วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 00:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การฝึกสมาธิมีข้อเสียอย่างไร

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราได้ยินคำสรรเสริญผลดีของการฝึกสมาธิมากมาย ทำให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน การงานบรรลุผล ได้ฌานอภิญญา อ่านใจคนได้ ระลึกชาติได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น จึงมีการส่งเสริมการทำสมาธิโดยทั่วไปทั้งในวัด โรงเรียน และสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ หลายคนคิดว่า สมาธิเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดับทุกข์ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ สมาธิใช้หลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น เป็นคำสอนของพราหมณ์มาก่อน

สิ่งไดมีคุณอนันต์ย่อมมีโทษมหันต์ แม้แต่อากาศที่เราหายใจเข้าไป หรืออาหารที่เรากิน ก็ยังมีโทษ มีดีก็ต้องมีเสีย จึงข้อให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูตามความเป็นจริง เราไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี เพียงแต่นำเสนอในสิ่งที่เป็นจริงเพื่อการศึกษาเรียนรู้ ไม่ได้มีเจตากล่าวร้ายใดๆ หรือกล่าวหาผู้ใดทั้งสิ้น

1) สมาธิดับทุกข์ไม่ได้ – พระพุทธเจ้าได้ปฐมฌานตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เมื่อออกบวชได้ไปเรียนวิธีการทำสมาธิกับฤๅษีพราหมณ์ 2 ท่านคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบส จนได้สมาธิขั้นสูงคือ ฌาน 7-8 ในที่สุด ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่ทางดับทุกข์ จึงได้ลาอาจารย์ทั้ง 2 มาวิปัสสนาจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

2) พาตัวเองไปติดตาขายของมาร – ถ้าเราได้สมาธิขั้นสูงเป็นฌานสมาบัติแล้ว โอกาสพาตนเข้าไปสู่การวิปัสสนานั้นยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราได้ทำจนเป็นนิสัยเสียแล้ว เป็นอุปนิสัยที่ละเอียดหาทางแก้ไขได้ยากมาก ในที่สุดก็ไปติดกับตาข่ายมารหรือติดความสงบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ฌานอภิญญาคือตาข่ายดักพรหม เป็นได้แค่พรหมเท่านั้น ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เหมือนกับปลาที่เข้าไปติดตาข่าย ลอบ ไซ ข้อง ของชาวประมง ไม่สามารถพาตัวเองออกมาได้ต้องมีคนอื่นช่วยพาออกมา ฉันใดฉันนั้น พระโมคัลลามีพระพุทธเจ้าดึงออกมาจากตาข่ายถึง 8-9 ครั้ง จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ถือเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ

3) เปิดโอกาสให้เปรตอสูรกายทำร้ายตนเอง – เจ้ากรรมนายเวรบางครั้งมาในรูปของเปรตอสูรกาย บางครั้งมาในรูปแบบของเทวปุตตมาร ปกติพวกนี้แฝงตัวอยู่รอบๆ เราทุกคน ส่วนมากเป็นพวกที่คอยจ้องล้างแค้น เพราะเราเคยไปทำร้ายเขามาก่อนในอดีต จะคอยมาขัดขวางไม่ให้เราทำความดีได้ถึงที่สุดในชีวิตที่เกิดมาเป็นคน ในระหว่างที่เรากำลังทำสมาธิ จิตของเราจะเลื่อนจากฟุ้งซ่านไปสูความสงบ จนมีจุดๆ หนึ่งที่จิตไปตรงกันกับพวกเปรตอสูรกายที่จ้องคอยเล่นงานเราอยู่ พวกนี้จึงได้โอกาสแทรกแซงจิตเราทันที ถ้าเราไม่ได้ทำสมาธิ พวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้ ต่อจากนั้นพวกเขาก็จะครอบงำจิตใจเราตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย พวกนี้จะคอยเนรมิตให้เรารู้เห็นได้ยินอะไรต่างๆ นาๆ รวมทั้ง นรก สวรรค์ อ่านจิตใจทำนายทายทักคนอื่นได้ ถ้าคุณชอบอะไรพวกนั้นก็จะเนรมิตสิ่งนั้นให้คุณเห็น บางทีอ้างว่าเป็นเทพ เป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ฯ ซึ่งพวกที่นั่งสมาธิบอกว่านิมิตเห็น ความจริงผู้นั่งสมาธิไม่ได้เห็นอะไรเลยเป็นพวกเปรตอสูรกายเหล่านั้นนิมิตให้เห็น แต่เมื่อไม่มีปัญญาพอที่จะแยกแยะว่าที่เห็นนั้นเป็นจริงหรือไม่ เมื่อแยกไม่ได้รู้ไม่จริงทำให้ผู้ปฏิบัติหลงตัวเองว่าสำเร็จขั้นโน้นขั้นนี้ ตัวผู้ฝึกสมาธิจึงเหมือนซากเปลือกหอยที่ปูเข้าไปอาศัย ปูจะพาเปลือกหอยไปที่ไหนก็ได้โดยที่หอยไม่มีโอกาสบังคับตัวเองได้ บางคนหนักเข้าไปอีกบอกว่าตัวเองพูดภาษาเทพได้ ภูมิใจนักหนาคิดว่าตัวเองเก่งวิเศษ หลงตนว่าได้ฌานสูงกว่าคนอื่น แต่ถ้าวันไหนเปรตอสูรกายไม่ผ่านเข้าร่างตนเองก็ไม่รู้อะไรเลย บางคนว่าเทพมาผ่านร่าง บางทีเป็นเอามากๆ บอกว่าพระพุทธเจ้าเข้ามาผ่านร่าง บางคนไม่เฉลียวใจบ้างเลยทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง พระพุทธเจ้าจะมาผ่านร่างผู้หญิงได้อย่างไร ท่านมีตัวมีตนที่ไหน ท่านนิพานไปแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว ภาพที่เห็นเป็นภาพเนรมิตไม่ใช่ของจริง หลายคนหลงไปสักการะบูชาเปรต ส่วนภาษาที่ว่าเป็นภาษาเทพนั้นก็เป็นภาษาฮินดูที่คนอินเดียพูดกันอยู่ทั่วไป เมื่อคนนั่งสมาธิไม่มีความรู้ว่า พวกเทพเทวดาทั้งหลายไม่ได้มาผ่านร่างหรือเข้าทรงคน มีแต่เปรตอสูรกายเท่านั้นที่เข้าทรงคน เทพ เทวดา อยู่ในสภาวะทิพย์มีที่อยู่ทิพย์ กินของใช้ทิพย์ ท่านไม่ได้มายุ่งหรือมาเกี่ยวอะไรกับคน ท่านไม่ได้ลงมากินของเซ่นสังเวยตามที่เราเข้าใจกัน พวกที่มากินของบวงสรวงเซ่นสังเวย เป็นเปรตอสุรกาย เป็นพิธีกรรมของพราหมณ์

ในบางครั้ง ในสถานที่ฝึกสมาธิ เราจะเห็นว่าบางคนนั่งๆ อยู่ลุกไปเต้นรำ ฟ้อน ร้องให้ หัวเราะ แสดงอาการต่างๆ นาๆ บางคนบอกว่าเป็นปิติที่รุนแรง ความจริงเป็นอาการที่เปรตอสุรกายได้เข้าร่างผู้ฝึกคนนั้นแล้ว จึงแสดงอาการของเปรตออกมา ซึ่งผู้สอนนั้นก็ไม่ทราบมองไม่ออกมองไม่เห็น พวกที่จะรู้ว่าพวกนี้เป็นใคร ต้องดับอวิชชาให้ได้ก่อน เพราะอวิชชาเป็นตัวปิดบังไม่ให้เรารู้ไม่ให้เราเห็นความเป็นจริง บางคนน่าสงสารมาก รักษาศีล 5 ได้มากข้อ ทำอะไรก็กลัวผิด จะตบยุงยังกลัวบาป เพราะมีศีลจึงทำให้เกิดสมาธิง่าย ศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิ มีศีลอย่างเดียวไม่มีปัญญาประกอบ ทำให้บุคคลนั้นเป็นคนขวัญอ่อนหรือใจอ่อนไหว เป็นเหยื่อของเปรตอสุรกายเจ้ากรรมนายเวรเทวปุตตมารได้ง่าย ในที่สุด บุคคลนั้นไม่มีโอกาสได้มรรคผลนิพพาน ทั้งๆ ที่มีโอกาส นอกจากนี้พวกนี้จะยืมร่างเราทำบาปกรรมหนักอย่างละเอียดที่เราเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นบาปร้ายแรง บางคนบอกว่าพระพุทธเจ้าผ่านร่าง บางคนถูกยืมปากด่าพระพุทธเจ้า ด่าพระอรหันต์ ก็มี ซึ่งถือว่าเป็นการดูถูกพระพุทธเจ้าอย่างร้ายแรง เป็นการลดชั้นของพระพุทธเจ้ามาเท่ากับเปรตอสุรกาย เป็นการทำบาปใกล้ๆ อนันตริยกรรม พวกนี้ไม่กลัวบาปกลับภูมิใจอีก เพราะว่าไม่มีปัญญากำกับ เพราะสมาธิให้แต่ความสงบ อาจจถูกครอบงำจนหมดสภาพความเป็นคนเหลือแต่ซาก ถ้าถูกพวกนี้ครอบงำก็แสดงว่าเรามีปัญญาน้อยกว่าเขา

คนทำสมาธิจะถูกพวกเทวปุตมารหรือพยามารและบริวารหลอกล่อให้หลงเข้าสู้สมาธิจนได้ฌานอภิญญา แล้วไปสู่กับดักของมารที่รอเอาไว้ นั่นก็คือความสงบ ทำให้ไม่มีปัญญาจะพาตัวเองออกมาจากตาข่ายนั้นได้ หน้าที่ของมารและบริวารก็คือ ขัดขวางมิให้มนุษย์ทำความดีสูงสุด ดับทุกข์ได้ คือ วิปัสสนา ถ้าเราไม่มีปัญญาเพียงพอก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมารเหล่านี้ได้ เมื่อใดเรามีปัญญาเอาชนะตัวเองได้ก็ชนะมารพวกนี้ได้

สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุทำให้เกิดการเห็นผิด ถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองจากศาสนาพุทธเป็นศาสนาอื่นได้ ถ้ายังไม่ได้ฌาน พวกเนรมิตให้เห็นเทพองค์ต่างๆ ก็เกิดเลื่อมใส ในที่สุดก็ไปนับถือเทพไป กลายเป็นคนศาสนาอื่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ใดไม่ยึดถือกฎธรรมชาติ ไม่ประกาศอิสรสภาพให้กับตนเอง มัวไปอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช้ศรัทรามากกว่าปัญญา ก็แสดงว่ากำลังจะพาตัวเองออกจากศาสนาพุทธศาสนา

ถ้าจะมองคนรอบๆ 2 ประเภทคือ พวกทำสมาธิ กับพวกที่ไม่ทำสมาธิ พวกที่ไม่ทำยังทำบาปหยาบๆ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักขโมย กินเหล้า ผิดศีลธรรมหลายข้อ พวกนี้ยังแก้ไขให้ดีได้ง่ายกว่าคนทำสมาธิจนชำนาญลงร่อง ท่านเหล่านี้เรียกว่าทำความผิดอย่างละเอียดลึกซึ้งจนกลายเป็นคนมีมานะ ทิฏฐิไม่ยอมเชื่อบุคลใดๆ หลงตัวเอง บุคคลเหล่านี้แก้ไขให้ดียาก ไม่มีโอกาสฝึกตนถึงมรรคผลนิพานในชาตินี้ได้ แต่บุคคลที่ทำไม่ดีหรือทำความผิดอย่างหยาบยังมีโอกาสฝึกตนเข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ง่ายกว่า เช่น องคุลิมาล ฆ่าคน 999 คนยังเป็นพระอรหันต์ได้ ตรงข้ามกับพวกฤๅษีที่มีมากมายในอินเดียสมัยนั้นไม่มีโอกาสปลดตัวเองออกจากตาข่ายของมารได้ ไม่สามารถได้มรรคผลนิพพานทั้งๆ ที่เกิดมาร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าแท้ๆ

คนทำสมาธิไม่คิดทำร้ายผู้ใด แต่ทำร้ายตัวเองได้เจ็บแสบที่สุด

... :b8:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิไม่มีข้อเสียเลย หากประกอบด้วยปัญญา

บุคคลที่ท่านเอ่ยอ้างมาคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบสนั้น
เป็นสองท่านแรกที่พระพุทธเจ้านึกถึง หลังจากที่ทรงตัดสิน
พระทัยที่จะแสดงข้อที่พระองค์ตรัสรู้ จากหลักฐานตรงนี้เอง
แสดงว่า การที่มีสมาธิสูงนั้น ไม่ใช่ข้อเสียเสมอไป แต่เพียงว่า
ใครจะนำไปต่อยอดของสมาธิในทางที่ถูกที่ควรเท่านั้น

แม้แต่ในพระไตรปปิฏกเอง ก็มีกล่าวถึงเรื่องสมถะวิปัสสนาไว้
ทั้งโดยอ้อมโดยนัย

หากไม่มีการต่อยอดสมาธิในทางที่ถูก ก็เป็นข้อเสียอย่างเช่นท่านว่ามา
แต่ถ้ามีการต่อยอดในทางที่ถูก ความหลุดพ้นจากทุกข์ก็มีได้ง่ายขึ้นอีก

ท่านพระโมคคัลลานะ ท่านง่วงนอน ไม่ใช่ท่านติดเรื่องฌานหรือสมาธิ
อะไรเลย ที่พระองค์ทรงแนะวิธีแก้ง่วงไว้ ก็มีที่มาจากตรงนี้ ส่วนเรื่องท่านติด
สมาธิแล้วพระพุทธเจ้าดึงออกมานั้น ไม่มีปรากฎในฝ่ายภาษาของสยามรัฐ
และฝ่ายของบาลีเอง ทั้งฉบับบาลีหรือไทย ไม่มีเลย ถ้าจะมี ก็มีแต่เรื่องเล่า
หรือตีความมั่วมากกว่า

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
การฝึกสมาธิมีข้อเสียอย่างไร

ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราได้ยินคำสรรเสริญผลดีของการฝึกสมาธิมากมาย ทำให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน การงานบรรลุผล ได้ฌานอภิญญา อ่านใจคนได้ ระลึกชาติได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น จึงมีการส่งเสริมการทำสมาธิโดยทั่วไปทั้งในวัด โรงเรียน และสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ หลายคนคิดว่า สมาธิเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าในการดับทุกข์ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ สมาธิใช้หลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น เป็นคำสอนของพราหมณ์มาก่อน


โปรดไปอ่านเรื่องสัมมาสมาธิในมรรค ๘ และ เรื่องสิกขา ๓ ให้กระจ่างก่อน

การมาโพสแบบนี้ คนที่มีปัญญาน้อยหรือเริ่มศึกษา เขาจำไปไม่ดี ข้อเสีย
หายจะเกิดแก่ศาสนามาก


โปรดเข้าใจว่า นอกศาสนาพุทธ ทำสมาธิได้เพียงอรูปฌานเป็นอย่างสูง
ในศาสนาพุทธ ทำได้ตั้งแต่รูปฌาน อรูปฌาน และโลกุตระ นี้เป็นข้อดีของศาสนาพุทธ

โปรดเข้าใจว่า แม้ฌานสมาธิ จะมีมาก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพระองค์
ตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นว่า ฌานสมาธิพวกนี้ เป็นอุปการะต่อการเจริญวิปัสสนาได้ ก็ไม่ทรง
คั้ดค้าน ทรงมีวิธีที่จะต่อยอดสมาธิเหล่านี้เพื่อการหลุดพ้นได้อีก พระองค์ทรงแสดง
เงื่อนไขไว้โดยวิธีปฏิบัติ ซึ่งเรียกว่าสัมมาสมาธิ สมาธินทรีย์ สมาธุเปกขโพชฌงค์
และอีกมากมาย โดยวิธีเหล่านี้ จะทำให้ผู้ที่ได้ฌานสมาธิมาแล้ว หลุดพ้นได้

เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะพรามณ์สมัยพุทธกาล นักบวชนอกศาสนา และฤาษี
เข้ามาบวชมาก ส่วนมากจะได้ฌานมาบ้างแล้ว พระองค์ทรงเลยแสดงวิธีทำให้
สมาธิที่เขาได้มา เป็นการต่อยอดเพื่อหลุดพ้นไป ในเมื่อเขาได้ฌานมาแล้ว
ทำไมต้องให้เขาทิ้ง ทำให้ดีกว่าเดิมได้ ก็ทำไป ตรงนี้ละครับ เป็นความอัจฉริยะทางปัญญา
ของพระพุทธเจ้าของเรา

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สมาธิไม่มีข้อเสียเลย หากประกอบด้วยปัญญา

ถูกต้องเห็นด้วย :b12: แปลว่าต้องยังปัญญาอินทรีย์ให้แก่กล้าก่อนจึงมามาปฏิบัติสมถะกรรมฐานใช่ใหมครับ?

เห็นมีคนลงแต่ด้านเดียว ก็เลยเอาอีกด้านมานำเสนอ บทความนี้มาจากอาจารย์สินทพ ซึ่งเราก็พยายามเผยแพร่ให้พุทธศาสนนิกชนมีปัญญา รู้ลึก รู้กว้าง จะได้ไม่เป็นเหยื่อของพวกมาร

ไตรสิกขา มาจากสิกขาบทจำนวน 227 ข้อ ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับสมาธิเลยนะครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=24099

คนไม่มีสมาธิก็วิปัสสนาได้เลย แล้วทำไปต้องมาทำสมาธิให้ถึงฌานแล้วค่อยมาวิปัสสนาละครับ? ถ้ามาเสียเวลาทำสมาธิ จะต่างอะไรกับการฝึกตนเองเป็นพราหมณ์ฤาษีละครับ?

viewtopic.php?f=2&t=24268

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
สมาธิไม่มีข้อเสียเลย หากประกอบด้วยปัญญา

ถูกต้องเห็นด้วย :b12: แปลว่าต้องยังปัญญาอินทรีย์ให้แก่กล้าก่อนจึงมามาปฏิบัติสมถะกรรมฐานใช่ใหมครับ?

เห็นมีคนลงแต่ด้านเดียว ก็เลยเอาอีกด้านมานำเสนอ บทความนี้มาจากอาจารย์สินทพ ซึ่งเราก็พยายามเผยแพร่ให้พุทธศาสนนิกชนมีปัญญา รู้ลึก รู้กว้าง จะได้ไม่เป็นเหยื่อของพวกมาร

ไตรสิกขา มาจากสิกขาบทจำนวน 227 ข้อ ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับสมาธิเลยนะครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=24099

คนไม่มีสมาธิก็วิปัสสนาได้เลย แล้วทำไปต้องมาทำสมาธิให้ถึงฌานแล้วค่อยมาวิปัสสนาละครับ? ถ้ามาเสียเวลาทำสมาธิ จะต่างอะไรกับการฝึกตนเองเป็นพราหมณ์ฤาษีละครับ?

viewtopic.php?f=2&t=24268


วิธีการทำจิตให้หลุดพ้นแบบปัญญาวิมุติ
การทำจิตให้หลุดพ้นแบบปัญญาวิมุติ ก็คือการเจริญวิปัสสนาโดยไม่อาศัยสมถะ คือความสงบใจ อาศัยแต่ปัญญาเท่านั้น คือ ใช้สมาธิเพียงแค่ให้เกิดปัญญา แต่ไม่ใช่ความสงบใจชนิดเข้าฌานสมาบัติ ๘ เพราะวิปัสสนานั้นกำหนดทุกข์ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าความทุกข์ไม่เที่ยง ไม่เป็นตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ผู้ปฏิบัติจะต้องมีอาตาปี ความเพียรเผากิเลส สติมา มีสติสัมปชาโน มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม คือให้ผู้ปฏิบัติตั้งสติ อุกเบกขากำหนดจิต ดูรูปยืน เดิน นั่ง นอน ทำความรู้สึก ให้แล่นไปตลอดกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดพื้น คือ บริเวณที่ร่างกายกระทบกับพื้น เช่น การยืน การเดิน ก็ให้กำหนด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่กระทบพื้น การนั่ง การนอน ก็ให้ตั้งสติ กำหนดความรู้สึกตลอดกายถึงที่สัมผัสพื้น ทำความรู้สึกตัวมีสติอุเบกขา กำหนดจิตอยู่บริเวณผัสสะ เมื่อกำหนดนานเข้า ก็จะเห็นทุกข์เกิดขึ้นรึงรัดกาย ความร้อนก็จะเกิดขึ้นที่ผัสสะที่เรากำหนด เหมือนกับเราเอาไม้ไผ่ ๒ อันสีกันนาน ๆ ก็จะเกิดไฟ การกำหนดจิตกับผัสสะก็เช่นเดียวกัน เมื่อกำหนดจิตนาน ๆ ไฟอริยญาณก็จะเกิดขึ้น เผาผลาญกิเลสภายในกาย เมื่อญาณความร้อนเกิดขึ้น ให้ผู้ปฏิบัติตั้งสติ กำหนดจิตปล่อยอุเบกขา ไปตลอดกาย ญาณความร้อน ก็จะแทงทะลุกาย ปัญญาก็แจ้ง ทำให้เห็นเกิดดับความสิ้นเสื่อมของกายและเวทนา คือ ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นสิ้นไป เสื่อมไป ภายในกาย ทะลุเข้าไปถึงกระดูก ความทุกข์ กายหยาบ และกิเลสที่อยู่ในกายก็จะถูกญาณปัญญาทำลายจนหมดสิ้น จิตก็จะแล่นออกจากสังขารธรรม เข้าสู่นิพพาน หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง



หมายเหตุ
การหลุดพ้นแบบปัญญาวิมุตินั้น ผู้ปฏิบัติต้องเป็นผู้มีปัญญาและความเพียร ความอดทนอย่างมากจึงจะสำเร็จ ดังนั้นถ้าหากผู้ปฏิบัติไม่แน่ใจว่าจะมีปัญญา มีความอดทน ทำความเพียรเผากิเลสให้จิตหลุดพ้นได้ ก็ควรเจริญสมถะก่อนจึงเจริญวิปัสสนา คือทำความสงบใจ เข้าฌานสมาบัติได้แล้วจึงยกจิตขึ้นพิจารกาย เวทนา จิต ธรรม ภายหลัง จนจิตหลุดพ้นเป็นเจโตวิมุติ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ถูกต้องเห็นด้วย :b12: แปลว่าต้องยังปัญญาอินทรีย์ให้แก่กล้าก่อนจึงมามาปฏิบัติสมถะกรรมฐานใช่ใหมครับ?


:b12: แหม๋ก็นะ เวลาทำสมาธิ ก็จัดไปด้วยซิ คุณนั่นแหละ อธิบายไป ใส่อย่างไร ไม่ต้องรอให้
อินทรีย์แก่กล้าหรอก เพราะ

เวลาทำสมาธิ วิริยะ สติ สมาธิ มาแล้ว เหลือ ศรัทธากับปัญญาที่ถูกต้องเท่านั้น ก็ค่อยๆเติมไป
ถ้าไม่ดำเนินสมาธิบ้าง อินทรีย์ก็ไม่ครบอยู่ดี :b12:


Supareak Mulpong เขียน:
เห็นมีคนลงแต่ด้านเดียว ก็เลยเอาอีกด้านมานำเสนอ บทความนี้มาจากอาจารย์สินทพ ซึ่งเราก็พยายามเผยแพร่ให้พุทธศาสนนิกชนมีปัญญา รู้ลึก รู้กว้าง จะได้ไม่เป็นเหยื่อของพวกมาร


ถ้าเห็นใครลงด้านเดียว คุณก็ไปเติมเลย
ความจริงแล้ว ธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องอ้างคำแนะนำของใครเลย ถ้าเราเรียนรู้ปฏิบัติ ความเห็น
เราเองยืนยันได้เลย ไม่ต้องอ้างอิงใครมา เราเองจะแน่ใจอย่างไร คนที่เราอ้างอิงตอนนี้อยู่ที่ไหน
อาจจะกระแด๋วๆในนรกก็ได้ เราพยายามศึกษา ปฏิบัติ แล้วยืนยังสิ่งที่เราค้นพบดีกว่า ใครมาอ่าน คห.
เขาก็มองเราออกเองว่าเราถูกเราผิด ถ้าใจกว้างพอ ก็แนะนำกันไปอย่างบัณฑิต


Supareak Mulpong เขียน:
ไตรสิกขา มาจากสิกขาบทจำนวน 227 ข้อ ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับสมาธิเลยนะครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=24099


ไตรสิกขา อธิจิต จิตยิ่ง จิตใหญ่ แปลแบบนี้ง่ายดี อธิบายอีกเรื่อง :b12:

คุณไปมองคำว่าอธิจิตที่ปลายแล้ว ไปมองที่ผล เหมือนคุณมองที่ข้าวมันสุกนะครับ คุณทำไมไม่มอง
เวลาเขาทำนาละ เวลาเขานวดข้าว เวลาสีข้าว เวลาส่งขาย เวลาซื้อ เวลาซาว ฯลฯ ไปมองตอนหุง
เสร็จแล้ว ก็ไม่เข้าใจว่ามีสมาธิซิ ก็กว่าจะไม่ประมาท กว่าจะรู้ทันสิ่งที่กระทบกายใจ ก็ต้องพึ่งสมาธิ
ทั้งนั้น เรื่องสมาธิแฝงไว้ข้างใน เหมือนคุณอ่ะ มีตับไตข้างใน พูดถึงคุณ ไม่บอกก็รู้ว่ามีตับมีไต :b12:

วิธีปฏิบัติทางจิตในมหาสติปัฏฐานสูตรนั่นแหละ ที่มาของอธิจิต

เอ... เรื่องอธิศีลที่คุณอธิบายไว้ ผมว่ามันแหม่งๆนะคุณ :b12:

Supareak Mulpong เขียน:
คนไม่มีสมาธิก็วิปัสสนาได้เลย แล้วทำไปต้องมาทำสมาธิให้ถึงฌานแล้วค่อยมาวิปัสสนาละครับ? ถ้ามาเสียเวลาทำสมาธิ จะต่างอะไรกับการฝึกตนเองเป็นพราหมณ์ฤาษีละครับ?
viewtopic.php?f=2&t=24268


อันนี้เป็นเรื่องที่คุณอธิบายไว้นะครับ :b12: คุณต้องตอบเอง
ผมเองก็ไม่เคยพูดว่าต้องทำฌานก่อนมีสมาธิเสมอไป จะทำฌานก่อนก็ได้ จะไม่ทำก็ได้ แล้วแต่
ที่มาที่ไปของแต่ละคน พระพุทธเจ้าท่านแนะวิธีไว้หลายอย่าง แต่ท่านไม่มีข้อจำกัดว่า ต้องอันนี้
ก่อนอันนี้หลัง แล้วเวลาผมแนะนำใคร ผมจับทำวิปัสสนาเลย ไม่ต้องมาทำฌาน ได้ผลดีเหมือนกัน

จะยกตัวอย่างเรื่องยกฌานเป็นวิปัสสนาให้อ่านเล่นๆ

อยู่ในปฐมฌาน วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตาจิต
พอจะยกสู่วิปัสสนาวิธี ก็ทิ้งวิตก วิจารณ์ (บริกรรม และ การระวังบริกรรม) ตอนนั้นเอง เอกัคคตาจิต
ก็เริ่มสัดส่าย สมาธิก็ไม่ดี ปีติ สุข เริ่มเสื่อม ตอนนี้ก็ดูเลย ดูการเสื่อมของปีติ สุข เห็นอนิจจังเลย
สุขหมด เห็นทุกข์เลย ตอนที่ปีติ สุขหาย ตอนนี้ละอนัตตาโผล่ อันนี้เห็นมันดับนะ เวลาจะดูมันเกิดก็
บริกรรมใหม่ ใส่ใจระวัง พอสมาธิเริ่มดี(เอกัคคตาจิต) ปีติ สุข จะค่อยๆมี ตอนนี้ละ ดูเลย เห็นเลยว่า
กำลังเกิด เราจะเห็น ๒ วาระเลย เกิดดับ ทีนี้พอเราเห็นสภาวะตัวนี้ เรียกว่าเห็นเกิดดับของนาม เราก็
สามารถอนุมานถึงเกิดดับของรูปได้ เรียกว่า เข้าใจการเกิดดับของรูปนาม ข้อนี้ไง เรียกว่า วิปัสสนาที่
มีสมถะนำวิปัสสนาตาม

ทีนี้อีกตัวอย่างหนึ่ง มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง :b12:
กำหนดปัจจุบันของรูป(อิริยาบถ)เลย เห็นก็สักว่าเห็น พออินทรีย์ ๕ เป็นใจ เห็นทันปัจจุบัน จะเห็น
สภาวะรูปมันเกิดดับๆ นี่รู้รูป ต่อจากนั้น เมื่ออินทรีย์ดีขึ้นอีก เห็นจิตที่ดับไปพร้อมกับนาม ก็เห็น
เกิดดับของนามอีก เมื่อนิวรณ์แทกในจิต ทำให้เห็นสภาวะไม่ชัดเจน ก็มีสมาธิแรงๆหน่อย บางทีก็
เอาเมตตราภาวนามาช่วย เมื่อนิวรณืระงับลง ก็ดูรูปนามต่อ อันนี้เรียกว่า วิปัสสนาที่มีวิปัสสนานำหน้า
สมถะตาม

ลองทำดูนะครับ :b12:

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: ขอบคุณมากครับบ

ความจริงก็พอรู้เล็กน้อยครับ

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความจริงก็ถูกทั้ง2คนกระมัง

เพียงแต่คนส่วนใหญ่ที่นั่งสมาธิมักไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา :b8:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานไปเจอคนจองตั๋วเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์สู่ห้วงมหานรกมา
หนักหนาสาหัสมากๆๆๆ
ปิดประตูสวรรค์ ปิดประตูนิิพาน แต่ตัดทางด่วนพิเศษสู่ห้วงลึกสุดแห่งมหานรก

รู้สึกสงสารจับใจว่า
ตานั่นเขาสติไม่มี เลยไม่เชื่อใจตัวเอง ไม่เห็นใจตัวเอง
ดันไปเชื่อแต่ทิฐิตัวเอง
แล้วก็ .... อุยยส์

พอกลับมาเจออีตานี่ใหม่ ก้รู้สึกว่า เบบี้ๆ
ยังมีแบ่งรับแบ่งสู้ ก็คิดว่าคงแก้ไขไปได้

อวยพรให้โชคดีละกันนะ
ใครเขาติงก็ให้นำหนักบ้าง

ทางสายนี้นี่นะ ไม่มีความคิดใดควรไว้ใจเลยสักอันหนึ่ง
มันใช้อะไรไม่ได้เลยจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 21:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คนมันชั่งคิด..นะคุณชาติสยาม..คิดแต่สนุก..อย่างเดียว..ไม่รู้ต้วว่าขาข้างหนึ่งเหยียบประตูนรกเข้าแล้วนะ...(ถ้ามีใครเกิดเลิกทำสมาธิเพราะเชื่อเขาละก็..เหยียบเต็มขาเลยทีนี้)

เอ้าวน่า..คุณกามโภคี..ช่วยเขาหน่อย..จะแก้ที่ว่าเสียมาดีนี้ว่ายาก..แต่ผมว่าจะแก้ที่ว่าดีมาเป็นดีนี้มันยากที่สู้ดดด..เลยละท่านเอ๋ย..(ก็เขาคิดว่าเขาดีแล้วนะซี)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



วิบากกรรมน่ะท่านเอ๋ยยย ... ไม่มีอะไรหรอก :b32:

ท่านไม่มีวิบากร่วมกับเขาก็เลยไม่เชื่อเขาเท่านั้นเอง ..

จานกาม :b22: :b32:

ช่วยๆหน่อยละกานนนนนนนนนนนนน :b13:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ช้ายแล้ว..วิบากกรรม..กรรมเก่าว่างั้นเถอะ..ถ้าไม่ทำกรรมดีใหม่ ๆ ก็รับกรรมเก่าไปเต็ม ๆ

ก็ถือว่าท่านกามโภคี..กำลังทำดี..ช่วยดึง..พวกที่กำลังรับกรรมตามกำลังกรรมเก่า...ถ้าเขามีบุญร่วมกับท่านกามโภคี..มาก่อน..ก็คงจะเชื่อท่านกามฯบ้าง..เน้อะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอ... เรื่องอธิศีลที่คุณอธิบายไว้ ผมว่ามันแหม่งๆนะคุณ

รบกวนขอความรู้ท่านเพิ่มเติมด้วยครับ สงสัยผมจะเก็บรายละเอียดไม่ครบ จะได้ให้ผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมตรงนี้ได้ด้วย

อ้างคำพูด:
อันนี้เป็นเรื่องที่คุณอธิบายไว้นะครับ คุณต้องตอบเอง
ผมเองก็ไม่เคยพูดว่าต้องทำฌานก่อนมีสมาธิเสมอไป

ผมก็พูดกันๆ ไว้ พวกที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ จะได้ไม่พากันหลง พากันไปเป็นฤาษีกันหมด

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 28 ก.ค. 2009, 09:59, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
เอ... เรื่องอธิศีลที่คุณอธิบายไว้ ผมว่ามันแหม่งๆนะคุณ

รบกวนขอความรู้ท่านเพิ่มเติมด้วยครับ สงสัยผมจะเก็บรายละเอียดไม่ครบ จะได้ให้ผู้ที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมตรงนี้ได้ด้วย



ผมชอบคุณนะคุณใจเย็นดี ไม่ได้ชมนะรับรู้สึกได้และก็มีอีกหลายท่านเย็นจริงๆ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 14:18
โพสต์: 8

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าการฝึกมันต้องมีขั้นมีตอนครับ
เหมือนกับอายุ7ขวบคงยังเรียนวิศวะไม่ได้หรอกคับ
วิปัสสนาทำเรยก็ได้คับ
ซึ่งคนทั่วไปก็ทำได้
รู้อยู่แล้วว่า ทุกขัง คือไร อนิจจัง คือไร อนัตตา คือไร แต่น้อยคนที่สามารถเข้าใจแล้วหลุดพ้นได้จริง
ส่วน จขกท. กลัวว่าคนจะไปเป็นฤาษีกันหมดนั้นคงไม่ต้องกลัวหรอกครับ
บางคนสมัยนี้ทำให้ได้เศษเสี้ยวของท่านก็พอแล้วหล่ะ

หากท่านเคยเคยหลุดพ้นแล้วโดยไม่ได้ผ่านการฝึกสมาธิ สติ ก็ยินดีด้วยครับ
แต่ผมก็ยังสงสัยว่า จะรู้แจ้งด้วยอะไรหากไม่ใช้สติและสมาธิพิจารณา
smiley

.....................................................
" ประเสริฐยังไง หากรู้จักชำระล้างร่างกายทุกวัน
แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดชำระล้างจิตใจแม้แต่วันเดียว "


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร