วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 04:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ : ขันธ์ ๕ นั้น เป็นตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง แต่ถ้าจิตนี้ไม่ไปหยิบฉวยมันขึ้นมานะ จิตจะไม่ทุกข์ไปกับมันหรอก ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ถูกความทุกข์บีบคั้น มันต้องแตกสลาย มันแก่ มันเจ็บ มันตาย ธาตุทั้งหลายแปรปรวนไปเรื่อย

นี่พูดโดยสมมุตินะว่า พอคนตาย ธาตุก็แยกออกจากกัน ความจริงธาตุไม่แยก ยกตัวอย่าง ในน้ำ ก็มีทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุไม่แยกหรอก ธาตุก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้น บางทีธาตุมันแปรรูปไป ธาตุอย่างนี้เรียกว่าคน ธาตุอย่างนี้เรียกว่าศพ ความจริงก็ธาตุนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว คนก็สมมุตินะ ศพก็สมมุตินะ แต่ปฏิบัติต่อคนอย่างหนึ่งใช่มั้ย ปฏิบัติต่อศพอีกอย่างหนึ่งใช่มั้ย เนี่ย ปฏิบัติถูกต้อง

เพราะฉะนั้นภาวนาไม่ได้ปฏิเสธสมมุตินะ แต่เข้าใจสมมุติ ไม่ถูกสมมุติหลอกลวง จนเห็นว่า มีสัตว์ มีคน มีเรา มีเขา เมื่อใจมีปัญญา เบื้องต้นมีปัญญา รู้แล้วว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีเรา ไม่มีเขา เป็นพระโสดาบัน ต่อไปมีปัญญาแก่รอบขึ้นอีก รู้เลยว่า ถ้าเข้าไปยึดถือมันอยู่ ทุกข์ ถ้าไม่ยึดถือมันนะ ขันธ์ ๕ นี้ไม่เข้าไปยึดมันก็ยังไม่ทุกข์อะไร ใจก็คลายออกนะ คลาย ไม่ไปหยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาเป็นภาระอีกแล้ว ไม่ไปหมายเอาขันธ์มาเป็นเราอีก

พอไม่ยึดนะ ขันธ์มันเป็นตัวทุกข์นะ พอเราไม่ยึดขันธ์ ก็คือเราไม่ไปหยิบเอาตัวทุกข์ขึ้นมา ขันธ์เหมือนถ่านไฟแดงๆ ร้อน ไม่ไปหยิบขึ้นมาก็ไม่ร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่หยิบขันธ์เพราะรู้ความจริงของมันนะ มันทุกข์น่ะ พอไม่ยึดขึ้นมาก็ไม่ทุกข์ไปกับมันแล้ว มีความสุขนะ ฝึกไปเรื่อย มีความสุข เพราะรู้ความจริงของสภาวะ เห็นความจริงของสภาวะได้เพราะไม่ไปติดอยู่แค่สมมุติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓
ที่มา http://www.dhammada.net/page/11/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2011, 16:58
โพสต์: 144

งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: มุก
อายุ: 29
ที่อยู่: จ.ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b19: อนุโมทนาค่ะ

ขอบคุณสำหรับธรรมะดีๆค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2011, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พอไม่ยึดนะ ขันธ์มันเป็นตัวทุกข์นะ พอเราไม่ยึดขันธ์ ก็คือเราไม่ไปหยิบเอาตัวทุกข์ขึ้นมา ขันธ์เหมือนถ่านไฟแดงๆ ร้อน ไม่ไปหยิบขึ้นมาก็ไม่ร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่หยิบขันธ์เพราะรู้ความจริงของมันนะ มันทุกข์น่ะ พอไม่ยึดขึ้นมาก็ไม่ทุกข์ไปกับมันแล้ว มีความสุขนะ ฝึกไปเรื่อย มีความสุข เพราะรู้ความจริงของสภาวะ เห็นความจริงของสภาวะได้เพราะไม่ไปติดอยู่แค่สมมุติ


ถ้าไม่ยึดขันธ์นะครับ ฉันเช้ามื้อเดียวก็น่าจะพอนะครับ
ทำไมตอนเพลต้องฉันอีกครับ
ถ้าอยู่กับกรรมฐานทั้งวัน
ตอนเพลจะไม่หิวนะครับ

หรือท่าน เจ้าของกระทู้เห็นว่าไงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2011, 00:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปว่าเขา...เพราะขณะที่กำลังว่าเขา...เขาอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2011, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อย่าไปว่าเขา...เพราะขณะที่กำลังว่าเขา...เขาอาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้


ถ้าเปลี่ยนจริง ก็ขออนุโมทนา
ผมแค่งง กับท่าน จขกท จริงๆ ครับ

คือ เอามาแปะ แล้วก็ไป แถมโพสสลับกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
แบบให้ดูเนียนๆ แต่ก็เน้นหลวงพ่อปราโมทย์
มันแปลกๆ นะครับ
ท่านกำลังโปรโมท หลวงพ่อปราโมทย์ หรือเปล่าครับ

ท่าน wincha

http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 52&CatID=2

มหาภัยในวงกรรมฐาน
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด

แล้วยังมีอะไรอีกล่ะ (ลูกศิษย์ : ไปนิพพานง่ายนิดเดียว) นั่นฟังดู ไปนิพพานง่ายนิดเดียว โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยไปนิพพานที่ไหนสักที มันมาโกหกโลกอย่างงั้น (ลูกศิษย์ : เขาว่าอวิชชานี่คือความไม่รู้ เขาก็ทำตรงข้ามกับความไม่รู้ คือใช้ความคิดใช้ปัญญาหาความรู้ก็ไปนิพพานได้แล้ว) แล้วปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันหามาแข่งพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน ตั้งแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยมีปัญญามันเอามาอวดพระพุทธเจ้าได้ยังไง ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ในเรื่องปัญญาปรีชาญาณ ว่าง่ายนิดเดียวๆ ก็ง่ายละซีมันเป็นเหมือนหนอนอยู่ในส้วม มันก็ง่ายนิดเดียวละซี ถ้าเป็นคนที่จะบึกบึนออกจากส้วมจากถานมันก็ต้องยากซิ แต่ผู้ที่จะจมลงในถานมันก็ง่ายแหละ อย่างที่ว่ามันง่ายนิดเดียว ก็มันปีนลงถาน

เอาว่าไป (กราบเรียนอีกข้อหนึ่งจากเทปที่อัดมาเลย บอกว่าที่เรามาช้าอยู่นี่ ก็เพราะเรามามัวถือศีล มาทำสมาธิ มาภาวนาพุทโธ ๆ อยู่ ครั้งพุทธกาลสำเร็จกันมาก ๆ เพราะเขาใช้ปัญญา) เมื่อถึงขั้นปัญญาแล้วสมาธิหรือความนอนจมอยู่ในมูตรในคูถ ท่านไม่สนใจ ถึงขั้นปัญญาท่านจะออกทางด้านปัญญาทีเดียว ธรรมพระพุทธเจ้าให้เหมาะให้สมแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ดังที่พูดตะกี้นี้แล้ว แล้วพูดอะไรตะกี้นี้ (มานั่งภาวนาพุทโธ ๆ กันอยู่เสียเวล่ำเวลา ต้องใช้ความคิดด้านปัญญาไปเลย แล้วจะสำเร็จกันเยอะๆ) ปัญญาโคตรพ่อโคตรแม่มันมาจากไหน ปัญญาประเภทนี้ ในพระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ศีลเป็นเครื่องทำความอบอุ่นแก่จิตใจให้ทำความสงบเย็นใจได้ง่าย ไม่ระแคะระคายว่าศีลตนไม่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2011, 22:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:

กัณฑ์นี้กระผมว่าเคยฟังจากวิทยุมานะ....แต่พ.ศ. 2545 นี้ไม่คุ้นเลย...เพราะ2545 นี้ ธรรมะธัมโมอะไรนี้ไม่รู้จัก.. :b9:

อ้างคำพูด:
ถ้าเปลี่ยนจริง ก็ขออนุโมทนา

เจตนาให้ระลึกถึงภัย..ที่อาจจะเกิด...ไม่ได้อยู่ที่ว่า..เขาจะเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือไม่..นะครับ :b8:

อ้างคำพูด:
ผมแค่งง กับท่าน จขกท จริงๆ ครับ

สำหรับคุณ wincha..ผมว่าคุณอายะไม่น่าจะ งง นะ..

อ้างคำพูด:
คือ เอามาแปะ แล้วก็ไป แถมโพสสลับกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
แบบให้ดูเนียนๆ แต่ก็เน้นหลวงพ่อปราโมทย์ มันแปลกๆ นะครับ

การจะโพสต์แบบนี้ก็ไม่ผิดกฎอะไรนี้ครับ..เขาไม่ได้ห้ามใว้

แต่การจะโพสต์อะไร..ของใคร....โดยปกติผู้โพสต์จะต้องอ่านแล้ว..และก็ยอมรับนับถือตามนั้นมาก่อนแล้ว..จึงปรารถณานำของดีมาให้ผู้อื่นได้อ่านด้วย...

ปกติก็ควรเป็นอย่างนี้

แต่ถ้าบทความที่โพสต์...มีสาระไปคนละทาง...มีความขัดแย้งกันในตัว...ก็แสดงว่าผู้โพสต์ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่นำมาโพสต์..หรือไม่ก็..ผู้โพสต์กำลังทำตัวเป็นเพียงผู้สื่อข่าวเท่านั้น...แค่เสนอว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง..เท่านั้น

อ้างคำพูด:
ท่านกำลังโปรโมท หลวงพ่อปราโมทย์ หรือเปล่าครับ

ดังขนาดนี้..ยังต้องโปรโมท..อีกหรือ???..คงไม่มั้ง???
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดังขนาดนี้..ยังต้องโปรโมท..อีกหรือ???..คงไม่มั้ง???

อ้างคำพูด:
:b12: :b12: :b12:


งั้นผมขอยกธรรมของหลวงตามาบ้างนะครับ คงไม่ว่ากัน
ถ้าจะให้ดีต้องฟังจากเสียงหลวงตาครับ แจ่มดีแท้

อ้างคำพูด:
(อีกข้อหนึ่ง ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ยากครับผม สละความโลภอย่างเดียว โกรธยังมีอยู่ก็ได้ หลงยังมีอยู่ก็ได้ อย่าโลภก็แล้วกันเป็นพระโสดาบัน)

ให้โสดาบันเลย ละความโลภได้อย่างเดียว ความโกรธ ราคะตัณหา จะมี ๒๐ ผัว ๒๐ เมียก็ได้ไม่เป็นไร ละความโลภได้อย่างเดียว คำว่าโลภมันแปลว่าอะไร แปลว่าได้ ๒๐ เมีย ๓๐ ผัวไม่พอใช่ไหม ความโลภมันเป็นข้าศึกกันหรือไม่ มันเอาพูดหาพ่อหาแม่มันหาอะไรเข้าใจหรือ นี่เห็นไหมมันอวดเอาอย่างต่อหน้าต่อตานี่เลวมากที่สุดเลยเทียว วันนี้เอาแค่นี้เสียก่อน ให้เอาไปพิจารณา

(พระองค์นี้ยังไม่ได้โสดาบันเพราะยังโลภอยู่ เขาบอกว่าชนะความโลภแล้วจะได้โสดาบัน ถ้างั้นคนนี้ยังไม่ได้โสดาบัน)

ไม่ได้โสดาบัน เขาก็มีโสเดาได้เข้าใจไหม ไม่ได้โสดาเขาก็มีโสเดา เขาเดาไปเรื่อยได้นี่วะจะไปว่าอะไร เอาละพอเป็นคตินะเข้าใจหรือ ให้เป็นคติเครื่องพิจารณาที่เราพูดวันนี้นะ ผลของการสำเร็จโสดาเป็นอะไรมันก็รู้แล้วในธรรมทั้งหลาย มันมาพูดหลับหูหลับตาชนฝาให้คนตาดีเขาดูได้ยังไง ตั้งแต่หมาตาบอดมันก็ยังไม่ไปชนต้นเสา ไอ้คนตาบอดชนนะ หมาตาบอดมันไม่ชนต้นเสานะมันหลบนั้นหลีกนี้ แต่คนตาบอดนี้ชนปึ๋งๆ เลย พระตาบอดยิ่งแล้วชนได้ดะไปเลย หัวพระพุทธเจ้าก็ชน ธรรมพระพุทธเจ้าจะเอาให้พังเลย นี่ละที่ว่าพระตาบอด เราไม่อยากเรียกพระนะ บักตาบอดเหมาะดี ก็ว่างั้นล่ะซิ เวลาจะเอาก็ต้องฟัดกันเลยเต็มเหนี่ยวซิ ลงมาแล้วก็เป็นคนธรรมดา เวลาขึ้นก็ซัดกันล่ะซิ เอาแค่นี้ละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดังขนาดนี้..ยังต้องโปรโมท..อีกหรือ???..คงไม่มั้ง???


งั้นผมขอยกธรรมของหลวงตามาบ้างนะครับ คงไม่ว่ากัน
ถ้าจะให้ดีต้องฟังจากเสียงหลวงตาครับ แจ่มดีแท้

อ้างคำพูด:
มหาภัยในวงกรรมฐาน
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด


(อีกข้อหนึ่ง ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ยากครับผม สละความโลภอย่างเดียว โกรธยังมีอยู่ก็ได้ หลงยังมีอยู่ก็ได้ อย่าโลภก็แล้วกันเป็นพระโสดาบัน)

ให้โสดาบันเลย ละความโลภได้อย่างเดียว ความโกรธ ราคะตัณหา จะมี ๒๐ ผัว ๒๐ เมียก็ได้ไม่เป็นไร ละความโลภได้อย่างเดียว คำว่าโลภมันแปลว่าอะไร แปลว่าได้ ๒๐ เมีย ๓๐ ผัวไม่พอใช่ไหม ความโลภมันเป็นข้าศึกกันหรือไม่ มันเอาพูดหาพ่อหาแม่มันหาอะไรเข้าใจหรือ นี่เห็นไหมมันอวดเอาอย่างต่อหน้าต่อตานี่เลวมากที่สุดเลยเทียว วันนี้เอาแค่นี้เสียก่อน ให้เอาไปพิจารณา

(พระองค์นี้ยังไม่ได้โสดาบันเพราะยังโลภอยู่ เขาบอกว่าชนะความโลภแล้วจะได้โสดาบัน ถ้างั้นคนนี้ยังไม่ได้โสดาบัน)

ไม่ได้โสดาบัน เขาก็มีโสเดาได้เข้าใจไหม ไม่ได้โสดาเขาก็มีโสเดา เขาเดาไปเรื่อยได้นี่วะจะไปว่าอะไร เอาละพอเป็นคตินะเข้าใจหรือ ให้เป็นคติเครื่องพิจารณาที่เราพูดวันนี้นะ ผลของการสำเร็จโสดาเป็นอะไรมันก็รู้แล้วในธรรมทั้งหลาย มันมาพูดหลับหูหลับตาชนฝาให้คนตาดีเขาดูได้ยังไง ตั้งแต่หมาตาบอดมันก็ยังไม่ไปชนต้นเสา ไอ้คนตาบอดชนนะ หมาตาบอดมันไม่ชนต้นเสานะมันหลบนั้นหลีกนี้ แต่คนตาบอดนี้ชนปึ๋งๆ เลย พระตาบอดยิ่งแล้วชนได้ดะไปเลย หัวพระพุทธเจ้าก็ชน ธรรมพระพุทธเจ้าจะเอาให้พังเลย นี่ละที่ว่าพระตาบอด เราไม่อยากเรียกพระนะ บักตาบอดเหมาะดี ก็ว่างั้นล่ะซิ เวลาจะเอาก็ต้องฟัดกันเลยเต็มเหนี่ยวซิ ลงมาแล้วก็เป็นคนธรรมดา เวลาขึ้นก็ซัดกันล่ะซิ เอาแค่นี้ละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 14:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 02:08
โพสต์: 45

อายุ: 0
ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนา สาธุ สำหรับธรรมดีๆที่นำมาให้อ่านครับ :b55:

.....................................................
อย่าหลงเหยื่อ เชื่ออยาก จะยากจิต อย่าหลงติดรสเหยื่อ เชื่อตัณหา อย่าหลงนอน หลงกินสิ้นเวลา อย่าหลงว่า ชีวิตเราจะยาวนาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อคืนวานกระผมดู ทีวีหลวงตาเทศน์...แจ่มชัดมาก...มันจำในใจแต่เล่าต่อไม่เป็น... :b12:

...ไม่รู้มีวิธีอัดไหมนะแบบนี้...

อ้างคำพูด:
ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ยาก.....สละความโลภอย่างเดียว โกรธยังมีอยู่ก็ได้ หลงยังมีอยู่ก็ได้

:b12: :b12:
โสดาบัน..มีครบทั้ง โลภ โกรธ หลงนั้นแหละ...แต่..ไม่รุนแรง..ไม่เกินขอบเขตของศีล..โลภก็อยู่ในสัมมาอาชีพ..โกรธแต่ก็ไม่อาฆาตมาดร้าย..หลงแต่ก็ไม่ลืมว่าต้องตายแน่ ๆ

สังโยชน์ 3 ข้อแรก...สักกายทิฐิ..วิจิกิจฉา..สีลลัพตปรามาส...ไม่เห็นมีข้อไหนว่าได้ตัดความโลภตรง ๆ ....

หรืออาจจะต้องตีความ..??? :b12:

แต่คนเราธรรมดา..ชอบ...ก็ตีความเป็นคุณ...ไม่ชอบ...ก็ตีความเป็นโทษ
เหมือนคนปากเหม็น..บอกว่าถูก..ก็เหม็น..บอกว่าผิด..ก็เหม็น
มีกิเลสอยู่..ปากเหม็นทั้งนั้น :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


wincha เขียน:
หลวงพ่อปราโมทย์ : ขันธ์ ๕ นั้น เป็นตัวทุกข์โดยตัวของมันเอง แต่ถ้าจิตนี้ไม่ไปหยิบฉวยมันขึ้นมานะ จิตจะไม่ทุกข์ไปกับมันหรอก ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ถูกความทุกข์บีบคั้น มันต้องแตกสลาย มันแก่ มันเจ็บ มันตาย ธาตุทั้งหลายแปรปรวนไปเรื่อย

นี่พูดโดยสมมุตินะว่า พอคนตาย ธาตุก็แยกออกจากกัน ความจริงธาตุไม่แยก ยกตัวอย่าง ในน้ำ ก็มีทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุไม่แยกหรอก ธาตุก็อยู่ด้วยกันทั้งนั้น บางทีธาตุมันแปรรูปไป ธาตุอย่างนี้เรียกว่าคน ธาตุอย่างนี้เรียกว่าศพ ความจริงก็ธาตุนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว คนก็สมมุตินะ ศพก็สมมุตินะ แต่ปฏิบัติต่อคนอย่างหนึ่งใช่มั้ย ปฏิบัติต่อศพอีกอย่างหนึ่งใช่มั้ย เนี่ย ปฏิบัติถูกต้อง

เพราะฉะนั้นภาวนาไม่ได้ปฏิเสธสมมุตินะ แต่เข้าใจสมมุติ ไม่ถูกสมมุติหลอกลวง จนเห็นว่า มีสัตว์ มีคน มีเรา มีเขา เมื่อใจมีปัญญา เบื้องต้นมีปัญญา รู้แล้วว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีเรา ไม่มีเขา เป็นพระโสดาบัน ต่อไปมีปัญญาแก่รอบขึ้นอีก รู้เลยว่า ถ้าเข้าไปยึดถือมันอยู่ ทุกข์ ถ้าไม่ยึดถือมันนะ ขันธ์ ๕ นี้ไม่เข้าไปยึดมันก็ยังไม่ทุกข์อะไร ใจก็คลายออกนะ คลาย ไม่ไปหยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาเป็นภาระอีกแล้ว ไม่ไปหมายเอาขันธ์มาเป็นเราอีก

พอไม่ยึดนะ ขันธ์มันเป็นตัวทุกข์นะ พอเราไม่ยึดขันธ์ ก็คือเราไม่ไปหยิบเอาตัวทุกข์ขึ้นมา ขันธ์เหมือนถ่านไฟแดงๆ ร้อน ไม่ไปหยิบขึ้นมาก็ไม่ร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่หยิบขันธ์เพราะรู้ความจริงของมันนะ มันทุกข์น่ะ พอไม่ยึดขึ้นมาก็ไม่ทุกข์ไปกับมันแล้ว มีความสุขนะ ฝึกไปเรื่อย มีความสุข เพราะรู้ความจริงของสภาวะ เห็นความจริงของสภาวะได้เพราะไม่ไปติดอยู่แค่สมมุติ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓
ที่มา http://www.dhammada.net/page/11/


สอนยังสอนผิดเลย

ขันธ์ทั้งหลายมีจริงไม่ใช่สมมุติแต่เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา คือไตรลักษณ์

จะยึดไม่ยึดก็เป็นเช่นนั้น ( ถ้ามีแต่สิ่งสมมุติแล้วอะไรเกิด อะไรที่ดับ )

คือเป็นทุกข เช่นนั้นเอง

คือเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ( หน้าที่ผู้ปฏิบัติธรรมคือ ต้องตามดูรู้ทัน ไตรลักษณ์)

หมายถึงยึดเป็นตัวตนถาวรไม่ได้

อย่าไปใช้จินตนาการ สมมุติ

ถ้าขันธ์เป็นเรื่องสมมุติ นิพพานก็ต้องสมมุติด้วยซิ ชิมิ ชิมิ

เงินทองนั่นถึงจะเป็นสิ่งสมมุติ แต่เห็นยึดแน่นกว่าขันธ์เสียอีก



.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 08:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พอไม่ยึดนะ ขันธ์มันเป็นตัวทุกข์นะ พอเราไม่ยึดขันธ์ ก็คือเราไม่ไปหยิบเอาตัวทุกข์ขึ้นมา ขันธ์เหมือนถ่านไฟแดงๆ ร้อน ไม่ไปหยิบขึ้นมาก็ไม่ร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่หยิบขันธ์เพราะรู้ความจริงของมันนะ มันทุกข์น่ะ พอไม่ยึดขึ้นมาก็ไม่ทุกข์ไปกับมันแล้ว มีความสุขนะ ฝึกไปเรื่อย มีความสุข เพราะรู้ความจริงของสภาวะ เห็นความจริงของสภาวะได้เพราะไม่ไปติดอยู่แค่สมมุติ


จากตรงนี้...ดูไปก็เหมือนแยกธาตุแยกขันธ์..อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านว่ามานะ

ธาตุ..คือธาตุรู้
ขันธ์..คือขันธ์ 5

แต่งั้ยกลับสอนว่า..แม้แต่จิตอันเป็นธาตุรู้..ก็ไม่มีจริง..เป็นแต่เกิดดับ ๆ...
วกกลับเอามารวมกับขันธ์ไปซะนี้..

เห่อ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


สังโยชน์ 3 ข้อแรก...สักกายทิฐิ..วิจิกิจฉา..สีลลัพตปรามาส...ไม่เห็นมีข้อไหนว่าได้ตัดความโลภตรง ๆ ....

หรืออาจจะต้องตีความ..??? :b12:




ศิล ๕ ไงคุณกบ

ศิลข้ออทินนาทานา อันนี้ขโมยทรัพย์เขาเลย

ถ้าศิลสะอาดมากขึ้น อาจจะแค่เพ่งเล็ง แต่มิได้คิดขโมย

ถ้าศิลสะอาดมากขึ้นอีกระดับ กำจัดอภิชฌาได้ คือ ไม่มีการเพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น


เรื่องของสังโยชน์ พื้นฐาน ศิลต้องสะอาด เอาแค่ศิล ๕ แบบหยาบๆ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์
ไม่ผิดลูกเมียใคร ไม่พูดปด ไม่ดื่มสุรา

เมื่อศิลสะอาด จิตย่อมส่งออกนอกได้น้อย ซึ่งเป็นเหตุให้ จิตตั้งมั่นได้ง่ายมากขึ้น

จิตตั้งมั่นได้ง่ายมากขึ้น จิตวิสุทธิ์ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย เป็นเหตุให้รู้ชัดในกายและจิต ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นตามความเป็นจริง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 18:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ..คุณน้ำ :b8: :b8:

ไม่เจอซะนาน... :b12:

อทินนาทานา..ไม่เบียดเบียนในทรัพย์ของผู้อื่น..แต่ความอยากได้ทรัพย์ให้มาก ๆ ขึ้น...อย่างถูกต้องตามกฎหมาย..ยังมีอยู่..

เหตุใด...จึงมีความปรารถณามีทรัพย์สินมาก ๆ...คิดดูแล้วจะเห็นเนื้อแท้..ก็เพื่อบำรุงกาย..กลัวกายไม่สบาย...กลัวกาย..ตกระกำลำบาก

ก็เลยคิดว่า..ความโลภ..มี..เพราะหลงผิดในกาย...คิดว่ากายนี้คือเรา..กายสุขเราก็สุข..

ตรงนี้..มีสังโยชน์ 2 ตัวเกี่ยวกันอยู่คือ..สักกายทิฎฐิ..กับ..อวิชชา

ตรงนี้..คิดไปเองเรื่อยเปื่อย..หากไร้สาระก็ต้องขออภัย.. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สวัสดีครับ..คุณน้ำ :b8: :b8:

ไม่เจอซะนาน... :b12:

อทินนาทานา..ไม่เบียดเบียนในทรัพย์ของผู้อื่น..แต่ความอยากได้ทรัพย์ให้มาก ๆ ขึ้น...อย่างถูกต้องตามกฎหมาย..ยังมีอยู่..

เหตุใด...จึงมีความปรารถณามีทรัพย์สินมาก ๆ...คิดดูแล้วจะเห็นเนื้อแท้..ก็เพื่อบำรุงกาย..กลัวกายไม่สบาย...กลัวกาย..ตกระกำลำบาก

ก็เลยคิดว่า..ความโลภ..มี..เพราะหลงผิดในกาย...คิดว่ากายนี้คือเรา..กายสุขเราก็สุข..

ตรงนี้..มีสังโยชน์ 2 ตัวเกี่ยวกันอยู่คือ..สักกายทิฎฐิ..กับ..อวิชชา

ตรงนี้..คิดไปเองเรื่อยเปื่อย..หากไร้สาระก็ต้องขออภัย.. :b8:





ทุกๆความคิดเห็น เป็นเพียงสภาวะของแต่ละคน ตามรู้ที่มีของแต่ละคน ไม่มีคำว่า " ไร้สาระ " หรอกค่ะ

การพิจรณาใดๆก็ตาม ที่พิจรณาแล้ว มุ่งถ่ายถอนอุปทานที่ยังมีอยู่ ขึ้นชื่อว่าพิจรณาถูกทางทั้งนั้น

หากพิจรณาแล้วมีแต่เป็นเหตุให้เพิ่มมานะ เพิ่มกิเลส อันนี้ก็แล้วแต่เหตุของแต่ละคนค่ะ ว่าจะมองเห็นกันบ้างไหม


ข้อคิดห็น ก็เป็นเพียงข้อคิดเห็น :b12:

แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดอุปทานยึดมั่นถือมั่นในข้อคิดเห็นนั้นๆว่า ถูกหรือผิด มันจะกลายเป็นเหตุใหม่ไปทันที

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 38 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร