วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 10:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามีข้อเสียนัก ก็อย่าทำเลยครับ

เสียเวลา

Onion_L

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่ผมก็ยังสงสัยว่า จะรู้แจ้งด้วยอะไรหากไม่ใช้สติและสมาธิพิจารณา

สติเรามีกันอยู่แล้ว เพียงพอสำหรับการทำวิปัสสนา สมาธิเราก็มีกันอยู่แล้ว เพียงพอสำหรับการวิปัสสนา คนที่ได้โสดาบันตั้งแต่ 7 ขวบ ก็ไม่ได้มาฝึกเพิ่มเรื่องสติกับสมาธิ หลายคนในสมัยพุทธกาลได้โสดาปฏิผลหรือโสดาปฏิมรรคเลยทันที่ที่ฟังธรรมจากพระพุทธองค์

เพิ่มเติมอีกนิดนึง รู้จริง เป็นปัญญาของโสดาบัน รู้แจ้ง เป็นปัญญาของอรหันต์ รู้จดรู้จำ เป็นปัญญาของปุถุชน :b1:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ..อันนี้พอเข้าท่า..

นิดหนึ่ง..

รู้จริง..ของพระโสดาฯ..นี้..รู้อะไร..รู้อย่างไร..มีอาการใดบ่งบอกว่า..รู้จริงแล้ว..??

รู้แล้วรบกวน..ช่วยบอกด้วยนะครับ..

ขอบคุณล้วงหน้า..ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ในความเป็นจริงของชีวิตและโลก อันได้แก่ ความไม่เที่ยง เกิด ดับ เกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป รู้ในเหตุของทุกข์และการดับทุกข์

โสดาบันขั้นที่สูงขึ้น จะเกิดญาณวิสัย แจ่มแจ้งในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลอะไรก็ไม่ดีไม่เท่าการเจริญพระกรรมฐานอีกแล้ว
เพราะเป็นบุญที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา จะเห็นทางมรรคา
มองเห็นทางเดินที่ถูกต้อง คือ มรรค ๘ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
มีสติระลึกเสมอ สัปชัญญะรู้ตัวเสมอ ทำอะไรรู้กาละเทศะ บาปบุญคุณโทษ
รู้ว่าดีชั่วเป็นประการใด มันจะเกิดขึ้นแก่ตัวเองนั่นคือ ปัญญา
ได้แก่ความไม่ประมาทตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

คัดมาจากคำสอนของ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ จิตธัมโม)

ขอกราบอนุโมทนาบุญ.............. :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คือ มรรค ๘ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา...

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นคำสอนของอาฬารดาบสและอุทกดาบส เป็นคำสอนของฤาษีพราหมณ์ ความสับสนในเรื่องนี้มีมานานแล้ว เป็นระยะเวลาประมาณ 1,600 ปี ในพระไตรปิฎกไม่มีปรากฎการทำสมาธิเพื่อเกิดปัญญาดับทุกข์ มีโอกาสลองศึกษาตรงๆ จากพระไตรปิฎกดูนะครับ

องค์มรรค เริ่มจาก สัมมาทิฎฐิ ถือเป็นประธาน กล่าวได้ว่า ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว มรรคไม่มีทางเกิดแก่บุคคลได้ ความเห็นที่ถูกต้องคือปัญญา แนวการปฎิบัติของชาวพุทธ จึงเป็น ทาน ศีล วิปัสสนาภาวนา เหตุเพราะ ทำทานโดยเฉพาะทำบุญตักบาตรเช้า มีอานิสงค์มาก มีบุญมาก สะสมบุญให้มาก เพื่อการปฏิบัติธรรมจะได้ผลมาก ไม่ทำกรรม หลีกเลี่ยงภัยเวร ๕ และสุดท้ายคือ สร้างปัญญาเพื่อดับทุกข์

พระพุทธองค์สอนว่า ปัญญา ศีล สมาธิ ผมลงรายละเอียดเรื่องนี้ไว้ที่...
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=24873

ยังมีเรื่องเข้าใจกันผิดๆ อีก อย่างเช่นการกินเจ คนเราต้องการโปรตีน 20 ชนิด มีในพืชไม่ครบ การกินเจเป็นคำสอนของพระเทวทัต ถ้าคนเราไม่กินเนื้อหรือนมเลย จะส่งผลให้เป็นโรคความจำเสื่อม พระพุทธองค์บอกว่า ถ้าไม่ฆ่าเอง ไม่สั่งให้เขาฆ่า ไม่เห็นเขาฆ่า กินได้ อาหารมื้อสุดท้ายที่มีคนนำมาบิณทบาตรให้พระพุทธองค์ก็เป็นเนื้อหมู ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


นิดเดียวครับ นิดเดียวจริงๆ
เพราะดูแล้วมันขัดความจริงอย่างมาก ขอท้วงติงหน่อยครับ

Supareak Mulpong เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นคำสอนของอาฬารดาบสและอุทกดาบส
เป็นคำสอนของฤาษีพราหมณ์
ความสับสนในเรื่องนี้มีมานานแล้ว เป็นระยะเวลาประมาณ
1,600 ปี ในพระไตรปิฎกไม่มีปรากฎการทำสมาธิเพื่อเกิดปัญญาดับทุกข์
มีโอกาสลองศึกษาตรงๆ จากพระไตรปิฎกดูนะครับ


ตอบตรงนี้หน่อยครับ ว่าคำต่อไปนี้ใครกล่าวไว้

๑.สีลํ โลเก อนุตฺตรํ ศีลเป็นเยี่ยมในโลก
๒.สมาธิ ภิกฺขเว สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ภิกษุทั้งหลาย สมาธิที่มั่นดีแล้ว ย่อมรู้ตามความจริง
๓.ปญฺญา เว สตฺตมํ ธนํ ปัญญาแล เป็นทรัพย์ที่เจ็ด

คำว่า ศีล สมาธิ ปัญญา และ อธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา
ทางภาษาและจุดประสงค์ในการกล่าว มีที่แตกต่างกันตามแต่ละนัยของผู้กล่าว
หาใช่ว่าไม่ใช่คำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนท่านแนะนำครับ

สมาธิ ภิกฺขเว สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ภิกษุทั้งหลาย สมาธิที่มั่นดีแล้ว ย่อมรู้ตามความจริง

คำว่า รู้ตามความจริง ตรงนี้ไม่ใช่ปัญญาหรือครับ ???
ถ้าตอบว่าไม่ใช่ แล้ว ยถาภูตาญาณ คืออะไรครับ

ลองทำความเข้าใจใหม่นะครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นคำสอนของพรามหณ์ มีใจความย่นย่อว่า ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยมีศีลเป็นบาทในการทำสมาธิ เพื่อสร้างอธิปัญญา อันได้แก่ การระลึกชาติ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศได้ฯ พวกพรามหมณ์สอนกันมาแบบนี้

ถ้าจะพูดถึงศีลโดดๆ สมาธิโดดๆ หรือปัญญาโดดๆ มีกล่าวทั่วไปในพระธรรมคำสอน โดยเฉพาะนิทานหรือเถระกถา แต่ไม่มีตอนใหนพระพุทธองค์บอกว่าต้องทำสมาธิเพื่อสร้างปัญญาดับทุกข์ได้ ถึงพยายามกว่าวว่า ต้องศึกษาพระไตรปิฎกจนบูรณาการได้

สมาธิ อันเป็นกำลังในการกำจัดกิเลสนั้นสำหรับพระอริยะ ยถาภูตญาณ อันได้แก่การเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา เกิดในพระอริยะ ดังพระพุทธพจณ์กล่าวไว้ว่า

สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นที่อิงอาศัยวิญญาณมีสังขารเป็นที่อิงอาศัย นามรูปมีวิญญาณเป็นที่อิงอาศัย ผัสสะมีสฬายตนะเป็นที่อิงอาศัย เวทนามีผัสสะเป็นที่อิงอาศัย ตัณหามีเวทนาเป็นที่อิงอาศัย อุปาทานมีตัณหาเป็นที่อิงอาศัย ภพมีอุปาทานเป็นที่อิงอาศัย ชาติมีภพเป็นที่อิงอาศัย ทุกข์มีชาติเป็นที่อิงอาศัย ศรัทธามีทุกข์เป็นที่อิงอาศัย ความปราโมทย์มีศรัทธาเป็นที่อิงอาศัย ปีติมีปราโมทย์เป็นที่อิงอาศัย ปัสสัทธิมีปีติเป็นที่อิงอาศัย สุขมีปัสสัทธิเป็นที่อิงอาศัย สมาธิมีสุขเป็นที่อิงอาศัย ยถาภูตญาณทัสสนะมีสมาธิเป็นที่อิงอาศัย นิพพิทามียถาภูตญาณทัสสนะเป็นที่อิงอาศัย วิราคะมีนิพพิทาเป็นที่อิงอาศัย วิมุตติมีวิราคะเป็นที่อิงอาศัย ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไปมีวิมุตติเป็นที่อิงอาศัย ฯ

การเริ่มต้นปฏิบัติ กระโดดข้ามไปที่สมาธิและยถาภูตญาณ จึงเป็นการข้ามขั้นข้ามตอน ผิดครรลองคลองธรรม การที่พระพุทธองค์ได้จัดเรียงธรรมตามที่แสดงมานั้น แสดงตามเหตุปัจจัย คือ มีเหตุเกิด ผลยอ่มเกิด

เมื่อสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมทั้งหลาย จึงเกิดสุข เกิดปิติ บรรลุปฐมฌาน หมายความได้ว่า บุคคลที่กำจัดอวิชชาได้แล้ว ก็จะเกิดสมาธิได้เอง เพราะชีวิตพ้นความทุกข์ พบความสุขที่แท้จริงแล้ว ไม่ต้องมาฝึกทำสมาธิ แต่ให้ใช้สมาธิที่เกิดมี จึงถือเป็นการดับทุกข์ถาวร

คนที่เริ่มจากสมาธิ จะกลับกันว่า บรรลุปฐมฌาน เกิดปิติ สุข สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม แต่พอออกจากสมาธิ ก็ยังต้องอยู่กับกาม กับอกุศลธรรมอยู่เหมือนเดิม จึงถือเป็นการหลบทุกข์ชั่วคราว

ถึงบอกว่าเป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดมานานกว่า 1,600 ปี

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นคำสอนของพรามหณ์ มีใจความย่นย่อว่า ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยมีศีลเป็นบาทในการทำสมาธิ เพื่อสร้างอธิปัญญา อันได้แก่ การระลึกชาติ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศได้ฯ พวกพรามหมณ์สอนกันมาแบบนี้

ถ้าจะพูดถึงศีลโดดๆ สมาธิโดดๆ หรือปัญญาโดดๆ มีกล่าวทั่วไปในพระธรรมคำสอน โดยเฉพาะนิทานหรือเถระกถา แต่ไม่มีตอนใหนพระพุทธองค์บอกว่าต้องทำสมาธิเพื่อสร้างปัญญาดับทุกข์ได้ ถึงพยายามกว่าวว่า ต้องศึกษาพระไตรปิฎกจนบูรณาการได้

สมาธิ อันเป็นกำลังในการกำจัดกิเลสนั้นสำหรับพระอริยะ ยถาภูตญาณ อันได้แก่การเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา เกิดในพระอริยะ ดังพระพุทธพจณ์กล่าวไว้ว่า

สังขารทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นที่อิงอาศัยวิญญาณมีสังขารเป็นที่อิงอาศัย นามรูปมีวิญญาณเป็นที่อิงอาศัย ผัสสะมีสฬายตนะเป็นที่อิงอาศัย เวทนามีผัสสะเป็นที่อิงอาศัย ตัณหามีเวทนาเป็นที่อิงอาศัย อุปาทานมีตัณหาเป็นที่อิงอาศัย ภพมีอุปาทานเป็นที่อิงอาศัย ชาติมีภพเป็นที่อิงอาศัย ทุกข์มีชาติเป็นที่อิงอาศัย ศรัทธามีทุกข์เป็นที่อิงอาศัย ความปราโมทย์มีศรัทธาเป็นที่อิงอาศัย ปีติมีปราโมทย์เป็นที่อิงอาศัย ปัสสัทธิมีปีติเป็นที่อิงอาศัย สุขมีปัสสัทธิเป็นที่อิงอาศัย สมาธิมีสุขเป็นที่อิงอาศัย ยถาภูตญาณทัสสนะมีสมาธิเป็นที่อิงอาศัย นิพพิทามียถาภูตญาณทัสสนะเป็นที่อิงอาศัย วิราคะมีนิพพิทาเป็นที่อิงอาศัย วิมุตติมีวิราคะเป็นที่อิงอาศัย ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไปมีวิมุตติเป็นที่อิงอาศัย ฯ

การเริ่มต้นปฏิบัติ กระโดดข้ามไปที่สมาธิและยถาภูตญาณ จึงเป็นการข้ามขั้นข้ามตอน ผิดครรลองคลองธรรม การที่พระพุทธองค์ได้จัดเรียงธรรมตามที่แสดงมานั้น แสดงตามเหตุปัจจัย คือ มีเหตุเกิด ผลยอ่มเกิด

เมื่อสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรมทั้งหลาย จึงเกิดสุข เกิดปิติ บรรลุปฐมฌาน หมายความได้ว่า บุคคลที่กำจัดอวิชชาได้แล้ว ก็จะเกิดสมาธิได้เอง เพราะชีวิตพ้นความทุกข์ พบความสุขที่แท้จริงแล้ว ไม่ต้องมาฝึกทำสมาธิ แต่ให้ใช้สมาธิที่เกิดมี จึงถือเป็นการดับทุกข์ถาวร

คนที่เริ่มจากสมาธิ จะกลับกันว่า บรรลุปฐมฌาน เกิดปิติ สุข สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลกรรม แต่พอออกจากสมาธิ ก็ยังต้องอยู่กับกาม กับอกุศลธรรมอยู่เหมือนเดิม จึงถือเป็นการหลบทุกข์ชั่วคราว

ถึงบอกว่าเป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดมานานกว่า 1,600 ปี


ขอแชร์การปฏิบัติด้วยคน ที่ผมเรียนตามแนวผมอาจารย์ก็ไม่ได้ให้ทำฌานก่อน เพียงแต่ทำสมาธิเล็กน้อย เพื่อให้จิตใจสงบลงแต่ยังไม่ถึงฌาน แตการวิปัสนาของผมใช้ท่านั่ง พิจารณาความรู้สึกที่เกิดขึ้นในร่างกายลึกที่สุด เท่าที่จิตจะรับรู้ได้คือการสั่นสะเทือนที่มันมีอยู่ตามปกติทั่วร่างกายแต่จิตคนเราที่ยังไม่ได้ฝึกจะรับรู้แต่ความรู้สึกหยาบๆเช่น เย็น ร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ความรู้สึกเหล่านี้

จิตสำนึกธรรมดาก็รับรู้ได้เพียงสติระลึกถึง แต่ความรู้สึกที่เป็นแรงสั่นสะเทือนเบาทั้วร่างกายแม้กระทั้งติ่งหู ที่ผมสามารถรับความรู้สึกได้ในขณะนี้ และทุกคนก็รับได้ถ้าฝึกโดยใช่อาณาปานเป็นสะพานเชื่อม และเมื่อเรารับได้นั้นก็หมายความว่าเราเข้าถึงจิตไร้สำนึกที่อนุสัยกิเลสมันนอนเนื่องอยู่ ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้กิเลสในชั้นนี้มันฟุ้งและหลุดลอกออกมา ถ้าท่านวิปัสนาเพียง ฝึกสติเพียงระลึกสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นอะไร ทางทวารไหนแล้วแต่สติจะระลึกได้ นั้นก็เป็นวิปัสนาที่ถูกต้อง แต่จะชำระกิเลสชั้นผิวนอกหรือชั้น

จิตสำนึกเท่านั้น แต่ถ้าฝึกที่จะรับรู้ความรู้สึกที่ละเอียดที่สุด จะรับรู้ทั้งหกทวาร ละเอียดกว่านี้ซึ่ง กายก็จะรับความรู้สึกทั่วร่างกายได้ หูก็จะได้ยินเสียงที่ละเอียดกว่านี้เยอะครับ มันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ตาก็จะเห็นการเกิดดับของธาตุไม่ใช่เห็นภาพเหมือนที่เราเห็นเท่านั้น มันเห็นมากกว่านั้น รวมแล้วทั้งหกทวารนั้นแหละครับ มันละเอียกว่าที่เรารับได้ เป็นรูปหยาบที่ละเอียดที่สุด การปฏิบัติของผมไม่ได้อยู่ที่ท่านั่งอย่างเดียว ทุกอริยาบท เพียงหลังภาระกิจทั้งหมดแล้วเราใช่ท่านั่งเพราะท่านั่งจะมีแรงบีบคั้นของความทุกข์มากทำให้อุเบกขา สัมโพชฌงค์มีกำลังกับการที่เรา ว่างอุเบกขากับความทุกข์และความสุข ปัญญาก็มี

กำลังมาก เพราะรับรู้สิ่งที่ละเอียดกว่าไปสอนในจิตไร้สำนึก จิตสงบ ปัสสัทธิ ก็เกิดตรงนี้แหละทั้งกายและจิต สติก็มีกำลังมาก โพชฌงค์ทั้งหมดรวมลงตรงนี้ การลดละจะต้องกำหนดละ ครับกำหนดเข้าไปละเลย เราถึงรู้ว่าละได้หรือไม่ได้ เราถึงจะรู้ว่าเหลืออะไร ที่ยังไม่ได้ละ เช่น ลองลดการกินสักหน่อย เลิกเสพกามทั้งหมดเลย แล้วเราจะเห็นพลังงานของกิเลส เราจะรู้เลยว่า มันมีพลังงานมาก ถ้าเราไม่ลองลด

เราจะไม่มีวันรู้ว่ามันมีพลังงานอย่างไร ทำไมสาวกของพระองค์ไม่ว่าจะบวชเก่าบวชใหม่ ท่านถึงมีกฎมากก็เพราะจะได้เห็น ตรงนี้เท่ารนั้นเอง มันยังเลิกไม่ได้หรอก จะได้เห็นจริงๆ เห็นพลังงานของกิเลสชัดเจน แต่ถ้าเรา ปฏิบัติโดยไม่ลองเลิก มันก็ปฏิบัติไปเสพไป ระลึกไป ขาวหนอ อวบหนอ อร่อยหนออย่างนี้มัน เป็นหยื่อของพญามาร พญามารชอบครับลองดูครับได้ผลมากจริง (การปฏิบัติใช้คำว่าอาตาปีสัมปะชาโนสติมา)ความเพรียรที่ยิ่งยวด กิเลสมันสู่เราไม่ได้หรอกถ้าเราเอาจริงกับมัน

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณศุภฤกษ์ จะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ

ทำไมคุณมองศีลแคบจัง คุณมองศีลแค่ไหนกันครับ มารู้จักศีลหน่อยดีไหมครับ

ศีลมี ๔ อย่าง
๑.ปาติโมกข์สังวรศีล สำรวมในข้อพระปาติโมกข์
๒.อินทรีย์สังวรศีล การสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๓.อาชีวะปาริสุทธิศีล ความบริสุทธิ์ของการเลี้ยงชีพ
๔.ปัจจยสันนิสิตศีล ความอาศัยปัจจัยในการใช้สอยเป็นเครื่องพิจารณา

คุณว่าศีลเหล่านี้ทำให้เกิดสมาธิได้หรือไม่ โดยเฉพาะอินทรีย์ศีล และในพระไตรปิฏกก็
กล่าวถึงศีลไว้มาก สรุปก็คือ ศีลเหล่านี้ เช่น
เว้นปาณาติบาต ก็คือ อินทรีย์ข้อกาย

ยังมีอีกนะเนี่ย เช่น ฌานก็เป็นศีล ข้อนี้ท่านสารีบุตรกล่าวไว้

สมาธิที่เกิดจากศีลที่รักษาดี จะเป็นสัมมาสมาธิครับ

ขอความกรุณาอย่าได้กล่าวเลยว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ หรือ สามสิ่งนี้เป็น
ของดาบสอื่น คุณกำลังปิดทางมรรคผลคุณเองแล้วนะครับ

และที่เขาพูดถึงศีล สมาธิ ปัญญา ในบอร์ดนี้ ก็หมายถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ทั้งนั้นครับ
ไม่ได้พูดถึงศีลในศาสนาอื่นๆเลย

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณครับสำหรับความคิดเห็น ... แต่ดูจะ off topic ไปเรื่อยๆ :b12:

ลองช่วยผมติดตามนะครับ ถ้าจะจำเพาะเจาะจงเรื่องศีล ก็จะพบว่า ศีลของพุทธศาสนา ศีลของนิครนถนาฎบุตร ศีลของฤาษี ฯ เหมือนๆ กัน และศีลเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทุกศาสนาก็เริ่มมาจากการรักษาศีล พุทธศาสนาก็ต่อยอดมาจากพราหมณ์
อ้างคำพูด:
สมาธิที่เกิดจากศีลที่รักษาดี จะเป็นสัมมาสมาธิครับ

ตรงนี้ขอแย้ง ศีลไม่ได้สร้างปัญญา เป็นเครื่องป้องกันเราจากภัยเวรต่างๆ ที่จะพาเราลงนรก สมาธิที่ได้จึงเป็นเพียงความสงบ เมื่อปัญญาไม่ได้เกิดร่วมด้วย จะเรียกว่าสัมมาสมาธิยังไม่ได้แน่นอนครับ

ผมอาจจะสื่อสารได้ไม่ดีเท่าใหร่ แต่เหตุผลต่างๆ ก็ได้พยายามแสดงไว้หลายๆ กระทู้

- ศีล มีกล่าวอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก
- สมาธิ มีกล่าวอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก
- ปัญญา มีกล่าวอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก

แต่ถ้าเรียงการปฏิบัติเป็น ศีล -> สมาธิ -> ปัญญา อันนี้ไม่มีปรากฎในพระไตรปิฎกแน่นอน

มีศีลก็มีสมาธิ มีสมาธิก็มีปัญญา อันนี้เป็นไปตามเหตุตามผล คือ ธรรมอันหนึ่งที่เป็นกำลังหรือเป็นบาทหรือเป็นเหตุของธรรมอันหนึ่ง

ทีนี้ลองดูตรงนี้ ที่ผมพยายามจะอธิบายว่า
1) สร้างปัญญาให้เกิดก่อน ยังไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ใช้สติสมาธิเท่าที่มี
2) พอปัญญาเกิด (วิปัสสนาปัญญา) สัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์มรรคก็จะเกิด (สิ่งที่ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิคือโมหะ)
3) เมื่อมีปัญญารู้ถึงโทษของการผิดศีล คนผู้นั้นก็จะมีศีลเองโดยปกติ เป็นไปโดยอัตโนมัติ (เพราะโมหะถูกปัญญาย่ำยีลงได้)
4) เมื่อมีศีล สมาธิก็เกิด เป็นสัมมาสมาธิเพราะปัญญาเกิดก่อนหน้าแล้ว
5) พอมีสมาธิปัญญาอีกตัวหนึ่งก็จะเกิด (อภิปัญญา) ปัญญาตัวนี้กับปัญญาที่พยายามสร้างก่อนหน้าเป็นคนละตัวกัน (ปัญญาที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อโมหะ)

จากนั้นก็ใช้กำลังสมาธิในการปฏิบัติตามแนวสติปัฐานสี่ ผลของการทำสติปัฏฐานสี่คือ อนาคามีผล และอรหันตผล ไม่ใช่โสดาปฏิผล ลองหาอ่านดูเรื่องผลของสติปัฐานสี่ มีเขียนไว้ชัดเจน ถึงตอนนี้ก็ใช้กำลังสมาธิเต็มเหนี่ยว จะเพิ่มสมาธิเพิ่มสติก็ทำกันตรงจุดนี้ ถึงกล่าวว่า สติปัฐานสี่ เป็นการปฏิบัติของอริยะบุคคล

จะเห็นว่ามันก็ดูคล้ายๆ กัน แต่ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญ ผลออกมาไม่เหมือนกัน

ทีนี้ก็รบกวนช่วยทบทวนสิ่งที่อาจารย์ผมศึกษาและปฏิบัติมากว่า 27 ปี จนมีผู้ปฏิบัติตามตอนนี้ได้โสดาปฏิผลขั้นแรกรวมแล้ว 21 ท่าน เมื่อพิจรณาแล้ว หากเห็นว่าสิ่งที่นำมาบอกกล่าวนี้ ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมประการใด ก็ชี้แจงตามเหตุตามผล เพื่อประโยชน์กับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ด้วยครับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 18:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ขอบพระคุณครับสำหรับความคิดเห็น ... แต่ดูจะ off topic ไปเรื่อยๆ :b12:

ลองช่วยผมติดตามนะครับ ถ้าจะจำเพาะเจาะจงเรื่องศีล ก็จะพบว่า ศีลของพุทธศาสนา ศีลของนิครนถนาฎบุตร ศีลของฤาษี ฯ เหมือนๆ กัน และศีลเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทุกศาสนาก็เริ่มมาจากการรักษาศีล พุทธศาสนาก็ต่อยอดมาจากพราหมณ์
อ้างคำพูด:
สมาธิที่เกิดจากศีลที่รักษาดี จะเป็นสัมมาสมาธิครับ

ตรงนี้ขอแย้ง ศีลไม่ได้สร้างปัญญา เป็นเครื่องป้องกันเราจากภัยเวรต่างๆ ที่จะพาเราลงนรก สมาธิที่ได้จึงเป็นเพียงความสงบ เมื่อปัญญาไม่ได้เกิดร่วมด้วย จะเรียกว่าสัมมาสมาธิยังไม่ได้แน่นอนครับ

ผมอาจจะสื่อสารได้ไม่ดีเท่าใหร่ แต่เหตุผลต่างๆ ก็ได้พยายามแสดงไว้หลายๆ กระทู้

- ศีล มีกล่าวอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก
- สมาธิ มีกล่าวอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก
- ปัญญา มีกล่าวอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก

แต่ถ้าเรียงการปฏิบัติเป็น ศีล -> สมาธิ -> ปัญญา อันนี้ไม่มีปรากฎในพระไตรปิฎกแน่นอน

มีศีลก็มีสมาธิ มีสมาธิก็มีปัญญา อันนี้เป็นไปตามเหตุตามผล คือ ธรรมอันหนึ่งที่เป็นกำลังหรือเป็นบาทหรือเป็นเหตุของธรรมอันหนึ่ง

ทีนี้ลองดูตรงนี้ ที่ผมพยายามจะอธิบายว่า
1) สร้างปัญญาให้เกิดก่อน ยังไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ใช้สติสมาธิเท่าที่มี
2) พอปัญญาเกิด (วิปัสสนาปัญญา) สัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์มรรคก็จะเกิด (สิ่งที่ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิคือโมหะ)
3) เมื่อมีปัญญารู้ถึงโทษของการผิดศีล คนผู้นั้นก็จะมีศีลเองโดยปกติ เป็นไปโดยอัตโนมัติ (เพราะโมหะถูกปัญญาย่ำยีลงได้)
4) เมื่อมีศีล สมาธิก็เกิด เป็นสัมมาสมาธิเพราะปัญญาเกิดก่อนหน้าแล้ว
5) พอมีสมาธิปัญญาอีกตัวหนึ่งก็จะเกิด (อภิปัญญา) ปัญญาตัวนี้กับปัญญาที่พยายามสร้างก่อนหน้าเป็นคนละตัวกัน (ปัญญาที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อโมหะ)

จากนั้นก็ใช้กำลังสมาธิในการปฏิบัติตามแนวสติปัฐานสี่ ผลของการทำสติปัฏฐานสี่คือ อนาคามีผล และอรหันตผล ไม่ใช่โสดาปฏิผล ลองหาอ่านดูเรื่องผลของสติปัฐานสี่ มีเขียนไว้ชัดเจน ถึงตอนนี้ก็ใช้กำลังสมาธิเต็มเหนี่ยว จะเพิ่มสมาธิเพิ่มสติก็ทำกันตรงจุดนี้ ถึงกล่าวว่า สติปัฐานสี่ เป็นการปฏิบัติของอริยะบุคคล

จะเห็นว่ามันก็ดูคล้ายๆ กัน แต่ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญ ผลออกมาไม่เหมือนกัน

ทีนี้ก็รบกวนช่วยทบทวนสิ่งที่อาจารย์ผมศึกษาและปฏิบัติมากว่า 27 ปี จนมีผู้ปฏิบัติตามตอนนี้ได้โสดาปฏิผลขั้นแรกรวมแล้ว 21 ท่าน เมื่อพิจรณาแล้ว หากเห็นว่าสิ่งที่นำมาบอกกล่าวนี้ ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมประการใด ก็ชี้แจงตามเหตุตามผล เพื่อประโยชน์กับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ด้วยครับ



แชร์นะครับ ตรงนี้ที่ท่านกล่าวมาไม่ผิดครับเห็นด้วยครับ ปัญญาเกิกก่อนการรักษาศิลได้ เมื่อปัญญาถูกก็ต้องรักษาศิลแน่นอน มรรคมีองค์แปดก็เริ่มด้วยปัญญา ศิล สมาธิ เมื่อมีศิล ย่อมมีสมาธิ เพื่อเป็นกำลังสนับสนุนปัญญาให้แทงตลอด แต่การที่ปัญญายังไม่มี มีศรัทราก็รักษาศิลได้ และการมีสมาธิก่อนมีปัญญาก็สามารถมีปัญญาได้ แต่เสี่ยงหน่อยเพราะมันจะติดความสุขในสมาธิตรงนี้พลาดกันเยอะครับ ผมรู้จักท่านที่ได้ฌานแล้วเข้าไม่ถึงปัญญาที่จะลดกิเลสได้หลายคน

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่การที่ปัญญายังไม่มี มีศรัทราก็รักษาศิลได้ และการมีสมาธิก่อนมีปัญญาก็สามารถมีปัญญาได้...

อย่าได้พยายามลองเสี่ยงเลยครับ ชีวิตคนเรามันสั้น มันเป็นวิถีพรามหณ์ไม่ใช่วิถีพุทธ กว่าจะได้สมาธิ บางคนเสียเวลา 20-30 ปี พอนึกจะมาสร้างปัญญา ก็โดนมจุราชมารเล่นงานซะ ระหว่างทางจนได้ฌานอภิญญานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะครับ

PS: สมาธิที่ว่านี่หมายถึงอัปนาสมาธิ เป็นฌานสมาบัตินะครับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
แต่การที่ปัญญายังไม่มี มีศรัทราก็รักษาศิลได้ และการมีสมาธิก่อนมีปัญญาก็สามารถมีปัญญาได้...

อย่าได้พยายามลองเสี่ยงเลยครับ ชีวิตคนเรามันสั้น มันเป็นวิถีพรามหณ์ไม่ใช่วิถีพุทธ กว่าจะได้สมาธิ บางคนเสียเวลา 20-30 ปี พอนึกจะมาสร้างปัญญา ก็โดนมจุราชมารเล่นงานซะ ระหว่างทางจนได้ฌานอภิญญานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะครับ

PS: สมาธิที่ว่านี่หมายถึงอัปนาสมาธิ เป็นฌานสมาบัตินะครับ


ก็เห็นด้วย สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จริงๆ เราก็ได้แต่ทำหน้าที่ ที่ดีที่สุดแล้วคุณว่าจริงมั้ยครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณศุภฤกษ์ครับ ลองวินิฉัยตรงนี้หน่อย

นั่งหลับตา ไม่ยินดียินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส

กำหนดรู้เวทนาที่เกิดและหายไปตามจริง

ศีล สมาธิ ปัญญา มีหรือยังครับ

ถ้ามี คุณไม่ควรกล่าวว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ไล่ลำดับนะครับ ที่จริงแล้ว
จะไล่ลำดับไปก็ได้ หรือไม่ไล่ก็ได้ จะเอาศีล สมาธิ ปัญญา สลับไว้ตรงไหนก็ได้ครับ
เพราะจะหลุดพ้นต้องอิงกัน ๓ อย่าง

ถ้าคุณตอบว่าไม่มี คุณก็ค้านคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วครับ เพราะที่ผมโพสถาม วิธี
ตามแนวสติปัฏฐานเลย

อย่าได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาลงแบบนี้เลยครับ อย่าได้อ้างลิทธิอื่นหรือกล่าวเลียบ
เคียงคำสอนของพระพุทธองค์ในแนวที่ใกล้ของลัทธิอื่นใดเลย ที่จริงแยกไม่ยากครับ
ไม่ต้องรอบรรลุชั้นไหนๆก็พอแยกกันได้

ให้ตอบนะครับ ไม่ใช่อ้างอะไรมาอีก ขอตรงๆประเด็นครับ
เพราะถ้าคุณมาเผยแผ่ในสิ่งที่คุณเข้าใจ ซึ่งเฉียดหรือเกือยทำให้สาระของพระธรรมคำสอน
เสียไป ผมก็เฉยไม่ได้ครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 147 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร