วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 20:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


12 กค. 53

walai says: มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ถามได้นะคะ

says: อืม พอดีช่วงนี้รู้สึกดีนะคะ ประมาณว่า เริ่มลุย
แล้วได้เข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น เหมือนพักหนึ่งเราเขวออกนอกทาง
แล้วได้กลับเข้ามาใหม่ ตั้งแต่ที่ฝันวันนั้นนะคะ ที่เล่าให้พี่น้ำฟังไปแล้ว
หนูโหลด เทศนาธรรม มาฟังด้วย เลย หายสงสัยบางเรื่อง
พี่น้ำเคยลาพุทธภูมิไหม

walai says: ค่ะ

says: ครูบาอาจารย์ ที่หนูศึกษาส่วนมาก สอนให้ลาพุทธภูมิ
ช่วงที่เขวนะคะ หนูปล่อยให้ความโกรธ ความเกลียด ครอบงำ
ตอนนี้ พยายามปรับอารมณ์นั้น ให้เป็นเฉยๆ

walai says: เจริญสติไปค่ะ ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรไม่ได้เลย

says: ใช่คะ ถูกต้องที่สุด ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงของมันอยู่ตลอด ยึดมากก็ทุกข์มาก
พี่น้ำ มีครูบาอาจารย์ใช่ไหมคะ แล้วท่านมาสอนในลักษณะไหน

walai says: สอนอะไรหรือคะ

says: สอนธรรม

walai says: เห็นสอนเหมือนๆกันหมดนี่คะ ไม่เที่ยง ที่ไหนๆก็สอนเหมือนกันหมด
เพียงแต่ว่า คนที่ทำน่ะ จะเห็นได้ด้วยตัวเองหรือเปล่าเท่านั้นเอง
หรืออาศัยการอนุมานเอาเองไปก่อน

says: คือ สงสัยว่างี้คะ ครูอาจารย์ มีแบบเป็นคนและไม่เป็นคนหรือปล่าว
ที่มาเข้าฝันมาเตือนเรานะ ท่านเป็นใครอยู่ที่ไหน หรือว่าเราอนุมานไปเอง คิดมากไปเอง

พระที่เทศน์ก็บอกว่าครูอาจารย์ให้สังเกตุง่ายๆ ท่านสงสัยอะไรบางทีเหมือนบังเอิญไปเปิดเจอ
ในหนังสือในพระไตรปิก ได้คำตอบมาในเรื่องที่สงสัย ก็เลยแปลกใจว่าบังเอิญหรือป่าว

ท่านบอกว่า ทันทีที่เราปราถนานิพพาน เหมือนเราได้เป็นสมาชิกเครือข่ายของพระพุทธเจ้า
จะมีครูบาอาจารย์เสมอ

หนูขี้สงสัยนะคะ เมื่อก่อนก็เคยสงสัยเยอะกว่านี้ แล้วมันก็หายสงสัยไปทีละอย่าง
ตอนนี้ สงสัยเรื่องนี้อีกแล้ว

เมื่อก่อนสงสัยเรื่องภพภูมิ พญานาค แต่ตอนนี้หายสงสัยแล้ว เพราะอยู่ๆ พญานาคมาเข้าฝัน
เลยอยากรู้ว่าคนที่ปฏิบัติมาเยอะ ท่านมีครูบาอาจารย์ แบบไหนบ้าง

walai says: แล้วแต่เหตุที่ทำมาน่ะ อย่าไปยึดติดเลยค่ะ ยึดติดมาก อุปทานมากขึ้นไปเรื่อยๆ
แค่รู้ไปค่ะ เจริญสติไป

เชื่อไหม หาพี่จะบอกว่า พี่ไม่เคยคิดปรารถนานิพพานเลย นิดเดียวก็ไม่มี
ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าผลที่ได้รับคืออะไร แล้วจะต้องไปอยากได้ทำไม

ความปรารถนาก็คือความอยาก คือกิเลส แต่เป็นกิเลสที่มีสภาวะละเอียด
คนติดตรงนี้กันเยอะมาก เพราะโดนกิเลสหลอกเอา

says: แปลกมาก พระบางคนบอกว่าปราถนานิพพานไม่ใช่กิเลส

walai says: แล้วแต่เหตุและรู้ของแต่ละคนค่ะ จะให้มารู้เหมือนๆกันไม่ได้
เพราะรู้ตรงนี้ ยังไงก็คือความคิด ใครจะคิดยังไงก็ได้
แต่สำหรับพี มันคือกิเลส แต่เป้นกิเลสที่ละเอียด
มันไม่ใช่กิเลสหยาบๆแบบรัก โลภ โกรธ หลง

แล้วก็สิ่งที่คิดว่ารู้ แล้วนำไปเทียบเคียงในพระไตรปิฎก นั่นคือการอนุมานเอาเอง คิดเอาเองว่าใช่
เพราะตราบใดที่รู้นั้นๆยังไม่แจ้งออกมาจากจิต ยังเป็นจินตามยปัญญา ยังไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจาก
ภาวนาอย่างแท้จริง หากแจ้งมาจากจิตจริงๆ มันไม่ต้องไปเทียบเคียง เพราะรู้ตัวนี้มีแต่เหตุและผล
มีแต่ลดแล้วละกิเลส จึงไม่จำเป็นต้องนำไปเปรียบเทียบแต่อย่างใด

says: งั้น พระหลายองค์ที่เป็นนักเทศน์อาจจะ..

walai says: ไปคิดทำไมคะ สร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นอีกทำไม
ใครจะเป็นยังไง จะคิดยังไงเรื่องของเขา หน้าที่เราคือทำ ไม่ใช่ไปวิพากย์วิจารณ์ใคร

says: การที่เราสงสัยนี่มันก็ขวางมากๆนะคะ

walai says: ใช่ค่ะ กิเลสทั้งนั้น เหตุใหม่ทั้งนั้น

says: อืม งั้นไม่ฟังเลยดีกว่าพระเทศน์ ยิ่งฟังยิ่งสงสัย

walai says: พยายามรู้อยู่ในกายและจิตตัวเองให้มากๆ รู้จักจิตที่แท้จริงของตัวเองเมื่อไหร่
ถึงจะไปรู้จิตของคนอื่นๆได้ เพราะจิตของเราและของเขาไม่มีความแตกต่างกันเลย
การปฏิบัติล้วนเริ่มต้นจากกิเลสทั้งนั้น

says: คะ หนูนะมีกิเลสเต็มอยู่เลย

walai says: ทำไปค่ะ มันจะค่อยๆดีขึ้น ถ้าไม่ทำ มันจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

says: นี่ อย่างหนักถึงขั้นอยากฆ่าคน โกรธมากเกลียดมาก อยากทำลาย
รู้เลยว่าคนฆ่ากันได้เพราะอะไร และมานึกถึงเหตุการณืบางอย่างในอดีต
เลยรู้ว่าทำไมเราโง่มากอย่างนี้

walai says: เรื่องปกติค่ะ เมื่อยังไม่รู้ ถึงได้มีจิตแบบนั้น ถ้ารู้แล้ว แม้แต่จะคิด ยังไม่คิดเลยค่ะ
นิดเดียวก็ไม่มี เพราะลงได้คิดนั่นก็คือพยาบาท ความพยาบาททำให้เกิดเหตุใหม่ไม่รู้จบ

says: เจริญสติมากๆ แล้วฝันไหม หรือไม่ฝันเลย หลวงพ่อจรัลเคยสอนให้หลับแบบมีสติ
จับหลับ หนูลองทำแล้วนอนไม่หลับ สงสัยว่าทำผิดวิธี

walai says: ถ้าจิตยังไม่มีกำลังที่จะตั้งมั่นได้ อันนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่คนนะคะ บางคนก็ทำได้
ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกคน ลองทำแบบนี้ดูสิคะ

เวลานอนดูท้องพองยุบ ท้องที่พองขึ้น ยุบลง ตามลมหายใจเข้าออก พอหลับไปตอนไหน
ปล่อยให้หลับไปเลย อย่าไปดึงจิตกลับมารู้กายอีก

says: คะ เวลานั่งละคะ เหมือนกันไหม

walai says: เวลานั่ง ถ้าลมหายใจหายไป นั่นคือลมละเอียดมาก ให้มารู้ที่ท้องพองยุบแทน
มันมีแผ่วๆอยู่ แต่ถ้าจับพองยุบไม่ได้ ให้รู้ที่กาย ส่วนไหนก็ได้ ให้รู้ลงไปตรงนั้น รู้ไปแบบนั้นสักพัก
ก็จะจับลมหายใจได้ ก็ให้ไปจับลมหายใจ

ทำคนละอย่างกันค่ะ นอนกับนั่ง นั่งต้องอาศัยตัวสติไว้ก่อน สมาธิเป็นรอง
นอนนี่ปล่อยไปเลย คือสมาธิเป็นหลัก

แล้วเมื่อกำลังสติ สัมปชัญญะเข้มแข็งมากขึ้น ค่อยไปเจริญสติเพิ่มเวลานอน ฝึกรู้ตัวขณะที่นอน
ใหม่ๆอย่าเพิ่งรีบร้อน เด๋วนอนไม่พอ จะอ่อนเพลีย

says: เวลาเดินกำหนดที่เท้าหรือป่าวคะ

walai says: ค่ะ เดินให้รู้ว่าเดิน รู้ลงไปที่เท้า ทุกย่างก้าวที่เดิน
จะมีรูปแบบหรือไม่มีก็ได้ ทำยังไงก็ได้ ให้รู้อยู่กับเท้า

says: จะลองทำไปถ้าสงสัยตรงไหนจะมาถามอีกนะคะ

walai says: ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


12 กค. 53

says: ปัจจุบันนี้คุณน้ำพักอยู่กับใครบ้างค่ะ (ถามเรื่องส่วนตัวมากไปปะเนี่ย)

walai says: พักอยู่กับศิษย์หลวงพ่อจรัญด้วยกันค่ะ

says: อ้าว คุณน้ำยังไม่แต่งงานหรือค่ะ (แห่ะๆ ตัวเราก็ยังไม่แต่งเหมือนกัน )

walai says: มีอะไรหรือคะ

says: ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกค่ะ ถามๆ ไปงั้นๆ เองล่ะค่ะ

walai says: นี่ถ้าเป็นผู้ชายมาถามแบบนี้นะคะ จะถามกลับไปว่า เป็นนายทะเบียนหรือคะ
จะเอาไปลงโพลหรือคะ เพราะจะเจอคำถามแบบนี้ตลอดค่ะ

says: ตัวเองก็เคยตอบอย่างที่คุณน้ำตอบ เวลาผู้ชายมาถามเช่นกัน
แต่พูดยาวขึ้นนิดว่า นายทะเบียนอำเภอ

walai says: น้ำบอกไปเลย การปฏิบัติ ไม่มีวุฒิภาวะใดๆที่ต้องมาสอบถามกัน
ไม่ได้เป็นหนทางให้พ้นทุกข์ได้เลย ไปสนใจทำไมเรื่องนอกตัว
น้ำจะพูดแบบนี้แหละค่ะ จะได้ตัดยอดในการสนทนา

says: ไม่ใช่แต่ผู้ชาย ผู้หญิงก็มาถามเราเยอะค่ะ คำถามแบบนี้

walai says: ผู้หญิงนี่ยังมีเกรงใจกันนิดๆค่ะ ถ้าคนที่สนใจปฏิบัติจริงๆ ส่วนมากจะไม่มี
การมาถามซอกแซก จะมีแต่คุยเรื่องปฏิบัติล้วนๆ เหมือนคนที่ฝึกกับน้ำน่ะ จะบอกไปเลยว่า
ไปสนใจทำไมเรื่องชาวบ้าน ดูสิ ดูเข้าไปในจิตเวลาที่ เกิดการกระทบ ดูสิ จิตกระเพื่อมเพราะอะไร
ดูตรงนี้ ไม่ใช่ไปดูว่าใครเป็นยังไง ใครเขาจะเป็นยังไง นั่นเรื่องของเขา เหตุของเขา

says: บางคนอาจจะถามเพราะจะได้วางตัวได้ถูกต้องไงค่ะ

walai says: น้ำจะดูที่เหตุอย่างเดียวค่ะ เรื่องอื่นไม่สนใจ ถ้าใครเคยสร้างเหตุกับเรา
เขามาหาเราเอง ใครไม่เคยสร้างเหตุ เขาไม่มาหาเราหรอก ไม่ก็มีเศษเล็กๆร่วมกัน มีมาหาแล้วก็ไป

says: อย่าเครียดมากไปนะค่ะ ควรผ่อนคลายกับผู้อื่น

walai says: ไม่สนใจจริงๆค่ะ แล้วก็สุขสบายดี ไม่เครียดอะไรเลย
อย่าสนใจหรือคาดเดาอะไรเลยค่ะ ยิ่งไปให้ค่าอะไรๆมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องหาข้อความสนทนาเนืองๆ

says: คนเคยสร้างเหตุกับเราไว้ มีหลากหลายเหตุปัจจัยเน้อ

walai says: ก็จะบอกกับคนที่คุยกับน้ำทุกคนว่า ถ้ามาคุยเรื่องเปื่อย อย่าคุยเลย ไม่มีประโยชน์
นี่พูดจริงๆนะคะ ใครจะคิดอะไรยังไง นั่นคือเหตุของเขา เขาคิดดี เขาก็ดีกับตัวเขา
คิดไม่ดี ก็ไม่ดีกับตัวเขา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็เรื่องของเขา

says: คุณน้ำเคยได้ยินเรื่องมาณพน้อย กับลูกสาวอาจารย์ ที่ได้ยกให้มาณพ
ต้องมาตกกระไดพลอยโจน เพราะพลาดท่าเสียที หรือปะค่ะ

walai says: ไม่เคยค่ะ ทุกอย่างมันมีเหตุค่ะ ใครจะเป็นอะไรยังไง ล้วนเกิดจากเขาทำกันไว้

says: มีญาติธรรมพูดถึงเรื่องนี้ในเมล์ส่งมาหาเรา เราก็แสนจะงง เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน
เหมือนกัน ขอตัวก่อนนะค่ะ ขอบุญรักษาค่ะ

walai says: บายยค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


says: สิ่งใดทำให้เราทราบถึงเหตุของผลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

walai says: คุณก็ลองทำดูสิ ง่ายจะตายไป ลองไปด่าใครสักคน ใครก็ได้
แล้วดูสิผลออกมาจะเป็นยังไง

says: การกระทำ ล่ะสิครับ แต่การสร้างเหตุแบบนี้ ทำให้ได้เห็นผลทันตานะครับ
ว่าแต่เหตุที่เคยสร้างมาตั้งแต่สมัยอดีตที่นานมาแล้ว เราจะทราบได้อย่างไรครับ

walai says: แล้วแตกต่างตรงไหนล่ะ ไม่เห็นแตกต่างเลย ยังไงมันก็คือผล จะช้าหรือเร็วก็คือผล

says: ว่าผลที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้เป็นผลของเหต ณ ตอนนั้น
เรื่องของ เหตุ ผมได้อ่านบ่อย ๆ ที่พี่โพสต์เอาไว้นะครับ ว่าแบบนี้คือการใช้หนี้
แบบนั้นก็เป็นการใช้หนี้ พี่ทราบได้อย่างไรครับ

walai says: ดูง่ายจะตายไป ที่ยกตัวอย่างไปน่ะ เรื่องคนด่า ทีนี้ย้อนกลับมาที่ตัวเองมั่ง
เคยสงสัยมั่งไหมว่า ทำไมเขาถึงมาด่าเรา ทั้งๆที่เราไม่เคยไปทำอะไรผิด หรือทำไมถึงถูกด่า

says: ก็เคยนะครับ เคยสงสัยมาเหมือนกัน ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ ทำอะไรที่ไม่ดี
บางทีก้อยัง งง ๆ อยู่กับผลที่มันเกิดมานะครับ ว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร

walai says: ตอนนี้คุณต้องใช้จินตามยปัญญาไปก่อน เพราะยังไม่เห็นตามความเป็นจริง
ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่ อันนี้เรื่องของคุณ เหตุของคุณ ห้ามคุณไม่ได้
คุณทำต่อไป ทำต่อเนื่อง ที่สงสัยๆมาทั้งหมดน่ะ มันจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

says: ที่ผมเคยถามพี่ นะครับ ว่าเราจะรู้ได้เมื่อใดว่าเรามองเห็นตามความเป็นจริงได้แล้ว
และสิ่งใดเป็นตัวบ่งบอกให้เราสามารถรับรู้ได้

walai says: ตอบไปแล้วนี่ บอกไปแล้วนี่คะว่าให้ทำไป คุณไม่ค่อยจำ
ตอนนี้ ต่อให้อธิบายไปยังไงๆคุณไม่มีทางชัดเจนได้หรอก เพราะรู้ของคุณมันมีอยู่แค่ที่คุณรู้
พูดให้ฟัง คุณก็ต้องเดาเอาอีกว่ามันต้องเป็นอย่างงั้น อย่างงี้ เพราะไม่ได้รู้ด้วยตัวเอง
ก็เหมือนคนอ่านพระไตรปิฎก รู้แค่ไหนก็ตีความได้แค่นั้น ทำต่อไปค่ะ

says: ครับ

walai says: ต่อไป คุณควรจะเขียนสภาวะลงในบล็อกด้วยคะ

says: ต้องทำ เรื่อย ๆ นะครับ

walai says: ไม่งั้นพี่ไม่รู้ว่าสภาวะของคุณต้องปรับอะไรบ้าง เขียนในสเปซน่ะ
เพราะ คุณเอาแต่ถามๆๆๆๆแล้วก็ถาม พอถามแล้วก็ลืมๆ เอากลับมาถามใหม่อีก ทั้งๆที่ตอบไปแล้ว

says: ก็จะพยายามทำให้ได้นะครับพี่

walai says: เขียนสเปซน่ะ ทำได้มั๊ย

says: แต่ว่าเบื้องต้นคงจะจดเอาไว้ในสมุดก่อนนะครับ พอมีเวลาแล้วค่อย ๆ เอามาลงใน space ครับ

walai says: เอาสภาวะปัจจุบันลง ไม่ใช่ผ่านไปแล้ว ปรุงแต่งแล้วเอามาลงแบบนั้นไม่เอา
เพราะพี่ไม่เคยเห็นคุณนำมาลงในสเปซเลย

says: ที่ผ่านมาผม ทำ ๆ อย่างเดียวครับพี่ ได้จดบันทึกเอาไว้ครับ

walai says: ต่อไปนี้ ลงบันทึกทุกครั้ง หลังที่เพิ่งปฏิบัติเสร็จ

says: ครับ ลงบันทีกในขณะที่ปฏิบัติก็ได้เหมือนกัน หรือว่า ควรจะลงบันทึก
หลังจากที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะครับพี่

walai says: หลังค่ะ ทำเสร็จแล้วถึงลง

says: ครับ ได้ครับ ผมจะลองเริ่มทำดูนะครับ

walai says: ขณะที่ทำ สภาวะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา

says: แล้วเวลาที่เราลงบันทึก เราควรจะพยายามเอาทุก ๆ อาการที่เกิดขั้นมาลง
หรือว่าเอาเฉพาะที่จำได้เท่านั้นล่ะครับ

walai says: เฉพาะที่จำได้ค่ะ เช่น เดินรู้เท้ามั๊ย นั่งรู้กายได้มั๊ย

says: โดยภาพรวมใช่มั้ยครับ

walai says: ใช่ค่ะ มีสภาวะอะไรเกิด ลงที่จำได้ ไม่ต้องไปนั่งคิดว่ามีอะไรมั่ง
เวลานั่ง ถ้ามีเคลิ้ม มีง่วง มีเลื่อนลอย ลงด้วยค่ะ

says: ครับ ต้องเอาให้ได้เหมือนกับตัวอย่างการลงบันทึกของพี่ที่นำมาจากหลวงพ่อโชดก
แบบนั้นเลยก็จะดีใช่มั้ยครับ

walai says: ถ้าทำได้ค่ะ ถ้าทำไม่ได้ ไม่เป็นไร

says: ครับ ได้ครับ ผมจะเริ่มหัดทำดูก่อนนะครับ ผมขอตัว ทำก่อนล่ะครับ
เสร็จแล้วค่อยมาคุยกันนะครับ

walai says: ค่ะ

says: หรือว่า พี่มีอะไรแนะนำอีกหรือป่าวครับ

walai says: ไม่มีค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2010, 02:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


13 กค. 53

says: ผมจะถามว่าเวลาที่มีอาการเหมือนมีแมลงไต่ ๆ

walai says: เจริญสติไปค่ะ สติทัน มันจะหายไปเอง ถ้ารำคาญ ให้หายใจยาวๆ กำหนดรู้หนอ

says แต่ว่ามันรู้สึกเหมือนว่ามันหายไวกว่าวันก่อน ๆ นะครับ
คือเหมือนพอเราจะรู้ว่ามันเป็นเหมือนแมลงไต่ ๆ
แต่ว่าทันใดนั้นมันก็หาย ๆ แบบนี้คือสติมันทันจิตใช่มั้ยครับ

walai says: แค่รู้ไปค่ะ อย่าไปให้ค่าใดๆ มันไม่เที่ยง

says: คือเมื่อมีอาการเกิดขึ้นแบบนี้แล้วผมจะมาสนใจกับเท้าที่กำลังเดิน ๆ อยู่

walai says: คุณเห็นอะไรไหม ( ถามครั้งที่ 1 )

says: ครับเข้าใจนะครับ มันไม่เที่ยง คืนนี้เดิน ๆ แล้วมันรู้สึกสบายๆครับ

walai says: ถามว่า คุณเห็นอะไรไหม ( ถามครั้งที่ 2 )

says: คิออันนี้ผม แน่ใจว่าผมคิด เอง หรือว่าเป็นความเข้าใจนะครับ คือ
แถว ๆ ที่ผมเดินอยู่มันมีทั้งเสียงรถ เสียงเพลง เสีบงคนคุยกัน

เสียง พอจิตผมมันจับเสียงใดได้แล้ว เห็นว่ามันดับไป แล้วก็ได้ยินเสียงอันใหม่เกิดขึ้นมา
ซึ่งมันมาจากคนละสถานที่กัน

ขณะที่เท้าก็กำลังเดิน ๆ อยู่ ก็เลยไปพิจารณาถึง สิ่งที่เคยได้ยิน ได้ฟัง และได้อ่าน ๆ มา
ว่าจิตเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะดับไป แล้วก็เกิดจิตดวงใหม่เกิดขึ้นมา มันสลับกันไป สลับกันมา

พอมาสนใจกับเท้าที่เดินอยู่ ก็เข้าใจว่าจิต กับ กายมันอยู่กันคนละส่วน

walai says: ค่ะ แล้วไงคะ

says: มันแยกออกจากกันต่างหาก

walai says: แล้วไงคะ

says: ตอนนี้มันจำสภาวะนะตอนนั้นได้ ไม่ค่อยจะชัดนะครับพี่ มันเกิดขึ้นไวครับ
จำได้แค่ลาง ๆ ครับ คือ ที่ผมจำได้ ณ ตอนนี้คือ ผมเข้าใจว่าผมเห็นว่ามัน ทำงานแยกกันครับ

walai says: นั่นสิ พี่ถึงถามไงว่า แล้วไงคะ สิ่งที่คุณพูดๆมาทั้งหมดน่ะ

says: มันยัง ไม่ละเอียดครับ

walai says: อะไรคือละเอียด อะไรคือหยาบ

says: ละเอียดคือ เราสามารถที่จะบอกได้กับสภาวะที่เกิดขิ้นได้ชัดเจนครับว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

walai says: งั้นหรือ

says: อันนี้คือตามความเข้าใจนะครับ

walai says: ไม่ใช่ไปให้ค่าเองหรือ

says: ผมก็คิดอยู่นะครับพี่

walai says: คุณให้ค่ามาตั้งแต่ต้น ถึงได้ถามคุณไปไงว่า เห็นอะไรไหม เข้าใจว่ายังไงหรือคะ

says: คือผมก็ยังสงสัย ๆ อยู่ตั้งแต่ตอนต้น ๆ นะครับพี่

walai says: ทำต่อไปค่ะ มีแค่นั้น

says: ว่าสิ่งที่ผมได้สัมผัสมา ณ คืนนี้ มันเป็นเพราะว่าเราเอาสิ่งที่เราเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน
เอามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราได้เจอ และเอามาปะติด ปะต่อ เอาเอง
ผมถึงไม่แน่ใจเลยมาถามพี่ดูนะครับ เพราะมันเป็นอุปทานที่ผม ให้ค่ากับมันเอง
ตามความเข้าใจของเราเองจริงมั้ย ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตา ทำต่อ นะครับ

walai says: ถ้าคุณรู้ คุณไม่บรรยายมายืดยาวหรอก ขนาดถามไปว่า คุณเห็นอะไรไหม
คุณยังไม่หยุดเลย ยังบรรยายาต่อ

says: ครับ ผมว่าผมไม่รู้ และสงสัยนะครับ

walai says: คือเข้าใจคุณนะ ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เป็นแบบนี้ มีเยอะ แล้วไปยึดติดกับการให้ค่า
คำว่า เกิดดับ แล้วปรุงต่ออีก ไม่จบ คิดว่าได้อะไร เป็นอะไร มีเยอะนะ ไม่ใช่แค่คุณคนเดียว

says: ครับ เพราะว่า ไม่ได้เห็นของจริง ๆ ก็เลย คิดเอง เออเอง ตามความเข้าใจ

walai says: จริงๆแล้วไม่มีอะไรเล๊ย ที่คุณเล่าๆมาน่ะ ล้วนเกิดจากการให้ค่าต่อสภาวะ
ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง

ถ้าคุณดูตามความเป็นจริง จะไม่ไปยึดติดกับสภาวะที่เกิดขึ้น และไม่ไปให้ค่าว่าเป็นอะไร
คุณจะมองเรื่องความไม่เที่ยงเป็นหลัก ไม่ไปหลงให้ค่ายืดยาวขนาดนี้

แหมมม เกิด ดับ ฮิตนักเชียว แต่กิเลสดันมองไม่เห็น ปัญญาไม่เกิดเพราะเหตุนี้แหละ
คิดเอาเอง คาดเดากันเองเอง กิเลสเลยลากไปกินหมด ทำให้ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้
ดูจิตสิ เวลาเกิดสภาวะน่ะ ดูกิเลสที่เกิดขึ้น ความชอบใจ ไม่ชอบใจ
อย่าไปดูแล้วให้ค่าว่า นี่เกิดดับ ดูน่ะดูกิเลส อุปทานให้ค่าไปแล้วเห็นไหม

says: ครับ กิเลสมันเก่งนะครับ คืนนี้ตกหลุมพลางกิเลสแบบเต็มๆ ครับ

walai says: เกิดดับน่ะเหรอ มันเกิดดับยิ่งกว่าทุกวินาทีอีก
คุณกระพริบตาทีหนึ่ง เกิดดับไปแล้ว เห็นทันไหม

says: ไม่ทันครับ ถ้าเห็นนะเห็นได้ ไม่ต่อเนื่องครับ เห็นเฉพาะตอนสติเราทัน

walai says: เขาเรียกว่าภาษาสมมุติก่อให้เกิดกิเลส กิเลสเลยลากไปกินอีกต่อ
ทีนี้อยู่ที่สติละ ทันมั๊ย ถ้าไม่ทัน อุปทานเกิดต่อ ปรุงต่อ

says: ครับ ตัวที่สำคัญที่สุด คือ ตัวอุปทาน นะครับ

walai says: นี่ปรุงยืดยาวมาเป็นเรื่องเลยเห็นไหม แค่คำว่าเกิดดับคำเดียว

says: ครับ ถ้าไม่ได้พี่มาช่วยแนะนำ คงจะโง่ อีกนานนะครับ
คือยึดติดอยู่แต่ในสิ่งที่เราให้ค่าเอาเอง

walai says: ถึงถามไงว่าเห็นไหม กิเลสตัวเอ้บบ เกิดดับก็กิเลสนะจำไว้ เราไปให้ค่ามันเอง

says: ครับ ว่าแต่ที่เค้า ๆ พูดกันมานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นกิเลสทั้งนั้นเลยสิครับ
ถ้าคนที่เค้าเจอมาจริง ๆ แล้วเค้าจะไม่ค่อยนำมาพูดกัน

walai says: ใช่ แต่ใครจะยอมรับล่ะ ใครจะบอกเขาล่ะ แล้วเขาจะเชื่อไหมล่ะ
อุปทาน ให้ค่ากันเอง มันมีของมัน มันเป็นของมันแบบนั้นอยู่แล้ว ดูสิ มันเที่ยงไหม

says: เอาไปคิดแล้ว ก็เข้าข้างตัวเอง ไม่เที่ยงนะครับ

walai says: วันนี้แบบนี้ วินาทีต่อไป อีกแบบแล้ว ยึดได้มั๊ย

says:ไม่ได้ครับ มันเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาครับ

walai says: ไม่ใช่ไปอุปทานให้ค่าเอาเองว่า นี่เห็นแล้ว เกิดดับ แต่ดันไม่เห็นกิเลส
ที่หลงไปให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น อุปทานต่ออีก ปรุงต่อ อ้อๆๆๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
เห็นกายและจิตมันแยกออกจากกัน มันเป็นแบบนี้นี่เอง ความคิดทั้งนั้น

says: อุปทาน ซ้อน อุปทาน เรื่อย ๆนะครับ เราหลงเข้าไปยุ่งกับความคิด
และก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลงอยู่

walai says: เห็นโดยความคิด แล้วอุปทานให้ค่า สุดท้ายเสียท่ากิเลสยังไม่รู้ตัว

says: แบบนี้จะใช้สติแก้ด้วยการมารู้ที่กายใช่มั้ยครับ

walai says: รู้อยู่กับกาย แค่รู้ อย่าให้ค่า

says: ถ้าเดินก็ให้รู้เท้าที่กำลังเดินอยู่ ถ้านั่งก็ให้รู้ว่ากำลังนั่ง หรือ ท้องที่พองยุบ
หรือลมหายใจเข้าออกนะครับ แต่วันนี้ถือว่าได้ตัวรู้ มาอีกตัวนึงนะครับ
ทำให้รู้ว่ากิเลสมันสามารถเข้ามาเล่นงานเราได้อย่างไร จะได้คอยใช้สติ
ระงับการทำงานของกิเลสได้บ้าง

walai says: ทำต่อไปค่ะ

says: ครับ ต้องทำต่อไปครับ แต่คืนนี้เวลาเดิน ๆ แล้วมันรู้สึกตัวได้ดีตลอดเลยนะครับ
ก็เลยไม่ได้ยั้งคิดว่า เจ้าตัวกิเลสมันจะเข้ามาเล่นงานเอาจนได้

มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมเลยคิดเป็นตุเป็นตะ เอามาเปรียบเทียบเข้ากับเรื่องที่พี่โพสต์เอาไว้หัวข้อ
เกิดเพราะเหตุ ดับเพราะหมดเหตุ ว่าจิตที่บอกว่าเป็นจิต ดวงเดิม นั้น คงจะเป็นจิตดวงสุดท้าย
ที่เกิดขึ้น หลังจากที่ได้เสียชีวิต หรือว่าเปลี่ยน สู่ร่างใหม่

walai says: มันก็จิตดวงเดิมทุกๆชาติน่ะแหละ เพียงแต่เหตุที่ทำไว้ จึงมีเปลือกหรือชีวิตใหม่
ไปตามเหตุที่ทำไว้ เพียงแต่จะระลึกได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง มันมีในนิทานพิจน์
ไปหาอ่านได้ในสุตันตปิฎก มีเรื่องถกเถียงกัน

คนหนึ่งเกิดเป็นเศษฐี แต่ดันระลึกได้ในชาติที่ตัวเองไม่ได้ทำทานสร้างกุศลเลย มีแต่ทำบาป
แต่ชาติปัจจุบันดันมาเกิดเป็นเศษฐี

ส่วนยากจกอีกคน ระลึกได้ว่า ตัวเองทำความดี ทำทานมาตลอด แต่ดันมาเกิดเป็นยาจก
ทั้งสองคนนี่เลยสำคัญผิดว่า ทำดีได้ดีไม่มีจริง ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีจริง
แต่แท้จริงแล้ว เขาระลึกชาติไม่ได้ทั้งหมด เรียกว่าระลึกกระโดด
เลยทำให้เข้าใจผิดในเรื่องความดี ความชั่ว

ถ้าให้พี่สรุปเรื่องนี้คือ มันมีเหตุ เหตุที่ทำให้ทั้งสองคนมีมิจฉาทิฏฐิ
เนื่องจาก เขาทั้งสองคนอาจจะเคยทำให้คนอื่นๆมีมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดในเรื่อง
การทำความดีและความชั่ว

เหมือนคุณเมื่อกี้ สภาวะที่คุณให้ค่าเรื่องเกิดดับ เรื่องกายและจิต
ถ้ามีคนพูดกับคุณอีกแบบ ไม่ใช่แบบที่พี่อธิบายให้คุณฟังล่ะ
คุณก็จะหลงทางเหมือนที่คนอื่นๆหลงทาง ตัวกู ของกูนี่พองหราเลย
ใครพูดอะไรไม่ได้เลย เพราะกูรู้ รู้หมดแล้ว รู้แต่ดันอธิบายถึงเหตุและผลไม่ได้ อธิบายสภาวะไม่ได้

says: คงจะเป็นแบบนั้นนะครับ เพราะว่ารู้ไม่จริง ไม่รู้ตามความเป็นจริง

walai says: ใช่ กิเลส แต่ไม่เห็นกิเลสที่เกิดขึ้น ความอยาก

says: ซึ่งตรงนี้มันต้องอาศัยผู้ที่ผ่านตรงจุด ๆ นี้มาแล้ว มาช่วยแนะนำ

walai says: เอาไปเปรียบเทียบตามที่ได้ฟัง ได้อ่านมา หารู้ไม่
คนที่เอามาเขียนมาลงน่ะ หลงมาก่อน ทีนี้คนมันมีเหตุร่วมกัน ถึงไม่รู้จักกัน ก็เชื่อ
แม้กระทั่งตัวหนังสือที่เขียนไว้ แต่ความอยากเต็มล้นหัวใจดันมองไม่เห็น

says: ครับ ก็คงเข้ากับเรื่องที่พี่เคยอามาคุยให้ฟังนะครับว่า เราไปทำเหตุกับใครเค้ามา
แล้วเราก็ต้องไปรับผลที่จะเกิดขึ้นนั้น

walai says: โสดาแต่งตั้ง ถึงได้เยอะไง

says: เพราะว่า คิดกันเอาเอง เข้าใจกันเอาเอง

walai says: นี่แหละความอยากบดบังดวงตา เลยทำให้ไม่เห็นตามความเป็นจริง

says: ยากนะครับ กว่าจะรู้ จะเห็นตามความเป็นจริงได้
เพราะว่าถ้าเราเข้าใจว่ามันเป็น ตามความจริงแล้ว แต่ว่ามันไม่เป็นไปตามนั้น
เราก้อหลงยึดติดอยู่อย่างนั้น ๆ เรื่อย ๆ

walai says: ถึงบอกไง หลักมีแค่ว่า ทำให้ต่อเนื่อง อย่าให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ดีหรือไม่ดี
มันแค่ความคิดของเรา ทำจนเราจะเห็นความไม่เที่ยงเอง มันจะเห็นแบบนี้
เพื่อไม่ให้ไปยึดติดกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีตามความคิดของเราก็ตาม

พอไม่ยึด เหตุใหม่ที่จะทำให้เกิดขึ้นย่อมไม่มี เหตุเก่าที่ทำไว้ ย่อมชดใช้ไปเรื่อยๆ ย่อมมีวันหมด
เหตุหมด ผลย่อมไม่มี แล้วจะไปหวังอะไรล่ะ

says: ให้แค่ดู แค่รู้พอ นะครับ ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น หรือมากระทบ

walai says: ถึงบอกไง ทำไป อย่าไปอยาก เพราะไม่รู้ว่าจะอยากไปทำไม ในเมื่อรู้ถึงผล
ที่ต้องได้รับอยู่แล้ว และจะต้องไปหวังทำไม ในเมื่อรู้ๆอยู่ว่าจะเป็นยังไง

says: ครับ คืนนี้มันก็เข้าตามหลักอย่างที่พี่บอกเลยนะครับ
ผมก็ว่าตัวเองก็ไม่ได้มีความอยากอะไรเลยนะ ก็ทำๆไปเรื่อย ได้คิดอะไร ก็เข้าใจว่าตัวเอง
เห็นอะไร เจออะไร ก็แค่ดู ๆ รู้ ๆ แต่ดัน โดนกิเลสเข้าจัง ๆ ก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก

walai says: นั่นแหละ ถึงบอกไง ทำต่อไป พอแล้วค่ะ

says: ครับ ขอบคุณนะครับพี่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2010, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


says: อุปกิเลสที่ผมได้หาข้อมูลในอินเตอร์เนตนั้น เห็นเค้าบรรยายว่ามี 16 แบบ

walai says: พี่ถึงถามเราไง เข้าใจอุปกิเลสมากแค่ไหน

says: คือ กิเลส 16 ประเภท

walai says: กิเลสทุกชนิดน่ะแหละ พี่เรียกรวมหมด ไม่มียกเว้น
ตราบใดที่ยังมีการยึดติดในสิ่งที่ถูกรู้ นั่นคือ ติดอยู่ในอุปกิเลส

says: อุปกิเลส กับ วิปัสนูปกิเลส นั้นก้อไม่แตกต่างกันสิครับ
เห็นเค้าบรรยายว่า อุปกิเลส 16 วิปัสนูปกิเลส 10

walai says: วิปัสสนูปกิเลส ก็เหมือนการน้อมเอาคิดเอาจากวิปัสสนึก
เกิดความติดใจ พอใจ ในสิ่งที่ถูกรู้

says: อ๋อ ที่เกิดขึ้นจากญาณที่ 1-3 ใช่มั้ยครับ
เคยได้ยินหลวงพ่อโชดก ท่านเคยเทศน์ให้ฟังเรื่อง วิปัสสนึก

walai says: พอเลย เลิกคุย คุยไปไม่รู้เรื่องหรอก มันก็เกิดทั้ง 16 ญาณน่ะแหละ
คนมันถูกหลอกกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หลุมพรางกับดักกิเลสชั้นยอดเลย ญาณ 16 น่ะ

says: รอให้ผมเจอด้วยตัวเอง ก่อนครับ แล้วค่อยเอามาคุยกันใหม่ครับ

walai says: ใช่ค่ะ อย่าไปคุยในสิ่งที่ยังไม่พบเจอด้วยตัวเอง มันจะกลายเป็นสัญญา
แล้ววิปัสสนึกจะเกิด หลงไปคิดว่าได้โน่นได้นี่ แต่ดันผ่าไม่เห็นกิเลสกัน ไม่รู้จักกิเลสกัน
รู้แค่คำเรียก แต่ไม่รู้โดยสภาวะ ถ้ารู้โดยสภาวะ มันจะมีแต่สละออก ไม่ใช่ขยันสร้าง

says: ครับ เข้าใจครับ ตัวขัดขวางไม่ให้เกิดปัญญาชั้นเยี่ยมเลยนะครับ
เพราะผมเข้าใจว่า แต่ละคนจะเห็นและเข้าใจแตกต่างกันนะครับ

walai says: เหมือนพระที่ทุบรูปหล่อพระทิ้งน่ะแหละ ไม่มีความแตกต่างหรอก
เพราะสิ่งที่ถูกรู้จะตรงกับในพระไตรปิฎก เมื่อคนนำไปเทียบพระไตรปิฎก เลยโดนกิเลสมันเล่นงานเอา
ทำให้หลงสภาวะไปเลย

says: ไม่เข้าใจที่พี่บอกว่า เหมือนพระที่ทุบรูปหล่อพระทิ้ง

walai says: เห็นตามความเป็นจริง มันต้องรู้จักกิเลส ต้องเห็นเหตุแห่งทุกข์
ว่าทุกข์จริงๆแล้วเกิดจากอะไร ไม่ใช่ไปทุบพระพุทธรูปทิ้ง หรือเอาน้ำกรดไปราด ไปทำลายพระพุทธรูป
มีลงข่าวไง นานแล้ว หน้าหนึ่ง นานมาแล้ว

เมื่อรู้จักกิเลส เมื่อเห็นตามความเป็นจริงได้ เมื่อรู้จักเหตุแห่งทุกข์ โทษของการเกิด
จะไม่คิดจะสร้างเหตุใหม่อีกแล้ว

ใครจะมาด่ามาว่า ไม่มีไปโต้ตอบหรอก ยอมอย่างเดียว เพราะรู้แล้วว่าเหตุทั้งหมดน่ะที่เกิดขึ้น
ในชีวิตของตัวเองนั้น เหตุต่างๆนั้นเกิดจากตัวเองทำไว้ทั้งนั้น ไม่ใช่คนอื่นๆทำให้

จะมีแต่เพียรทำต่อเนื่อง ทำไม่ต้องหวังผล เพราะมันเข้าใจในเรื่องของกิเลส
เข้าใจในเรื่องของผลที่จะต้องได้รับ มันไม่ไปว่าใครๆแล้ว

จะปฏิบัติแบบไหนๆล้วนไม่มีใครผิดหรอก แตกต่างไป เพราะเหตุที่ทำกันมา
ไม่มีใครถูกหรือผิดหรอก

says: ขอแค่ให้เห็นตามความเป็นจริงเท่านั้นเองนะครับ

walai says: ที่บอกว่าถูก ผิดน่ะ พวกอุปทาน ยึดมั่นถือมั่น ยังไม่เห็นตามความเป็นจริง
ถ้าเห้นตามความเป็นจริงได้ มันจะมีแต่ความไม่เที่ยง แล้วมันจะไปยึดติดกันไหม มีแต่ไปหลงกิเลส
ไปหลงให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง มันก็แค่รู้ของแต่ละคน ที่รู้จากความคิด แค่ความคิด

says: เลยเป็นตัวทำให้เกิดภพ เกิดชาติ ตามมานะครับ
walai says: ใช่สิ ความโง่ไง ตัวโง่เลยน่ะ เจ้าความไม่รู้นี่แหละ
คนที่รู้แล้ว จะมีแต่สละออก เอาออกอย่างเดียว ไม่มายึดติดหรอก

says: แต่ไม่ค่อยจะมีใครมายอมรับกันนะครับว่า ตัวเองโง่

walai says: โคตะระโง่เลยแหละ โง่ตั้งแต่เกิดเลย

says: คนที่จะเห็นว่าตัวเองโง่ นั้นอย่างน้อย ๆ ต้องอยู่ในระดับไหนกันล่ะ

walai says: ไม่มีระดับ มีระดับคือไปให้ค่ากันเอง พี่น่ะบอกตัวเองเวลาทำ ถ้าไม่อยากโง่ ทำไป

says: แล้วคนที่คิดว่าตัวเองไม่โง่ รู้ว่าตัวเองโง่ ได้ตอนไหนล่ะ

walai says: คุณรู้หรือยังล่ะว่าตัวเองโง่น่ะ

says: ตอนนี้เริ่ม ๆ รู้มาบ้างแล้วครับ แต่ว่ายังยอมรับได้ไม่หมด

walai says: คุณรู้ได้เองเมื่อไหร่ คนอื่นๆเขาก็ไม่แตกต่างจากคุณหรอกค่ะ แล้วแต่เหตุที่ทำมา

says: ต้องมาปฏิบัติเท่านั้น ถึงจะรู้นะครับ

walai says: ใช่ค่ะ ต้องเจริญสติ บางคนสมถะมาก่อนก็ไม่เป็นไร เพราะเหตุแต่ละคนไม่เหมือนกัน

says: ครับ ทั้งเหตุเก่า เหตุใหม่ที่เคยสร้างมานะครับ
การวางแผนทุก ๆ อย่าง เป็นการสร้างเหตุให้เกิดภพ ชาติไปเรื่อย ๆ ผมเข้่าใจได้ถูกต้องมั้ยครับ

walai says: วางแผนเพื่ออะไรล่ะ ในเมื่อรู้ว่ามันไม่เที่ยง

says: ผมเอามาเปรียบเทียบกับคนทั่ว ๆ ไปนะครับ
อย่างเช่นว่าคนเราที่ไปทำงานกันทุก ๆ วัน ต้องมีการวางแผนงานกันตลอด
แบบนี้คือปัจจัยก่อให้เกิดภพ ชาติแบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ หรือป่าว

walai says: แหมมม มันมีการเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆไหมล่ะ ไปสร้างเหตุกับเขาไหมล่ะ

says: หมายถึง แผนงานที่วางเอาไว้ใช่่มั้ยครับ

walai says: ใช่ค่ะ

says: การวางแผนส่วนใหญ่ จะเกี่ยวข้องกับคนอื่น ๆ นะครับ

walai says: นั่นแหละ

says: ถ้าแบบนั้นเราก้อจง พยายาม อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุตรงนี้นะครับ ถ้าละ เลิก ได้ยิ่งดีเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2010, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


says: ดีครับ เมื่อนั่งนาน ๆ มีอาการปวดเกิดขึ้น แล้วทำไมเวทนาที่เกิดขึ้นไม่ยอมหายไป

walai says: ไม่หายหรอกค่ะ ยิ่งอยากให้หาย ยิ่งไม่หาย

says: ครับ ผมเพียงแค่สงสัยนะครับ
เพราะปกติ อย่างเช่นเราเป็นเหน็บชา แล้วเวทนาที่เกิดขึ้นจะหายไปเอง

walai says: คุณยิ่งจ้อง ยิ่งไม่หาย เหน็บชาหาย เพราะคุณไปขยับขา

says: อืมมครับ ถ้าแบบนั้นหากนั่งนาน ๆ แล้วเวทนาเกิดขึ้นแล้วไม่ยอมหาย
เราควรที่จะหยุดพักจากการปฏิบัติครั้งนั้นก่อน แล้วค่อยมาเริ่มปฏิบัติใหม่ดีกว่าใช่มั้ยครับ

walai says: แล้วแต่ค่ะ บางคนก็เปลี่ยนอริยาบท บางคนก็กำหนดรู้หนอ
ลองนั่งต่อทนเท่าที่กำหนดได้ กำหนดไม่ไหว ก็เปลี่ยนอริยาบถ ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวค่ะ
คุณต้องลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไปดูจากคนอื่นๆไม่ได้
เพราะสติ สัมปชัญญะและสมาธิของแต่ละคนไม่เท่ากัน

says: การกำหนดรู้หนอ ใช้กับทุก ๆ คน ไม่ได้เสมอไปสิครับ

walai says: ใช้ได้ทุกคนค่ะ เพียงแต่ว่า ใครจะใช้หรือไม่ใช้เท่านั้นเอง

says: จุดประสงค์ของการกำหนดรู้หนอ คือ ต้องการดึงจิตให้มาตั้งมั่นให้อยู่กับปัจจุบัน
เนื่องจากบางเวลาจิตเค้าออกไปข้างนอก หรือไปยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่
ผมเข้าใจได้ถูกต้องหรือไม่

walai says: เมื่อจิตไหลไปตามสิ่งที่มากระทบ ไปอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ไปนอกจากกิจที่กำลังทำอยู่
การกำหนดรู้หนอ ถ้าว่าในแง่ของคำบริกรรมภาวนาก็คล้ายคลึงกับพุทโธ เพียงแต่รู้หนอมันเจาะจง
ลงไปในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น รู้อยู่ในสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่การบริกรรมพุทโธ จะทำให้เกิดสมาธิ สมาธิที่เกิดจากการบริกรรมภาวนาเข้าควบคุมจิต
ไม่ให้ไหลไปตามสิ่งที่มากระทบ การกำหนดรู้หนอ จะเป็นการทำให้สติ สัมปชัญญะมีกำลังมากขึ้น
รู้เท้าทันต่อสิ่งที่มากระทบมากขึ้น

says: เป็นแค่เพียงคำบริกรรมเฉย ๆ สิครับ แล้วถ้าหากผู้ปฏิบัติบางคน ใช้จนคล่องแล้ว
ไม่เหมือนกับการท่องจำเหรอ

walai says: พอกำลังของสติ สัมปชัญญะมากขึ้น มันจะรู้เท่าทันต่อสิ่งที่มากระทบมากขึ้น
วันใดกำลังของสติ สัมปชัญญะมากำลังมากพอ คำกำหนดรู้หนอมันจะหายไปเอง
มันจะเกิดสติ สัมปชัญญะ เกิดความรู้เท่าทันต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ขึ้นมาเอง

นี่ เวลาอ่านน่ะ อย่าเอาแค่อ่าน หัดพิจราณาด้วย อ่านและทบทวนใหม่อีกรอบ อย่าสักแต่ว่าอ่าน
ตอนนี้คุณแค่ฟังข้อมูล วันใดคุณทำได้ด้วยตัวเอง คุณจะเข้าใจในสิ่งที่อธิบายให้ฟัง
ถ้าพูดเรื่องบัญญัติ ปรมัติถ์ พูดไปตอนนี้คุณก็ไม่รู้เรื่องหรอก

says: อ๋อ ครับ พอดีว่า Scroll bar มันเลื่อนเลยไม่เห็นข้อความที่พิมพ์ตามมานะครับ

walai says: ลองทำและเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่ากลัวความผิดพลาด เพราะมันคือสภาวะ
ขณะที่กำลังทำเต็มรูปแบบ ไม่ลองไม่รู้ว่าทำแบบไหนถนัดกับตัวเอง ความผิดพลาดคือครู
เพราะมันคือสภาวะของแต่ละคนที่ต้องเรียนรู้กันเอาเอง ใครๆทำแทนหรือตัดสินใจให้ไม่ได้

says: เข้าใจครับ แล้วเวลาที่จิตออกนอก แล้วรู้... แต่เรายังส่งจิตออกไปอยู่ เพราะจงใจ
แบบนี้คือ ขาดสติ หรือว่า หลง ล่ะครับ

walai says: มีด้วยเหรอ รู้แล้วยังส่งออกนอกน่ะ มีแต่รู้แล้วว่ากำลังส่งออกนอก ก็จะแต่จะกลับ
มารู้ที่กาย ถ้าทำแบบที่คุณถามมานะ ชาตินี้อย่าหวังเลย ปล่อยไหลไปกับสิ่งที่มากระทบ
มันก็ไหลไปตามกิเลสไปตลอดชีวิตน่ะแหละ

เหมือนคนที่ชอบเล่นกับกิเลสไง รู้ทั้งรู้ว่ามันคือกิเลส รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นการก่อให้เกิดภพชาติต่อไปเรื่อยๆ
รู้ทั้งรู้ก็ยังทำ เพราะถูกใจ เพราะสนุก

คนที่รู้แล้วน่ะ เขามีแต่จะเลิกเล่น แล้วมุ่งแสวงหาความสันโดษให้กับตัวเขา
ตั้งใจทำต่อเนื่อง

says: แสดงว่่า สู้กิเลสไม่ได้ สู้ยังไงก้อแพ้ ๆ แล้วก้อแพ้

walai says: นั่นมันความคิดของคุณ คนที่ไม่คิดแบบคุณก็มี พี่คนหนึ่งละ ที่ไม่เคยคิดแบบคุณ
ถึงได้มาถึงจุดนี้ได้ ถ้าคิดแบบนั้นนะ ป่านนี้คงต้องตกเป็นขี้ข้ากิเลสต่อไป สนุกกับกิเลสต่อไป
เหตุของใครของคนๆนั้น ใครสร้างเหตุยังไง ก็รับผลไปตามนั้น ตามความเป็นจริง
ไม่ใช่ตามความคิดว่าถูกหรือผิดของแต่ละคน

says: ต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่

walai says: ทั้งความคิดและการกระทำ

says: สู้ถึงไหนถึงกัน

walai says: บอกแล้ว พูดให้น้อย ทำให้มาก

says: กำลังทำอยู่นะครับ ค่อย ๆ ปรับไปครับ

walai says: อะไรที่ไม่ใช่สภาวะที่ตัวเองเจอ แค่ไปอ่านเจอหรือท่องจำมา เลิกนำมาถามได้แล้ว
เพราะมันไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์เลย มีแต่ความสงสัยไม่รู้จบ

says: ครับ ไปล่ะพี่ ไปทำอีกซักรอบนึง เมื่อกี้ทำไปทีละ 70/45

says: เวลานั่ง แล้วบางครั้งรู้สึกว่ามือมันหายไป แต่ว่าอวัยวะส่วนอื่น ๆ ยังอยู่
แบบนี้เป็นไปได้ใช่มั้ยพี่

walai says: ได้ค่ะ

says: ไม่จำเป็นว่าต้องหายไปทุก ๆ ส่วนนะครับ

walai says: ค่ะ

says: อ้อครับ คืนนี้นั่ง ๆ แล้วมันเกิดเวทนาที่เท้าทั้ง 2 รอบเลย ปกติไม่ค่อยจะเป็น
เกิดแล้วไม่ยอมหาย

walai says: กำหนดรู้หนอหรือเปล่าคะ

says: กำหนดนะครับ แต่ผมกำหนดเป็น ปวดหนอ

walai says: กำหนดแบบนั้น แล้วมันปวดมากกว่าเดิมไหมล่ะ

says: บางครั้งปวดมากกว่าเดิม บางครั้งเท่าเดิม บางครั้งหายปวด

walai says: ถ้าถนัดกำหนดแบบนั้นก็ทำไปค่ะ

says: ครับ เวลาเข้าอัปปนาแล้ว อาการปวด ๆ แบบนี้จะไม่รู้สึกเลย หรือว่า ยังสัมผัสได้ครับ

walai says: อีกละ ทำไปค่ะ เพราะถ้าให้อธิบายล่ะก็มันยาว
ขี้เกียจอธิบาย ทำไป แล้วคุณจะรู้โดยสภาวะเอง

says: เอาไว้ผมเจอแล้ว เราค่อยเอามาคุยกันใหม่
เวลาที่ผมจับที่ลมหายใจแล้ว ไม่สามารถจับลมเข้า-ออกได้ แต่รุ้สึกเย็น ๆ ที่จมูก แบบนี้เป็นเพราะอะไร

walai says: ไม่มีอะไรค่ะ รู้สึกยังไงก็ให้รู้สึกไป อย่าไปให้ค่า

says: ครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 25 ก.ค. 2010, 02:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2010, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


25 กค. 53

says: ทำไมเวลาเดิน ช่วงแรก ๆ ค่อยง่วง แต่พอเดิน นาน ๆ แล้วเกิดอาการง่วงบ่อย ๆ
สังเกตุมาหลายครั้งแล้วครับ

walai says: ไม่เที่ยงค่ะ ง่วงมั่ง ไม่ง่วงมั่ง สภาวะเขามาสอนค่ะ

says: อย่างวันนี้เวลาที่เสร็จจากเดินแล้ว มานั่ง ช่วงแรก ๆ จะเคลิ้ม และสัปปะหงก
แต่พอนั่งไปนาน ๆ แล้วจะเป็นปกติ หายง่วงไปเลย รู้แต่ว่าเกิดเวทนา

walai says: สภาวะเขามาสอนเรื่องความไม่เที่ยงจริงๆค่ะ เพียงแต่คุณต้องเห็นด้วยตัวเอง
เมื่อคุณเห็นแล้ว ไม่ว่าระหว่างปฏิบัติ สภาวะเป็นยังไงก็ตาม คุณแค่รู้ว่ามันไม่เที่ยง

แล้วคุณจะเลิกหาคำตอบว่าทำไม อย่างไร อะไร คือ เขาสอนให้คุณไม่ไปยึดติดกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น
ซึ่งที่เรามองว่าดีมั่ง ไม่ดีมั่ง เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริงว่ามันไม่เที่ยง เราจะไม่ไปให้ค่า
ให้ความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันคืออะไร คุณต้องเห็นด้วยตัวคุณเองน่ะค่ะ

says: ครับ เดี๋ยวนี้เจออะไรหลาย ๆ อย่างแล้ว มีแต่ความไม่เที่ยงทั้งนั้นเลยนะครับ
เมื่อตอนช่วงบ่าย ๆ ผมนั่ง 60/60 ช่วงหลัง ๆ เกิดเวทนาแล้วลองมากำหนดรู้หนอ
พอกำหนด ได้ 3-4 ครั้ง ความปวดที่เกิดขึ้น หายไป
แต่หลังจากนั้นเวทนา ก็กลับมาให้ได้รู้สึกอีก

ถ้าผมต้องการจะลองนั่งให้นาน ๆ กว่านี้ มีวิธีการ ไหนบ้างมั้ยครับ ที่จะทำให้จิต ไม่มายึดติด
อยู่กับเวทนาที่เกิดขึ้น ถ้าหากว่าไม่ต้องการขยับตัว หรือว่าเปลี่ยนอิริยาบถ ๔

walai says: ไม่มีวิธีการใดๆค่ะ คุณต้องเรียนรู้เวทนาด้วยตัวเอง จนกว่าจะแจ้งในเวทนา
ทีนี้ต่อไปคุรจะนั่งโดยแค่รู้ว่ามันมีเวทนา แต่ไม่ไปเกิดเวทนาตามที่รู้สึก มันจะแค่รู้
อันนี้ก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่มีวิธีการ มันเป็นเรื่องของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ ทำงานร่วมกัน

says: ครับ จากเวทนาที่เกิดขึ้นมาเมื่อตอนบ่าย ผมตั้งใจเอาไว้ว่าคืนนี้จะลองตามดูเวทนาที่เกิดขึ้นมา
ว่าจะเป็นอย่างไร กะจะเฝ้าดูจนกว่าจะทนไม่ไหว ตอนนี้พอจะรู้วิธีอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ลองดู

walai says: ถ้าคุณอยากรู้ว่าพี่ทำยังไง กลับไปย้อนอ่านสภาวะที่พี่ผ่านเวทนามาได้
ปีแรกๆที่ปฏิบัติน่ะ ไปอ่านดู มันจะเป็นแบบนั้นน่ะแหละ

พอผ่านมาได้แล้ว มันจะไม่ไปเกิดเวทนายามที่เกิดเวทนาอีกต่อไป มันจะเหลือแค่รู้
เหตุที่ไปเกิดเวทนาร่วม มันเกิดจากการปรุงแต่งของจิต

การที่จะทันต่อการปรุงแต่งของจิต เพราะมันมีกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ
ทำงานร่วมกันในระดับหนึ่ง

says: เหมือนกับว่าเราผ่านสภาวะตรงนั้นมาได้แล้วนะครับ จะคล้าย ๆ กับสภาวะต่าง ๆ
ที่เราเคยเจอมาแล้ว เมื่อเราเข้าใจแล้ว จะแค่รู้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ไปยึดติด ไม่ไปให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

walai says: มันคนละอย่างกัน อันที่คุณพูดมานี่คือ สภาวะของความไม่เที่ยง
ส่วนสภาวะเวทนาที่พี่พูดถึง มันอีกเรื่องหนึ่ง คนละเรื่องกัน คนละสภาวะกัน
ก็บอกแล้วไง เวลาอ่านน่ะ อย่าอ่านผ่านๆ อ่านช้าๆ พิจรณาด้วย

ถ้าถามว่าสภาวะไหนเกิดก่อนกัน อันนี้ไปกำหนดคำตอบไม่ได้ เพราะเหตุของแต่ละคน
สร้างมาแตกต่างกันไป

สภาวะความไม่เที่ยง มันต้องแจ้งออกมาจากจิตจริงๆ มันต้องรู้ ต้องเห็นด้วยตัวเองจริงๆ
มันถึงจะสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นได้ คือ ไม่ไปให้ค่า เพราะรู้แล้วว่ามันไม่เที่ยง มันเลยไม่รู้ว่า
จะไปให้ค่าทำไม

สภาวะเวทนา ต้องมีกำลังของสติ สัมปชัญญะและสมาธิทำงานร่วมกัน คือ สมาธิต้องแนบแน่น
ต้องตั้งมั่นมากๆ สติ สัมปชัญญะต้องชัดเจน เรียกว่า เดินรู้เท้า นั่งรู้กายได้หมดจริงๆ
เพราะตัวสติ สัมปชัญญะจะทันต่อการปรุงแต่งของจิต ส่วนสมาธิมันไปกดข่มกิเลสเอาไว้อีกที

เมื่อสามตัวนี่เขาทำงานร่วมกัน มีกำลังในระดับหนึ่ง มันจะแค่รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น คือมีเวทนาจริง
แต่แค่รู้ ไม่ไปรู้สึกเจ็บปวดอะไรด้วย

การนั่งได้นาน ไม่นาน ไม่ใช่ตัววัดผล การนั่งแล้วรู้อยู่ในเวทนานั้นๆได้ คือ แค่รู้ นั่นตัววัดผล
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจะจับรายละเอียดได้หมด นี่คือสติ สัมปชัญญะดี สมาธิดี

ขณะที่กำลังเกิด ( เวทนา ปวด )
ขณะที่เกิด ( ความเจ็บปวดกำลังเกิดขึ้น )
ดับไป ( กำลังจะหายจนกระทั่งหายไปในที่สุด )
นี่ มันจะจับรายละเอียดได้หมด

says: เข้าใจครับ ครับ วันนี้ที่เจอมาผมก็ว่า สมาธิ คงมีผลต่อการเกิดเวทนา มาก ๆ เลยนะครับ
แต่ว่าถ้าไม่นั่งนาน ๆ เราจะไม่ได้เจอเวทนาที่เกิดขึ้นได้ชัดนะครับ

walai says: คุณอาอะไรมาวัดล่ะ ให้ค่าแล้วเห็นไหม

says: ครับ อันนี้ยอมรับนะครับ
แต่ผมเอามาจากประสบการณ์การปฏิบัติของผมที่ได้ทำมานะครับ

walai says: พูดมาสิ

says: ก็อย่างเวทนาที่เท้าที่เกิดขึ้นนะครับ ของผมจะเกิดขึ้น ตอนประมาณ 45-60 นาที
ปกติที่ทำ ๆ มาจะทำไม่ถึง ทำแค่30 นาทีเท่านั้น ทำให้ไม่ค่อยจะได้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นได้ชัด

แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่บอกแล้ว เวทนาเค้าจะปรากฎให้ได้เห็นทันทีครับ แต่ว่าเรายังไม่เข้าใจในเวทนา
ได้อย่างแท้จริง เวลาเค้าเกิด แล้วเราทนปวดไม่ไหว ก็ต้องหยุดปฏิบัติไป

walai says: แค่นี้หรือที่จะพูดน่ะ

says: ครับ

walai says: เห็นแค่นี้น่ะ ปัทติโถ คุณน่ะ ยังไม่รู้อะไรอีกมากๆ สภาวะมันมีอะไรมากกว่านี้
มันซ้อนๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันต้องมีทั้งสติ สัมปชัญญะและสมาธิทำงานร่วมกันในระดับหนึ่ง
จึงจะเห็นรายละเอียดทั้งหมดได้ เอาแค่ความไม่เที่ยงตามความเป็นจริงน่ะ คุณยังไม่เห็นเลย
นับประสาอะไรกับสภาวะเวทนาที่คุณนำมาถาม

says: ตอนนี้ของผมแค่เริ่มต้นนะครับ สำหรับสภาวะเวทนา เพราะเพิ่งจะเจอมาได้ 2-3 วันนี้เอง
ส่วนสภาวะควาไม่เที่ยง ตอนนี้ผมยอมรับว่ายังเห็นได้ไม่หมดครับ
เพราะว่ามีมาให้เห็นอยู่ตลอด เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

walai says: ส่วนสภาวะความไม่ เที่ยง ตอนนี้ผมยอมรับว่ายังเห็นได้ ไม่หมดครับ ................... พูดแบบนี้ แน่ใจหรือว่าเห็นความไม่เที่ยงมั่งแล้ว

says: ครับ เห็นมาบ้างแล้วครับ เข้าใจมาบ้างแล้ว

walai says: ความไม่เที่ยงที่คุณคิดว่าคุณรู้หรือเห็นมันน่ะ คุณแค่คิดเอาเองเท่านั้นเอง
กลับไปย้อนอ่านคำถามที่คุณนำมาถามพี่ตอนแรกน่ะ เพราะถ้าคุณเห็นมันมั่งแล้ว
คุณจะไม่มาถามพี่แบบนั้นหรอกค่ะ เพราะคุณยังไม่เห็นมันเลยสักนิดเดียว คุณถึงได้มาถามแบบนั้น

says: อ้าวเหรอครับ

walai says: บอกแล้วไง สภาวะน่ะ มันหลอกกันไม่ได้หรอก แต่ตัวผู้ปฏิบัติเองน่ะ หลอกตัวเองได้

says: แสดงว่าที่ผมเห็นมานั้น เป็นแค่เพียงความเข้าใจเท่านั้นเองล่ะสิ

walai says: คุณน่ะแค่ท่องจำมัน แต่ยังไม่ใช่เห็นโดยสภาวะที่แท้จริง

says: เข้าใจครับ

walai says: กิเลสระวังนะคะ พี่เตือนหลายครั้งแล้ว ความอยากน่ะมันเนียน

says: ครับ ความอยากเค้ามาหาเรา แบบไม่เคาะประตูเรียกกันก่อนเลยนะครับ
จู่ ๆ ก็แอบเข้ามาหาทันทีเลย

walai says: ทำไมเวลาเดิน ช่วงแรก ๆ ไม่ค่อยง่วง แต่พอเดิน นาน ๆ แล้วเกิดอาการง่วงบ่อย ๆ
สังเกตุมาหลายครั้งแล้วครับ ..... นี่เห็นไหมคำถาม

เพราะยังไม่เห็น จึงนำมาถาม ถ้าเห็นแล้วจะไม่ไปให้ค่าว่าทำไมหรืออะไรหรืออย่างไร
มันจะแค่รู้ แล้วทำต่อไป

says: ครับ เริ่มพอจะเข้าใจครับ

walai says: เหมือนกับการนั่ง จะบอกให้นะ บางคนนั่งได้นานๆหลายชม.โดยไม่ปวดเลยก็มี
แล้วลองถามผู้ปฏิบัติดูสิ ที่ว่านั่งได้นานน่ะ ไม่มีเวทนาเลยน่ะ รู้ตัวได้ตลอดไหม
รู้รายละเอียดสภาวะที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ไหม

ร้อยทั้งร้อยตอบว่าเปล่า เพราะอะไรล่ะ เพราะสมาธิลากเอาไปกินหมด

says: ครับ คนที่นั่งนาน ๆ ส่วนใหญ่จะติดสมาธินะครับ

walai says: ให้ค่าอีกละ คุณต้องฝึกนะ ไปว่าเขาได้ยังไงว่าติดสมาธิ
เพราะเขาไม่รู้ เข้าใจไหม ไม่ใช่ไปว่าเขา คุณต้องฝึกที่จะไม่ให้ค่า ฝึกที่จะดูตามความเป็นจริง

says: ครับ ต้องพยายามฝึกตรงนี้ให้ได้ก่อนนะครับ

walai says: พี่น่ะ เมื่อก่อนก็เป็นแบบคุณน่ะแหละ ชอบให้ค่า ชอบว่าคนอื่นๆ
พี่ถึงบอกไง ตราบใดที่ยังมีกิเลส เราน่ะยังเลว เพราะเรายังหลงให้ค่าอยู่ เรามันโง่
เข้าใจความโง่ที่พี่พูดถึงหรือยังล่ะ

เราจึงต้องฝึกเจริญสติเพราะเหตุนี้ ถ้าไม่อยากโง่อีกต่อไป โง่สร้างเหตุไม่เลิก
เลวที่ยังชอบว่าคนอื่นๆ

says: เราให้ค่าเพราะว่าเรายึดติดกับสิ่งต่าง ๆ ตามความเข้าใจของตัวเราเองนะครับ

walai says: ใช่ อุปทานไง

says: ต้องพยายามกำจัดความโง่ให้มันลดน้อยลง จากจิตของเรานะครับ

walai says: มันไม่ใช่แค่การฝึกเจริญสติอย่างเดียว คุณต้องฝึกไม่ให้ค่าด้วย
กระทบปั๊บ พิจรณาก่อน ก่อนที่จะพูดหรือทำอะไรลงไป เพราะนั่นคือเหตุใหม่ที่กำลังจะทำ
มันส่งผลทั้งชีวิตและการปฏิบัติ

ช้าเพื่อไว เสียเพื่อได้ ไม่ต้องไปรีบให้ค่าแค่รู้ก่อน เวลาเกิดการกระทบน่ะ
หยุดความคิดเอาไว้ก่อน หรือถ้าคิด หยุดดูก่อน

says: ต้องมีสติให้ทันด้วยนะครับ

walai says: คุณฝึกสองแบบไง ทั้งเจริญสติ และฝึกถ่ายถอนอุปทาน
ไม่ต้องไปรอการละสังโยชน์ตัวจริง สักกายะทฺฏฐิให้เกิด

คุณฝึกถ่ายถอนไปเรื่อยๆ อาจจะทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ไม่ต้องไปคาดหวัง มีหน้าที่คือทำ
เพราะว่า ทำยังไง ผลมันต้องได้ตามนั้นอยู่แล้ว ถึงบอกว่าไม่ต้องไปหวัง

says: ต้องทำให้มีสติทัน และหัดพิจารณาในสิ่งที่มากระทบให้ได้ก่อน

walai says: พี่ถึงบอกไง ทำให้มาก คำว่ามากคือ ทำตามเหตุ จะเอาคนอื่นๆมาเปรียบเทียบไม่ได้
บางคนเขาทำแค่ 10 นาที เขาก็ว่ามากแล้ว ฉะนั้น มากของแต่ละคนไม่เท่ากัน แล้วแต่เหตุที่ทำมา

says: แบบนี้ก้ออยู่ที่การให้ค่าของแต่ละคนสิครับ

walai says: ใช่ ไปให้ค่ากันเอง จริงๆแล้ว ล้วนเกิดจากเหตุ
เหตุที่เคยทำมา พร้อมๆกับเหตุใหม่ที่กำลังทำให้เกิดขึ้น

says: ครับ ตอนนี้ผมยัง ไม่เข้าใจเรื่องเหตุเก่า เหตุใหม่ที่สร้างขึ้น ไม่ชัดเจนนะครับ
คงต้องทำไปเรื่อย ๆ ก่อน ตัววัดผลของสติ คือ สมาธิ หรือป่าวครับ

walai says: อีกแล้ววววววววววว พ่อเจ้าประคุณเอ๋ยยยยยยย
ถามมาแต่ละอย่างนี่ ไม่เคยจำเลยว่าถามอะไรไว้บ้าง แล้วตอบไปว่ายังไง ถามซ้ำถามซาก ทำไปค่ะ

พอได้แล้ว มีแต่คำถาม แต่ไม่เคยจำ จำด้วยสิ เวลาพี่ตอบไปน่ะ
ไม่ก็จดเอาไว้เลย ว่าถามอะไรพี่ไปมั่งแล้ว

says: ครับ อิอิ ไปล่ะครับพี่ ขอตัวไปทำก่อนนะ ถ้าเห็นอะไรมาแล้ว เข้าใจจะเอามาคุยกันใหม่ครับ

walai says: ค่ะ ทำให้มาก ไม่ใช่เอาแต่ถามๆๆๆๆๆ แต่สภาวะยังไปไม่ถึง
ถึงถามไม่เลิกสักที จะบอกให้เลิกอ่าน คงใช้ไม่ได้สำหรับคุณ อ่านมาก ฟุ้งมาก
เพราะความสงสัยมันมีมาก พี่ไม่ใช่อิกคิวนะ ท่องเอาไว้ด้วย บอกหลายครั้งแล้วนะคะ

says: ครับ พี่น้ำ ไม่ใช่อิกคิว ซังนะครับ

walai says: แล้วก็ไม่ใช่โดราเอม่อน ที่จะมีกระเป๋าวิเศษ เนรมิตให้กับทุกสิ่งที่ต้องการกัน
ต้องทำด้วยตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเอง ต้องผิดพลาดด้วยตัวเอง

says: ครับ เข้าใจนะครับ ใช่ครับ เห็นด้วย และถูกต้องเลยครับ

walai says: เหมือนคนล้มน่ะ ถ้าไม่ล้ม เราจะรู้ไหมว่า อันนี้เขาเรียกว่า ความเจ็บ

says: ก็อย่างที่ผมเอามาถามพี่นี่แหล่ะครับ

walai says: พอรู้ว่าล้มแล้วเจ็บ เราก็ไม่อยากเจ็บ เราจึงระวังตัว

says: ครับ มันเป็นสัจธรรมครับ

walai says: คุณน่ะ ไม่ทันความคิดของตัวคุณเอง คุณมันกลิ้งไปเรื่อย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 27 ก.ค. 2010, 01:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 23:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


26 กค.53

says: ถามเรื่องเวทนาหน่อยครับ
เมื่อคืนหลังจากที่ได้คุยกันแล้ว ผมได้ลองนำเอามาปฏิบัตินะครับ
เมื่อมี สติ สัมปชัญญะ และสมาธิ เกิดขึ้นแล้ว เวทนาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แต่ไม่เห็นมันดับ นะครับ
ยังเห็นว่ามีอยู่ แต่ว่า รู้สึกปวดเท่านั้น เมื่อตอนบ่ายนี้ลองทำดูอีกรอบ ได้ผลเหมือนกัน คือ
รู้ว่าเกิดเวทนา รู้สึกปวด แต่หลังจากนั้นความปวดหายไป รู้สึกเย็น ๆ ที่เท้า คือรู้ว่ายังมีเวทนาเกิดขึ้นอยู่
แบบนี้เป็นไปตามที่เราคุยกันเมื่อคืนหรือเปล่าครับ ผมลองไปหาอ่านดูในบล็อกแล้ว
แน่ใจว่าหน้านี้หรือเปล่า

walai says: ทำไมถึงชอบการให้ค่า แล้วทำไมต้องเอาไปเปรียบเทียบ

says: ผมเอามาเปรียบเทียบกับที่เราคุยกันเมื่อคืนนะครับ แล้วลองเฝ้าดูกับสิ่งที่ได้ปฏิบัติไป
ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ผมเข้าใจได้ถูกต้องตามที่พี่ได้ลองเกริ่น ๆ ให้ฟังเอาไว้หรือไม่
คือผมเข้าใจนะครับ ว่าแต่ละคนนั้นอาจจะเจอมาไม่เหมือนกัน

บางครั้งการนำเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว คงจะเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย
แต่แค่ต้องการทราบเป็นแนวทางครับ

walai says: เพื่อทราบแนวทาง พี่ก็บอกไปแล้ว
สังขารร่างกาย จะปวดมากหรือน้อยก็อยู่ที่อุปทาน
ยึดมาก ปวกมาก ยึดน้อยปวดน้อย ไม่ยึดไม่ปวด
ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไงมันก็ต้องยึด

ทีนี้ก็อยู่ที่สติ สัมปชัญญะและสมาธิที่มาเป็นองคืประกอบ
ถ้ากำลังของสติ สัมปชัญญะดี สมาธิดี มันย่อมกดสภาวะนั้นๆลงไปได้ชั่วคราว
วันใดสติ สัมปชัญญะ สมาธิไม่ดี มันก็ต้องปวดตามที่ยังมีอุปทานอยู่

เข้าใจหรือยังที่พี่บอกว่าอย่าไปให้ค่าหรือนำไปเปรียบเทียบเพราะอะไร
ให้ค่าไปก็เท่านั้น นำไปเปรียบเทียบก็เท่านั้น

ในบล็อกของพี่ พี่แค่เขียนตามสภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆแค่นั้นเอง
เมื่อเข้าไปอ่าน ก็ควรจะแค่อ่าน ไม่ใช่ไปยึดติด

says: เข้าใจครับ ผมก็แค่อ่าน และนำเอามาวิเคราะห์ดูนะครับ

walai says: นี่ขนาดแค่วันเดียวเองนะ ก็วิ่งหาคำตอบแล้ว

says: ก็พอดีว่ามันเจอสภาวะตัวนี้มาช่วงนี้พอดีนะครับพี่

walai says: ถึงบอกไง แค่วันเดียวเองนะ กิเลสน่ะมันร้าย ความอยาก

says: ต้องถามผู้รู้ที่มีประสบการณ์ สอบถามถึงแนวทางว่า ควรจะทำอย่างไร

walai says: ควรทำอย่างไร ถามพี่แบบนี้มากี่ครั้งแล้ว
พี่บอกแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะเจอสภาวะอะไรให้แค่รู้ แล้วดูมัน อย่าไปให้ค่า

says: อ้ออันนี้ ได้ถามนะครับ อธิบายให้ฟังเหตุผลครับ

walai says: งั้นหรือ

says: ครับ ใช่ครับ จากที่ได้คุยกันเมื่อคืนนั้น ผมก็ได้ลองเฝ้าดูนะครับ ว่า
สติ เราเป็นอย่างไร
สัมปชัญญะเรามีมั้ย
และสมาธิตอนนั้นเป็นอย่างไร
ผลที่เกิดขึ้นมานั้นคล้าย ๆ กับสิ่งที่บอกมามั้ย
แค่เฝ้าดู ส่วนว่าจะเกิดขึ้นแบบไหนนั้นอีกเรื่อง ว่าแต่เวทนา แค่รู้ว่าเวทนา
ขณะเวทนาเกิด ให้เห็น แต่เราไม่ไปยึดติดต่อเวทนานั้น ๆ
ทำแค่นี้พอนะครับ

walai says: ผลที่เกิดขึ้นมานั้นคล้าย ๆ กับสิ่งที่บอกมามั้ย ............. เนี่ยนะ ไม่ถาม
ทำต่อไปค่ะ แล้วจะได้ทุกๆคำตอบเอง จะยึดหรือไม่ยึด อยู่ที่อุปทานของแต่ละคน
จะไปบอกว่าไม่ไปยึดไม่ได้หรอก

says: ครับ ณ ตอนนี้ผมเข้าใจแบบนี้นะครับ แต่วันอื่น ๆ นั้นอาจจะเปลี่ยน
เพราะว่ามันไม่เที่ยงนะครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2010, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


27 กค. 53

says: ดีครับ สติ กับ สัญญา ต่างกันอย่างไรครับ

walai says: มีอะไรหรือคะ

says: เมื่อกี้ตอนเดิน ๆ อยู่ มีการพิจารณาเรื่องของสติ กับ สัญญา

walai says: แล้วไง

says: คิดว่า ถ้าไม่มีสัญญาแล้ว สติจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สติ ต้องอาศัยสัญญา เป็นองค์ประกอบ

walai งั้นหรือ แล้วสัญญาล่ะเกิดขึ้นได้ยังไง

say: สัญญาเกิดขึ้นมาได้จากความคิด จากสิ่งที่มากระทบ จากการกระทำ และเกิดจากการให้ค่า

walai ให้ค่ายังไง

says: ให้ค่าตามสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ หรือว่าได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ได้คิดมา

walai says: บัญญัติกับปรมัตถ์คืออะไร

say: บัญญัติ คือสิ่งสมมุติ ที่เรากำหนดขึ้นมา เพื่อใช้สำหรับสื่อสาร ให้เข้าใจตรงกัน
เป็นการให้ค่าที่เราคิดว่าเรายอมรับกันได้

walai งั้นบัญญํติก็เหมือนสัญญาน่ะสิ

says: ก็คล้าย ๆ นะครับ แต่คิดว่าไม่ครอบคลุม ซะทุกอย่าง

walai says: งั้นหรือ

says: ครับ เข้าใจว่าแบบนั้นนะครับ แต่่ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่า จะยกตัวอย่างอะไรมาให้ได้ชัดเจน

walai says: คุณน่าจะไปหาคนที่เขาเก่งอภิธรรมโดยตำรานะ

says: ทำไมล่ะครับ

walai says: ก็สัญญาที่คุณถามมาน่ะ มันอยู่ในการทำงานของขันธ์ 5
ส่วนบัญญํติที่พี่ถามคุณไปน่ะ มันใช้ในการสื่อสาร

ถ้าคุณไปถามคนที่เขาถนัดอภิธรรม เขาจะได้ตอบตามตำราให้คุณฟังได้ไง
ไม่ก็คุณเข้าไปหาในกูเกิ้ล การทำงานของขันธ์ 5

พี่จะไม่อธิบายอะไรๆให้กับคนที่สภาวะยังไม่ถึง ไม่อธิบายให้ฟังอย่างเด็ดขาด
เพราะจะเกิดการท่องจำ เรื่องสภาวะมาท่องจำกันไม่ได้ มันต้องรู้ห็นด้วยตัวเอง

says: ครับ เข้าใจนะครับ ผมคงต้องทำด้วยตัวเองต่อไปนะครับ ต้องเข้าใจด้วยตัวเองจากการปฏิบัติ

walai says: ถ้าชอบการพิจรณามากกว่าการดูตามความเป็นจริง
กูเกิ้ลจะช่วยคุณได้ หาคำแปลของความหมายที่คุณต้องการรู้ มันจะมีเขียนบอกไว้

says: ครับ แต่ผมคิดว่าก็ยังไม่เข้าใจแบบว่ารุ้แบบหมดเปลือก
ไม่เหมือนกับการเจอด้วยตัวเองจากการปฏิบัตินะครับ

walai says: ช่วยตัวเองนะเรื่องปริยัติ พี่ไม่อยากพูด แค่สภาวะปรมัตถ์ คุณยังไม่รู้จักมันเลย
แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่คุณถามมา ถ้าคุณรู้จักสภาวะปรมัตถ์ คุณจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้

says: ปรมัตถ์ คือ สิ่งที่เรารู้แจ้ง ออกมาจากจิตไม่ใช่เหรอครับ

walai says: อีกละ ไปเอามาจากไหนอีกล่ะนั่น

says: ตามความเข้าใจนะครับ

walai says: ทำไป ชอบตีความ

says: ถามเรื่อง อาการของปีติหน่อยสิครับพี่

says: อันนี้เป็นบันทึกของคืนนี้ครับ
รู้สึกตัวได้ดี รู้ท้องพอง-ยุบ กับ ลมหายใจได้ชัด ไม่มีอาการเคลิ้ม หรือ ง่วงนอน แสดงให้เห็น
เมื่อถึงช่วงกลางๆ เริ่มมีเวทนาเกิดขึ้น สมาธิข่มจิตมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของกายให้อยู่ในท่านั่ง
ที่เหมาะสม ทำให้ไม่รู้สึกปวดกับเวทนาที่เกิดขึ้น รู้สึกสบายๆ มีความสุข สดชื่น
เหมือนกับเพิ่งจะเริ่มต้นนั่งสมาธิ

walai says: คุณจะไปปวดได้ยังไง ในเมื่อมีการขยับกาย

says: ไม่ว่าจะที่ตำแหน่งไหนน่ะเหรอครับ

walai says: ใช่ คุณอ่านบล็อกพี่มากไปนะ เลิกอ่านเถอะ เพราะจะมีแต่ไปเพิ่มความอยากให้กับคุณ
คุณมองเห็นความอยากของคุณมั๊ย ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตั้งแต่เรื่องสภาวะแมลงแล้ว
คุณยึดติดบัญญัติ คุณรู้ตัวมั่งไหม

says: อืมครับ เข้าใจนะครับพี่

walai says: เพราะคุณไปยึดติดกับมัน คุณเลยติดกับของกิเลสที่คุณไปให้ค่ากับมันเอง
จึงพยายามทำทุกทาง ที่คิดว่าน่าจะใช่

says: วันนี้เมื่อช่วงตอนบ่ายคิดได้เรื่องนี้อยู่พอดีนะครับพี่ เรื่องของความอยากน่ะ
คิดได้ว่า ทุกคนมีความอยากเหมือนกัน แต่ว่าทุกคนจะยอมรับหรือป่าว
บางคนบอกว่าตัวเองไม่อยาก แต่ที่ไหนได้ นั่นแหล่ะคือความอยากที่ตัวเองยังไม่เห็น

walai says: บอกแล้ว สภาวะของทุกคนเหมือนกันหมด เพราะยังมีกิเลส แต่ที่แตกต่างคือ
เรื่องของสติ สัมปชัญญะและสมาธิ โดยเฉพาะสติ สัมปชัญญะนี่สำคัญมากๆ
คุณจะรู้จะเห็นแบบพี่ได้ คุณต้องรู้จักสภาวะปรมัตถ์ด้วยตัวเองก่อน ถึงจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้
ทำแบบคุณน่ะ เขาเรียกว่าทำด้วยความอยาก พี่ห้ามคุณไม่ได้ มันคือกิเลสของคุณ

says: อืมม เข้าใจนะครับพี่

walai says: ทำง่ายๆกลับไม่ทำ ไปทำให้มันยากขึ้น
แค่เจริญสติ ดูตามความเป็นจริง ไม่ให้ค่า ทำแค่นี้เอง

says: ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจมาบ้างแล้วนะครับ เดี๋ยวนี้เริ่มปล่อยวางมากขึ้นแล้วนะครับ

walai says: คุณนี่มันกลิ้งไปได้เรื่อยนะ พอพี่พูดขึ้นมา คุณก็กลิ้งละ

says: อ้อ ไม่ใช่ครับพี่ อันนี้มันคิดได้เองนะ ไม่ใช่คิดได้ตอนนี้ วันนี้มันเกิดความคิดนี้ขึ้นมาจริง ๆ

walai says: งั้นหรือ แล้วเรื่องเวทนามาถามพี่ทำไม ถ้าปล่อยวางได้จริง ถ้าปล่อยวางได้
มันไม่มาพิจรณาอะไรหรอก มีแต่จะดูตามความเป็นจริง

ความคิดก็คือความคิดนะจำไว้ ตราบใดที่มันไม่ได้เกิดออกมาจากจิตจริงๆ มันก็แค่ความคิด
ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามสิ่งที่มากระทบ

says: อ้อ อันนั้นมันตอนเมื่อวานใช่มั้ยครับพี่

walai says: กลับไปย้อนอ่านข้างบนสิว่า เริ่มแรกคุณถามอะไรพี่มา จากบันทึกของคุณน่ะ
ส่วนปริยัติ อย่างที่พี่แนะนำไป ไปตั้งกระทู้ถามในบอร์ด จะได้เห็นความคิดที่หลากหลาย
ไม่ก็ไปหาในกูเกิ้ล พี่น่ะต้องการให้ดูตามความเป็นจริง จะได้ไม่ตกหลุมพรางของกิเลส การให้ค่า

says: อ๋อ ผมจะถามเรื่องของอาการปีตินะครับ คือผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมเจอมาคืนนี้ มันคือปิติ
ก็เลยลองเอามาถามดูว่าแบบที่เจอมานี้ใช่หรือป่าว

walai says: สมมุตินะ ถ้าเป็นปีติ แล้วไงล่ะ มันมีผลอะไรกับตัวของคุณไหม

says: อ้อครับ ถ้าหากว่าใช่ปิติจริง ๆ นะ ผมรู้สึกว่าเวลาเรานั่งสมาธิแล้ว มีความรู้ตัว ได้ตลอด
มีความสุขทั่วกาย

walai says: คุณตอบไม่ตรงคำถาม พี่ถามว่า มันมีผลอะไรกับตัวของคุณไหม
มันทำให้คุณเห็นกิเลสได้ชัดขึ้นไหม

says: เห็นนะครับ เห็นความอยากสุข อยากสบาย เพราะเวลาที่เกิดนะ จิตเราชอบ
จิตเราเค้าชอบสภาวะตรงนี้ เวลานั่ง ๆ แล้วมันสบาย ตัวเบา จะให้นั่งได้นานซักเท่าไหร่ก็ได้
ไม่มีเคลิ้ม ไม่มีง่วง

walai says: งั้นหรือ แล้วนั่งได้นานเท่าไหร่ล่ะเมื่อกี้น่ะ

says: เกือบจะ 1 ชั่วโมงนะครับ พอดีผมรีบออกจากสมาธิเสียก่อน ถ้าจะให้นั่งอีก ก็นั่งได้นะ

walai says: ทำไมต้องรีบออก ในเมื่อชอบ

says: พอดีผมกะจะมาเคลี่ยร์งานที่ค้างเอาไว้นะครับ
พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้ว ก็เลยออกจากสมาธิก่อน

walai says: เอาเถอะ ไปหาในกูเกิ้ลเอาว่าอาการปีติมียังไงบ้าง มีเขียนไว้ หาง่าย
แล้วสิ่งที่คุณพูดมาน่ะ ถ้าทำได้ทุกวันนะ แล้วไม่มีงานที่ต้องเคลียร์นะ
นั่งต่อไป ดูสิจะนั่งได้กี่ชม. หรือนั่งกี่ชม.ก็ได้อย่างที่คุณพูดมา
แล้วรู้อยู่ในกายได้ตลอดไหม ดูแค่นี้แหละ ดูทุกวัน แล้วลงบันทึกด้วย

says: อืมมครับ คืนนี้รุ้อยู่ได้ตลอดเลยนะครับ

walai says: มันแค่คืนนี้

says: ครับเข้าใจนะครับ

walai says: ดูคืนต่อๆไปด้วย ดูทุกๆคืน แล้วอย่าขยับตัว อย่าหนีเวทนาอีก

says: มันขยับเองนะสิครับพี่

walai says: บ้าไง

says: ผมไม่ได้ตั้งใจจะขยับนะครับ

walai says: คุณไม่ขยับมัน แล้วมันจะขยับได้ยังไง
คุณสติไม่ทันน่ะสิ ถึงพูดแบบนี้ ไหนว่ารู้ได้ตลอดไง

says: ก็สมาธิไม่่ใช่เหรอครับ คือผมรู้ว่ามันขยับนะ แต่ผมก็เฝ้าดูมันต่อไปนะ

walai says: ปัทติโถ คิดได้ยังไง คุณนี่ เวรกรมมจริงๆ สมาธินี่นะ ทำให้กายเคลื่อนไหวได้

says: ป่าว ๆ ครับพี่ ผลที่เกิดจากการทำสมาธิไม่ใช่เหรอครับ
เหมือนกับการที่ตัวเราเคลื่อนไหวเองน่ะ

walai says: พอเลย ไปกันใหญ่แล้ว ไปเอามาจากไหนกันนี่
พี่ไม่เคยพูดเลยนะ สมาธิทำให้ขยับตัวได้น่ะ

says: อืมม ครับพี่ไม่เคยพูดนะครับ แต่ผมจะเป็นแบบนี้บ่อย ๆ นะครับ
เมื่อนั่งมาได้อยู่ระยะนึงแล้วมันจะเป็น

walai says สติคุณไง สติคุณไม่ทัน สมาธิซะที่ไหน
สมาธิไม่สามารถทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ ไม่ว่าจะสมาธิไหนๆก็ตาม
พี่เคยบอกแล้วนี่ ให้กำหนด จิตคุณมันปรุงแต่ง สติคุณไม่ทัน

says: แบบนี้ที่ต้องทำคือ เมื่อรู้ว่ากายเคลื่อนไหวแล้ว ให้รีบดึงกลับมาอยู่ที่เดิมนะครับ

walai says: อาการคอยึกยักของคุณ ก็เคยบอกไปแล้วว่า ถ้ารู้ไม่ทัน ให้ใช้การกำหนดลงไป
เคยบอกหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่ไม่บอก

says: อ้ออันนั้นจำได้ครับ คราวนี้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนครับ

walai says: แล้วทำหรือเปล่าล่ะ

says: ทำนะครับพี่

walai says: แล้วอะไรล่ะที่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นน่ะ

says: ผมถึงเฝ้าดูว่าจิตเค้าจะทำอะไรของเค้า

walai says: โหคุณนี่ สุดยอดเลย สุดยอดการให้ค่าจริงๆ
มีการเฝ้าดูอีกว่าจิตจะทำอะไร แบบนี้นะ มีแต่การปรุงแต่ง

says: อืมมครับ คืนนี้มือไม้เคลื่อนไหวเองไปหมดเลยครับ

walai says: มิน่า ถึงพูดมาได้ว่า เพราะสมาธิ ถึงทำให้กายเคลื่อนไหวได้
เดินให้มาก นั่งให้น้อยลง จะได้ไม่ฟุ้ง ไปหลงนั่งเฝ้าดูจิตที่ปรุงแต่ง

says: คือเหมือนกับอย่างที่พี่บอกแหล่ะครับว่า ถ้าหากว่ากายขยับแล้วมันจะไม่ปวด

walai says: จะไปปวดได้ไงล่ะ มันเรื่องปกติ ธรรมดามากๆ
นั่งแล้วเมื่อย ปวด พอขยับมันก็หายแล้ว เรื่องธรรมดามากๆ

says: ทุก ๆ การเคลื่อนไหว มีผลต่ออาการปวดเลยเหรอครับ

walai says: โห ตายเลย คุณนี่

says: ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขยับที่ตรงตำแหน่งที่มันเป็นนะ

walai says: ก็ใช่น่ะสิ

says: อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจว่าเป็นเฉพาะจุดนะ
คิดว่าปวดเท้า ก็แค่ขยับเท้าแล้วหาย ขยับมือ ขยับแขน ไม่เกี่ยว

walai says: โห งั้นทุกคนนะทำแบบคุณก็สบายน่ะสิ
ปวดใช่ไหม ขยับแขนละกัน มันไม่เกี่ยวกับขา

says: ก็ผมถึงว่าทำไมคืนนี้มันถึงไม่ปวดมาก เหมือนคืนก่อน ๆ นะพี่
ผมถึงเข้าใจไปเองไงว่า จิตเค้าหาทางปรับสมดุลทางร่างกาย หรือป่าว

walai says: สภาวะทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เขามาสอนคุณถึงความไม่เที่ยง
ไม่ได้ให้ยึด แต่ให้รู้ เขามาสอนตรงนี้

ไม่ใช่ไปให้ค่า ไปหาละ แบบนี้เรียกว่าอะไร นี่กิเลสเอาไปละ
พอเจอคำเรียก กิเลสอีก ดีใจ

แล้วไง ความคาดหวังมาละ จะต้องให้ได้เหมือนเดิม พอไม่ได้
แล้วไง สงสัยอีก ทำไมถึงทำไม่ได้

วันนี้ไม่ง่วงเลย วันต่อไป หัวทิ่มหัวตำ
แล้วไง เห็นไหม สภาวะเขามาสอนตลอดเวลา ไม่ให้ไปยึดติดกับสภาวะที่เกิดขึ้น
เขามาสอน มันไม่เที่ยง

says: ครับ เห็นบ่อยขึ้นครับพี่

walai says: อีกละ พอเลยย จบบบ คุณนี่ กลับไปย้อนอ่านคำพูดที่คุณพูดๆมาเลย
มันใช่แบบที่คุณพูดมานี่หรือเปล่า เห็นบ่อยขึ้นน่ะ
ขนาดจิตคุณปรุงแต่ง คุณยังไม่ทันเลย นับประสาอะไรกับความไม่เที่ยง
คุณเห็นจริง คุณไม่ให้ค่ากับมัน เมื่อไม่ให้ค่า คุณจะไม่มาถามพี่แบบนี้หรอก

พี่น่ะผ่านมาหมดแล้ว สิ่งที่คุณกำลังเป็นอยู่ เมื่อก่อนพี่เองก็ไม่แตกต่างจากคุณเลย
หลงให้ค่ากับสภาวะ เพราะไม่มีใครนำทาง ไม่มีใครบอก

แตกต่างกับคุณ ของคุณมีพี่ พี่บอกกับคุณมาตั้งแต่แรกเริ่มปฏิบัติ
ทุกวันนี้ก็ยังต้องบอก


says: รับ ต้องขอบคุณมาก ๆ เลยครับ อืมม เพราะความไม่รู้ไงครับพี่
คือบางอย่างเราเห็นจริง แต่ว่าเราไม่เข้าใจตรงนั้นนะครับ

walai says: ทำไมต้องไปเข้าใจมันด้วย
คำว่าเข้าใจของคุณคืออะไรล่ะ มันก็คือให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นว่าคืออะไร

says: อืมม มันเป็นอุปทานครับ
ถ้าไม่มีพี่มาแนะนำแนวทาง คงจะหลงไปทางโน้นที ทางนี้ทีนะครับ

walai says: เอาเถอะ พี่พูดอะไรไป พูดด้วยความหวังดี ไม่เคยคิดร้ายอะไร
พี่ชอบพูดตรงๆ ไม่มาอ้อมค้อม ไม่มานั่งปลอบใจ

ays: ครับ ดีครับ

walai says: พี่น่ะเจอมาหมดแล้ว สิ่งที่คุณถามๆมา ฝึกไว้ กระทบแล้วรู้
ไม่ใช่ไปให้ค่าว่ามันคืออะไรอีก ให้รู้สภาวะที่แจ้งจากจิตแล้วมันจะไม่สงสัยอีกต่อไป

says: อืมมครับ น่าเป็นกันเกือบจะทุก ๆ คนนะ แค่รู้เท่านั้นพอนะครับ

walai says: ทุกคนน่ะแหละ ยกเว้นชาวบ้านที่เขาไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษาอะไรเลย
พวกนั้นไม่มีมาสงสัยเรื่องคำเรียก เขาทำตามสภาวะของเขา
ทำได้แค่ไหน เขาทำแค่นั้น ไม่มาบีบคั้นตัวเองด้วยความอยาก ไม่เหมือนคนที่มีความรู้ติดตัว

says: อืมม พวกนั้นไปได้เร็วสิ

walai says: อีกละ ให้ค่าอีกละ อะไรล่ะไปเร็วน่ะ เอาอะไรมาวัด

says: อ้อ เห็นตามความเป็นจริงได้ ง่ายกว่าคนที่มีแต่ความสงสัย

walai says: คุณเอาอะไรมาวัด

says: ก็เค้าไม่มีการให้ค่า ทำให้ไม่ไปยึดติด

walai says: งั้นตาสี ตาสา ทั้งหลาย ป่านนี้บรรลุธรรมหมดแล้วสิ เพราะคนเหล่านั้นเขาก็ปฏิบัติ

says: ก็ต้องอยู่ที่เหตุของเค้าด้วยสิ เหมือนอย่างที่พี่เคยบอกมาบ่อย ๆ น่ะ

walai says: ใช่ แล้วแต่เหตุ เลิกให้ค่าได้หรือยังคุณน่ะ
เจริญสติต่อไป การให้ค่า มีแต่จะสร้างเหตุจากความไม่รู้ขึ้นมาเรื่อยๆ
ทำต่อไป แล้วดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อะไรที่เกิดแล้วสติไม่ทัน กำหนดลงไป

says: ครับพี่ กำลังพยายามลดการถ่ายถอน อุปทานนะ แต่่อย่างที่พี่บอกนะแหล่ะครับว่า
ต้องแจ้งออกมาจากจิต ตอนนี้ต้องทำให้เห็นแจ้งออกมาจากจิตให้ได้ก่อน แต่ว่ามันยากนะครับ
ยังจับหลักให้กับตัวเองไม่ได้

walai says: จับหลักอะไรอีกล่ะ บอกตลอด แต่คุณน่ะดื้อเอง
ถึงบอกไง อยากทำแบบไหน ทำไปเลย

says: การกำหนด ช่วยได้จริง ๆนะครับพี่ อืมม ยอมรับนะครับ จิตผมมันดื้อมาก ๆ เลยนะ
แล้วมีเรื่องไหนไม่รู้จะมาสนทนาใหม่ครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


2 สค. 53

says: วันหนึ่งไปหอสมุด มหาลัย เดินไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง บังเอิญเปิดเจอหน้าที่เราสงสัย
ที่เคยถามพี่น้ำไปพอดีคะ เรื่องครูคะ

หลวงพ่อท่านบอกว่าครูมีสองแบบคือ ครูภายใน กับครูภายนอก ครูภายในคือร่างกายเรา
ครูภายนอกคือ สิ่งที่มากระทบ

เลยเลิกสงสัยแล้วคะ บังเอิญมากเลยคะพี่น้ำ ที่นี้เลยตั้งใจว่าจะเอา ที่ท่านบอกนี่คะ เป็นครู
ไม่ทราบว่ามาถูกทางไหม

walai says: คืออะไรหรือคะ

says: พยายามมีสติรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ แม้แต่ความคิดก็พยายามรู้เท่าทัน

walai says: คำว่า พยายาม พี่ต้องถามกลับไปว่า ทำแบบไหนหรือคะ

says: ไม่รู้จะอธิบายยังไงคะ เอาใจไปจดจ่อ กับสิ่งนั้นสิ่งเดียวประมาณนี้คะ

walai says: ทำมากี่วันแล้วคะ

says: พยายามมาเป็นอาทิตย์ แต่ไม่ต่อเนื่องคะ มีเผลอลืมบ้าง พอคิดขึ้นได้ก็ทำเลย

walai says: ทำแล้ว เครียด หรือว่า รู้สึกมึนบ้างไหมคะ

says: ไม่คะ แต่เวลาขับรถมันจะ เหมือนเราเบลอๆ มีนๆ

walai says: สภาวะภายใน เข้าใจว่าอย่างไรคะ พูดตามที่เข้าใจน่ะค่ะ ไม่ต้องวิชาการ

says: เหมือนมันว่างคะ โดยเฉพาตอนขับรถ เพราะจะขับนานเป็นชั่วโมง

walai says: เอาใจไปจดจ่อ กับสิ่งนั้นสิ่งเดียวประมาณนี้คะ ........... พี่หมายถึงตรงนี้ค่ะ
เอาจิตไปจดจ่ออะไรหรือคะ


says: บางทีก็ลมหายใจ บางทีขับรถก็เอาไว้ที่มือ บางทีเผลอคิดไปเรื่อยเปื่อยก็ บอกตัวเองว่า คิดนะ
อย่างถ้าสอนอยู่ก็จะไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่จะสอน แต่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วนะคะ

walai says: แล้วเดินจงกรมกับเจริญสติในอริยาบทนั่ง ทำด้วยหรือเปล่าคะ ทำทุกวันหรือเปล่า

says: ไม่ได้ทำคะ

walai says: ที่ไม่ไทำเป็นเพราะอะไรหรือคะ

says: ง่วงนะคะ ยุงเยอะด้วยคะ บางที รู้สึกเบื่อขึ้นมาเฉยๆ
หมายถึงว่า คิดเรื่องโน่นเรื่องนี่แล้วล้า พิ่งเป็นเมื่อวานคะ

walai says: ถ้าขอเวลาสักห้านาที คิดว่า ไหวไหมคะ คือ พอจะมีเวลาว่างไหม

says: ได้คะ มีนะคะ

walai says: บางที่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติมาแบบยึดติด ว่าจะต้องใช้เวลามากในการปฏิบัติ
แต่ทุกอย่างนั้น ไม่มีเรื่องบังเอิญใดๆ เหตุมี ผลย่อมมี

พี่ขอถามต่อนะคะ
สิ่งที่มากระทบภายนอก เข้าใจว่าอย่างไรคะ

says: คำพูดของคนที่เราได้ยิน ข่าวที่เราอ่าน สิ่งที่มาสำผัสแตะต้องตัวเรา
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น รอบๆตัวของเรา และก็ การพบเห็นคนที่เราชอบ
คนที่เราไม่ชอบ โดยมากจะมีข้อแรกคะมากสุด เพราะแต่ละวันต้องคุย ๆๆๆ
ฟังความเห็นคนโน้นคนนี้ เดี๋ยวคนนี้มาเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วเราจะเกิดความรู้สึกร่วมคะ

walai says: เคยเข้าไปอ่านในสเปซของพี่ไม่ใช่หรือ

says: เคยนะคะ มีอะไรแนะนำไหมคะ

walai says: แล้วเรื่องสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น ไม่เคยอ่านเลยหรือคะ

says: จำไม่ได้อะคะ

walai says: สิ่งที่หลวงพ่อพูดมานั้น ครูภายนอก กับครูภายใน คือ
สภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา นี่ครูภายนอก
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติเต็มรูปแบบคือ เดินกับนั่ง นี่ ครูภายใน
การที่ไปเฝ้าดูแบบนั้น มันไม่ผิดหรอกนะ แต่ถามว่าเฝ้าดูไปเพื่ออะไร

says: คิดว่า ให้จิตมันมีที่เกาะอะคะ ให้มันตามทัน ให้มันตามธรรมชาติทุกอย่างทัน
น่าจะ อยู่ที่การเกิด ดับ นะคะ เพราะว่าเคยเป็นแบบว่า จะไปเอาของ เดินมาถึงที่ ลืมคะว่าจะเอาอะไร
รู้สึกว่าตัวเอง นี่ไม่มีสติแล้ว มันน่าจะช่วยเรื่องสติได้คะ

แล้วชอบย้ำ ทำด้วยคะ น่าจะช่วยเรื่องย้ำคิดย้ำทำได้
คืดเราเริ่มสังเกตุว่าเรานี่ไม่ไหวแล้วคะ หยิบปากกาไวท์บอร์ด แล้วไปวางไว้ที่ไหนก็ไม่รู้
มารู้อีกที อ้าวปากกาไปไหน มันน่าจะช่วยเรื่องนี้ได้ นะคะ เลยเริ่มฝึก

walai says: งั้น ... ทำแบบนี้ไปก่อนนะคะ แต่ให้เพิ่มอริยาบทเดินและนั่งเป็นหลัก คือทำทุกวัน
ทำตอนไหนก็ได้ ใช้เวลาไหนๆก็ได้ ที่คิดว่าว่างที่สุด ไม่ต้องตั้งเวลาหรือจับเวลาแต่อย่างใด

เวลาเดิน ให้รู้ที่เท้า เวลานั่ง ถ้าชอบบริกรรมภาวนา หรือชอบดูลม ก็ทำตามสะดวก
การเดิน คือให้เดินไปกลับ จะกี่รอบก็ได้ ตามสะดวก แล้วต่อด้วยนั่ง นั่งตามสะดวก
จะนั่งกับพื้นหรือเก้าอี้ก็ได้

says: หมายความว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ทำแบบเดิม แต่เพิ่ม นั่งกับเดิน

walai says: ใช่ค่ะ แล้วมาส่งสภาวะกับพี่ทุกวันด้วยนะคะ

says: จะพยายามคะ ส่งสภาวะยังไงคะ

walai says: คือ พี่จะถามแค่เรื่องเดินกับนั่งเท่านั้นเอง นี่คือสภาวะภายใน
ส่วนสภาวะภายนอก สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ไม่ว่าใครจะมาว่าเรา สามารถที่จะไม่ตอบโต้ได้ไหม

says: ได้คะ

walai says: ค่ะ งั้นพี่จะถามทั้งสภาวะภายนอกและภายในทุกวัน

says: แม้ว่าจะรู้สึก ไม่ชอบ หรือโกรธ ก็ไม่ต้องไปตอบโต้เหรอคะ

walai says: ใช่ค่ะ หากโกรธ ให้กำหนดรู้หนอๆๆๆๆ พร้อมๆกับหายใจยาวๆ
แล้วพี่จะอธิบายให้ฟังทีหลังว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ไม่ก็ ไปอ่านในสเปซที่พี่เขียนไว้ในเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้น
ในชีวิตของเรานั้น เกิดจากอะไร พี่เขียนตรงนี้ไว้หมดแล้ว

says: แต่บางวันคอมไม่ว่างก็ไม่ได้ออนเอ็มนะคะ

walai says: ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดูที่ปัจจุบันเป็นหลัก ทำได้นะคะ เดินรู้เท้า นั่งรู้ลมหายใจ
หรือจะรู้ที่กายเคลื่อนไหวก็ได้ คือให้รู้อยู่ในกาย

says: ได้คะ

walai says: ค่ะ แล้วค่อยมาคุยกันใหม่นะคะ หรือถ้าทำไปแล้ว อาจจะมีข้อสงสัย ถามพี่ได้นะคะ

says: ขอบคุณมากนะคะ

walai says: ยินดีค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


2 สค. 53

walai said: พี่กำลังเขียนเรื่องฌานต่างๆ เอาไว้ตามอ่านได้นะ
แต่อย่าถาม ให้ศึกษาเอาเอง

says: ดีครับ เขียนเอาไว้ใน space ใช่มั้ยครับ

walai says: เปล่าค่ะ ในสเปซ มันจะเรียงตามหมวดไม่ได้
ตั้งเป็นกระทู้ไว้ในบอร์ดธรรมจักร เดี๋ยวพี่ตั้งกระทู้เสร็จ จะส่งลิงค์ให้
อ้อ พี่จะนำลิงค์ไปแปะไว้ที่หน้าสมุดเยี่ยมด้วยค่ะ

หวังว่าคงเข้าใจพี่นะ ที่ให้ศึกษาด้านปริยัติเอาเอง พี่ต้องการให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
เพราะพี่ไม่อยากสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับใครๆอีก และไม่อยากตอบคำถาม
ที่ไม่เกี่ยวกับสภาวะของผู้ปฏิบัติที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ในขณะนั้นๆ

says: ครับพี่ เข้าใจนะครับ ดีครับ ผมว่าดีมาก ๆ เลยครับ
เรียนรู้ด้วยตัวเอง เจอด้วยตัวเอง แล้วจะเข้าใจด้วยตัวเองครับ

walai says: แต่ในกระทู้ที่พี่ตั้งขึ้นมานั้น พี่มีหลักฐานอ้างอิงจากพระไตรปิฎก
แล้วพี่จะแทรกเรื่องสภาวะเข้าไปต่อท้าย จะได้เข้าใจสภาวะได้ชัดเจนมากขึ้น

says: ครับพี่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2010, 00:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


6 สค. 53

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: วันนี้เป็นอีกแล้วคะ
จะเดินไปเอาของ พอถึงที่ ลืมว่าจะเอาอะไร เดินกลับมาที่เดิม ถึงคิดออก
แล้วเดินไปอาใหม่ เป็นโรคความจำเสื่อมหรือป่าว

walai says: เปล่าค่ะ ได้เดินและนั่งแบบที่พี่บอกให้ทำทุกวัน ได้ทำหรือเปล่าคะ

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: วันนั้นนั่งคะ กะว่าจะนั่งเท่าไรก็ได้ที่อยากนั่ง นั่งไปประมาณ สี่สิบนาที
ตอนเดินที่โรงเรยนที่ทำงานนะ สงบดีคะ มันเบาๆ

walai says: เดินแล้ว ได้นั่งต่อเลยหรือเปล่าคะ

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: มีวันนึง ทำที่บ้าน เดินแล้วมานั่ง แต่ทำกลางคืน ง่วงมาก
ใจไม่อยู่กับตัวเลย ลอยไปไหนไม่รู้คะ

walai says: ไม่ได้เดินแล้วนั่งต่อ สรุปคือ ไม่ได้ทำทุกวันใช่ไหมคะ

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: คะ

walai says: แล้วมันจะไปได้อะไรล่ะคะ ก็เหมือนกินข้าวนะ ต้องกินทุกวัน
เหมือนทำงาน ไม่ทำงานจะมีเงินใช้ไหม

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: คะ รู้สึกว่าไม่ได้อะไรเหมือนกัน
คือต้องทำทุกวัน แต่จะมากจะน้อย ก็แล้วแต่ใช่ไหมคะ

walai says: ใช่ค่ะ

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: รู้สึกว่า 1 แล้วมา 0 พอเริ่ม 1 แล้ว ไม่ได้ทำ ก็ 0 อีก
มันไม่ 1-2-3-4-5... นะคะ

walai says: ตามสะดวกน่ะกิ่ง ตอนไหน เวลาไหนๆก็ได้ที่คิดว่าทำได้แบบง่ายๆสบายๆที่สุด
กี่นาทีก็ได้ แค่ 5 นาที หรือไม่ถึง 5 นาทีก็ยังได้ ให้เดินก่อน เดินแบบไหนๆก็ได้
แต่ให้รู้ลงไปกับเท้าที่เดิน เดินเสร็จ กำหนดยืนก่อน คือ ยืนสำรวมก่อน แล้วค่อยนั่งลง
นั่งกี่นาทีก็ได้ ตามสะดวก นั่งแบบไหนๆก็ได้
เวลานั่งจะมีคำภาวนาหรือไม่มีก็ได้ จะรู้แค่ลมหายใจเข้าออกก็ได้ คือ ให้มันรู้อยู่กับกาย

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: เมื่อวานซืนนั่ง ปวดหลังมากคะ ปกติก็ปวดอยู่แล้ว

walai says: พี่ถึงบอกไง นั่งยังไงก็ได้ พิงข้างฝาก็ได้ ถ้านั่งไม่ได้ ก็นอนเลย นอนท่าไหนก็ได้
ให้รู้อยู่ในกาย เสร็จแล้ว อย่าเพิ่งลืมตา หลับตาไว้ก่อน แผ่เมตตา กรวดน้ำ

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: ค่ะ เดี๋ยวก่อนนอนอาบน้ำเสร็จจะทำ คะ

walai says: จ้ะ ทำทุกวันนะ มากหรือน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่มากน้อยแตกต่างกันไปนั้น
ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาต่างหาก ตอนนี้เรากำลังสร้างเหตุดีแล้วนะ
เรากำลังกำหนดชะตาชีวิตใหม่ของเราด้วยตัวเราเอง

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: ดีคะ มีคนแนะนำ ปกติทำไปงมๆ ไป ไม่มีคนแนะนำคะ ขอบคุณนะคะ

walai says: แบ่งปันกันค่ะ ทำทุกวันนะคะ ติดขัดตรงไหนก้มาถาม

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: ตอนเรียนม.สาม หนูตื่นมาฟังแกเทศน์ ออกทีวี ช่องสาม
ตอนเช้าเกือบทุกวัน ท่านเขียนหนังสือกฏแห่งกรรม ก็ซื้อมาอ่าน ตอน ม.สาม พ่อพาไปซื้อ
พอเห็นหนังสือแล้ว คิดถึงพ่อเลย พ่อเสีย ไปได้สองปีกว่าละคะ
เดี๋ยวถ้าทำกรรมฐาน จะอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ

walai says: โมทนาค่ะ ดีแล้ว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


5 สค. 53

แดนสุข says: เวลาที่จิตมีสติรู้ตั้งมั่นขึ้นมา หลุดออกจากโลกของความคิด ขันธ์ 5
จะไม่เป็นตัวเรา เพราะความเป็นเราจริงๆ ไม่มี ความเป็นเราเป็นแค่ความคิด
เมื่อไรจิตของเราตื่นขึ้นมาหลุดจากโลกของความคิดได้ ความเป็นตัวตนจะไม่มี

เห็นด้วยหรือไม่ครับ

walai says: ที่นำมานี่ก็แค่ความคิด ไม่ใช่สภาวะ รู้จักไหม ตัวหนังสือน่ะ

แดนสุข says: อืมครับ ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงใช่มั้ยครับ

walai says: แล้วแต่จะให้ค่า เหตุของใครก็ของคนนั้น

แดนสุข says: แล้วคน ๆ นั้นจะเห็น หรือรู้ตามความเป็นจริงที่ถูกต้องได้อย่างไรล่ะครับ

walai says: ผลของการเจริญสติปัฏฐาน๔ ทำให้เห็นตามความเป็นจริงได้

เห็นเมื่อไหร่ ย่อมเห็นเมื่อนั้น เห็นเมื่อนั้น ย่อมรู้เมื่อนั้น
แต่สิ่งแรกที่ทุกๆคนจะเห็นเหมือนกันหมดคือ เห็นไตรลักษณ์ที่มันต้องแจ้งออกมาจากจิตจริงๆ
เห็นตรงนี้แล้ว คือ การเห็นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงที่ทุกๆสรรพสิ่งเป็น คือ ความไม่เที่ยง

เห็นความไม่เที่ยงได้เมื่อไหร่ สภาวะสังขารุเปกขาญาณจะเกิดแก่คนๆนั้น
สภาวะสังขารุฯเกิดเมื่อไหร่ ยอดสังขารุจะเกิดต่อ แล้วจะรู้อะไร จะรู้ตอนนั้นน่ะแหละ
คุณไม่ต้องไปเสียเวลาจินตนาการหรอก

แดนสุข says: ความไม่เที่ยง นั้นเกิดจากการให้ค่าก้อได้ใช่มั้ยล่ะครับ

walai says: ทุกอย่างล้วนเกิดจาากเหตุที่ทำมา
ความไม่เที่ยง นั้นเกิดจากการให้ค่าก้อได้ใช่มั้ยล่ะครับ .....
แน่นอน ให้ค่าเมื่อใด นั่นคือ กิเลส แต่กิเลสแบบนี้ ช่วยทำให้การให้ค่าต่อผัสสะที่เกิดขึ้น
หรือการให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตลดลงไปได้ เพราะจิตไปเกาะอยู่กับคำว่า มันไม่เที่ยง มันไม่แน่

จำไว้เลยว่า ถ้าปากคุณยังต้องบอกกับตัวเองว่า มันไม่เที่ยง หรือคอยคิดว่ามันไม่เที่ยง
นั่นน่ะ ยังไม่เห็นโดยสภาวะที่แท้จริง เห็นสภาวะที่แท้จริง มันไม่มีคำพูด มันรู้โดยจิต
รู้แล้ว มันไม่ให้ค่ากับทุกๆสภาวะที่เกิดแล้ว ไม่มาถามแล้วว่า นั่นคืออะไร นี่คืออะไร มีแต่จะทำแล้วก็ทำ

แดนสุข says: พอเห็นปุ๊บ รู้ทันทีเลยสิครับ

walai says: ทำไป อย่าคาดเดาให้ เสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆ

แดนสุข says: ครับ เข้าใจนะครับ

walai says: ทำหรือยังล่ะมานั่งถามอยู่นี่น่ะ

แดนสุข says: กำลังจะไปทำนะครับ

แดนสุข says: เวลาหายใจแล้วรู้สึกทั้งจมูก ทั้งท้องเย็น ๆ นี่เป็นปกติใช่มั้ยครับพี่

walai says: ค่ะ

แดนสุข says: อืมมครับ รู้สึกมันโล่ง ๆ เย็นสบาย หายใจได้คล่องดีครับ ขนาดตอนเริ่ม ๆ รู้สึกง่วง ๆ
พอมาเจออาการแบบนี้เข้า เรื่มหายง่วงขึ้นมาทันทีเลยนะ ครับ

walai says: ไม่เที่ยงค่ะ ทำไปค่ะ อย่าไปหลงให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นมากไป
เพราะว่า จิตมันจะไปจดจ้องอยู่กับสภาวะจนลืมดูตามความเป็นจริง

แดนสุข says: ครับ เดี๋ยวนี้อะไรเกิดขึ้น จะไม่ค่อยไปสนใจครับ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

walai says: คุณอ่ะนะ ชอบแสดงความคิดเห็น ที่ไม่ตรงกับจิตข้างในของคุณ
แต่ไม่เป็นไร อันนี้ไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะเพราะว่า คุณยังแยกรายละเอียดยังไม่ได้ชัด
ทำต่อไปค่ะ สักวัน สติ สัมปชัญญะมากขึ้น ภายนอกกับภายใน คุณจะเป็นแบบเดียวกัน ไม่ขัดกัน

แดนสุข says: ครับ สักวันต้องเป็นแบบนั้นนะครับ คงมีสักวันนะ

walai says: มีแน่นอนค่ะ เหตุมี ผลย่อมมี คุณกำลังทำเหตุที่จะต้องมีผล แล้วมันจะไม่มีได้ยังไง

แดนสุข says: อืมมครับ ต้องเป็นไปตามความเป็นจริงนะครับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


6 สค.53

กับปัจจุบันสิ..... says: เมื่อวานเดินแล้วนอนกำหนดลมหายใจคะ แต่เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้
ตั้งใจว่าจะอุทิศส่วนกุศล แล้วก็ไปอุทิศส่วนกุศลในฝันนะคะ
คือว่าหลับไปแล้วแต่จำได้ว่าต้องอุทิศส่วนกุศล ในฝันเลยกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลไปเยอะมากเลยคะ

walai says: ค่อยๆทำไปค่ะ ทำทุกวัน แล้วกำลังของสติ สัมปชัญญะจะเกิดมากขึ้น
เมื่อกำลังของสติ สัมปชัญญะมากขึ้น สภาวะจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพียงแต่ ต้องทำต่อเนื่องนะคะ
เดินก่อน แล้วถึงจะนั่ง ถ้ายังไม่สะดวกนั่ง ก็นอนไปก่อน

อยู่กับปัจจุบันสิ says: แต่ฝันค่อนข้างน่ากลัวคะพี่น้ำฝันว่า มีคนเอารูปผู้หญิงที่ตายแล้วมาให้เรา
เราก็อุทิศส่วนกุศลใหญ่เลย ทั้งเจ้ากรรมนายเวร และผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร

walai says: ไม่เป็นไรค่ะ ให้ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใคร
พยายามเดินให้มากขึ้น เท่าที่จะทำได้นะคะ

อยู่กับปัจจุบันสิ. says: ค่ะ ฝันเห็นใครก็ไม่รู้เอารถเราไปขับแต่ขับไม่เป็น รถตกสะพาน
ตายเกลื่อนถนนเลยคะ น่ากลัวมาก

walai says: เข้าใจค่ะ พี่ถึงบอกว่า พยามเดินให้มากขึ้น ต่อไปสิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้กลัวอีกได้
ตอนนี้ที่กลัว เพราะกำลังของสติยังไม่มากพอ

อยู่กับปัจจุบันสิ..... says: คนที่ทำเป็นแบบนี้ทุกคนไหมคะ

walai says: พี่ก็เคยเป็นะ เมื่อก่อน กลัวผีมากๆ ทั้งๆที่เจอผี คลุกคลีอยู่กับผีมาตั้งแต่เด็กๆ
ไม่ค่ะ แล้วแต่เหตุที่ทำมาค่ะ ทำมาก ทำน้อย พวกที่มีสัญญาของสมถะติดตัวมา จะเป็นแบบนี้ทุกคน
แล้วยังไม่รู้จักนำสิ่งที่ติดตัวออกมาใช้ในทางที่ถูกต้อง เราจึงต้องมาเจริญสติกันไงคะ

อยู่กับปัจจุบันสิ says: ตอนนี้พี่น้ำกลัวอยู่ไหม

walai says: กลัวไหม .. ตอบตามตรงนะ มีแค่ขนหัวยังลุกอยู่ แต่ไม่กลัวมากๆเหมือนเมื่อก่อน
แต่ถ้าเวลาสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ หรือได้เจอกันจังๆ ขนหัวจะลุก แต่ไม่กลัวค่ะ
จะพูดคุยกับเขาได้แบบปกติ เขาแค่มาขอความช่วยเหลือจากเราเท่านั้นเอง

อยู่กับปัจจุบันสิ says: แล้วฝันว่า น้องที่เป็นลูกของอา โดนอะไรไม่รู้ สักอย่าง
แต่ตอนนี้รู้แล้วคะว่าโดนอะไร พี่สาวเล่าให้ฟังเมื่อกี้ว่า โดนตำรวจจับ เพิ่งโดนจับไปสองวัน

walai says: ค่ะ อีกหน่อย กิ่งจะชินกับนิมิตไปเอง

อยู่กับปัจจุบันสิ says: คงคิดว่าเค้ามาขอส่วนบุญ ส่วนมากไม่ใช่เรื่องดีหรอกคะ โดนฆ่าบ้าง ทำผิดบ้าง

walai says: ไม่เป็นไรค่ะ

อยู่กับปัจจุบันสิ says: เรื่องดีๆก็มีคะ
เคยสงสัยว่าพยานาคมีจริงไหม แล้วพยานาคมาเข้าฝันเลยคะ เหมือนมาแสดงตัวว่าเค้ามีจริง

ที่ฝันบ่อยมากคือ เห็นพระสงฆ์ หรือไม่ก็พระพุทธรูป สวดมนต์บ้างเทศน์บ้าง
พี่น้ำคะ ครูที่โรงเรียนเห็นผีคะ ตาเนื้อเลยคะ

walai says: ธรรมดาค่ะ บางคนเห็นได้ บางคนเห็นไม่ได้ แล้วแต่เหตุที่ทำมา

อยู่กับปัจจุบันสิ. says: เค้าเล่าให้หนูฟัง และเค้าไม่รู้ว่าทำไมผีถึงทำให้เค้าเห็น
เลยบอกว่าต้องการอะไรให้มาเข้าฝัน มาให้เห็นแบบนี้สื่อสารไม่รู้เรื่อง
จะเดินไปคุยด้วย ก็กลัว แล้วมาเข้าฝันจริงๆ บอกว่าอยากกินโน่นกินนี่ ขนลุกคะ

walai says: กิ่งแนะนำเขาสิ ให้เขาทำแบบกิ่งนี่แหละ แล้วแผ่เมตตา กรวดน้ำให้กับสิ่งที่เขาเห็น
ถ้ามีเวลาก็ให้ทำบุญใส่บาตร เวลากรวดน้ำก็เอ่ยให้กับสิ่งที่เขาเห็น

อยู่กับปัจจุบันสิ says: คะ เหมือนว่าจะเคยทำแล้ว ครูคนนี้ทำสมาธิบ่อยอยู่เหมือนกันคะ
คำกล่าวแผ่เมตตาที่หนูกล่าวในฝัน เอ่ยว่า ด้วยอานุภาพของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
บุญที่ข้าพเจ้าทำมาจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มาทุกภพทุกชาติ จนถึงชาติปัจจุบัน
ทั้งที่จำได้และจำไม่ได้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่.. ขอให้... จงพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
และไปสู่สุขคติ มันจะกล่าวเป็นสเตปแบบนี้ทุกครั้งเลยคะ
ถ้าเอาไปเล่าให้คนไม่ปฎิบิติ เค้าจะหาว่าเราคิดมากไปเองคะ

lai said (8:08 PM): แล้วแต่ค่ะ แต่ละคนมีความเห็นแตกต่างกันไป

อยู่กับปัจจุบันสิ. says: กำลังสมถะนี่ทำได้หลายอย่างนะคะ ขนาดทำบ้างไม่ทำบ้าง
ของเก่านี่สงสัยเราเคยทำมาในอดีต สงสัยอันนี้ที่ทำให้หนูเรียนดีมาตลอด
สมัยเรียน ครูจะบอกว่าเรานิ่งมากเวลาครูสอน จดจ่อมาก

จำได้ว่า เพื่อนเล่นกันเสียงดังเต็มห้อง แต่หนู นั่งทำการบ้าน คิดเลขไปท่ามกลางเสียง
แบบไม่รู้สึกรำคาญเลย อันนี้สมันม.ต้นคะ

alai says: เหมือนกันหมดแหละค่ะ ต่อให้อยู่ในที่เสียงดังแค่ไหน สภาพแวดล้อมเหล่านั้น
ไม่มีผลต่อตัวเรา เราจะไม่ไปรู้สึกกับสิ่งที่อยู่รอบๆตัว

ขนาดไปร้านอาหาร ใครๆว่าเสียงดังมากๆ แต่เวลาเรากำลังคุยกับเพื่อน
เราจะรู้สึกว่ามีแค่เพื่อนกับเรา คนอื่นๆไม่มี บางทีมันจะรู้สึกถึงความสงบรอบๆตัว

กับปัจจุบันสิ. says: และก็ พี่สาวหนูนะ ชอบพูดถึงคนโน้นคนนี้ (นินทา) แต่หนูไม่ชอบคะ
ไม่ชอบฟัง ฟังมากมันวุ่นวายใจ ไม่มีประโยชน์ ไม่อยากพูดถึง มันไม่เกี่ยวกับเรานะคะ

walai says: เข้าใจค่ะ แค่รับฟัง อย่าไปขัดเขา ในเมื่อมาเส้นทางนี้แล้ว จะเจอบททดสอบเยอะมาก
เพราะทุกคนที่มาปฏิบัติกับพี่ จะอยู่ในสภาวะเดียวกับพี่ เพียงแต่ว่า กำลังของสติเท่านั้น
ที่ใครจะมีมากกว่ากัน ใครจะอยู่กับปัจจุบันได้ทันเท่านั้นเอง ใครสติแตกก่อน ความอดทนไม่มากพอ
กิเลสก็ลากเอาไปกิน เหตุใหม่ย่อมเกิดขึ้นเพราะอุปทาน หลงให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น

อยู่กับปัจจุบันสิ says: นี่อยู่บ้านหนูไม่พูดมาก พูดแค่ที่จำเป็น อยู่โรงเรียนก็เหมือนกัน
เหตุส่วนมากมาจากการพูดกับการฟังคะ พอพูดน้อยๆ แล้วรู้สึกดีคะ ไม่ค่อยมีการทะเลาะ

walai says: ที่ไหนๆ ก็เหมือนกันหมดแหละค่ะ สำคัญที่ว่า สติทันไหม เท่านั้นเอง
สติทัน อุปทานมันไม่เกิด อุปทานไม่เกิด การให้ค่าต่อสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมไม่มี
เมื่อไม่มีการให้ค่า เหตุใหม่ที่จะเกิดขึ้น ย่อมไม่มี ผลก็ย่อมไม่มี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


9 สค. 53

แดนสุข says: การนอนหลับ เป็นการทำสมาธิด้วยมั้ยครับ

walai says: เป็นค่ะ

แดนสุข says: แต่เป็นมิจฉาสมาธิ ใช่มั้ยครับ

walai says: ต้องดูสภาวะด้วยค่ะ

says: อืมม ยกตัวอย่างได้มั้ยครับ ช่วงนี้ผมนอนหลับบ่อย ๆ ครับ

walai says: หลับแล้วรู้ตัวได้ไหมล่ะ
หลับก็คือหลับ แล้วมันแปลกประหลาดตรงไหนเหรอ

แดนสุข says: อืมม ผมไม่แน่ใจว่าการนอนหลับเป็นการสมาธิมั้ย
เข้าใจว่าว่าเป็น แต่ว่าเป็นมิจฉาสมาธิ

walai says: ไปสนใจอะไรล่ะนั่น ให้ค่าอีกละ

แดนสุข says: อืมมครับ เข้าใจนะครับ แค่เพียงสงสัยครับ

walai says: สมมุตินะ ถ้าใช่แล้วเป็นยังไงหรือ แล้วถ้าไม่ใช่จะเป็นยังไง มีผลอะไรต่อตัวของคุณมั๊ย

แดนสุข says: สมมุติว่าใช่นะครับ ก้อแค่รู้ แค่หายสงสัย
และสมมุติว่าไม่ใช่ ก้อแค่รู้ แค่หายสงสัยครับ

walai says: งั้นคุณคงต้องถามพี่ตลอดระหว่างที่ยังปฏิบัติ เพราะคุณชอบให้ค่า
แล้วต่อไป พี่จะไม่ตอบคุณ เพราะอะไรรู้ไหม

การที่พี่ตอบคุณ เท่ากับไปสนับสนุนพฤติกรรมที่เกิดการให้ค่าไม่รู้จบ คุณจะปฏิบัติก้าวหน้าไม่ได้เลย
เพราะคุณจะคอยจ้องดูแต่สภาวะ แล้วคอยลุ้นว่ามันคืออะไร
แบบนี้เขาเรียกว่า ส่งจิตออกนอกองค์กรรมฐาน ไม่มีประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติเลย
พี่ไม่เห็นคุณเขียนบล็อกเลย เรื่องสภาวะ

แดนสุข says: ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เขียนเลยครับพี่ บางวันได้แค่ทำ ไม่ได้บันทึก เพราะว่ามันเหนื่่อย
เลยเผลอนอนหลับไปเสียก่อน ช่วงนี้ตอนกลางวันก้องานเยอะครับ ไม่ค่อยจะว่าง งานเข้าครับ

walai says: ตามใจนะคะ ถ้าคิดว่าดูตัวเองได้ โดยไม่ต้องให้พี่ดูให้
พี่น่ะบอกแล้วว่า แล้วแต่สภาวะของแต่ละคน แล้วแต่เหตุ
ที่ถาม เพื่อจะได้รู้ไว้ว่า คุณทำแบบไหน ในเมื่อชอบทำแบบนี้ ก็ตามเหตุค่ะ

แดนสุข says: ก้อจะพยายามทำให้ได้สม่ำเสมอนะครับ ว่าแต่ตามผังนี้พี่เห็นด้วยหรือป่าวครับ
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... -02-06.htm

walai says: พี่ถามคุณนะ แล้วความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยของพี่นั้น มันไปเกี่ยวอะไรด้วย
อีกอย่าง คุณเองน่าจะรู้คำตอบดี ว่าพี่จะต้องตอบว่าอะไร

หมั่นเพ่งโทษตัวเองให้มากๆ ดูกายและจิตตัวเองให้มากๆ อย่าไปจ้องข้างนอกให้มันฟุ้งซ่าน เสียเวลา
แผนผังที่คุณถามมา ถ้าอ่านแล้วชอบใจ หรือไม่ชอบใจ นั่นก็เหตุของคุณ
ถ้าพี่ตอบว่า พี่เห็นด้วยหรือไม่เห้นด้วย คุณจะเชื่อพี่ทั้งหมดไม่ว่าจะว่าอะไรหรือ

แดนสุข says: อ๋อ ป่าวนะครับพี่ ผมถามพี่เพราะผมเข้าใจว่าสภาวะของพี่คงจะได้ผ่านมาแล้ว

walai says: ผ่านอะไรล่ะ อะไรของคุณที่ว่าผ่าน

แดนสุข says: ผ่านเรื่องของ นิโรธ

walai says: อ่อๆๆๆๆ ที่มาหาพี่เพราะเหตุนี้เองหรือ คิดว่าผ่านๆอะไรของคุณนี่น่ะหรือ
มีแต่การคาดเดา มีแต่การให้ค่า

งั้น อย่ามาหาพี่เลย พี่ไม่ได้ผ่านๆอะไรแบบที่คุณคิดอยากให้พี่เป็นหรอก
พี่น่ะแค่เจริญสติ เป้นคนที่เหมือนคนทั่วๆไป ไม่มีแตกต่าง

แดนสุข says: นิโรธ นะครับ เรื่องเกี่ยวกับเรื่องของการกำหนดรู้เท่าทันนะครับ สักแต่ว่า....

walai says: เหรอ แล้วพี่สักแต่ว่าตรงไหนล่ะ กิเลสยังสุมหัวอยู่เลย
คนหมดกิเลสแล้ว ไม่มาเล่นเอม เข้าตามบอร์ดแบบนี้หรอก

พี่ก็บอกตั้งแต่แรกเจอกันแล้ว พี่ยังมีกิเลส
อย่าพยายามมายัดเยียดให้พี่เป็นอะไรแบบที่คุณต้องการ ไม่สำเร็จหรอก เพราะพี่ไม่เคยสนใจ

แดนสุข says: แหมมพี่ก้อ คิดไปเองเหมือนกันนะครับ

walai says: อ้าว ก็บอกอยู่โต้งๆว่ายังมีกิเลส เรื่องธรรมชาติ

แดนสุข says: อืมมเข้าใจนะครับพี่ สักแต่ว่า.....เกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้ว เส้นทางคงอยู่อีกไม่ไกลนะครับ

walai says: นี่ถามจริงๆ เมื่อไหร่จะเลิกให้ค่าเสียที เอาเวลาไปเจริญสติจะดีกว่านะ

แดนสุข says: ก้อที่ผมกำลังดูอยู่นี่เป็นบัญญัติใช่มั้ยล่ะพี่
แล้วเวลาคนที่ผ่านสภาวะที่เป็นปรมัตถ์มาแล้ว ต้องการที่จะมาแนะนำหรือสั่งสอนคนที่่ยังไปไม่ถึง
ยังสภาวะตรงนั้น จะอธิบายอย่างไรให้คนเหล่านั้นได้รู้ ได้เห็น เป็นแนวทางล่ะครับ

walai says: ไปเอามาจากไหนล่ะนั่น ใครเขาสอนกันแบบนั้น
คนสอนเขาต้องสอนตามสภาวะ ใครมันจะอุตริไปสอนแบบนั้น กิเลสท่วมหัว ยังดูไม่ออก

แดนสุข says: อ้าวเหรอครับ

walai says: เห็นไหม ความอยากของคุณน่ะ มีแต่ความอยากรู้ มีแต่อุปทาน มองเห็นมั่งมั๊ยคะ
นิสัยคุณน่ะ รักษาไม่ยากหรอกนะ นอกจากการเจริญสติแล้ว มีอีกทางที่ตอบสนองกิเลสของคุณได้ดี
ซึ่งพี่เคยแนะนำให้กับคุณไปแล้ว

แดนสุข says: อืมม ความอยากนะเห็นนะครับพี่ ที่นำมาถามเพราะว่า ต้องการความเห็นถูก

walai says: แล้วอะไรล่ะคือความเห็นถูกของคุรน่ะ ตอบมาหน่อยสิ

แดนสุข says: ก้อเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ตามหลักของการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔

walai says: อ้อ คุณเห็นแบบนั้นแล้วหรือ

แดนสุข says: ตอนนี้เข้าใจว่าเห็นแค่นิดเดียวนะครับ ยังแค่ขี้ผงที่ติดอยู่ที่ปลายเล็บนะครับ

walai says: เหรอ งั้นคุณก็เห็นมากกว่าพี่แล้วนี่ เพราะพี่ยังไม่เห็นแบบที่คุณพูดมาเลย พี่เห็นแต่กิเลส
ทุกวันนี้พี่ก็ยังเห็นแต่กิเลส ยังไม่เห็นความเห็นถูกแบบที่คุณพูดมาเลย อย่ามาถามอะไรพี่อีกเลย
เดี๋ยวความเห็นผิดของพี่ที่มีอยู่ จะพาให้คุณกลับกลายจากเห็นถูก กลายเป็นเห็นผิดตามพี่ไป

walai says: วิธีสนองกิเลสของคุณมีทางรักษา ไปที่บอร์ดธรรมจักร ตั้งกระทู้ถามไปเลย
อยากรู้อะไรก็ถามไป เผื่อจะเจอคนที่มีความเห็นถูก ถูกใจคุณ
บอร์ดนี้เขาให้อิสระในด้านการปฏิบัติ ลองไปใช้ดู

แดนสุข says: ก้อเห็นกิเลส แล้วพยายามละกิเลสที่่เกิดขึ้น แค่รู้ แค่ดู
เป็นวิธีปฏิบัติที่เราควรทำไม่ใช่เหรอครับ

walai says: ถามทำไม กับคนที่ยังมีความเห็นผิดแบบพี่ ตอบไปก็แค่นั้น

แดนสุข says: ไม่มีคำว่าผิด ไม่มีคำว่าถูก ครับ

walai says: แล้วมาถามทำไม ในเมื่อรู้ว่า ไม่มีผิด ไม่มีถูก

แดนสุข says: เป็นแค่เพียงสิ่งที่เราสมมุติกันขึ้นมาเอง เป็นอุปทานที่เราสร้างกันขึ้นมาอีกนั่นแหล่ะ

walai says: อ้าววว แล้วมาถามทำไมล่ะ

แดนสุข says: ถามเพราะว่าสนองความอยากครับ

walai says: แล้วยังไม่หายอยากอีกเหรอ คงหายยากนะ

แดนสุข says: ตอนนี้หายอยากแล้วครับ ได้เวลาไปปฏิบัติแล้วครับ

walai says: ไปทำแบบที่แนะนำน่ะ สนองได้เยอะค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร