วันเวลาปัจจุบัน 20 พ.ค. 2025, 21:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2011, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อปราโมทย์ : ทำอย่างไรจะเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ต้องดูให้เห็นว่าจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตเองก็เกิดดับได้นะ

วิธีดูจิตที่เกิดดับนี้ จิตไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน ดูมันตรงๆจะไม่เห็นอะไร เราต้องดูอ้อมๆ ดูผ่านสิ่งอื่นเข้ามา จิตไม่ได้เกิดลอยๆ จิตไม่ได้เกิดคนเดียว จิตต้องเกิดร่วมกับสิ่งอื่น จิตเกิดร่วมกับอะไร? จิตเกิดร่วมกับเจตสิก ความรู้สึกที่ประกอบจิต จิตเกิดร่วมกับกับอะไร? จิตเกิดร่วมกับอายตนะได้ เกิดที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจได้

เพราะฉะนั้นเราสังเกตความมีอยู่ ความเกิดดับของจิต ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไปของจิต สังเกตผ่านเจตสิก และสังเกตผ่านอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไปดูจิตตรงๆจะไม่มีให้เห็นเลย ไม่มีอะไรเลย ถ้าอยู่ๆเรานึกอยากดูจิต แล้วก็ดูปุ๊บลงไป เราจะเอาจิตไปดู เราไม่ได้ดูจิต ดูไม่ถึงจิตหรอก

หรือดูไปๆ ก็จะเห็นว่า ว่างๆ ยกตัวอย่างไปนั่งจ้องไว้อย่างนี้นะ นั่งจ้องไว้ ก็จะว่างๆ คิดว่าว่างๆเป็นจิต ว่างๆไม่ใช่จิต ว่างเป็นเจตสิก เป็นสังขารชนิดหนึ่ง ชื่อ “อากาสานัญจายตนะ” ไม่ใช่จิตหรอก

เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นจิตจริงๆ อย่าเที่ยวหาจิต หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อว่า “อย่าใช้จิตแสวงหาจิต อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ” สอนอย่างนี้นะ หาอีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ ไม่ต้องหามันนะ ให้เรียนรู้จากเจตสิก

ตอนที่หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์นะ ก็สอนอย่างนี้นะ หลวงปู่มั่นสอนหลวงปู่ดูลย์บอกว่า สัพเพ สังขารา เห็นไหมให้เรียนที่สังขารนะ “สัพเพ สังขารา สัพพะ สัญญา อนัตตา“* สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา ท่านสอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นหลวงปู่ดูลย์มาดูจิต เริ่มจากอะไร ดูสังขารนะ ไม่ใช่ดูจิต

จิตสุขก็รู้ จิตทุกข์ก็รู้ ความสุขเกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้น ทีแรกยังไม่รู้สึกว่าความสุขความทุกข์เกิดขึ้น แต่จะรู้สึกว่ามีเราสุขเราทุกข์นะ ต่อมาค่อยๆสังเกต อ๋อ จิตมันมีความสุขขึ้นมา จิตมันมีความทุกข์ขึ้นมา จิตมันโลภ จิตมันโกรธ จิตมันหลงขึ้นมา ถ้ายังดูไม่เป็นก็จะรู้สึกว่า จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง จิตสุข จิตทุกข์

ถ้าค่อยๆดูนะ สติปัญญาแก่กล้าขึ้น จะเห็นว่า จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความสุขความทุกข์ก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ส่วนหนึ่ง สามารถแยกเจตสิกออกจากจิตได้นะ เห็นไหม เราเรียนรู้จิต ผ่านการดูเจตสิกนะ แล้วสามารถแยกมันออกไปได้ ในที่สุดจะรู้ ว่าธรรมชาติรู้นี้ เป็นอย่างไร

ธรรมชาติรู้นี้ ไม่มีอะไร แต่เป็นแต่ธรรมชาติรู้ นี่ค่อยแยก แต่ว่าไม่ใช่เอาตัวนี้นะ ยังต้องเห็นว่าตัวนี้เองตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์อีกทีหนึ่ง ถ้ายังเห็นว่าตัวรู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิเลย มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งชื่อ หลวงปู่หล้า อยู่ภูจ้อก้อ ที่มุกดาหาร บอกว่าใครเห็นตัวผู้รู้เที่ยงนะ เป็นมิจฉาทิฎฐิ จิตเที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ สอนขนาดนี้นะ สอนตรงพระอภิธรรมเปี๊ยบเลย จิตก็เกิดดับ

เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นตัวผู้รู้แล้ว แยกเอาเจตสิกออกไปแล้ว จะเจอตัวผู้รู้นะ บางทีก็อาศัยการรู้ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ แล้วเห็นการเกิดดับของจิตได้นะ ค่อยๆฝึกไป หมดเวลาซะแล้ว เทศน์ยังไม่จบเลย วันนี้ เอ้า… พวกเรา ไปทานข้าว…

*หมายเหตุ เคยเห็นปรากฎในที่บางแห่งว่า “สัพเพสังขารา อนิจจา สัพพะสัญญา อนัตตา” – ผู้ถอดคลิปส์

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
แสดงธรรมเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓


ที่มาhttp://www.dhammada.net/page/9/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2011, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าค่อยๆดูนะ สติปัญญาแก่กล้าขึ้น จะเห็นว่า จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความสุขความทุกข์ก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ส่วนหนึ่ง สามารถแยกเจตสิกออกจากจิตได้นะ เห็นไหม เราเรียนรู้จิต ผ่านการดูเจตสิกนะ แล้วสามารถแยกมันออกไปได้ ในที่สุดจะรู้ ว่าธรรมชาติรู้นี้ เป็นอย่างไร


ลองนั่งสมาธิ แบบหลวงปู่ หลวงตาทั้งหลาย ซัก 3 ชั่วโมง(เวทนาเกิดแน่นอน) ลองอยู่กับเวทนาดูซิครับ อยากรู้ว่าพอสติปัญญาที่คิดว่าแก่กล้าแล้วนั้น สามารถแยกทุกข์เวทนาได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่แค่มาคิดว่าอันนี้ จิต อันนี้ เจตสิก แต่พอเจอของจริงเข้าเกียร์รีเวิร์ดทุกที เอาเฉพาะชิวๆ
เตือนด้วยความหวังดีนะครับท่านทั้งหลาย เผื่อเจอของจริงตอนเจ็บตอนตาย จะได้รับมือได้นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2011, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ไตรลักษณ์ในเวทนาปวดก็ยากเอาการเหมือนกันนะ ถึงเหนมันปวดแล้วก้หายปวดไปได้
ยิ่งนั่งท่าขัดสมาธิเพชรนั่งปวดจนน้ำตาร่วงได้เลย สุดยอดของทุกเวทนาจริงๆ :b30: :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2011, 06:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าค่อยๆดูนะ สติปัญญาแก่กล้าขึ้น จะเห็นว่า จิตก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความสุขความทุกข์ก็อยู่ส่วนหนึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ส่วนหนึ่ง สามารถแยกเจตสิกออกจากจิตได้นะ เห็นไหม เราเรียนรู้จิต ผ่านการดูเจตสิกนะ แล้วสามารถแยกมันออกไปได้ ในที่สุดจะรู้ ว่าธรรมชาติรู้นี้ เป็นอย่างไร


ลองนั่งสมาธิ แบบหลวงปู่ หลวงตาทั้งหลาย ซัก 3 ชั่วโมง(เวทนาเกิดแน่นอน) ลองอยู่กับเวทนาดูซิครับ อยากรู้ว่าพอสติปัญญาที่คิดว่าแก่กล้าแล้วนั้น สามารถแยกทุกข์เวทนาได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่แค่มาคิดว่าอันนี้ จิต อันนี้ เจตสิก แต่พอเจอของจริงเข้าเกียร์รีเวิร์ดทุกที เอาเฉพาะชิวๆ
เตือนด้วยความหวังดีนะครับท่านทั้งหลาย เผื่อเจอของจริงตอนเจ็บตอนตาย จะได้รับมือได้นะครับ

ท่านอายะครับ รบกวนช่วยอธิบาย ประโยคที่ว่า "เผื่อเจอของจริงตอนเจ็บตอนตาย จะได้รับมือได้นะครับ"

เราจะรับมืออะไร และอย่างไรครับ
สนทนาเพื่อความรู้ครับ ไม่ได้ชวนทะเลาะนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 20:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
รบกวนช่วยอธิบาย ประโยคที่ว่า "เผื่อเจอของจริงตอนเจ็บตอนตาย จะได้รับมือได้นะครับ"


สมมุติ เป็นมะเร็งกระดูกนะครับ เจ็บปวดทรมานต้องให้มอฟีนทุก 4 ชม.
ถ้าระดับนี้ผมจัดว่าเป็นเวทนาขั้นเทพ ปวด ทรมาน แบบสุโค่ย
เมื่อกายทรมาน ใจก็เลยทรมานตาม กายก็เลยยิ่งทรมาน ขึ้นไปอีก
หากทำสมาธิได้ความทรมานก็จะลดลง หรืออยู่กับมันได้
หากฝึกเจริญสติจนสติมั่นนั้นไซร้ สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้
มันก็ไม่ทรมาน
หากตอนจะตาย น้อยคนนักที่ก่อนตายจะรู้สึกชิวๆ
เมื่อกายทรมานทุรนทุราย กุศลจิตคงเกิดบ่ได้ หรือเกิดได้ยากมากมาย
คงได้อบายภูมิเป็นที่หวัง หรือปล่อยให้ตายตามยถากรรม
มารู้ตัวอีกทีก็อาจจะสงสัย ว่าทำไมโสดาบันที่มีคนเคยบอกไว้ถึงได้มาเกิดเป็นตุ๊กแก
อับแอๆ อับแอๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2011, 23:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้ใดเห็นว่าจิตผู้รู้เที่ยง เป็นมิจฉาทิฎฐิ


ผู้ใด..ไม่เคยเห็นจิตผู้รู้..แล้วคิดว่า..ผู้รู้ไม่เที่ยง...เป็นมิจฉาสังกัปปะ
:b13: :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2011, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
รบกวนช่วยอธิบาย ประโยคที่ว่า "เผื่อเจอของจริงตอนเจ็บตอนตาย จะได้รับมือได้นะครับ"


สมมุติ เป็นมะเร็งกระดูกนะครับ เจ็บปวดทรมานต้องให้มอฟีนทุก 4 ชม.
ถ้าระดับนี้ผมจัดว่าเป็นเวทนาขั้นเทพ ปวด ทรมาน แบบสุโค่ย
เมื่อกายทรมาน ใจก็เลยทรมานตาม กายก็เลยยิ่งทรมาน ขึ้นไปอีก
หากทำสมาธิได้ความทรมานก็จะลดลง หรืออยู่กับมันได้
หากฝึกเจริญสติจนสติมั่นนั้นไซร้ สามารถแยกกายกับจิตออกจากกันได้
มันก็ไม่ทรมาน

เรื่องอยู่กับมะเร็งหรือโรคร้ายได้ ผมก็เห็นคนที่ทำสมาธิไม่เป็น ไม่จักการทำกรรมฐาน
เขาก็อยู่กับโรคร้ายตั้งหลายปีกว่าจะตาย ถ้าอยู่ไม่ได้คงฆ่าตัวตายไปแล้ว
ผมเห็นพระดังๆทำสมาธิเก่งๆ พอเวลาไม่สบายยังไปหาหมอ
ยังต้องกินยาอยู่เลยทั้งๆที่รู้ว่ารักษาไม่หาย
ผมถามท่านครับว่า ถ้าให้ท่านเลือก ฉีดมอร์ฟีนกับทำสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง
ท่านจะเลือกทำสมาธิอย่างเดียวหรือครับ

ผมจะบอกให้ครับ ที่เขาทำสมาธิเขาทำตอนอาการปวดบรรเทาลงหรือยังไม่มีอาการครับ
แล้วทำสมาธิเพื่อ ระงับความฟุ้งซ่านอันเกิดจากความกลัว ที่รู้ว่าต้องตายหรือทรมาณไม่ใช่
ระงับความเจ็บปวด


อายะ เขียน:
หากตอนจะตาย น้อยคนนักที่ก่อนตายจะรู้สึกชิวๆ
เมื่อกายทรมานทุรนทุราย กุศลจิตคงเกิดบ่ได้ หรือเกิดได้ยากมากมาย
คงได้อบายภูมิเป็นที่หวัง หรือปล่อยให้ตายตามยถากรรม
มารู้ตัวอีกทีก็อาจจะสงสัย ว่าทำไมโสดาบันที่มีคนเคยบอกไว้ถึงได้มาเกิดเป็นตุ๊กแก
อับแอๆ อับแอๆ

บุญหรือบาปไม่ใช่ กรรมเป็นผู้กำหนดหรือครับ
กรรมที่ทำมาชั่วชีวิต มากำหนดแค่ตอนที่จะตายนี้หรือครับ

ถามท่านหน่อยการแยกกายแยกจิตที่ว่าเป็นอย่างไรหรือครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2011, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เรื่องอยู่กับมะเร็งหรือโรคร้ายได้ ผมก็เห็นคนที่ทำสมาธิไม่เป็น ไม่จักการทำกรรมฐาน
เขาก็อยู่กับโรคร้ายตั้งหลายปีกว่าจะตาย ถ้าอยู่ไม่ได้คงฆ่าตัวตายไปแล้ว
ผมเห็นพระดังๆทำสมาธิเก่งๆ พอเวลาไม่สบายยังไปหาหมอ
ยังต้องกินยาอยู่เลยทั้งๆที่รู้ว่ารักษาไม่หาย
ผมถามท่านครับว่า ถ้าให้ท่านเลือก ฉีดมอร์ฟีนกับทำสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง
ท่านจะเลือกทำสมาธิอย่างเดียวหรือครับ
ผมจะบอกให้ครับ ที่เขาทำสมาธิเขาทำตอนอาการปวดบรรเทาลงหรือยังไม่มีอาการครับ
แล้วทำสมาธิเพื่อ ระงับความฟุ้งซ่านอันเกิดจากความกลัว ที่รู้ว่าต้องตายหรือทรมาณไม่ใช่
ระงับความเจ็บปวด


นั่นก็เป็นความเห็นท่านครับ ผมคงไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ครับ
อันเวทนาทางกายจากโรคร้ายต่างๆ นั้น ทางกายก็ต้องรักษาไปตามเหตุปัจจัยมิได้ห้ามให้ไปหาหมอ
แต่ส่วนมากเมื่อเวทนาทางกายเกิด ก็มักจะรุกลามมาที่ใจด้วย เช่น ตอนเป็นไข้ ตัวร้อน
เป็นไข้ก็ต้องกินยาบรรเทา แต่ตอนที่ยังไม่หายนี่ซิ ใจมั่นห่อเหี่ยวหลายๆ
สมาธิ หรือการเจริญสติ นี่แหละจะช่วยบรรเทาไม่ให้เวทนาทางกายเลยเถิดมาเกิดทางใจไปด้วย
แต่ถ้าหากทำสมาธิได้ดีขนาด แทนที่จะรู้สึกทรมานกลับรู้สึกเป็นสุข แม้ไข้ขึ้นสูงมากแต่ใจก็ไม่เศร้าหมองทรมาน


อ้างคำพูด:
ที่เขาทำสมาธิเขาทำตอนอาการปวดบรรเทาลงหรือยังไม่มีอาการครับ


ก็ฝึกไว้ก่อนซิครับ อย่าไปฝึกตอนเป็นหรือใกล้ตาย พอถึงเวลาแล้วจะได้รับมือไหวครับ ไม่ขาดสติ กระวนกระวาย


อ้างคำพูด:
บุญหรือบาปไม่ใช่ กรรมเป็นผู้กำหนดหรือครับ
กรรมที่ทำมาชั่วชีวิต มากำหนดแค่ตอนที่จะตายนี้หรือครับ


แล้วท่านรู้หรือครับตั้งแต่ชาติแรกที่ท่านเกิด จนถึงชาติปัจจุบัน ท่านทำกรรมอะไรมาบ้าง
แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหนกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมจะส่งผล
ถ้าไม่เจริญสติ หรือทำสมาธิป้องกันไว้ก่อน


อ้างคำพูด:
ถามท่านหน่อยการแยกกายแยกจิตที่ว่าเป็นอย่างไรหรือครับ


ผมมักมีอาการปวดหัวไมเกรน เป็นประจำ แบบรุนแรง หนักหน่วง ผมมีวิธีจัดการกับเวทนานี้ 2 วิธีคือ
1. ถ้าอยู่บ้าน หรือเวลาว่างๆ ไม่ได้ทำงาน ทำสมถะ เจริญเมตตาภาวนา ทำไปซักพักความรู้สึกทางกายจะน้อยลง กายจะเบาจิตจะเบา ความรู้สึกปวดจะน้อยลงเรื่อยๆ ทำไปซักพักไม่เกิน 2 ชม ก็หาย
2. ถ้าร่างกายอ่อนเพลียไม่สามารถเข้าสมาธิลึกๆ ได้ ก็ใช้การกำหนดสติ โดยกำหนดไปที่จุดปวด ไปตัดวัฎจักรจิตที่เอาความปวดทางกายมาปรุงแต่ง หากกำหนดทำไปซักพักจะรู้จุดเล็กๆที่เป็นต้นตอการปวด ก็ดูจุดนั้นต่อไป เมื่อถึงจุดนี้ความทรมานจะหายไป เหลือเฉพาะความปวด เหมือนกับดูคนอื่นปวด ก็อยู่กับเวทนาได้อย่าง
ชิวๆ

วิธีการทั้งสองมานี้สามารถสังเกตุเห็นได้จากการทำสมาธิภาวนา จะให้ชัดลองนั่งซัก 3 ชม. จะเกิดเวทนา แน่นอน เช่น ปวดขา ปวดหลัง รู้สึกแสบร้อน คัน หากเกิดแล้วส่วนมากมักใส่เกียร์ถอยหลังซะก่อน ไปเจริญสติในชีวิตประจำวันดีก่าไม่ปวดขาดี เห็นจิตเกิดดับด้วย แล้วค่อยมาตีความจากคำเทศน์ของหลวงปู่ทั้งหลายว่า จิตผู้รู้เที่ยงหรือไม่เที่ยง เพราะว่าอ่านหนังสือมันไม่ทรมานดีมั้ง แล้วก็เอาไปเทศน์ ให้พวกหนีเวทนาเหมือนกัน พอฟังแล้วก็เกิดอินเลิฟกันขึ้นมา เขาถึงว่า ความรักทำให้คนตาปอด :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2011, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
เรื่องอยู่กับมะเร็งหรือโรคร้ายได้ ผมก็เห็นคนที่ทำสมาธิไม่เป็น ไม่จักการทำกรรมฐาน
เขาก็อยู่กับโรคร้ายตั้งหลายปีกว่าจะตาย ถ้าอยู่ไม่ได้คงฆ่าตัวตายไปแล้ว
ผมเห็นพระดังๆทำสมาธิเก่งๆ พอเวลาไม่สบายยังไปหาหมอ
ยังต้องกินยาอยู่เลยทั้งๆที่รู้ว่ารักษาไม่หาย
ผมถามท่านครับว่า ถ้าให้ท่านเลือก ฉีดมอร์ฟีนกับทำสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง
ท่านจะเลือกทำสมาธิอย่างเดียวหรือครับ
ผมจะบอกให้ครับ ที่เขาทำสมาธิเขาทำตอนอาการปวดบรรเทาลงหรือยังไม่มีอาการครับ
แล้วทำสมาธิเพื่อ ระงับความฟุ้งซ่านอันเกิดจากความกลัว ที่รู้ว่าต้องตายหรือทรมาณไม่ใช่
ระงับความเจ็บปวด


นั่นก็เป็นความเห็นท่านครับ ผมคงไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ครับ
อันเวทนาทางกายจากโรคร้ายต่างๆ นั้น ทางกายก็ต้องรักษาไปตามเหตุปัจจัยมิได้ห้ามให้ไปหาหมอ
แต่ส่วนมากเมื่อเวทนาทางกายเกิด ก็มักจะรุกลามมาที่ใจด้วย เช่น ตอนเป็นไข้ ตัวร้อน
เป็นไข้ก็ต้องกินยาบรรเทา แต่ตอนที่ยังไม่หายนี่ซิ ใจมั่นห่อเหี่ยวหลายๆ
สมาธิ หรือการเจริญสติ นี่แหละจะช่วยบรรเทาไม่ให้เวทนาทางกายเลยเถิดมาเกิดทางใจไปด้วย
แต่ถ้าหากทำสมาธิได้ดีขนาด แทนที่จะรู้สึกทรมานกลับรู้สึกเป็นสุข แม้ไข้ขึ้นสูงมากแต่ใจก็ไม่เศร้าหมองทรมาน

อ้าว! ผมเห็นท่านบอกว่า ต้องทำสมาธิให้ได้ถึงจะอยู่กับโรคร้ายได้
ผมก็บอกว่า คนทำสมาธิไม่เป็นเขาก็อยู่กันได้
คำพูดของท่านมันเหมือนกับจะบอกว่า ทำสมาธิช่วยให้หายปวด หายทรมาณ
ผมก็แย้งไปว่า การทำสมาธิช่วยบรรเทา ความฟุ้งซ่านทางใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้หายปวด
หายทรมาณ ความปวดจากโรคต้องกินยา

อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ที่เขาทำสมาธิเขาทำตอนอาการปวดบรรเทาลงหรือยังไม่มีอาการครับ


ก็ฝึกไว้ก่อนซิครับ อย่าไปฝึกตอนเป็นหรือใกล้ตาย พอถึงเวลาแล้วจะได้รับมือไหวครับ ไม่ขาดสติ กระวนกระวาย

อันนี้สงสัยท่านจะเข้าใจความหมายผมผิด ผมหมายถึงคนที่ทำสมาธิเก่งๆ เวลาปวดมะเร็งกระดูก
ผมว่า คงทำสมาธิไม่ไหวหรอกครับ มันต้องอาศัยยาหรือมอร์ฟีน
เมื่ออาการบรรเทา จึงทำสมาธิต่อ เพื่อระงับความฟุ้งซ่านจากอาการหรือความกลัว อันเป็นผลที่จะได้รับ
ความเจ็บปวดในคราวต่อไป
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
บุญหรือบาปไม่ใช่ กรรมเป็นผู้กำหนดหรือครับ
กรรมที่ทำมาชั่วชีวิต มากำหนดแค่ตอนที่จะตายนี้หรือครับ

แล้วท่านรู้หรือครับตั้งแต่ชาติแรกที่ท่านเกิด จนถึงชาติปัจจุบัน ท่านทำกรรมอะไรมาบ้าง
แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหนกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมจะส่งผล
ถ้าไม่เจริญสติ หรือทำสมาธิป้องกันไว้ก่อน

ถ้าเรายยึดตามกฎแห่งกรรม ไม่ว่าบุญหรือบาป เราต้องชดใช้
สมมุตินะครับ ถ้าเรามีสติและทำกุศลมาทั้งชีวิต เพียงแค่เราได้รับ
ความเจ็บปวดจนขาดสติ เมื่อตายลงโดยฉับพลัน มันถึงกับทำให้เราลงอบายเลยหรือครับ
ถ้าเป็นแบบนี้กฎแห่งกรรมก็ใช่ไม่ได้ซิครับ
ผมขอถามหน่อย คำว่าอบายของท่านหมายถึงอะไรครับ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ถามท่านหน่อยการแยกกายแยกจิตที่ว่าเป็นอย่างไรหรือครับ


ผมมักมีอาการปวดหัวไมเกรน เป็นประจำ แบบรุนแรง หนักหน่วง ผมมีวิธีจัดการกับเวทนานี้ 2 วิธีคือ
1. ถ้าอยู่บ้าน หรือเวลาว่างๆ ไม่ได้ทำงาน ทำสมถะ เจริญเมตตาภาวนา ทำไปซักพักความรู้สึกทางกายจะน้อยลง กายจะเบาจิตจะเบา ความรู้สึกปวดจะน้อยลงเรื่อยๆ ทำไปซักพักไม่เกิน 2 ชม ก็หาย
2. ถ้าร่างกายอ่อนเพลียไม่สามารถเข้าสมาธิลึกๆ ได้ ก็ใช้การกำหนดสติ โดยกำหนดไปที่จุดปวด ไปตัดวัฎจักรจิตที่เอาความปวดทางกายมาปรุงแต่ง หากกำหนดทำไปซักพักจะรู้จุดเล็กๆที่เป็นต้นตอการปวด ก็ดูจุดนั้นต่อไป เมื่อถึงจุดนี้ความทรมานจะหายไป เหลือเฉพาะความปวด เหมือนกับดูคนอื่นปวด ก็อยู่กับเวทนาได้อย่าง
ชิวๆ

อันนี้ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยครับ โรคนี้นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว การไม่เครียด
ก็เป็นวิธีรักษาหรือบรรเทาอาการอย่างหนึ่ง และการทำสมาธิก็คือการทำให้สมองไม่ได้รับความเครียด
มันไม่เกี่ยวกับการแยกกาย ดูจิตอะไรเลยครับ
อายะ เขียน:
วิธีการทั้งสองมานี้สามารถสังเกตุเห็นได้จากการทำสมาธิภาวนา จะให้ชัดลองนั่งซัก 3 ชม. จะเกิดเวทนา แน่นอน เช่น ปวดขา ปวดหลัง รู้สึกแสบร้อน คัน หากเกิดแล้วส่วนมากมักใส่เกียร์ถอยหลังซะก่อน ไปเจริญสติในชีวิตประจำวันดีก่าไม่ปวดขาดี เห็นจิตเกิดดับด้วย แล้วค่อยมาตีความจากคำเทศน์ของหลวงปู่ทั้งหลายว่า จิตผู้รู้เที่ยงหรือไม่เที่ยง เพราะว่าอ่านหนังสือมันไม่ทรมานดีมั้ง แล้วก็เอาไปเทศน์ ให้พวกหนีเวทนาเหมือนกัน พอฟังแล้วก็เกิดอินเลิฟกันขึ้นมา เขาถึงว่า ความรักทำให้คนตาปอด

ผมถึงชวนท่านสนทนาไง ไอ้เวทนาที่ตนเองไปบังคับมัน ไปสร้างมันขึ้นมาเอง
กับเวทนาที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ หรือตามวัฏสงสาร มันคนละเรื่องครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อ้าว! ผมเห็นท่านบอกว่า ต้องทำสมาธิให้ได้ถึงจะอยู่กับโรคร้ายได้
ผมก็บอกว่า คนทำสมาธิไม่เป็นเขาก็อยู่กันได้
คำพูดของท่านมันเหมือนกับจะบอกว่า ทำสมาธิช่วยให้หายปวด หายทรมาณ
ผมก็แย้งไปว่า การทำสมาธิช่วยบรรเทา ความฟุ้งซ่านทางใจ แต่ไม่ได้ช่วยให้หายปวด
หายทรมาณ ความปวดจากโรคต้องกินยา

อันแล้วแต่ท่านละครับ เพราะได้อธิบายไปแล้ว

อ้างคำพูด:
เพื่อระงับความฟุ้งซ่านจากอาการหรือความกลัว อันเป็นผลที่จะได้รับ
ความเจ็บปวดในคราวต่อไป


จะเอาแค่นี้ก็ได้ ขอให้ทำให้ได้ละกันครับ

อ้างคำพูด:
ถ้าเรายยึดตามกฎแห่งกรรม ไม่ว่าบุญหรือบาป เราต้องชดใช้
สมมุตินะครับ ถ้าเรามีสติและทำกุศลมาทั้งชีวิต เพียงแค่เราได้รับ
ความเจ็บปวดจนขาดสติ เมื่อตายลงโดยฉับพลัน มันถึงกับทำให้เราลงอบายเลยหรือครับ
ถ้าเป็นแบบนี้กฎแห่งกรรมก็ใช่ไม่ได้ซิครับ
ผมขอถามหน่อย

ถ้ากฏแห่งกรรมมีแค่ชาตินี้ชาติเดียว ก็คงจะถูกอย่างที่ท่านกล่าว
แล้วชาตินี้ทำแต่กุศลอย่างเดียวเลยเหรอ


อ้างคำพูด:
คำว่าอบายของท่านหมายถึงอะไรครับ

ไม่ตอบ ไม่อยากเปิดประเด็นเพิ่ม

อ้างคำพูด:
อันนี้ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยครับ โรคนี้นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว การไม่เครียด
ก็เป็นวิธีรักษาหรือบรรเทาอาการอย่างหนึ่ง และการทำสมาธิก็คือการทำให้สมองไม่ได้รับความเครียด
มันไม่เกี่ยวกับการแยกกาย ดูจิตอะไรเลยครับ


ความเครียดเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ สำหรับผมไม่ได้เกิดจากความเครียด
หลวงปู่แหวนเข้าฌาณ 3 วัน จนมาลาเลียหาย พวกกินยาตายเรียบ

อ้างคำพูด:
ผมถึงชวนท่านสนทนาไง ไอ้เวทนาที่ตนเองไปบังคับมัน ไปสร้างมันขึ้นมาเอง
กับเวทนาที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ หรือตามวัฏสงสาร มันคนละเรื่องครับ


อย่างนั้นหลวงตามหาบัวนั่งจนก้นแตก หลวงพ่อมิซูโอะนั่งจนเวทนาหายแล้วเกิด เกิดแล้วหาย
มันก็บังคับบัญชาให้เวทนาเกิดอย่างนั้นซิครับ เวทนาไม่มีใครไปบังคับมันได้หรอกคับ เพียงแต่เกิดแล้วจะทำอย่างไรกับมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
[
อ้างคำพูด:
ถ้าเรายยึดตามกฎแห่งกรรม ไม่ว่าบุญหรือบาป เราต้องชดใช้
สมมุตินะครับ ถ้าเรามีสติและทำกุศลมาทั้งชีวิต เพียงแค่เราได้รับ
ความเจ็บปวดจนขาดสติ เมื่อตายลงโดยฉับพลัน มันถึงกับทำให้เราลงอบายเลยหรือครับ
ถ้าเป็นแบบนี้กฎแห่งกรรมก็ใช่ไม่ได้ซิครับ
ผมขอถามหน่อย

ถ้ากฏแห่งกรรมมีแค่ชาตินี้ชาติเดียว ก็คงจะถูกอย่างที่ท่านกล่าว
แล้วชาตินี้ทำแต่กุศลอย่างเดียวเลยเหรอ

ใช่ไงครับ เราไม่ได้ทำกุศลอย่างเดียวและก็ไม่ได้ทำอกุศลอย่างเดียวเช่นกัน
สิ่งที่สำคัญมันต้องชดใช้หรือได้รับผลของการกระทำนั้นๆครับ
กรรมหนัก กรรมเบา ทำมาเช่นไรก็ต้องรับ มันแล้วแต่ว่าจะได้รับอันไหนก่อน
เคยทำกรรมชนิดที่ลงอบายมันก็ต้องลงอบาย

มันไม่ใช่ว่าทำกรรมชั่วชนิดที่ต้องลงอบายมา แต่พอมามีสติตอนใกล้ตายแล้ว
จะไม่ต้องลงอบาย
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อันนี้ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยครับ โรคนี้นอกจากรักษาด้วยยาแล้ว การไม่เครียด
ก็เป็นวิธีรักษาหรือบรรเทาอาการอย่างหนึ่ง และการทำสมาธิก็คือการทำให้สมองไม่ได้รับความเครียด
มันไม่เกี่ยวกับการแยกกาย ดูจิตอะไรเลยครับ

ความเครียดเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งของโรคนี้ สำหรับผมไม่ได้เกิดจากความเครียด
หลวงปู่แหวนเข้าฌาณ 3 วัน จนมาลาเลียหาย พวกกินยาตายเรียบ

เช่นกันครับ การทำสมาธิไม่ให้เครียดมันก็เป็นเพียง การรักษาวิธีหนึ่งของแพทย์
การรักษาของแพทย์มีหลายวิธีครับ ผมถึงบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก

ส่วนเรื่องของหลวงปู่ ผมขอผ่านครับ พูดมากเดียวเข้าตัวเองไม่คุ้มครับ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมถึงชวนท่านสนทนาไง ไอ้เวทนาที่ตนเองไปบังคับมัน ไปสร้างมันขึ้นมาเอง
กับเวทนาที่มันเป็นไปตามธรรมชาติ หรือตามวัฏสงสาร มันคนละเรื่องครับ


อย่างนั้นหลวงตามหาบัวนั่งจนก้นแตก หลวงพ่อมิซูโอะนั่งจนเวทนาหายแล้วเกิด เกิดแล้วหาย
มันก็บังคับบัญชาให้เวทนาเกิดอย่างนั้นซิครับ เวทนาไม่มีใครไปบังคับมันได้หรอกคับ เพียงแต่เกิดแล้วจะทำอย่างไรกับมัน

คนเราถ้ารู้อยู่ก่อนแล้วว่า ถ้ากระทำอะไรแล้วผลที่ตามมาจะมีอะไร นั้นและครับคือการบังคับ
การมานั่งเพื่อให้เกิดเวทนา เพื่อจะดูให้เวทนาหายไป ผมไม่ทราบว่าจะทำไปทำไม ก็ในเมื่อ
บังคับกายให้ทำเวทนาเอง ถ้าไม่อยากมีเวทนาหรือให้มันหายก็อย่าทำหรือเลิกทำก็หมดเรื่อง

เวทนาที่บังคับไม่ได้ก็คือเวทนาที่เกิดจากโรคภัย หรือเกิดจากการกระทำของคนอื่นต่อเราครับ
ผมขอถามท่านอายะครับว่า เวทนาที่ท่านกล่าวที่ท่านทำ ท่านต้องการทำกรรมฐานตัวไหนครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มันแล้วแต่ว่าจะได้รับอันไหนก่อน
เคยทำกรรมชนิดที่ลงอบายมันก็ต้องลงอบาย



ถ้าทำกุศลให้มากพอ อกุศลกรรมอาจส่งผลทีหลัง หรืออาจไม่มีโอกาสส่งผลเป็นอโหสิกรรมไป
แต่ถ้าท่านจะเชื่ออย่างเดิมผมก็ไม่ขัดข้องครับ

อ้างคำพูด:
ผมไม่ทราบว่าจะทำไปทำไม ก็ในเมื่อ
บังคับกายให้ทำเวทนาเอง ถ้าไม่อยากมีเวทนา
หรือให้มันหายก็อย่าทำหรือเลิกทำก็หมดเรื่อง


อันนี้คิดเอง หรือจำใน CD มาครับ

อ้างคำพูด:
เวทนาที่บังคับไม่ได้ก็คือเวทนาที่เกิดจากโรคภัย
หรือเกิดจากการกระทำของคนอื่นต่อเราครับ

ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอลุ้นเอาถ้ามันเกิดจริงจะทำอย่างไรดี

อ้างคำพูด:
เวทนาที่ท่านกล่าวที่ท่านทำ ท่านต้องการทำกรรมฐานตัวไหนครับ?

ถามทำไมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมไม่ทราบว่าจะทำไปทำไม ก็ในเมื่อ
บังคับกายให้ทำเวทนาเอง ถ้าไม่อยากมีเวทนา
หรือให้มันหายก็อย่าทำหรือเลิกทำก็หมดเรื่อง


อันนี้คิดเอง หรือจำใน CD มาครับ

อันนี้ผมคิดเอาเองครับ จำมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว เรียนตอนพระพุทธเจ้า
ทรงทรมาณตัวเองเพื่อบรรลุ แต่ก็ทรงล้มเลิกเพราะเห็นว่าไม่ใช่หนทางทาง
ผมบอกว่าผมคิดเองท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อวิธีของผมนะ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
เวทนาที่บังคับไม่ได้ก็คือเวทนาที่เกิดจากโรคภัย
หรือเกิดจากการกระทำของคนอื่นต่อเราครับ

ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอลุ้นเอาถ้ามันเกิดจริงจะทำอย่างไรดี

ไม่ต้องลุ้นหรอกครับ ผมเคยทำกรรมฐานกับโรคที่มีอาการปวดเล็กน้อย
มันบรรเทาได้ครับ อย่างมีดบาด ค้อนทุบนิ้ว แบบนี้พอไหวครับ
แต่มะเร็งยังไม่เคยลอง เพราะยังไม่ได้เป็นครับ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
เวทนาที่ท่านกล่าวที่ท่านทำ ท่านต้องการทำกรรมฐานตัวไหนครับ?

ถามทำไมครับ

ที่ถามเพราะเรื่องของเวทนากับกรรมฐาน มันทำได้ทั้งสองแบบครับ
เห็นท่านบอกว่า ปวดไมเกรนนั่งดูเวทนาอาการปวดไมเกรนก็หาย
ผมบอกไม่เครียดก็หายปวด ท่านบอกไม่ใช่ผมเลยงงครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อันนี้ผมคิดเอาเองครับ จำมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว เรียนตอนพระพุทธเจ้า
ทรงทรมาณตัวเองเพื่อบรรลุ



จำมาจากในโรงเรียนหรือคับ
ครูเขาก็สอนไปตามหนังสือนะครับ กระทรวงเขาเขียนอย่างไรก็สอนไปตามนั้น
ส่วนมากเขาให้จำปี พ.ศ. นะครับ ถ้าใครจำปี พ.ศ. ได้ก็ได้ เอ ไป


อ้างคำพูด:
แต่ก็ทรงล้มเลิกเพราะเห็นว่าไม่ใช่หนทางทาง
ผมบอกว่าผมคิดเองท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อวิธีของผมนะ

นั่นซินะครับ แล้วหนทางมันคืออะไรหนอ ดูจิตแว๊บๆ เหรอครับ
มันเกี่ยวยังไงกับที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

อ้างคำพูด:
ไม่ต้องลุ้นหรอกครับ ผมเคยทำกรรมฐานกับโรคที่มีอาการปวดเล็กน้อย
มันบรรเทาได้ครับ อย่างมีดบาด ค้อนทุบนิ้ว แบบนี้พอไหวครับ
แต่มะเร็งยังไม่เคยลอง เพราะยังไม่ได้เป็นครับ


ที่ยกตัวอย่างมาความปวดมัีนเป็นแค่ไมโครวินาทีเท่านั้น
คือมันปวดแล้วมันก็ค่อยๆ จางลงไป มันบรรเทาโดยสภาวะของมันเอง
ไม่น่าจะใช่การบรรเทาเพราะตามดูจิต จิงปะคับ
ลองแบบปวดแช่ซิครับ เช่นตอนเป็นไข้หนักๆ ลองดูซิคับการดูจิตแว๊บ มันจะเวิร์กไหมคับ


อ้างคำพูด:
ผมบอกไม่เครียดก็หายปวด ท่านบอกไม่ใช่ผมเลยงงครับ

สาเหตุการปวดของผมไม่ได้มาจากความเครียด

สาเหตุของไมเกรนเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด ร่างกายอ่อนแอ ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยน นอนน้อย นอนมาก อุณหภูมิเปลี่ยน ความชื้นเปลี่ยน ความกดอากาศเปลี่ยน อยู่แสงจ้า ฯลฯ แล้วก็กรรม

อ้างคำพูด:
ที่ถามเพราะเรื่องของเวทนากับกรรมฐาน มันทำได้ทั้งสองแบบครับ
เห็นท่านบอกว่า ปวดไมเกรนนั่งดูเวทนาอาการปวดไมเกรนก็หาย


ไหนๆ ก็ย้วยมาแล้วเล่าให้ฟังบ้างซิครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2011, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
อันนี้ผมคิดเอาเองครับ จำมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว เรียนตอนพระพุทธเจ้า
ทรงทรมาณตัวเองเพื่อบรรลุ

จำมาจากในโรงเรียนหรือคับ
ครูเขาก็สอนไปตามหนังสือนะครับ กระทรวงเขาเขียนอย่างไรก็สอนไปตามนั้น
ส่วนมากเขาให้จำปี พ.ศ. นะครับ ถ้าใครจำปี พ.ศ. ได้ก็ได้ เอ ไป

แต่ที่รู้ๆเนื้อหาแบบนี้มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกนะครับ
แล้วเขาไม่ได้ถามหรือสอนให้จำเรื่องพ.ศ.ครับ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีพ.ศ.
พุทธศักราชมีหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว

อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
แต่ก็ทรงล้มเลิกเพราะเห็นว่าไม่ใช่หนทางทาง
ผมบอกว่าผมคิดเองท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อวิธีของผมนะ

นั่นซินะครับ แล้วหนทางมันคืออะไรหนอ ดูจิตแว๊บๆ เหรอครับ
มันเกี่ยวยังไงกับที่พระพุทธองค์ตรัสรู้

ตามความเห็นผม ไอ้ดูจิตแว๊บๆนี่อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ มันต้องใช้เวลาครับ
รอดูว่านาที่หนึ่งได้ซักหลายแว๊บ ก็พอเข้าเค้าแล้วล่ะครับ
ที่ถามว่าเกี่ยวอะไรกับที่พระองค์ตรัสรู้ แท้จริงมันเกี่ยวกับที่พระองค์ไม่ตรัสรู้ครับ
ที่แน่ๆวิธีการนั่งทรมาณตัวเอง ไม่ใช่หนทางตรัสรู้ครับ ตามอย่างเปี๊ยบเลย
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ไม่ต้องลุ้นหรอกครับ ผมเคยทำกรรมฐานกับโรคที่มีอาการปวดเล็กน้อย
มันบรรเทาได้ครับ อย่างมีดบาด ค้อนทุบนิ้ว แบบนี้พอไหวครับ
แต่มะเร็งยังไม่เคยลอง เพราะยังไม่ได้เป็นครับ

ที่ยกตัวอย่างมาความปวดมัีนเป็นแค่ไมโครวินาทีเท่านั้น
คือมันปวดแล้วมันก็ค่อยๆ จางลงไป มันบรรเทาโดยสภาวะของมันเอง
ไม่น่าจะใช่การบรรเทาเพราะตามดูจิต จิงปะคับ
ลองแบบปวดแช่ซิครับ เช่นตอนเป็นไข้หนักๆ ลองดูซิคับการดูจิตแว๊บ มันจะเวิร์กไหมคับ

มันตรงกับสิ่งที่ผมพูดไว้ตอนแรกหรือเปล่าว่า การนั่งสมาธิไม่เกี่ยวกับอาการปวดของโรค
เขานั่งเพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เพราะกลัวความปวดที่จะได้รับเมื่ออาการกำเริบมาอีก

แล้วผมบอกท่านหรือว่า วิธีการดูจิตของคนที่ท่านกล่าวถึง มันช่วยได้ในเรื่องนี้
หรือว่าท่านฟังมาจากcdครับ
อายะ เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมบอกไม่เครียดก็หายปวด ท่านบอกไม่ใช่ผมเลยงงครับ

สาเหตุการปวดของผมไม่ได้มาจากความเครียด

สาเหตุของไมเกรนเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด ร่างกายอ่อนแอ ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยน นอนน้อย นอนมาก อุณหภูมิเปลี่ยน ความชื้นเปลี่ยน ความกดอากาศเปลี่ยน อยู่แสงจ้า ฯลฯ แล้วก็กรรม

อ้าว!ก็ท่านบอกเองว่า ท่านเป็นไมเกรนการนั่งสมาธิของท่านช่วยได้
ผมก็วินิจฉัยโรคหรือจะเรียกทักวาระจิตท่านก็ได้ว่า ท่านเครียด เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมอง
การนั่งสมาธิเป็นการลดการทำงานของสมองลดความเครียด ในตำราแพทย์ก็มี

ผมจะบอกให้ครับ ไอ้อาการครอบจักวาลที่ท่านบอกมา แท้จริงแล้วมันเป็นสาเหตุให้สมองเครียดครับ
เพราะมันเครียดจากสิ่งที่ร่างกายส่วนอื่นได้รับ มันส่งผลต่อสมอง

วิธีการแบบนี้พออธิบายเรื่องการทักวาระจิตได้มั้ยครับ พระท่านบอกถึงมวลรวมคืออารมณ์
แต่ท่านกลับไปอ้างเรียกความคิด ท่านรู้หรือเปล่าว่าความคิดคนไม่เหมือนกัน แต่ผลของมัน
ที่เกิดเป็นอารมณ์มันเหมือนกันครับ ไม่เห็นแปลกวิเศษพิสดาลตรงไหนเลย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร