วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 16:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๙. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน


วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน หรือ วิธีคิดแบบมีปัจจุบันเป็นอารมณ์

ความจริงวิธีคิดแบบที่ ๙ นี้ เป็นเพียงการมองอีกด้านหนึ่งของการคิดแบบอื่นๆ จะว่า

แทรกหรือคลุมวิธีคิดแบบก่อนๆที่กล่าวแล้วก็ได้ แต่ที่ท่านแยกมาแสดงเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหาก

ก็เพราะมีแง่ที่ควรทำความเข้าใจพิเศษ และมีความสำคัญโดยลำพังตัวของมันเอง

อนึ่ง วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน มีเนื้อหารวมอยู่ในสติปัฏฐานสี่ ที่กล่าวไว้ที่ =>

viewtopic.php?f=2&t=21861



แต่ที่แยกบรรยายก็เพราะเพ่งความหมายคนละแง่ กล่าวคือ

ใน สติปัฏฐาน การบรรยายเพ่งถึงการตั้งสติระลึกรู้เต็มตื่นอยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

กำลังเป็นไปอยู่ กำลังรับรู้ หรือ กำลังกระทำในปัจจุบันทันทุกๆขณะ


ส่วนในที่นี้ การบรรยายเพ่งถึงการใช้ความคิด และ เนื้อหาของความคิดที่สติระลึกรู้กำหนดอยู่นั้น


ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิธีคิดแบบนี้ ก็คือ

การที่มีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ การเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ โดยเห็นไป

ว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า กำลังเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้คิดพิจารณาเกี่ยวกับ

อดีต หรือ อนาคต ตลอดจนไม่ให้คิดเตรียมการหรือวางแผนงานเพื่อกาลภายหน้า

เมื่อเข้าใจผิดแล้ว

ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็เลยปฏิบัติผิดจากหลักพระพุทธศาสนา

ถ้าเป็นบุคคลภายนอกมองเข้ามา ก็เลยเพ่งว่า ถึงผลร้ายต่างๆที่พระพุทธศาสนาจะนำมาให้แก่หมู่ชนผู้ปฏิบัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ก.พ. 2012, 15:52, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2009, 15:36
โพสต์: 435

ที่อยู่: malaysia

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณกรัชกาย :b8: :b8: :b8:
ด้วยความเคารพ :b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



คุณคนไร้สาระ...เมื่อติดตามอ่านกระทู้นี้ อ่านแล้วไม่เข้าใจตรงไหนถามด้วยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ



ความหมายที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับ ปัจจุบัน อดีต และอนาคต

สำหรับการใช้ความคิดแบบที่ ๙ มีดังนี้

ลักษณะสำคัญ ของความคิดชนิดที่ไม่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ ความคิดที่เกาะติดกับอดีต

และเลื่อนลอยไปในอนาคตนั้น

พูดได้สั้นๆว่า ได้แก่ ความคิดที่เป็นไปในแนวทางของตัณหา หรือ คิดด้วยอำนาจตัณหา

หรือพูดอย่างภาษาสมัยใหม่ว่า ตกอยู่ในอำนาจอารมณ์ * โดยมีอาการหวนละห้อยโหยหาอาลัย

อาวรณ์ถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เพราะความเกาะติดหรือค้างคาในรูปใดรูปหนึ่ง หรือเคว้งคว้าง

เลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปในภาพที่ฝันเพ้อปรุงแต่ง ซึ่งไม่มีฐานแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะอึดอัด

ไม่พอใจสภาพที่ประสบอยู่ปรารถนาจะหนีจากปัจจุบัน



:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

* อารมณ์ในที่นี้ หมายถึงคำที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า emotion ไม่ใช่อารมณ์ในภาษาธรรม

(แต่ถ้ามองให้ลึกจริงๆ ก็เป็นการตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์ในทางธรรมด้วย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 09:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบขอบพระคุณ อาจารย์ค่ะ

:b47: ช่วงนี้คนไร้สาระก็ยังเจริญสติอยู่ แต่เกิดภาวะ
ขึ้นคือ จิตไหลไปในอดีต ค่อนข้างบ่อย เหมือน ๆ จะไปหลงติด
ความเพลิดเพลิน ทั้งๆ ที่ก็ทราบค่ะว่าเป็นสมมุติแต่จิตไม่ยอมวาง
เผลอเมื่อไร มาเมื่อนั้น

:b47: ที่สังเกตุได้อีกอย่างหนึ่งคือ ยิ่งใจหมั่นศึกษาธรรม
เหมือนว่ากรรมยิ่งตามจิก โดนทดสอบตลอด ศิษย์ก็ทราบ
และพยายามจะเปลี่ยนเส้นทางกรรม เอาธรรมะเข้าแก้ปัญหา
ตลอด แต่ปัจจัยมิใช่เราคนเดียว มีคนและสภาวะแวดล้อมมา
เป็นตัวคูณ แล้วก็เข้าสู่ทางกรรมจนได้ แต่ยังดีที่ผ่านมายัง
ไม่ล่วงหล่นจนทุกข์สาหัสแต่ มีอาการ หดหู่ และซึม
เห็นแต่ปล่อยครึ่งเดียว

:b47: แบบที่อาจารย์บอกเลยค่ะ จิตมองไม่เห็นความจริงในปัจจุบัน
พยายามหาทางแก้ไข สลัดที่ประสบเพราะใจไม่เป็นกลาง
ยังพยายามหนีอารมณ์อยู่(จิตไม่ยอมรับ) ไม่ทราบว่าตรงนี้โทสะ
เข้าแทรกหรือเปล่าค่ะ เพราะเกิดอาการไม่พอใจ หาทางแก้ไข
ปัญหาตรงกับกระทู้นี้ที่อาจารย์โพสต์พอดี อย่างที่คนไร้สาระบอก
เหมือนอาจารย์จะทราบว่ากำลังติดอะไรอยู่ ยังติดอยู่จริง ๆ ค่ะ

:b8: :b8: :b8:
กราบเรียนมาด้วยความเคารพยิ่ง

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณคนไร้สาระ :b3:
กรัชกายเว้นวรรคไม่โพสต์กระทู้นี้ ๒-๓ วัน ก็เพราะติดอารมณ์ตนเองเช่นกัน ด้วยว่า คห.ข้างบน มีคำว่า ตัณหาด้วย (พูดได้สั้นๆว่า ได้แก่ ความคิดที่เป็นไปในแนวทางของตัณหา หรือ คิดด้วยอำนาจ
ตัณหา)


แล้วตัณหา ศัพท์นี้แหละ ที่นักศึกษาธรรมยังเข้าใจผิดค่อนข้างมาก ว่าตนจะคิด-พูด-ทำอะไรๆ เป็นตัณหา
เป็นกิเลสไปหมด จึงไม่กล้าพูดกล้าทำอะไรกลัวเป็นกิเลสกลัวบาป

เมื่อคิดประเด็นนี้ จะโพสต์ก็เกรงว่า จะทำให้ผู้ศึกษาข้างต้นไม่กล้าคิดกล้าทำ...กลัวเป็นกิเลส
แต่ก็คิดหาวิธี ให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายศัพท์นี้อยู่
แต่ก็รู้สึกท้อๆ จึงล่วงเลยมา

บอร์ดเก่า เคยโพสต์ความต่างระหว่างตัณหากับฉันทะ ไว้
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13590


แต่ยาวนิดหนึ่ง จะเอามาแทรกไว้ แต่คิดแย้งอีกว่าว่าผู้ศึกษาที่ทนนั่งอ่านเรื่องยากๆยาวๆหาได้ยาก
ครั้นจะลอกมาสั้นๆ พอได้ความก็คิดแย้งอีกว่า ผู้อ่านที่ต้องการหลักฐานที่มาจะขาดความเชื่อมั่น
คิดวนไปวนมาเมื่อเปิดเว็บบอร์ด

ก็ได้ เพื่อจะได้โพสต์กระทู้นี้ต่อ จึงสรุปความหมาย ตัณหา ที่แปลว่า ความอยาก เป็นต้น ให้เป็นแนวทางให้ก่อนว่า ความอยาก มี ๒ อย่าง ความอยากที่เป็นตัณหาก็มี ความอยากเป็นฉันทะ ก็มี
ค่อยๆอ่านทำความเข้าใจลิงค์ดังกล่าว


ฉุกใจได้คิด เมื่อเห็นข้อความของคุณ จะปล่อยไว้นิ่งๆ ก็เกรงว่า คุณจะรอคำตอบ
ครั้นจะตอบปัญหาคาใจคุณดังว่า (จิตมองไม่เห็นความจริงในปัจจุบัน
พยายามหาทางแก้ไข สลัดที่ประสบเพราะใจไม่เป็นกลาง
ยังพยายามหนีอารมณ์อยู่ (จิตไม่ยอมรับ) ไม่ทราบว่าตรงนี้โทสะ
เข้าแทรกหรือเปล่าค่ะ เพราะเกิดอาการไม่พอใจ หาทางแก้ไข
ปัญหาตรงกับกระทู้นี้ที่อาจารย์โพสต์พอดี อย่างที่คนไร้สาระบอก
เหมือนอาจารย์จะทราบว่า กำลังติดอะไรอยู่ ยังติดอยู่จริง ๆ ค่ะ)


ซึ่งเสมือนหลักตอ คอยทิ่มแทงจิตใจอยู่ ซึ่งที่จริงมีนิดเดียว
แต่ไม่กล้าแนะนำ เพราะคุณไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติกรรมฐานด้านภาวนามาก่อน

ต่างจาก กระทู้ “การปฏิบัติธรรมกับความรัก”

viewtopic.php?f=1&t=22369&st=0&sk=t&sd=a&start=30

เน้น เฉพาะ ๒ คห. ที่ปฏิบัติกรรมฐานแนวพอง-ยุบมา ซึ่งกรัชกายนำมาจากบอร์ดอื่นเพื่อเป็นตัวอย่าง
หากคุณเป็นโยคีท่านนั้น แนะนิดเดียว จะหลุดจากวงจรความคิดนั้นทันที

คุณยังจำได้ไหมที่กรัชกายเคยพูดว่า ความคิดๆ เมื่อมีความคิดอย่างอื่นแทรกความคิดก่อนจะดับทันที

ตัวอย่างผู้ปฏิบัติธรรมฐานโดยใช้พอง-ยุบเป็นอารมณ์ที่นำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ผู้ซึ่งไม่มีพื้นฐานด้านภาวนามาก่อนได้แลเห็น พร้อมด้วยหลักฐานจากคัมภีร์มาวางให้ดูแล้วค่อยพูด ตามที่เราต้องการจะพูด เพราะกำลัง
สนทนากับผู้ไม่เคยทำ ไม่เคยอ่าน หาก ไม่ทำอย่างนั้นคนอ่านดังกล่าวจะงวยงงสงสัยอีก

กรัชกายจึงชอบจับคู่สนทนากับผู้ที่มีแนวปฏิบัติต่างกัน แล้วมาถกเถียงกันด้วยเหตุผลพร้อมหลักฐานทางคัมภีร์
ด้วย

เปิดเผยความในใจให้คุณล่วงรู้ เพราะเห็นคุณสนใจใคร่ต่อการศึกษาได้ติดตามอ่านบทความที่กรัชกายนำมาลง
เกือบทุกกระทู้

เรื่องนามธรรม ความคิดจิตใจเข้าใจยากครับ ธรรมไม่ใช่ของง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ
เคยปรารภไว้ที่บอร์ดเก่า

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14037

อย่าว่าแต่นามธรรมซึ่งเห็นได้ยากรู้ได้ยากเลยครับ แม้แต่รูปธรรม นักศึกษาธรรมบ้านเรายังเถียงกันไม่จบเลย
ครับ :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่ทราบว่าตรงนี้โทสะ เข้าแทรกหรือเปล่าค่ะ


เป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน โทสะ ฯลฯ เมื่อต้องการพ้นไปจากภาวะนั้น แต่ไม่รู้อุบาย ก็เกิดโทสะ
ขัดเคืองใจ ฯลฯ


เอาอย่าง่นี้สิครับ แนะวิธีให้ คุณทำปริญญากิจ (กำหนดรู้) ในทุกข์นั้น ตามที่รู้สึก ตามที่มันเป็น หรือ
ตามสภาวะของมัน รู้สึกอย่างไรก็ทำปริญญากิจอย่างนั้น จะยกตัวอย่างแล้วคุณนำไปประยุกต์ใช้เอาเองแต่ละ
ขณะๆที่รู้สึกนะครับ

รู้สึกไม่พอใจ "ไม่พอใจหนอๆๆๆ" หนอ ใช้กำอื่นแทนได้ หากไม่สะดวกใช้คำนี้ :b1:

แต่ที่ทำเฉยๆไม่ได้ คือ อารมณ์ความรู้สึก ทางกาย ทางใจ (รูปธรรมนามธรรม)เป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรก็
อย่างนั้น ตามที่ธรรมชาติมันเป็นของมัน เราจะทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้ ต้องทำปริญญากิจ (กำหนดรู้)ทุกๆขณะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ลงต่อ)

ส่วนความคิดชนิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

มีลักษณะที่พูดสั้นๆ ได้ว่า เป็นการคิดในแนวทางของความรู้ หรือ คิดด้วยอำนาจปัญญา

ถ้าคิดในแนวทางของความรู้ หรือ คิดด้วยอำนาจปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปอยู่ในขณะนี้หรือ

เป็นเรื่องล่วงไปแล้ว หรือ เป็นเรื่องของกาลภายหน้า ก็จัดเข้าในการเป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งนั้น


ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่า ความรู้ การคิดการพิจารณาด้วยปัญญาเกี่ยวกับเรื่องอดีตปัจจุบัน หรือ อนาคต

ก็ตาม เป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีความสำคัญตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในทุกระดับ ทั้งในระดับ

ชีวิตประจำวัน เช่น การสั่งสอนเกี่ยวกับบทเรียนจากอดีต ความไม่ประมาทระมัดระวังป้องกันภัยในอนาคต

เป็นต้น

ในระดับการรู้แจ้งสัจธรรม ตลอดจนการบำเพ็ญพุทธกิจ เช่น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (รู้อดีต)

อดีตังสญาณ (รู้อดีต) อนาคตังสญาณ (รู้อนาคต) เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 มิ.ย. 2010, 18:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)


ว่าโดยความหมายทางธรรมขั้นการฝึกอบรมทางจิตใจที่แท้จริง คำว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ก็ไม่ตรงกับความเข้าใจของคนทั่วไป

คำว่า ปัจจุบัน ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ มักครอบคลุมกาลเวลาช่วงกว้างที่ไม่ชัดเจน

ส่วนในทางธรรม เมื่อว่าถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียวที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่

ในความหมายที่ลึกลงไปนี้ เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึง มีสติตามทันสิ่งที่รับรู้เกี่ยวข้อง หรือ ต้องทำอยู่ในเวลานั้นๆ แต่ละขณะทุกๆขณะ ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้ว เกิดความชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจขึ้น ก็ติดข้องวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งนั้นที่สร้างซ้อนขึ้นในใจ ก็เป็นอันตกไปในอดีต
(เรียว่า ตกอดีต) ตามไม่ทันของจริง หลุดหลงพลาดไปจากขณะปัจจุบันแล้ว

หรือจิตหลุดลอยจากขณะปัจจุบัน คิดฝันไปตามความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวกับภาพเลยไปข้างหน้าของสิ่งที่ยังไม่มา ก็เป็นอันฟุ้งไปในอนาคต


โดยนัยนี้ แม้แต่อดีต และอนาคต ตามความหมายทางธรรม ก็อาจยังอยู่ในขอบเขตแห่งเวลา

ปัจจุบัน ตามความหมายของคนทั่วไป


ตามเนื้อความที่กล่าวมาแล้วนี้ จะมองเห็นความหมายสำคัญแง่หนึ่งของคำว่า “ปัจจุบัน”

ในทางธรรมว่า มิใช่เพ่งที่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกภายนอกแท้ทีเดียว

แต่หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ


ดังนั้น มองอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ตามความหมายของคนทั่วไปว่าเป็น อดีต หรือ เป็น อนาคต

ก็อาจกลายเป็น ปัจจุบัน ตามความหมายทางธรรมได้ เช่น เดียวกับที่ปัจจุบันของคนทั่วไป

อาจกลายเป็น อดีต หรือ อนาคต ตามความหมายทางธรรมดังได้กล่าวแล้ว

สรุปเอาง่ายๆ ว่า ความเป็นปัจจุบันทางธรรมขั้นปฏิบัติทางจิต กำหนดเอาที่ความเกี่ยวข้อง

ต้องรู้ ต้องทำเป็นสำคัญ



:b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

ขยายความหมายออกมา ในวงกว้างถึงระดับชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นปัจจุบันคลุมถึงเรื่องราว

ทั้งหลายที่เชื่อมโยงต่อกันมาถึงสิ่งที่กำลังรับรู้ กำลังพิจารณา เกี่ยวข้องต้องทำอยู่

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจหน้าที่ เรื่องที่ปรารภเพื่อทำกิจ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ

หรือ ปฏิบัติได้ ไม่ใช่คิดเลื่อนลอยฟุ้ง เพ้อฝันไปกับอารมณ์ที่ชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ ติดข้องอยู่

กับความชอบความชัง หรือ ฟุ้งซ่านพล่านไปอย่างไร้จุดหมาย

:b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55: :b55:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 14 พ.ย. 2012, 15:00, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความหมายแง่ต่างๆเหล่านี้ จะมองเห็นได้จากพุทธพจน์ต่างๆ ที่จะยกมาแสดงในที่นี้

แม้แต่พุทธพจน์ที่ตรัสแนะนำไม่ให้รำพึงหลัง ไม่ให้หวังอนาคต ก็จะโยงถึงและเพ่งไปที่การทำกิจ

หน้าที่ ดังจะขอให้สังเกตจากบาลีที่ยกมาอ้างต่อไปนี้




“ไม่พึงหวนละห้อยถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่พึงเพ้อหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง

สิ่งใดเป็นอดีต สิ่งนั้นก็ล่วงเลยไปแล้ว

สิ่งใดเป็นอนาคต สิ่งนั้นก็ยังไม่ถึง

ส่วนผู้ใดมองเห็นแจ้งชัด (ตามเป็นจริง) ซึ่งสิ่งที่เป็นปัจจุบันในที่นั้นๆ (= ในแต่ละกรณี)

ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน (ไม่ไหวหวั่นไปตามอำนาจกิเลส)

ครั้นรู้ชัดแล้ว เขาพึงบำเพ็ญสิ่งนั้น”


“ควรทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าจะรู้ได้ว่าจะตายวันพรุ่ง

กับพญามัจจุราชแม่ทัพใหญ่นั้น ไม่มีการผัดเพี้ยนได้เลย


“ผู้ที่เป็นอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่ซึมเซาทั้งคืนวัน

พระสันตมุนีทรงเรียกขานว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ”

(ม.อุ.14/526-534/348-351 ฯลฯ)

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


อีกแห่งหนึ่ง

“ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง

ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส

“ส่วนชนทั้งหลาย ผู้ยังอ่อนปัญญา เฝ้าแต่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง และหวนละห้อย

ถึงความหลังอันล่วงแล้ว จึงซูบซีดหม่นหมอง เสมือนต้นอ้อสด ที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไว้

ที่ในกลางแดด”

(สํ.ส. 15/22/7)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ก.พ. 2012, 15:54, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงสังเกตการณ์การวางท่าทีของจิตใจ เกี่ยวกับกาลเวลา ในแง่ที่ไม่เป็นไปตามอำนาจตัณหา

ตามบาลีข้างต้นนี้ แล้วเทียบกับการปฏิบัติต่ออนาคตด้วยปัญญาที่ใช้บำเพ็ญกิจตามบาลีข้อต่อๆไป

เริ่มตั้งแต่คำสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ไปจนถึงการบำเพ็ญกิจของพระภิกษุ

และเริ่มตั้งแต่การบำเพ็ญกิจส่วนตัว ไปจนถึงความรับผิดชอบต่อกิจการของส่วนรวม ดังนี้




“พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึง ธีรชนตรวจตราโลกทั้งสอง

เพราะคำนึงภัยที่ยังไม่มาถึง”

(ขุ.ชา.27/545/136; 1092/231)


“เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราะเป็นประจักษ์มากับตนเอง

เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้สมตามนั้น”


(ขุ.ชา.27/51/ 17; ฯลฯ))

“เธอทั้งหลาย จงยังกิจของตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”

(พุทธปัจฉิมวาจา , ที.ม. 10/143/180)

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ก.พ. 2012, 15:53, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างการคำนึงอนาคตแล้วปฏิบัติตนเองของพระภิกษุ


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมองเห็นภัยอนาคต ๕ ประการต่อไปนี้ ย่อมควรแท้ที่ภิกษุจะเป็นอยู่

โดยเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศตัวเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ

เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพื่อประแจ้งธรรมที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ๕ ประการคืออะไร ? คือ



๑.ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ เรายังหนุ่ม ยังเยาว์ มีผมดำสนิท

ประกอบด้วยความหนุ่มแน่นยามปฐมวัย แต่ก็จะมีคราวสมัยที่ความชราจะเข้าต้องกายนี้ได้

ก็แลการที่คนแก่เฒ่าถูกชราครอบงำ แล้วจะมนสิการคำสอของพระพุทธะทั้งหลาย

ย่อมมิใช่จะทำได้โดยง่าย การที่จะเสพเสนาสนะ อันสงัดในราวป่าแดนไพร

ก็มิใช่จะทำได้โดยง่าย

อย่ากระนั้นเลย ก่อนที่สภาพอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบ ไม่น่าพึงใจนั้นจะมาถึง

เรารีบเริ่มระดมความเพียรเสียก่อนเถิด เพื่อจะได้บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ...ซึ่งเมื่อเรามีพร้อมแล้ว

แม้จะแก่เฒ่าลงก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๒. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ เรามีอาพาธน้อย มีความเจ็บไข้น้อย

ประกอบด้วยแรงไฟเผาผลาญย่อยอาหารที่สม่ำเสมอ ไม่เย็นเกินไปไม่ร้อนเกินไป พอดี

เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร แต่ก็จะมีคราวสมัยที่ความเจ็บไข้จะเข้าต้องกายนี้ได้ ฯลฯ

เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้เจ็บไข้ ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๓. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ ข้าวยังดี บิณฑบาตหาได้ง่าย

การยังชีพด้วยการอุ้มบาตรเที่ยวไป ก็ยังทำได้ง่าย แต่จะมีคราวสมัยที่อาหารขาดแคลน

ข้าวไม่ดี หาบิณฑบาตได้ยาก การยังชีพด้วยการอุ้มบาตรเที่ยวไป จะมิใช่ทำได้ง่าย

พวกประชาชนในที่หาอาหารได้ยากก็จะอพยพไปยังถิ่นที่หาอาหารได้ง่าย

วัดในถิ่นนั้น ก็จะเป็นที่คับคั่งจอแจ ก็เมื่อวัดคับคั่งจอแจ การที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธะ

ทั้งหลาย ย่อมมิใช่จะทำได้ง่าย การที่จะเข้าเสพอาศัยเสนาสนะอันสงัด ในราวป่าแดนไพร

ก็มิใช่จะทำได้ง่าย อย่ากระนั่นเลย ฯลฯ เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...

แม้อาหารขาดแคลน ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๔.อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ ประชาชนทั้งหลาย พร้อมเพรียง

ร่วมบันเทิงไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำกับน้ำนม มองดูกันด้วยสายตารักใคร่

แต่ก็จะมีคราวสมัยที่เกิดมีภัย มีการก่อกำเริบในแดนดง

ชาวชนบทพากันขึ้นยานหนีแยกย้ายกันไป ในเมื่อมีภัย ประชาชนทั้งหลายย่อมอพยพไปยังถิ่นที่

ปลอดภัย

วัดในถิ่นนั้นก็จะเป็นที่คับคั่งจอแจ ฯลฯ เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...

แม้เมื่อมีภัย ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๕. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ สงฆ์ยังพร้อมเพรียง ร่วมบันเทิงไม่วาทกัน

มีการสวดปาติโมกข์ร่วมกัน เป็นอยู่ผาสุก แต่ก็จะมีคราวสมัยที่สงฆ์แตกแยกกัน

ครั้นเมื่อสงฆ์แตกแยกกันแล้ว การที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย

ย่อมจะไม่ใข่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย การที่จะเข้าเสพอาศัย

เสนาสนะอันสงัด ในราวป่าแดนไพร ก็มิใช่จะทำได้ง่าย อย่ากระนั่นเลย ฯลฯ

เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้สงฆ์แตกแยกกัน ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...”

(องฺ.ปญฺจก.22/78/117)

:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 10:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในด้านการคิดเตรียมการเพื่อปกป้องคุ้มครองกิจการและประโยชน์สุขของส่วนรวมในกาลภายหน้า

ก็มีพุทธพจน์ตรัสสนับสนุนไว้เป็นตัวอย่างคล้ายๆกัน เช่น



:b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

“ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลาย พึงตระหนักล่วงหน้าไว้ ครั้นรู้ตระหนักล่วงหน้าแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัย

เหล่านั้น

อนาคตภัย ๕ ประการคือ อะไร ?


๑. ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต

มิได้อบรมปัญญา เธอเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองมิได้อบรมกาย-ศีล - จิต-ปัญญา

จักให้อุปสมบทชนเหล่าอื่น

และพวกเธอจักไม่สามารถฝึกฝนชนเหล่านั้นในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา แม้ชนเหล่านั้น

ก็จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา

ชนเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองมิได้อบรมกาย-ศีล - จิต-ปัญญา จักให้อุปสมบทชนเหล่าอื่น

และจักไม่สามารถฝึกฝนชนเหล่านั้น ในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา แม้ชนเหล่านั้น

ก็จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา

โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยและเลือน

ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๑ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...


๒. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา ….เธอเหล่านั้นจักให้นิสัย

(เป็นอาจารย์ปกครองดูแลสั่งสอนฝึกอบรม) แก่ชนเหล่านั้น ฯลฯ

โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๒ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...


๓. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา แก่ชนเหล่านั้น ....กล่าวอภิธรรมกถา เวทัลละกถา

ถลำเข้าสู่ธรรมที่ผิด ก็จักไม่รู้ตัว โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๓ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”


๔.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา เธอเหล่านั้น ....ครั้นเมื่อมีผู้กล่าวสูตรทั้งหลาย

ที่เป็นตถาคตภาษิต ลึกซึ้ง มีอรรถล้ำลึกเป็นโลกุตระ เกี่ยวด้วยสุญญตา จักไม่ตั้งใจฟัง

ไม่เงี่ยโสตลงสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ ไม่สำคัญเห็นธรรมเหล่านั้นว่า เป็นสิ่งอันพึงเล่าเรียน

แต่ครั้นเมื่อเขากล่าวสูตรที่กวีแต่ง เป็นบทกวี มีอักขระ พยัญชนะวิจิตร เป็นเรื่องภายนอก

เป็นสาวกภาษิต จักตั้งใจฟัง จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ และจักสำคัญเห็นธรรมเหล่านั้น

ว่า เป็นสิ่งอันพึงเล่าเรียน โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๔ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น..


๕. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา...

ภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ จักเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เป็นผู้นำในทางเชือนแช ทอดธุระ

ในการอยู่สงัด ไม่เริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง

เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ชุมชนผู้เกิดภายหลัง จักถือตามอย่างภิกษุเถระเหล่านั้น

และชุมชนแม้นั้นก็จักเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เป็นผู้นำในทางเชือนแช ทอดธุระในการอยู่สงัด

ไม่เริ่มระดมความเพียร...โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เ

พราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน...

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๕ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”

องฺ.ปัญฺจก.22/79/121)

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ก.พ. 2012, 15:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

:b47: กราบขอบพระคุณ อาจารย์ค่ะ ศิษย์ได้ลองนำเอาวิธีที่อาจารย์
แนะมาใช้ คือ ปริญญากิจ (กำหนดรู้) อาการจิตขณะนั้นรู้สึก
คลายตัวลงไป จิตสงบเย็นลงได้ระดับหนึ่ง และศึกษาทำความ
เข้าใจตามตัวอักษรที่อาจารย์โพสต์

:b47: รู้สึกว่าตัวเองย่อหย่อนเรื่องการภาวนาจริงๆ ไม่ทราบว่า
ศิษย์เข้าใจผิดไหมว่า จิตไม่มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่จึงหลงไป
ในอดีตค่อนข้างบ่อย ตอนนี้ก็เลยเพิ่มการสวดมนต์นั่ง สมาธิ
เดินจงกรม เข้าช่วย (ไม่ทราบว่าตัณหาแทรกหรือเปล่า) และ
รู้สึกเลยว่าอาการอย่างนี้แหละ เริ่มจากตัวเราที่ทำให้พระศาศนา
เลอะเลือนไป (ศิษย์ใช้คำบริกรรมภาวนา พุทโธ ค่ะ) ขอบพระคุณ
ข้อมูลมากมาย ศิษย์จะพยายามศึกษาค่ะ

:b47: หากอาจารย์มีอะไรที่เห็นว่า ควรเพิ่มเติมตรงไหน
กรุณาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

:b8: :b8: :b8:
กราบเรียนด้วยความเคารพยิ่ง

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากนี้ ยังตรัสอนาคตภัยเกี่ยวกับส่วนรวมไว้อีกหมวดหนึ่ง ความว่า


“ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้

แต่จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป เธอทั้งหลาย พึงตระหนักล่วงหน้าไว้ และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยเหล่านั้น

อนาคตภัย ๕ ประการคือ อะไร ?

๑. ภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบสวยชอบงามในเรื่องจีวร...

จักละเลิกการถือครองผ้าบังสุกุล จักละเลิกเสนาสนะอันสงัดในราวป่าแดนไพร

จักมาออกันอยู่ในหมู่บ้าน อำเภอ และเมืองหลวง และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร

อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่จีวร...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๑ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๒.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบดีงามเอร็ดอร่อยในเรื่องอาหาร

บิณฑบาต...จักมาออกันอยู่ในหมู่บ้าน อำเภอ และเมืองหลวง คอยแสวงหารสเลิศด้วยปลายลิ้น

และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่อาหาร

บิณฑบาต...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๒ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๓. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบโก้งาม ในเรื่องที่อยู่อาศัย...

และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่ที่อยู่อาศัย...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๓ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๔. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยภิกษุณี

นางสิกขมานาและสามเณรทั้งหลาย และเมื่อมีการคลุกคลีด้วยภิกษุณี นางสิกขมานา

และสามเณรทั้งหลาย ก็เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้ คือ เธอทั้งหลายจักประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่ยินดี

หรือจักลาสิกขาเวียนกลับไปเป็นคฤหัสถ์

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๔ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๕.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยคนวัดและสามเณร

ทั้งหลาย และเมื่อมีการคลุกคลีด้วยคนวัดและสามเณรทั้งหลาย ก็เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้

คือ เธอทั้งหลายจักเป็นผู้อยู่ประกอบการบริโภคสิ่งของทำการสั่งสมไว้ มีประการต่างๆ

จักกระทำนิมิต (เลศนัยหาลาภ ) แม้อย่างหยาบๆ แม้ที่แผ่นดิน แม้ที่ปลายผักหญ้า

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๕ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”

องฺ.ปัญฺจก.22/80/124)

:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 13:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




pic_top3_b.gif
pic_top3_b.gif [ 26.52 KiB | เปิดดู 12274 ครั้ง ]
เท่าที่กล่าวมา เป็นตัวอย่างพอเป็นเครื่องเทียบ เพื่อช่วยให้แบ่งแยกได้ ระหว่างความคิดถึงอดีต

และอนาคต ตามแนวทางของตัณหาที่เพ้อฝันเลื่อนลอย ผลาญเวลาและคุณภาพของจิตใจ

ให้สูญเสียไปเปล่า

กับความคิดถึงอดีต และ อนาคตตามแนวทางของปัญญา ที่เป็นเรื่องของกิจในปัจจุบัน

อันช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ

ช่วยให้การปฏิบัติ ในปัจจุบันถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามหลักการนี้

กลับกลายเป็นสนับสนุนให้มีการตระเตรียมและวางแผนกิจการล่วงหน้า

ดังตัวอย่างกิจการสำคัญของสงฆ์ เช่น การสังคายนาครั้งที่ ๑ ก็เกิดขึ้นเพราะความคำนึงอนาคต

ชนิดที่เชื่อมโยงถึงกิจที่จะกระทำในปัจจุบันได้ * โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

* สังคีติสูตร ในพระไตรปิฎก ก็เกิดจากการที่พระพุทธเจ้าทรงปรารภอดีต

(การแตกแยกของนิครนถ์ ภายหลังศาสดาสิ้นชีพ)

และทรงปรารภอนาคต (การร้อยกรองธรรมวินัย เพื่อเป็นหลักช่วยมิให้สงฆ์ภายหน้าแตกแยกกัน )

ข้อสรุปที่ดีที่สุด ก็คือ ความหมายของ สติ ที่เป็นพุทธพจน์นั่นเองว่า “ระลึกกิจที่ทำ คำที่พูดแล้ว

แม้นานได้”



(ที.ปา.11/357/283 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 10 ต.ค. 2009, 13:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร