วันเวลาปัจจุบัน 20 พ.ค. 2025, 21:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2011, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ : ในที่สุดมันก็ต้องผ่านไป ไม่มีอะไรที่มาแล้วไม่ไป ไม่มี คือถ้าเราเข้าใจความจริงของโลกของชีวิต มันก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ คือถ้าเราเข้าใจโลกอย่างที่มันเป็น เห็นว่าทุกอย่างมันเป็นของชั่วคราว เราจะไม่หลงโลก ความสุขเกิดขึ้นนะเราก็รู้ว่าชั่วคราว ความทุกข์เกิดขึ้นเราก็รู้ว่าชั่วคราว ปัญหาทั้งหลายเกิดขึ้นก็ของชั่วคราวอีก ตัวเราเองมาอาศัยอยู่ในโลก ก็มาอาศัยชั่วคราว เอาเข้าจริงโลกก็เป็นของชั่วคราว อะไรๆ มันก็ชั่วคราวหมดเลย

ทีนี้เราไม่ค่อยยอมรับความจริงตัวนี้ เรามองไม่เห็น เราก็อยากให้มันถาวร เวลามีความสุขนะ เราอยากให้มีความสุขถาวร ส่วนความทุกข์เราก็อยากให้หายไปถาวร ไม่มาอีกแล้ว ถ้าคนดีๆ หน่อยก็เกลียดกิเลส อยากให้กิเลสหายถาวร จะเอาแต่กุศลถาวร

อะไรที่ยังเป็นความปรุงแต่ง ยังเป็นคู่ๆ อยู่นี่นะ เป็นของที่ไม่ถาวรแน่นอน จะพลิกไปพลิกมาตลอดเวลา ยังมีกุศลได้ก็มีอกุศลได้ มีโลภก็มีไม่โลภ มีโกรธก็มีไม่โกรธ มีหลงก็มีไม่หลง เป็นคู่ๆ กัน มีสุขก็มีทุกข์ เนี่ยเป็นคู่ๆ มีดีก็มีชั่ว เป็นคู่ๆ ของอะไรที่ยังตกอยู่ในความเป็นคู่นะ ของนั้นยังแปรปรวนได้อยู่อีก ยกตัวอย่างเราเป็นคนใช่มั้ย ก็ยังมีสิ่งที่เป็นคู่ๆ อย่างเป็นเด็กกับเป็นผู้ใหญ่ นี่ก็เป็นคู่ๆ เป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นคนแก่ ก็เป็นคู่ๆ สิ่งที่เป็นคู่แปรปรวน บางทีแปรปรวนข้ามไปข้ามมานะ

ยกตัวอย่างถ้าเราสังเกตให้ดี ใจเราเอง หัดสังเกตเรื่อยๆ ช่วงไหนไปทำความสงบมากนะ มาแบบสงบ แบบเพ่งเข้าไป สะกดน้อมเข้าไปให้นิ่งให้ว่างให้สงบ อีกช่วงหนึ่งพอหมดแรงเพ่งหมดแรงอะไรไว้ หมดแรงประคอง มันดีดกลับนะ มันเป็นฟุ้งซ่าน มันฟุ้งมากกว่าคนทั่วไปอีก

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓
http://www.dhammada.net/page/10/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2011, 16:58
โพสต์: 144

งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: มุก
อายุ: 29
ที่อยู่: จ.ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ยกตัวอย่างถ้าเราสังเกตให้ดี ใจเราเอง หัตสังเกตเรื่อยๆ ช่วงไหนไปทำความสงบมากนะ มาแบบสงบ แบบเพ่งเข้าไป สะกดน้อมเข้าไปให้นิ่งให้ว่างให้สงบ อีกช่วงหนึ่งพอหมดแรงเพ่งหมดแรงอะไรไว้ หมดแรงประคอง มันดีดกลับนะ มันเป็นฟุ้งซ่าน มันฟุ้งมากกว่าคนทั่วไปอีก


หลวงพ่อครับ ถ้าสมมุติทำสมถะ หรือที่หลวงพ่อว่าเพ่งจนสงบแล้ว เพ่งเข้าไปแล้ว
แต่ต้องให้สงบจริงๆ นะครับๆ ให้สงบระงับจากนิวรณ์จิงๆ ไม่ใช่สงบแว๊บๆ
ก็อย่าท้อถอยซีครับ ถ้าท้อทอยหรือเลิก
จิตมันก็ไหลลงตำเหมือนเดิม ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ พอไหลกลับ มันจะฟุ้งมากหรือน้อยก็ชั่งมัน เถอะครับ
ก็น่าจะรวมแรงรวมใจตั้งใจปฏิบัติใหม่ ถ้าอยู่กับภาวนาไปเรื่อยๆ(ไม่ใช่ดูจิตพรวดเลย)
จิตมันก็จะสงบเองแหละครับ
อย่าเลิกจนกว่าจะกำจัดกิเลสได้ถอดรากถอนโคน


แต่ถ้าหลวงพ่อเทศน์แบบสงบแล้วฟุ้งกิเลสจะมากกว่าเดิม
คนเขาก็กลัวการทำสมถะกันหมดซีครับ
เด๋วก็ขู่ว่าจะกลายเป็นพรหมบ้าง จะเฉื่อยชาบ้าง ช้าบ้าง ไม่มีปัญญาบ้าง ฯลฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ยกตัวอย่างถ้าเราสังเกตให้ดี ใจเราเอง หัตสังเกตเรื่อยๆ ช่วงไหนไปทำความสงบมากนะ มาแบบสงบ แบบเพ่งเข้าไป สะกดน้อมเข้าไปให้นิ่งให้ว่างให้สงบ อีกช่วงหนึ่งพอหมดแรงเพ่งหมดแรงอะไรไว้ หมดแรงประคอง มันดีดกลับนะ มันเป็นฟุ้งซ่าน มันฟุ้งมากกว่าคนทั่วไปอีก


หลวงพ่อครับ ถ้าสมมุติทำสมถะ หรือที่หลวงพ่อว่าเพ่งจนสงบแล้ว เพ่งเข้าไปแล้ว
แต่ต้องให้สงบจริงๆ นะครับๆ ให้สงบระงับจากนิวรณ์จิงๆ ไม่ใช่สงบแว๊บๆ
ก็อย่าท้อถอยซีครับ ถ้าท้อทอยหรือเลิก
จิตมันก็ไหลลงตำเหมือนเดิม ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ พอไหลกลับ มันจะฟุ้งมากหรือน้อยก็ชั่งมัน เถอะครับ
ก็น่าจะรวมแรงรวมใจตั้งใจปฏิบัติใหม่ ถ้าอยู่กับภาวนาไปเรื่อยๆ(ไม่ใช่ดูจิตพรวดเลย)
จิตมันก็จะสงบเองแหละครับ
อย่าเลิกจนกว่าจะกำจัดกิเลสได้ถอดรากถอนโคน

ท่านอายะครับสงสัยท่านจะไม่เข้าใจ เนื้อหาในกระทู้ครับ ผมอ่านแล้วตีความได้ว่า
หลวงพ่อท่านบอกว่า ธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมมันมีเป็นคู่ มีอย่างหนึ่ง มันก็ตรงมีอีกอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกัน
ท่านกำลังบอกให้เราศึกษาให้รู้ถึงธรรมคู่ เกิดเป็นคนอยู่ในธรรมชาติย่อมต้องมีธรรมคู่
เมื่อรู้และเข้าใจธรรมที่เป็นคู่แล้วก็จะเห็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางธรรมคู่ คือไม่มีทั้งกุศลอกุศล
ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย

หรือพูดอีกนัยคือ ธรรมคู่เหล่านี้มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดเป็นคนอีก ถ้าเรายังหลงเลือกที่จะเป็น
เลือกที่จะเอาธรรมคู่หรือเลือกเอาตัวใดตัวหนึ่ง มันเป็นเชื้อเป็นความยึดมั่นถือมั่นครับ

ส่วนในข้ออ้างอิงที่ท่านยกมา มันหมายถึง การเพ่งมันไม่ได้เป็นธรรมชาติ มันเป็นการบังคับ
มันเป็นความอยาก มันเป็นความต้องการที่จะเอาจะรับ

ถ้าเราสังเกตุดู ธรรมที่เป็นตัวตรงข้ามกับสิ่งที่เราต้องการ ก็คือตัวที่ไม่ต้องการมันยังอยู่นะครับ
ท่านอยากมากเท่าไร ไอ้ตัวที่ไม่ท่านไม่อยากได้ มันก็เพิ่มตามไปด้วย เพียงแต่ท่านยังไม่เห็นเพราะ
ท่านกำลังบังคับตัวอยากอยู่ แต่ถ้าท่านหมดกำลังบังคับ ไอ้ตัวที่ท่านไม่อยากมันก็จะแสดง
ออกมาให้ท่านเห็น มันเป็นสมดุลย์ของธรรมชาติหรือหลักของธรรมคู่

กิเลสไม่ว่ากุศลอกุศล มันก็มีอยู่ของมันตามธรรมชาติ มันอยู่ที่เราครับว่า
จะเข้าไปยุ่งไปวุ่นวายกับมันหรือเปล่า อาการที่เรียกว่าวุ่นวายก็คืออาการแบบท่านครับ
สิ่งที่ท่านทำ เขาไม่ได้เรียกกำจัดกิเลสครับ เขาเรียกความอยากครับ อยากได้สิ่งหนึ่ง
ไม่อยากได้อีกสิ่งที่ตรงข้าม นี่แหล่ะครับธรรมคู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร