วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 10:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 202 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2012, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: วันนี้เขาไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเขาสิเนรุ ขอโทษทีนะดิฉันไม่เคยรู้จักชื่อเขานี่เลย ทำให้บางคนน้อยใจ

:b48: อีกอย่างที่สงสัย มีใครเคยได้ยินคำนี้บ้าง คำว่า พุด ทะ สี ทัน ดอน คืออะไร ในนิมิตของดิฉัน มีเสียงถามว่า เราจะได้เจอกันที่ พุด ทะ สี ทัน ดอน อีกไหม?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 15:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


"ท่านโพธิธรรม"

:b41: :b41: :b41:

.....
บ่ายวันหนึ่งขณะที่เจ้าชายพุทธิธารากำลังเพลิดเพลินกับการชมสวนอยู่นั้น
ฉับพลันก็บังเกิดม่านหมอกแปลกประหลาดปกคลุมไปทั่ว
ที่นี่ไม่ใช่สวนที่พระองค์เคยเดินเล่น พระองค์เดินสำรวจไปรอบ ๆ จนเจอกับ
นักบวชชรารูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ พระองค์จึงเดินเข้าไปไต่ถาม....

พระองค์เอ่ยถามขึ้น

"ที่นี่คือที่ไหนกันล่ะท่าน"

"สถานที่แห่งนี้คงจะแปลกสำหรับเจ้า
แม้อาตมาจะบอกเจ้า ถึงเจ้ารู้ก็เท่ากับไม่รู้"


นักบวชชราพูดขึ้น แต่ก็ยังคงหลับตานิ่งอยู่

พระองค์หัวเราะขึ้นพลางพูดว่า

"ฮึ น่าขันนัก ท่านเองต่างหากล่ะที่ไม่รู้
นี่คือแผ่นดินของข้า ในอนาคตข้าคือพระเจ้าแผ่นดิน ท่านไม่รู้หรอกหรือ
เอ๋...แล้วท่านเป็นใครกันแน่เนี่ย ไยมานั่งอยู่ตรงนี้ ท่านคือใครกันแน่"

นักบวชชรารูปนั้นก็เอ่ยขึ้น

"เรื่องของอนาคตเจ้ามั่นใจนักหรือ มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดก็ได้นะ
สิ่งที่รู้ สิ่งที่เห็น อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ
ข้ารู้จักท่าน แต่ท่านอาจจะไม่รู้จักข้า ข้ารู้ทั้งอดีตและอนาคตของท่านหมดสิ้น"


เจ้าชายพูดตอบโต้พลางหัวเราพลาง

"ฮ่ะ ฮ่ะ ท่านรู้อนาคตของข้าด้วยหรือ ไหนท่านลองบอกข้ามาสิว่า
วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับข้าบ้าง ฮ่ะ ฮ่ะ"

"ท่านจะเจอกับภยันตรายจนแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้วต่อจากนั้น
ท่านก็จะต้องนั่งสมาธิ 9 ปี"

นักบวชชราตอบเสียงแผ่วเบาคล้ายกับได้ยินมาจากที่ไกล ๆ

องค์ชายจึงว่า

"น่าตลกสิ้นดี ข้าจะมีอันตรายได้อย่างไร เจ้านี่ช่างเหลวไหล
ไร้สาระสิ้นดี บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะว่าเจ้าคือใคร"

"ข้าก็คือเจ้า และเจ้าก็คือข้า"

นักบวชชราตอบอีกครั้งก่อนร่างนั้นจะค่อย ๆ เลือนจางหายไป


:b41: :b41: :b41:

"ข้าก็คือเจ้า และเจ้าก็คือข้า"

:b41: :b41: :b41:

"ข้าก็คือเจ้า และเจ้าก็คือข้า"

:b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 01 เม.ย. 2012, 17:17, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 15:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ไผ่ใบเหลือง...ร่วงแล้ว...จากปล้อง

:b41: :b41: :b41:

มิอาจกลับคืนลำ

:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 15:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มี.ค. 2012, 17:36
โพสต์: 210


 ข้อมูลส่วนตัว


กษมมาตา เขียน:
:b44: :b44: ขอเล่าเกี่ยวกับการปฏิบัติของตัวดิฉันนะคะ :b44:
ดิฉันเคยอ่านหนังสือ ฟังธรรมของหลวงพ่อจรัญ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ท่านพูดว่า เวลานอนให้รู้ว่าหลับไปตอนไหนหายใจเข้าหรือหายใจออก (ดิฉันก็นึกอยู่ในใจว่าจะทำได้ยังไง) แต่ก็ลองฝึกดู วันที่หนึ่ง วันที่สอง หลับไปไม่รู้ตัว
วันที่สาม ตั้งใจมากขึ้น ก็รู้ว่าลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนหลับ เข้า หรือ ออก และรู้สภาวะช่วงที่จิตเข้าสู่สภาวะหลับ คือสูดลมหายใจเข้าแล้วรู้สึกซาบซ่าอยู่ภายในร่างกายประมาณไม่ถึงครึ่งลำตัวแล้วสติก็ดับปิ๊งไปเลยหลับทันที และหลังจากนั้น วันที่สี่ ที่ห้า ก็ฝึกเหมือนเดิม ก็รู้เหมือนวันที่สาม ก็ดีใจ แล้วก็พูดขึ้นมาลอยๆ บอกว่า
“หลวงพ่อหนูทำได้แล้ว” (หลังจากนั้นก็ลองดูสภาวะการตื่นดูบ้าง ก็รู้ได้ และตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกันคือเวลา 05.33 น.ติดต่อกันทั้งสามวันที่ตั้งใจฝึก ปกติตั้งนาฬิกาปลุก 06.00 น.)
:b44: ช่วงเปิดภาคเรียนเดือนพฤษภาคม ปี 2544 ที่โรงเรียนได้รับจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือเข้าห้องสมุด หนังสือเล่มหนึ่งที่ครูหลายคนชอบอ่านคือเรื่อง “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ซึ่งต้องต่อคิวกันนานพอสมควร ดิฉันก็หนึ่งในนั้น ได้อ่านหนังสือตอนเกือบกลางเดือนกรกฎาคม เมื่ออ่านมาถึงท้ายเล่มผู้เขียนได้เขียนแนะนำการฝึกสมาธิ (ทำให้นึกถึงสมัยเรียนมัธยมศึกษา ที่เคยฝึกสมาธิมาบ้างในคาบชุมนุมพุทธศาสน์ซึ่งก็เคยตัวโยก ตัวเหวี่ยง ตัวหมุน คันทั้งตัว มาแล้วในสมัยนั้น แต่ครูไม่ได้ให้นั่งนาน ทำให้รู้แค่นั้น กลับไปที่บ้านก็ลองนั่งดูวันละ 5 -10 นาที ก็เป็นเช่นเดิม แล้วก็เลิกไป ไม่นั่งสมาธิอีก)
ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ฝนตกตั้งแต่กลางคืนและตกมาเรื่อยๆ ไม่หยุด ก็ทำให้ดิฉันคิดว่าเป็นโอกาสดีคงไม่มีใครมารบกวน หลังจากทำงานบ้านเสร็จจึงนั่งสมาธิ แล้วก็ได้สัมผัส “ฌาน” ครั้งแรก ดังที่เล่าไว้ในอีกกระทู้
หลังจากนั้นก็ทำให้ชีวิต เปลี่ยนไปคือจากที่สนใจธรรมมะแค่ผิวเผิน ก็เริ่มสนใจในเรื่องของการฝึกสมาธิมากขึ้น
สวดมนต์ก่อนนอนยาวขึ้น คือเริ่มสวดบทอิติปิโส ฯเท่าอายุบวกหนึ่งทุกคืนก่อนนอนตามที่หลวงพ่อจรัญแนะนำ(ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยได้ไปกราบหลวงพ่อเลย) วันไหนลืมว่าได้กี่จบแล้ว ก็เริ่มนับหนึ่งใหม่ เพราะถือว่าขาดสติ
ไม่ว่าจะเข้านอนเวลาใดดึกขนาดไหน ตีสองตีสาม ก็ต้องสวดเป็นเช่นนี้เรื่อยมาติดต่อกันหลายปี ผลของการสวดมนต์ทำให้หลับง่ายกว่าปกติ จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน คือประเภทหัวถึงหมอนก็หลับได้ภายใน 1-3 นาที

:b44: ช่วงหลังหลายคนพูดถึงการดูจิต ดิฉันก็ลองดูบ้าง
ดูเวทนาทางกาย ดิฉันก็อายุมากแล้ว เวลาเดินมากๆ ยืนนานๆ มันก็ปวดขา ก็เอาใจไปดูอาการปวด
ว่ามันปวดยังไง มันปวดตรงไหนกันแน่ ดูๆ ไป จากปวดมาก มันก็จางคลายปวดน้อยลง พอได้นั่งพัก นอนพักสักครู่อาการปวดมันก็ดับไป มันก็เป็นเช่นนี้ทุกวัน จนทุกวันไม่ทุกข์กับมัน มันปวดก็ช่างมัน เพราะจะไปตัดขาทิ้งก็ใช่ที่ ถ้าปวดฟันก็เป็นอีกเรื่องไปถอนทิ้งมันก็หาย
ดูจิต ดูความโกรธ ความไม่พอใจ ความอิจฉาริษยา ความอยากมีอยากเป็น แล้วแต่ว่าอะไรมันเกิดขึ้นในจิตขณะนั้น ดูแล้วก็เห็นความจางคลาย ความดับของมัน

:b44: ก็ปฏิบัติอยู่เช่นนี้เรื่อยมา จนมีโอกาสได้ไปเรียนรู้วิปัสสนาที่ ยุวพุทธิกสมาคมฯ ได้ฝึกเดินจงกรมเป็นครั้งแรก ได้เรียนรู้เรื่องอริยสัจสี่ รูปนาม ขันธ์ห้า ผัสสะ ฯลฯ ก็ทำให้เข้าใจกระบวนการที่ทำให้เกิดเวทนา ตัณหามากขึ้น พระอาจารย์ได้สอนโดยสรุปแบบสั้นๆ ว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดเพราะผัสสะที่มี อวิชชา (ผัสสะโง่) โง่เพราะมีตัวกูของกูอยู่ในนั้น(ยึดรูป-นามว่าเป็นเรา) หลังจากนั้นก็นำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันเรื่อยมา จนรู้สึกว่าตนเองมีก้าวหน้าในทางธรรมขึ้นมาในระดับหนึ่ง
:b44: จนอยู่มาวันหนึ่งมาอ่านเจอคำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ที่กัลยาณมิตรบางท่านพูดถึง ดิฉันไม่เข้าใจความหมายของคำคำนี้เลย จึงไปค้นหาดู จึงได้รู้ว่าที่พระอาจารย์นำมาสอนนั้น มันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นี้เอง ก็ทำให้ตนเองมีความมั่นใจว่าการปฏิบัติของเรานี้มาถูกทางแล้ว
จึงสนใจที่จะทำความเข้าใจในเรื่องปฏิจจสมุปบาทตลอดทั้งสาย จึงได้รู้ว่าหลายอย่างเรารู้เราเข้าใจแล้วจากการลงมือปฏิบัติที่ผ่านมา เพียงแต่เราไม่รู้ว่าในภาษาบาลีบัญญัติไว้อย่างไร ก็นำพิจารณาไตรตรองอยู่เรื่อยๆ การคิดพิจารณาไตร่ตรองตามสายปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียวนั้นย่อมไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มแจ้งถ้าไม่มีการปฏิบัติ

สิ่งที่ดิฉันเข้าไปรู้ไปเห็นก็คือ สภาวะที่ขันธ์ทั้งห้าดับ-เกิด (เหมือนกับการที่คุณเปิดไฟไว้แล้วจู่ๆมันก็ดับไปและเปิดขึ้นมาใหม่) แม้ในหนึ่งเสียววินาทีเมื่อเห็นสภาวะนี้บ่อยๆ ก็ทำให้รู้ธรรมชาติที่แท้ของมนุษย์ว่า

ก้อนธาตุ(รูป) อันประกอบธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ ก้อนธาตุอันนี้มีอวัยวะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย(สฬายตนะ)
แต่ไม่มีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะมันไม่ทำงาน (เพราะอะไร? ก็เพราะวิญญาณดับ รูปนามดับ
สฬายตนะดับ ผัสสะดับ ทุกอย่างดับหมดไม่มีเหลือ ดับไปพร้อมๆกัน)

แต่เมื่อวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่เข้าไปยึดครองก้อนธาตุ(รูป) มันก็ปรุงแต่งว่าก้อนธาตุนี้(รูปร่างกาย) เป็นเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เริ่มทำงาน ตาก็เห็นสิ่งต่างๆ หูก็ได้ยินเสียง จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายรู้สัมผัส เพราะวิญญาณอีกนั่นแหละเข้าไปรู้ผัสสะก็เกิดวิญญาณทางตา(จักขุวิญญาณ) วิญญาณทางหู(โสตวิญญาณ) วิญญาณทางจมูก (ฆานวิญญาณ) วิญญาณทางลิ้น(ชิวหาวิญญาณ ) วิญญาณทางกาย(กายวิญญาณ)
จริงๆ แล้ว ถ้ามีการสังเกตอย่างละเอียดพอ ก็จะสังเกตเห็นว่า วิญญาณดับได้ทุกที่ ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย (เป็นการดับจริงๆนะ)
จักขุวิญญาณดับ คือตาจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ แม้ว่ากำลังจ้องมองสิ่งนั้นอยู่ (เพราะองค์ประกอบไม่ครบ คือมีตา + มีสิ่งต่างๆ + แต่ไม่มีผัสสะเพราะวิญญาณดับ )
โสตวิญญาณดับ คือหูก็ไม่ได้ยินเสียง แม้กำลังฟังสิ่งนั้นอยู่ (เพราะองค์ประกอบไม่ครบ คือมีหู + มีเสียงดังอยู่+แต่ไม่มีผัสสะเพราะวิญญาณดับ )
เมื่อวิญญาณดับก็เห็นรูปนาม(ขันธ์ห้า) ทุกอย่างดับ เห็นอาการดับ-อาการเกิดบ่อยๆๆ ก็จะเข้าใจธรรมชาติของรูปนามอย่างแจ่มแจ้งขึ้น จนยอมรับด้วยใจเต็มร้อยอย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไปว่าขันธ์ทั้งห้าไม่ใช่เรา

:b44: จะเห็นได้อย่างไร ก็ต้องฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆๆ ฝึกเรื่องของผัสสะ นี่แหละ ฝึกสมถะด้วย เพราะจิตที่สงบย่อมเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจน เหมือนน้ำใสที่สงบนิ่งย่อมมองสิ่งที่อยู่ในน้ำง่ายกว่าน้ำที่ขุ่นและมีคลื่น

:b44:ธรรมมะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่มนุษย์พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง คนอื่นพิสูจน์แทนไม่ได้ จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีบางคนเชื่อ และไม่เชื่อที่เล่ามา เพราะเมื่อก่อนดิฉันก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเหมือนกัน

:b44: :b44: อย่าคิดว่าธรรมมะของพระพุทธเจ้าสูงส่งเกินไปจนเอื้อมไม่ถึง ต้องเก็บไว้บูชาอย่างเดียว จงกราบพระพุทธเจ้าในฐานะพระบรมครู
กราบพระธรรมคำสอนน้อมนำมาใส่ไว้ในใจทุกๆลมหายใจ
กราบพระสงฆ์(พระโสดาบัน พระสกิฑาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์) คงยังมีอยู่แน่ๆ เพียงแต่เรายังไม่มีญาณหยั่งรู้ได้ ในฐานะเป็นผู้พิสูจน์( เป็นตัวอย่าง)แก่เราให้เราเห็นว่า ธรรมมะของพระพุทธเจ้าเป็น “อะกาลิโก”

:b44: :b44: :b44:


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
กระบี่อยู่ที่ใจ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2012, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้บังเอิญได้อ่าน ประวัติหลวงปู่สายทอง
ตอนที่ท่านเล่าถึงเมื่อครั้งที่ท่านนิมิตเห็น
หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ขาว

...

:b1:

และตอนที่ท่าน
ได้ยินเสียงคนร้องไห้
แต่มองหาก็ไม่เห็นว่าเป็นใคร...

:b1:

ว่าง ๆ จะคัดลอกลงมา
แต่ถ้าใครว่างก่อน ก็ลองไปหาอ่านก่อน

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2012, 14:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว



:b49: :b50: :b49:

บทที่ 5
จิตเสียดายภพชาติ

ภายหลังจากที่สภาวะจิตบรรลุธรรมในภูมิธรรมโสดาปัตติผลแล้ว
นับตั้งแต่นั้นได้มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับหลวงพ่อสายทอง
คือ ทุก ๆ ครั้งที่ภาวนาจนถึงสภาวะจิตละเอียดนิ่งสงบ
กลับได้ยินเสียงคล้ายมีคนมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนการ
อาลัยอาวรณ์สิ่งที่จะต้องพลัดพรากจากกันไป
เสียงร้องไห้สะอื้นไห้ระงมตลอดเวลาที่หลวงพ่อสายทอง
บำเพ็ญภาวนานับตั้งแต่บำเพ็ญผ่านสมรภูมิรบกับกิเลส
จึงเป็นที่สงสัยแก่หลวงพ่อสายทองยิ่งนักถึงเหตุที่มาของ
ต้นเสียงนั้นเป็นใครมาจากไหนกัน
“ใครมันมาร้องไห้อยู่แถวนี้”
เมื่อสำรวจดูกลับไม่พบเห็นใคร ๆ แม้แต่ภูติ ผี วิญญาณ
เทพเทวดาใด ๆ
....

บทที่ 6
ใจตนเองอยู่ที่ใด
…..
..”ใจนั้นมันอยู่ที่ไหนกันแน่”
วิเวกธุดงค์ออกมายังภูเขาลูกหนึ่ง ภายในถ้ำเขตจังหวัดมุกดาหาร
เมื่อได้สถานที่ถูกใจแล้ว หลวงพ่อสายทองจึงได้ถามตนเอง
“ใจที่แท้จริงของเรานั้นมันอยู่ที่ใด”
หลวงพ่อสายทอง ได้มาพิจารณาเสียงร้องไห้สะอื้นนับตั้งแต่
เร่งบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างดุเดือด เข้มข้นจนสภาวะจิตบรรลุ
ภูมิธรรมอริยะในขั้นต้น เป็นประจำแทบทุกคืนที่มักจะได้ยิน
เสียงร่ำร้องสะอื้น คล้ายความรำพึงรำพันที่ต้องสูญบางอย่างไป
ด้วยใจอาลัยอาวรณ์ ร้องไห้สะอึกสะอื้นคล้ายความเสียใจ
เพราะไม่อยากจะจากสิ่งที่หวงแหนเหนียวแน่นเหมือน
มีความผูกพันมานานหลายภพหลายชาติไปเสียอย่างนั้น
“เสียงร่ำไห้นี้ มันเป็นเสียงอะไร เสียงที่ร้องไห้รำพันนี้
ใครมันมาร้องไห้กันแน่”

หลวงพ่อสายทอง ถามตนเองเพราะความสงสัยที่
หลับตาภาวนาลงครั้งใดก็มักจะได้ยินกับเสียงเหล่านี้
ตลอดเวลา หลวงพ่อสายทองจึงกำหนดจิตถาม
“เสียงที่เกิดขึ้นนี้ ใครมาร้องไห้ เป็นเทพเทวดาตนใด
ที่มาร่ำร้องไห้รำพัน”
เมื่อกำหนดจิตถามตนเองแล้ว หลวงพ่อสายทองจึง
ได้ภาวนาหาต้นเหตุ สมถะตั้งมั่นในจิตดีแล้ว
ปัญญาธรรมจิตที่ละเอียดพิจารณาจนรู้ถึงต้นเหตุ
แห่งเสียงที่เกิดขึ้น พิจารณาจนแน่ใจ
พิจารณาย้อนไปย้อนกลับไปกลับมา จึงได้ทราบ
ที่มาของต้นเหตุเสียงนั้นที่แท้จริงไม่ใช่ใครอื่นเลย
เสียงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเสียงของจิต (กิเลในจิตแสดงออกมา)
ตนเองที่ร้องไห้ พิจารณาหาเหตุผล “ทำไมจึงร้องไห้”
ผู้รู้ในจิตกิเลสที่ละเอียดบอกให้ทราบ
“เพราะความเสียดายในภพชาติ ยังไม่อยากจากไป
จึงร้องไห้เพราะความเสียดายภพชาติ”
จิตที่ยังอาลัยในภพชาติแจ้งให้หลวงพ่อสายทองรับทราบ
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อหลวงพ่อสายทองนั่งภาวนา
กลับไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมารบกวนอีกต่อไป

......

บทที่ 19
ครูบาอาจารย์เมตตาเตือนให้เร่งจบกิจในชาตินี้
….
ความรู้ภายในจิตหลวงพ่อสายทองรับรู้ทันที
พระอรหันต์ที่มาโปรดครั้งนี้พร้อมกันคือท่านหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
และหลวงปู่ขาว อนาลโย มาตามลำดับ
จึงทำให้หลวงพ่อสายทองทราบโดยอัตโนมัติว่า
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ นั้นมีพรรษามากกว่าหลวงปู่ขาว อนาลโย
ท่านมีเมตตาโปรด
“สายทองเอ้ย แก้วน้ำนั้นมันใสสะอาดน่ะ”
ในนิมิตนั้นท่านได้แสดงการเทน้ำใส่ลงไปในแก้วให้หลวงพ่อสายทองดู
มองเห็นน้ำในแก้วนั้นใสสะอาด แม้กระนั้นครูบาอาจารย์ได้ให้ปัญญาธรรม
เพื่อที่จะไม่ให้มีเรือนมารองรับน้ำอีกต่อไป
“แต่ทางที่ดีที่สุดนั้นคือให้ทำลายแก้วซะ”
“กำหนดจิตเข้าไปอยู่ในแก้ว”
หลวงพ่อสายทองรับทราบและปฏิบัติตามคำชี้แนะ
จากนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย จึงได้ยกอุปมาจิตที่อยู่ในแก้วนั้นเหมือนมี
อวิชชาห่อหุ้มจิตใจ เมื่อครูบาอาจารย์มาเทศน์โปรดให้อุบายธรรมเช่นนี้
หลวงพ่อสายทองสามารถรับรู้เข้าใจในจิตได้อัตโนมัติทันที..
แม้จิตใจจะใสบริสุทธิ์เพียงใดแต่จิตก็ยังไม่เป็นอิสระเพราะ
ยังมีแก้วครอบไว้คือ อวิชชาครอบงำไว้ ไม่ให้จิตเป็นอิสระ
ถึงแม้จิตนั้นจะบริสุทธิ์เพียงใดก็ตามก็ยัมีอวิชชาเคลือบแฝงอยู่ในนั้น
หากนักภาวนาที่หมายมุ่งเอานิพพานเป็นที่ตั้งต้องทำลายแก้วนั้นเสีย
......
.....
การปรากฏรูปกายของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรันตสาวก
ได้มีเมตตามาโปรดหลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโมในครั้งนี้
เป็นความเมตตาของพระอรหันต์ทั้งหลายที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน
ไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้
เพราะว่าถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว
แต่ยังครองร่างอันเป็นสิ่งสมมติอยู่ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้อง
แสดงสมมติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราว
ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมติยังเหลืออยู่
ก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่ออะไร ฉะนั้นการมาในร่างสมมติจึงมาเพื่อสมมติเท่านั้น
ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต
คือสมมติอันดั่งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น
ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้น
ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ
เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย
ก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้
ฉะนั้น การที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้มาโปรดในครั้งนี้
เพราะอาศัยสมมติเป็ฯหลักพิจารณาที่จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมติดั่งเดิม
เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออก
โดยทางสมมติเพื่อความเหมาะสมกัน
ถ้าเป็นวิมุตติล้วน ๆ จิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกันก็เพียงแต่
รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้
เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ก็จำต้องนำสมมติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เพราะท่านนิพพานไปแล้ว
ร่างกายตัวตนท่านก็ไม่มี ท่านจะเอากายที่ไหนมาปรากฏให้รู้เห็น
ท่านจะเอาปากที่ไหนมาคุยให้ฟัง แต่ที่เป็นไปได้เช่นนั้น
เพราะเป็นจิตรู้ของผู้ทำสมาธิภาวนาไปถึงขั้นหนึ่ง
ถึงจิตสัมผัสธรรรม ซึ่งทำจิตให้เป็นพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จิตดวงนี้จึงได้แสดงมโนภาพขึ้นมาให้รู้เห็นได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเรียกว่านิมิต
นิมิตบางทีเห็นพระพุทธเจ้า พระสาวกเดินเข้ามาหา
หรือบางทีก็มายืนเทศน์สอน แต่แท้ที่จริงไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวก
เหล่านั้นเดินมาเทศน์หรือมานั่งเทศน์ให้ฟัง
แต่ว่าจิตรู้ของผู้นั้นเองที่สภาวะถึงธรรมแล้ว จึงแสดงปรากฎการณ์ให้ได้รู้ได้เห็น
“โย ธมม ปสสติ โส ม ปสสติ” ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นถือว่าเห็นเรา
ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นถือว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเราเห็นธรรม
ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นพระสงฆ์ ผู้ใดเห็นธรรมเห็นพระสงฆ์ ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นเรา”

......



:b49: :b50: :b49:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 ต.ค. 2012, 16:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
ขอบคุณ eragon มากๆ ค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลย มัวยุ่งกับการย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน ไม่มีเวลาเข้าเว็บนี้เลยเกือบสองเดือนแล้ว ไปอยู่ที่กันดาร ลำบากนิดหนึ่งตรงที่เน็ตเข้าไม่ค่อยได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2012, 16:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


กษมมาตา เขียน:
:b8: :b8: :b8:
ขอบคุณ eragon มากๆ ค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลย มัวยุ่งกับการย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน ไม่มีเวลาเข้าเว็บนี้เลยเกือบสองเดือนแล้ว ไปอยู่ที่กันดาร ลำบากนิดหนึ่งตรงที่เน็ตเข้าไม่ค่อยได้


เล่าให้ฟังบ้างสิ่ เป็นไงบ้าง

เอกอนเข้ามาที่นี่ และคิดถึงคุณอยู่เมื่อหลายวันก่อน
เมื่อคิดแล้ว มีความรู้สึกว่า
คุณมีก้าวหน้าทางจิตขึ้นนะ

เอกอนรอฟังคุณมาเล่าอยู่

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2012, 16:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


นึกถึงคุณ กษม...

:b1:

:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2012, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: ขอบคุณ eragon_joe ที่นึกถึงเรา วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียนวันที่สองของเรา เรามีเวลาได้ฝึกจิตได้เต็มที่ เพราะตอนทำงานเวลาคิดอะไรก็ถือเป็นอุปสรรคในการฝึกจิตเหมือนกัน เวลาปิดภาคเรียนจึงถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ผ่านมาทำงานค่อนข้างมาก มีเวลาศึกษาพุทธวจนบ้างพอสมควร เราอยากให้การปฎิบัติของเรามีแนวทางที่ถูกต้องเพราะเราฝึกปฏิบัติที่บ้านไม่มีอาจารย์ใดคอยชี้แนะ ไม่อยากให้ตนเองหลงทาง เดี๋ยวไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ในชาตินี้

:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2012, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: วันนี้ไปทอดกฐินที่วัดนาป่าพง อนุโมทนาบุญกับเรานะคะ :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2012, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กษมมาตา เขียน:
:b39: ขอบคุณ eragon_joe ที่นึกถึงเรา วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียนวันที่สองของเรา เรามีเวลาได้ฝึกจิตได้เต็มที่ เพราะตอนทำงานเวลาคิดอะไรก็ถือเป็นอุปสรรคในการฝึกจิตเหมือนกัน เวลาปิดภาคเรียนจึงถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ผ่านมาทำงานค่อนข้างมาก มีเวลาศึกษาพุทธวจนบ้างพอสมควร เราอยากให้การปฎิบัติของเรามีแนวทางที่ถูกต้องเพราะเราฝึกปฏิบัติที่บ้านไม่มีอาจารย์ใดคอยชี้แนะ ไม่อยากให้ตนเองหลงทาง เดี๋ยวไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้ในชาตินี้

:b44: :b44: :b44:



เหมือนกันครับ แม้เราจะอยู่ท่ามกลางความรู้อันเยอะแยะ แต่หากเราไม่เคยพิจารณาธรรมเลย เราจะกลายเป็นว่า จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ตั้งแต่เด็กมาแล้ว เราก็เข้าใจกันถูกต้องแล้วว่า ต้องมีสติ จนกระทั่งตอนนี้ เราก็ยังรักษาสติให้สมบูรณ์ได้ยาก เพราะเหตุอันใด

สติต้องอยู่คู่ธรรม รู้ทันธรรมจึงจะเรียกว่าปฏิบัติ ธรรมใดๆที่เกิดขึ้นแล้วสติจับไม่ทันเรียกว่าหลง จะหลงนิดเดียวก็เรียกหลง

จากนั้นก็ต้องมีความเห็นในทางสัมมาทิฏฐิ ความเห็นนี้ต้องคอยสอดส่อง ไม่ใช่สอดส่องคนอื่นนะครับ แต่สอดส่องตัวเอง ตั้งคำถามทุกอย่างที่เกี่ยวกับธรรม แม้คำถามทั้งหมดจะหาได้จากพระไตรปิฏกแล้วก็ตาม แต่การปฏิบัติแล้ว เราต้องเป็นคนเดียวที่จะแก้ได้ให้ตนเองนั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2012, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: ตราบใดที่ยังมี อวิชชา ความหลงย่อมมีเป็นธรรมดา เป็นพระอรหันต์แล้วคงไม่หลง
หน้าที่ของเราคือปฏิบัติตามมรรคแปดต่อไป จนกว่าจะจบกิจ :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2013, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b42: มีเวลาก็ศึกษาธรรมของพระศาสดากันนะคะ ดิฉันศึกษาพุทธวจนมาพอประมาณ จากการฟัง และอ่าน ทุกวันนี้ต้องฟัง อ่าน จนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ดิฉันไม่ดูทีวีมาประมาณเกือบ 5 ปีแล้ว จะดูข่าวจากอินเตอร์เ็น็ตแทน ไม่ฟังเพลงทั่วไป ฟังเพลงธรรมมะบ้างเป็นบางครั้ง ทุกวันนี้ไปทำงาน กลับบ้านเปิดธรรมมะฟัง ทำสมาธิบ้าง แต่ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันใช้การละนันทิ รู้สึกว่าทุกข์ลดน้อยลงทุกวัน ทุกวันนี้เบื่อกับการไปทำงาน ใจอยากลาออกไปปฏิบัติอย่างเดียว
แต่ยังมีภาระอยู่คือลูก เหลืออีก 1 ปีจะจบปริญญาตรี ตั้งใจว่าจะส่งเสียให้เขาจบปริญญาโท แล้วจะขอลาออกจากราชการไปปฏิบัติธรรม ทำงานด้านการเผยแผ่ธรรมมะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2013, 16:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 00:41
โพสต์: 9


 ข้อมูลส่วนตัว


ตะเกียงแก้ว เขียน:
อนุโมทนาในการฝึกนะคะ :b39:

สติเกิดดับ รู้ตัวแล้วก็ลืมตัว ลืมตัวแล้วก็กลับมารู้ตัว สลับกันไปสลับมา อย่างนี้ใช่ไหม
ปรกติธรรมดา สติมีเกิดดับเป็นธรรมดา

เจริญสติก็ฝึกแบบสบายๆ ฝึกในชีวิตประจำวันนี่ล่ะ ไม่ต้องไปเคร่งเครียดมาก
ฝึกไปเรื่อยๆ สติก็ค่อยๆ เร็วขึ้นเองนะคะ อะไรเกิดขึ้นก็ธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เช่นนั้นเอง


ตามนั้นเลยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 202 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร