วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 23:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2008, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ต.ค. 2008, 22:09
โพสต์: 12

ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเป็นคนนึงที่นั่งสมาธิทุกวันค่ะ ก่อนนอน ไม่จำกัดเวลา ซึ่งทุกวันนี้ที่นั่งก็จะอยู่ที่เวลา 45 น. ถึง 1 ชั่วโมง ตลอด แล้วแต่ความสงบของใจในวันนั้น ซึ่งพอหนูนั่งสมาธิถึงจุดๆหนึ่งทีไร ทุกอย่างจะนิ่งสงบแต่พอแผ่เมตตาปุ๊บ . . . จะรู้สึกว่าตัวพองๆลอยๆจนตกใจกลัวค่ะ สะดุ้งทุกที แต่ยังไมออกจากสมาธินะคะลองหยุดแผ่เมตตา มันก็ไม่เป็น หนูอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูคะ ใครทราบรบกวนบอกทีนะคะ

.....................................................
พระปัญญาเลิศล้น ทรงค้นพบสัจธรรม พระการุณย์เลิศล้ำ ทรงน้อมนำสู่มนุษย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2008, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ต.ค. 2008, 14:05
โพสต์: 54


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขออนุญาตคุณร่มธรรมทำแบบฝึกหัดครับ

ผิดถูกท่านที่รู้ในลานธรรมแห่งนี้คงเมตตาผมให้คำชี้แนะแก้ไข

วิธีของผมคือ ก่อนนั่งสมาธิตั้งสติ ตั้งใจว่าเราจะไม่ตัวพอง เราต้องไม่ตัวพอง

ที่ตัวพองเพราะเราคิดเราปรุ่งแต่งไปเอง

อาจจะไปฟังใครเขาพูดถึงว่าเวลานั่งสมาธิแผ่เมตตาแล้วจะตัวพอง

จึงติดอยู่ในจิตใต้สำนึก

เมื่อเข้าใจแล้ว ตั้งใจว่าจะไม่ตัวพองก็จะหายครับ

ท่านอาจารย์ทั้งหลายครับกรุณาตรวจแบบฝึกหัดผมด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



คุณ mes และน้องร่มธรรมพิจารณาหลักก่อน แล้วจะเข้าใจเรื่องที่จะค่อยๆสนทนากันได้ง่ายขึ้น


โยนิโสมนสิการ แบบต่างๆ (มี 10 แบบ) สรุปได้เป็น 2 คือ โยนิโสมนสิการ
เพื่อความรู้ตามสภาวะ และโยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม
มีจุดแยกอยู่
ขณะตั้งต้นความคิด และ สติอาจมีบทบาทสำคัญ ในการเลือกทางแยกที่จุดตั้งต้น ระหว่าง
โยนิโสมนสิการแบบต่างๆนี้ เช่นเดียวกับสติสามารถเลือกระหว่างโย นิโสมนสิการ กับ
อโยนิโสมนสิการ เช่น เมื่อรับอารมณ์แล้วมีสติกำหนดมุ่ง เพื่อจะรู้ตามความเป็นจริง ก็เข้าแนวโยนิโสมนสิการเพื่อความรู้ตามสภาวะ
แต่ถ้า สติกำหนดกุศลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่หมาย หรือ ระลึกถึงภาพความคิดที่ดีงามบางอย่างไว้ในใจ ก็เดินเข้าสู่โยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม

โยนิโสมนสิการเพื่อรู้ตามสภาวะนั้น ขึ้นต่อความจริงที่เป็นไปอยู่ตามธรรมดา จึงมีลักษณะแน่นอนเป็นอย่างเดียว

ส่วนโยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม ยังเป็นเรื่องของการปรุงแต่งในใจตามวิสัย
ของสังขาร จึงมีลักษณะแผกผันไปได้หลากหลาย

โยนิโสมนสิการเพื่อรู้ตามสภาวะ เป็นการมองตามความเป็นจริง หรือมองตามเหตุ ไม่ใช่มองตามอวิชชาตัณหา
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า มองตามที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมัน ไม่ใช่มองตามที่เราอยากให้มันเป็น หรือไม่อยากให้มันเป็น

ดังนั้นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงมองตามสภาวะ หรือมองตามความเป็นจริง หมายความว่า
สภาวธรรมปรากกฎอย่างไรแบบไหน ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดรู้อย่างนั้น ซึ่งตรงข้ามกับการมองเพื่อสร้างเสริมกุศลธรรม แบบที่สอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หนูเป็นคนนึงที่นั่งสมาธิทุกวันค่ะ ก่อนนอน ไม่จำกัดเวลา ซึ่งทุกวันนี้ที่นั่งก็จะอยู่ที่เวลา 45 น. ถึง 1 ชั่วโมงตลอด แล้วแต่ความสงบของใจในวันนั้น ซึ่งพอหนูนั่งสมาธิถึงจุดๆหนึ่งทีไร
ทุกอย่างจะนิ่งสงบแต่พอแผ่เมตตาปุ๊บ . . . จะรู้สึกว่าตัวพองๆลอยๆ จนตกใจกลัวค่ะ สะดุ้งทุกที แต่ยังไม่ออกจากสมาธินะคะ ลองหยุดแผ่เมตตา มันก็ไม่เป็น

หนูอยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับหนูคะ ใครทราบรบกวนบอกทีนะคะ


สาธุในวิริยะอุตสาหะน้องร่มธรรมที่ขยันฝึกอบรมจิตทุกๆวัน
เดินจงกรมบ้างนะครับ

เกิดอะไรขึ้นกับหนูคะ


เกิดจากสภาพจิตที่ฟูขึ้นเพราะการคิดคำแผ่เมตตาแล้วส่งอิทธิพลถึงกายให้รู้สึกว่ากายพองเป็นต้นด้วย ความจริงกายไม่ได้พองหรือลอยหรอกครับ เป็นเพียงความรู้สึกว่าพองว่าลอยตามจิต ตามความติดเท่านั้น
ไม่มีผลเสียจากอาการนั้นๆครับ

ต่อไปจะแผ่เมตตาเป็นต้น ให้ทำหลังจากหมดเวลาฝึกสมาธิแล้วนะครับ
ขณะฝึกจิตหรือทำสมาธิควรยึดกรรมฐานที่ใช้เป็นอารมณ์ไว้ สมมุติว่าใช้พอง-ยุบเป็นกรรมฐาน ก็พองหนอ ยุบหนอไป ...แต่ขณะใดรู้สึกว่า ตัวพอง ตัวลอย จนตกใจกลัว หรือสะดุ้ง ฯลฯ ให้กำหนดรู้สภาพนั้นแต่ละขณะๆ ตัวอย่างเช่น “ตัวพองหนอๆ” “ตัวลอยหนอๆ” “ตกใจหนอๆๆ” “กลัวหนอๆๆ” “สะดุ้งหนอๆ”
กำหนดสภาพนั้นก็พองหนอ ยุบหนอ เป็นต้นต่อไปใหม่

เมื่อปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะผ่านภาวะเช่นนั้นได้ กรรมฐานก็ก้าวหน้าต่อไป จิตก็จะประณีตขึ้นละเอียดขึ้น สภาวะก็จะละเอียดขึ้นๆ ประณีตขึ้นๆ เรื่อยๆ เช่นกัน แปลว่ากิเลสเครื่องเศร้าหมอง ก็จะถูกกำจัดไปตามขั้นตอนนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 16:40 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุกับคำตอบของคุณกรัชกรายคะนั้นละคือถูกต้องที่สุดคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ mes เปิดหนังสือพุทธธรรมหน้า 669 เป็นต้นไปจะเห็นโยนิโสมนสิการ 10 อย่างพร้อมอธิบายแต่ละอย่างๆ กรัชกายจะนำเฉพาะหัวข้อมาให้ดูก่อน


โยนิโสมนสิการเท่าที่พบในบาลี พอประมวลเป็นแบบใหญ่ๆได้ ดังนี้


1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ
3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือ วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา
4. วิธีคิดแบบอริยสัจจ์ หรือ คิดแบบแก้ปัญหา
5. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์
6. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก
7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม
8.วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม
9. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน
10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาทะ


แต่เมื่อว่าโดยหลักการโยนิโสมนสิการ ก็มี 2 แบบคือ โยนิโสมนสิการที่มุ่งสกัดหรือกำจัดอวิชชาโดยตรง
และ โยนิโสมนสิการที่มุ่งเพื่อสกัดหรือบรรเทาตัณหา

โยนิโสมนสิการที่มุ่งกำจัดอวิชชาโดยตรงนั้น ตามปกติเป็นแบบที่ต้องใช้ในการปฏิบัติธรรมจนถึงที่สุด เพราะทำให้เกิดความเข้าใจตามเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตรัสรู้

ส่วนโยนิโสมนสิการแบบสกัดหรือบรรเทาตัณหา มักใช้เป็นข้อปฏิบัติขั้นต้นๆซึ่งมุ่งเตรียมพื้นฐานหรือพัฒนาตนเองในด้านคุณธรรมให้เป็นผู้พร้อมสำหรับการปฏิบัติขั้นสูงขึ้นไป เพราะเป็นเพียงขั้นขัดเกลากิเลส
แต่โยนิโสมนสิการหลายวิธีใช้ประโยชน์ได้ทั้งสองอย่าง คือทั้งกำจัดอวิชชาและบรรเทาตัณหาไปพร้อมกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โยนิโสมนสิการ คือ ความคิดที่สกัดอวิชชาตัณหา
อวิชชาและตัณหานั้นมาด้วยกันเสมอ แต่บางครั้งอวิชชาแสดงบทบาทเด่น ตัณหาเป็นตัวแฝง
บางครั้งตัณหาแสดงบทบาทเด่น อวิชชาเป็นตัวแฝง


พึงทราบลักษณะความคิดตามอวิชชาและตัณหาดังนี้


1. เมื่ออวิชชาเป็นตัวเด่น ความคิดมีลักษณะติดดันวกวนอยู่ที่แง่หนึ่งตอนหนึ่งอย่างพร่ามัว
ขาดความสัมพันธ์ ไม่รู้ทางไป หรือไม่ก็ฟุ้งซ่านสับสน ไม่เป็นระเบียบ ปรุงแต่งอย่างไร้เหตุผล เช่นภาพในความคิดของคนหวาดกลัว

2. เมื่อตัณหาเป็นตัวเด่น ความคิดมีลักษณะโน้มเอียงไปตามความยินดียินร้าย ความชอบใจไม่ชอบใจ หรือความติดใจขัดใจ ติดพันครุ่นอยู่กับสิ่งที่ชอบหรือชังนั้น และปรุงแต่งความคิด
ไปตามความชอบความชัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดลึกลงไปอีกในด้านสภาวะ อวิชชาเป็นฐานก่อตัวของตัณหา และตัณหาเป็นตัวเสริมกำลังให้แก่อวิชชา
ดังนั้น ถ้าจะกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นเชิง ก็จะต้องกำจัดให้ถึงอวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามหลักที่ว่า (ถ้าจะกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นเชิง ก็จะต้องกำจัดให้ถึงอวิชชา)
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาคปฏิบัติ คุณ mes คิดว่า จะกำจัดอวิชชาได้อย่างไร ? ตามหลัก
ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวารแนวสติปัฏฐาน (นอกตำรา)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ตามหลักที่ว่า (ถ้าจะกำจัดความชั่วร้ายให้สิ้นเชิง ก็จะต้องกำจัดให้ถึงอวิชชา)
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาคปฏิบัติ คุณ mes คิดว่า จะกำจัดอวิชชาได้อย่างไร ? ตามหลัก
ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวารแนวสติปัฏฐาน (นอกตำรา)


:b8:

คุณกรัชกาย

ผมขออนุญาตเจ้าของกระทู้ด้วยครับท่านคงไม่ขัดข้อง

ผมขอเรียนตามที่ปฏิบัติจริงๆเลยครับ

ผมเริ่มต้นด้วยการสมาธิภาวนาตามหลักสติปัฏฐาน4โดยวิธีอานาปานะสติ ร่วมกับพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ

ถ้าวันไหนฟุ้งซ่านมากก็นับเลขประกอบ และแสงสว่างที่มองเห็นทุกครั้งที่หลับตาไว้เพ่งจับจุดเอาไว้

พุท โธ 1 พุท โธ 2 พุท โธ 3 พุท โธ 4 พุท โธ 5

พุท โธ 4 พุท โธ 3 พุท โธ 2 พุท โธ 1

จับความรู้ลึกที่ลำของลมหายใจ

บางวันที่พยายามมากเกินไปก็อึดอัดจนหายใจไม่ออกต้องพัก

ต่อจากนั้นก็จะภาวนำไปเรื่อยๆ

เมือสมาธิเริ่มสงบก็จะภาวนาแค่พุทโธ

เมื่อมีสมาธิขึ้นอีกพุทโธก็หาย

มากขึ้นไปอีกเหมือนไม่ได้หายใจ แล้วก็จะรู้ลึกตัวมาถอนหายใจเข้าลึกๆ

ผมจับสมาธิเป็น3ขั้น

ขั้นแรก เป็นสมาธิตามปกติมีคิดฟุ้งซ่านบ้างแต่ความจำดีจำได้ดีเช่นตอนสวดมนต์บทยาวๆไม่หลงบ่อยๆ

ขั้นที่สอง สมาธิมากขึ้นไปจากเดิม ขั้นนี้จำบทสวดมนต์หลงเอาแค่บทพาหุงสวดไปลื่มไปว่าสวดถึงท่อนไหนแล้ว

ขั้นที่สาม ขั้นนี้กึ่งหลับเลยมีสัปหงกด้วยในบางครั้ง

ผมพยายามใช้สมาธิประมาณขั้นที่สอง คือได้บ้างไม่ได้บ้างในการโยนิโสมนสิการหรือวิปัสนา

ปัจจุบันพิจารณาถึงตัวเอง

ค้นหาว่าตัวเองเป็นใคร ที่รู้ว่าเป็นตัวเองรู้จากอะไร ทำไมถึงรู้ ทำไมถึงสูข(ซึ่งไม่มี) ทำไมถึงทุกข

ทำไมถึงคับแค้น ห่อเหี่ยว ฟุ้งซ่าน โศกเศร้า

เบื้องต้นที่แค้นพยาบาทยอมรับว่าเป็นเพราะวิบาก

ที่มีชีวิตที่ โศกะปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส ก็เป็นเช่นนั้นเองของมนุษย์

ปฏิบัติย้ำเตือนตนเช่นนี้เรื่อยๆ

กราบขอโทษท่านครับ

แม้แต่กำหนัดก็พิจารณาถึงความสั่นสะเทือนที่เราชอบ แล้วก็แค่นั้นเอง เหมือนปวดฉี่

ทุกอย่างโยนิโสมนสิการเพือให้รู้ถึงสภาวะที่เป็นจริงแล้วปล่อยวาง

บ่อยครั้งที่สมมุติว่าถ้าตัวเองกำลังจะตายตัวเองควรทำอะไรบ้างก่อนตาย



สรุปว่าเรารู้ว่าตัวเราเป็นเราเพราะเราได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส แท้จริงแล้วตัวเราเป็นใครเราก็ไม่รู้ รู้แต่ความอยากความชอบ

เพราะความอยากความชอบ ความโกรธ ความแค้น เราจึงรู้ว่ามีเรา มีชาติ ภพ

ทุกวันนี้ผมหาเงินตามหน้าที่ ทำบุญโดยไม่เบียดเบียนตน และเตรียมตัวตายซ้อมตายบ่อยๆ

คิดว่าสักวันโลกก็แตกดับ ทุกอย่างเป็นแค่อุปทาน หรือเป็นดังอุปทาน

เวลาทำสมาธิผมไม่กลัวเพราะพร้อมตาย

ไม่กลัวหรือตื่นเต้นที่จะมองเห็นประสพกับภูติผีหรือเหล่าเทพเพราะรู้จริงแล้วว่าเป็นอย่างไร

ผมขอนิดๆครับ หากเราสงบนิ่งๆจริงตามธรรมชาติ คือไม่ใช่ตั้งใจหรือคิดสร้างสถานการณ์ไปเอง

เราอาจระลึกถึงอดีตของเราย้อนไปได้ไกลมากจริงๆ

นี่คือกระบวนการในการหยุดตัญหาอวิชชานอกตำราของผมครับ

ขอกล่าวกับท่านอย่างนี้ครับว่า

บางอย่างที่ผมรับรู้จริง เป็นจริงหรือไม่

ผมเองก็ไม่ทราบครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร