ให้มาจ้ะ แม่เจ้า. นางพราหมณีนั้นรู้ได้ว่า

บุตรของเราตายแล้ว. แม้ความวิปริตสักว่าความหวั่นใจก็มิได้มีแก่นาง
พราหมณีนั้น. ก็นางมีจิตอบรมไว้ดีแล้วอย่างนี้ นุ่งห่มผ้าขาวถือของ
หอมและดอกไม้ ให้ถืออาหารแล้วได้ไปพร้อมกับคนที่เหลือ. แม้คน
ผู้เดียวก็มิได้มีความร้องไห้หรือความร่ำไร. พระโพธิสัตว์นั่งในร่มเงาที่

บุตรชายนอนอยู่นั่นแหละบริโภคอาหาร. ในเวลาเสร็จการบริโภค
อาหาร คนแม้ทั้งหมดก็ขนฟืนมา ยกบุตรชายนั้นขึ้นสู่เชิงตะกอน
บูชาด้วยของหอมและดอกไม้แล้วเผา. น้ำตาแม้หยดเดียวก็ไม่ได้มีแก่
ใครๆ. ทั้งหมดเป็นผู้เจริญมรณัสสติไว้ดีแล้ว. ด้วยเดชแห่งศีลของตน

เหล่านั้น ภพแห่งท้าวสักกะจึงแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะนั้นทรง
ใคร่ครวญอยู่ว่า ใครหนอประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่ ทรงทราบว่า
ภพร้อนเพราะเดชแห่งคุณของชนเหล่านั้น เป็นผู้มีพระมนัสเลื่อมใส


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ทรงดำริว่า เราไปยังสำนักของชนเหล่านี้ ทำให้เขาบันลือสีหในเวลา
เสร็จสิ้นการบันลือสีหนาท จึงกระทำนิเวศน์ของชนเหล่านั้นให้เต็ม
ด้วยรัตนะทั้ง ๗ แล้วจึงมา ย่อมจะควร จึงเสด็จไปในที่นั้นโดยเร็ว
แล้วประทับยืนอยู่ที่ข้างป่าช้าตรัสว่า ดูก่อนพ่อ พวกท่านทำอะไรกัน.
ชนเหล่านั้นกล่าวว่า นาย พวกเราเผามนุษย์คนหนึ่ง. ท้าวสักกะ

ตรัสว่า พวกท่านจักไม่เผามนุษย์ แต่เห็นจะฆ่าเนื้อตัวหนึ่งแล้วจึงปิ้ง
อยู่. ชนเหล่านั้นกล่าวว่า นาย ข้อนั้นก็หามิได้ พวกเราเผาเฉพาะ
มนุษย์เท่านั้น. ท้าวสักกะตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เขาคงจะเป็นมนุษย์
ที่มีเวรกับพวกท่าน ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะท้าวสักกะนั้น

ว่า นาย เขาเป็นบุตรผู้เกิดแต่อกของพวกเรา ไม่ใช่คนมีเวรกัน.
ท้าวสักกะตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เขาคงจะเป็นบุตรผู้ที่ไม่เป็นที่รักของ
ท่าน. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นาย เขาเป็นบุตรที่รักยิ่งของข้าพเจ้า.
ท้าวสักกะตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ร้องไห้.

พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อจะบอกถึงเหตุที่ไม่ร้องไห้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑
ว่า :-
บุตรของข้าพเจ้าละทิ้งร่างกายของตนไป
ดุจงูละทิ้งคราบเก่าฉะนั้น เมื่อร่างกายแห่ง
บุตรของข้าพเจ้าใช้อะไรไม่ได้ ทำกาละไป
แล้วอย่างนี้ บุตรของข้าพเจ้าถูกเผาอยู่ ย่อม
ไม่รู้สึกถึงความร่ำไรของหมู่ญาติ เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าจึงไม่เศร้าโศกถึงเขา คติของตนมี
อย่างใด เขาก็ย่อมไปสู่คติของตนอย่างนั้น.


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2018, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตนุํ แปลว่า ร่างกายของตน.
นิพฺโภเค ความว่า ชื่อว่าเว้นจากการใช้สอย เพราะไม่มีชีวิตินทรีย์
คือความเป็นใหญ่คือชีวิต. บทว่า เปเต ได้แก่ กลับไปยังปรโลก.
บทว่า กาลกเต ได้แก่ กระทำกาละแล้ว อธิบายว่า ตายแล้ว. ท่าน

กล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า นาย บุตรของข้าพเจ้าละทิ้งร่างกายของตนไป
เหมือนงูลอกคราบเก่า ไม่เหลียวแลห่วงใย ละทิ้งไปฉะนั้น เมื่อ
ร่างกายแห่งบุตรของเรานั้น เว้นขาดจากชีวิตินทรีย์ใช้การไม่ได้อย่าง
นี้ และเมื่อบุตรของเรานั้นละไปแล้ว คือหวนกลับไปแล้ว กระทำ

มรณกาลแล้ว ประโยชน์อะไรด้วยความการุณย์หรือความร่ำไห้ เพราะ
บุตรของเรานี้ย่อมไม่รู้ แม้ความร่ำไห้ของพวกญาติ เหมือนเอาหลาว
แทงแล้วเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกสุขและทุกข์ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น เราจึง
ไม่เศร้าโศกถึงเขา เขาไปตามคติแห่งตนของเขาแล้ว.

ท้าวสักกะได้ทรงฟังคำของพระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามนาง
พราหมณีว่า ดูก่อนแม่ เขาเป็นอะไรแก่ท่าน ? นางพราหมณีตอบว่า
นาย เขาเป็นบุตรที่ข้าพเจ้าบริหารด้วยครรภ์ถึง ๑๐ เดือน ให้ดื่มถัญ
แล้วบำรุงเลี้ยงให้เจริญเติบโต. ท้าวสักกะตรัสว่า ดูก่อนแม่ บิดาไม่

ร้องไห้ เพราะเป็นบุรุษก็ยกไว้ส่วนหทัยของมารดาอ่อนโยน เพราะ
เหตุไร ท่านจึงไม่ร้องไห้. นางพราหมณีนั้นเมื่อจะบอกเหตุที่ไม่ร้อง-
ไห้ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-


* โทษของเหล้าเบียร์มีมากมาย ควรจะมีความละอาย และเกรงกลัวในการดื่มกันบ้าง
* เราปราถนาพบคนดีฉันใด บุคคลอื่นก็ปราถนาจะพบคนดีเหมือนกันฉันนั้น
* งด เว้น ละเลิก สิ่งที่ไม่เป็นสาระในชีวิตแต่วันนี้ เพื่ออนาคตที่ดีที่เจริญยิ่งๆขึ้นไป
* เมื่อเราเริ่มด้วยการแนะนำแบ่งปัน ความแบ่งปันก็เริ่มขยายตัวสู่คนหมู่มาก
* ความตระหนี่ก่อให้เกิดความแตกแยก ความเอื้อเฟื้อนั้นและจะประสานรอยร้าว
ความตระหนี่มีแต่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้เสพ แม้เสพอยู่จ่มอยู่หารู้ไม่ว่าตนทุกข์เพราะความตระหนี่
* เห็นโทษในสิ่งนั้นตามเป็นจริงย่อมจะงด เว้น ละเลิกได้จริง
* ทานน้อยจึ่งค่อยได้ให้ทาน ทานนานๆย่อมยังทรัพย์ให้เกิดได้
ทานแบบเกินรายได้ ย่อมจะได้หนี้สินติดตัวมา ย่อมยังชาตาชีวิตให้ตกต่ำ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 98, 99, 100, 101, 102, 103, 104 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร