วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 22:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b3:

รักในเรือนรัก......


ความรักคือบางสิ่งที่มีค่า ที่ได้ครอบครองความรักเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและน้ำตาความรักคือความสุขและ ความทุกข์ :b25:


ข้อความข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของนิยามความรักจากคนทั่วไป ซึ่งอาจแตกต่างกันไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคลว่าจะเจอความ รักในรูปแบบไหนหากสมหวังความรักก็คือความสุข ในทางตรงกันข้ามหากผิดหวังความรักก็คือความทุกข์ แต่ความรักก็เป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา ความรักไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลตัว ความรักนั้นหาได้ไม่ยาก มีอยู่ทั่วไปในสังคม เมื่อพูดถึงความรักแล้วคนส่วนมากจะมองถึงความรักของหนุ่มที่มีต่อสาว ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีมากกว่านั้น ความรักนั้นอาจจะลึกซึ้งกว่านั้นก็ได้ เพียงแต่บางคนอาจจะลึกซึ้งกว่านั้นก็ได้ เพียงแต่บางคนอาจจะลืมนึกถึงความรักที่เป็นรักแท้ รักที่มั่นคง รักที่ใกล้ชิดผูกพัน รักที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเสมือนอยู่ในครอบครัวที่มีแต่ความรักให้แก่กัน และกัน เราเรียกครอบครัวนั้นว่าเรือนรัก และเรียกความรักนั้นว่าความรักในเรือนรัก


ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย บุคคลหลายคน หลายบทบาท แต่ถ้าครอบครัวใดมีความรักให้กันเสมอ เรือนรักของครอบครัวนั้นก็จะสดชื่น อยู่ด้วยกันอย่างเป็นปกติสุข ความรักในเรือนรักที่กล่าวถึงมีหลายรูปแบบ ดังน ี้


1. ความรักระหว่างสามีภรรยา ชายและหญิงที่มีใจแก่กันตกลงจะสร้างครอบครัวในชีวิตคู่ด้วยกัน อยู่กินฉันสามี ภรรยาต้องมีความรักความเข้าใจกันก่อน มีรักแท้ที่มีความมั่นคงต่อกัน ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารักแท้ บริสุทธิ์ไร้การเมือง ไร้สาระหรือไม่ หากมั่นใจแล้วจึงค่อยแต่งงานเมื่อแต่งงานแล้วครอบครัวที่สร้างย่อมเป็นครอบ ครัวที่มั่นคงของสังคม


2. ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คงไม่มีปฏิเสธว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรักพ่อแม่ที่มีต่อลูก พ่อแม่ให้กำเนิดลูกมา เลี้ยงดูชนิดยุ่งไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หรือชนิดไข่ในหิน ถือว่าเป็นรักแท้ รักจากขั้วหัวใจเต็มไปด้วย เมตตากรุณา การรู้จักให้อภัย ลูก ๆ ทุกคนควรคิดเสมอว่าไม่มีใครรักเราจริงเช่นพ่อแม่ อย่าทำให้ท่านผิดหวังในคนที่ท่านรัก


3. ความรักต่อผู้มีอุปการะคุณ ได้ยินกันบ่อยกับประโยคที่ว่า “พ่อแม่เลี้ยงลูกคนก็เลี้ยงได้ แต่ลูกคนเดียวเลี้ยงพ่อ แม่ไม่ได้” ลูก ๆ ทุกคนควรระลึกอยู่เสมอว่าต้องแสดงออกซึ่งความรักก็พ่อแม่อยู่ตลอดเวลาด้วย ความเคารพรัก ยกย่องนับถือ ไม่ทำตัวให้ท่านผิดหวัง ดูแลเอาใจใส่อุปการะคุณท่าน เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูด้วยความเคารพรักจนเราโตมามีทุกวันนี้ได้ บางทีอาจทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองก็ได้


4. ความรักระหว่างญาติพี่น้อง บางครั้งพี่น้องท้องเดียวกันอาจจะทะเลาะกันบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าพี่น้องท้องเดียวกันไม่สามัคคี ไม่รักกัน คนที่เสียใจมากที่สุดคือพ่อแม่ ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก พี่น้องรักใคร่ปองดองกันผูกพันและเอื้ออาทรแก่กัน ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้นในครอบครัว


หากเรือนรักของทุกคนมีเรือนรักทั้ง 4 รูแบบดังกล่าวถือว่าเป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ และมีความสุข ทุกคนมีความรักในครอบครัว มีความรักที่จริงใจ บริสุทธิ์แก่กัน สามีภรรยารักและเข้าใจกัน พ่อแม่มีรักแท้ให้แก่ลูก ๆ และลูก ๆ เชื่อฟังพ่อแม่ พี่น้องรักใคร่สามัคคีกัน ในยามที่สมาชิกในครอบครัวมีปัญหา ไม่สบายใจ ทุกคนจะกลับบ้านเข้าหาและปรึกษาสามีภรรยา พ่อแม่พี่น้องของตน พูดคุยด้วยความรักห่วงใยกัน จะทำให้สบายใจ สุขใจขึ้น ทุกคนจะอยากกลับบ้านเกิดความรักครอบครัว สังคมก็จะเจริญเมื่อสถาบันครอบครัวมั่นคงและมีความรักแก่กัน


การนอนไม่หลับ มีผลต่อสุขภาพทางกายและจิตใจมาก โดยเฉพาะการนอนไม่หลับที่ไม่ทราบสาเหตุหลาย ๆ อย่างรวมกัน จนกระทั่งเริ่มนอนไม่หลับเป็นนิสัย ยิ่งหากรับประทานอาหารมื้อเย็นน้อยเกินไปก็จะหลับไม่สนิท แต่ถ้ารับประทานอาหารมื้อเย็นอิ่มเกินไปกระเพาะอาหารและลำไส้ก็จะพองทับ อวัยวะรอบ ๆ ทำให้หลับไม่สนิทอีกเช่นกัน นอกจากนี้ น้ำชา กาแฟ ถ้าดื่มก่อนนอน สมองก็จะถูกกระตุ้นให้คึกคักจนนอนไม่หลับ แม้แต่การดื่มน้ำมากเกินไปก็จะทำให้ต้องลุกขึ้นปัสสาวะบ่อย ๆ เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับ


ตามหลักเกณฑ์การแพทย์แผนปัจจุบันเห็นว่า อาการอ่อนเพลียมักจะมีผลต่อเนื่องมาจากทริพโตฟานในอาหารจำพวกโปรตีน เพราะทริพโตฟานจะกระตุ้นสมองใหญ่ ให้หลั่งน้ำเหลืองที่ทำให้คนเราง่วงนอนออกมาทำให้การเคลื่อนไหวของสมองถูก จำกัด เราจึงรู้สึกเหนื่อยและเพลีย สารตัวนี้เป็นสารพิเศษที่ไม่มียานอนหลับชนิดไหนสามารถทดแทนได้ ยิ่งเซลล์สองหลั่งสารตัวนี้ มากเพียงใด คนเราก็จะยิ่งรู้สึกอ่อนเพลียมากเพียงนั้น จากการทดลองพบว่า ถ้าคนเราดื่มนมวัวที่มีทริพโตฟานเข้าไปจะรู้สึกง่วงนอนเร็วขึ้น และจะหลับสนิทยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากน้ำตาลจะไปกระตุ้นร่างกายของเราหลั่งสารอินซูลินออกมา เมื่อทริพโตฟานทำงานร่วมกับอินซูลิน ก็จะเร่ง เร้าให้สมองหลั่งน้ำเหลืองกระตุ้นการนอนหลับออกมามากขึ้น


ซึ่งอาการที่กระตุ้นการนอนหลับ ตามตำนานพื้นบ้านและตำราแพทย์จีนแผนโบราณกล่าวว่า ข้าวฟ่าง มีสรรพคุณในการเสริมสร้างม้ามและกระเพาะอาหารช่วยให้หลับสบาย ซึ่งจากการพิสูจน์ของแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าในข้าวฟ่างมีทริพโตฟานสูงมาก และอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เมื่อรับประทานข้าวฟ่างจะรู้สึกอิ่มและอบอุ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลินมากขึ้น อันเป็นการกระตุ้น ให้ทริพโตฟานไหลเข้าสู่สมองมากขึ้นด้วย


- ใบถั่วลิสง 15 กรัม ถั่วแดง 30 กรัม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวกับน้ำดื่มก่อนนอน

- ดื่มนมสดวันละ 3 – 4 แก้วและเนยแข็งวันละ 1- 2 แผ่น พร้อมทั้งไวตามินดี 1,500 – 2,000 ยูนิต เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมได้ดี


ซึ่งนอกจากอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอที่พอเหมาะกับร่างกาย นาน 20 –30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน และการจัดนอนในที่สงบ ไม่มีเสียงรบกวนที่นอนไม่ควรนุ่มเกินไป หมอนไม่สูงเกินไปท่านอนควรนอนหงายงอเขาข้างหนึ่งหรือไม่ก็ได้ นอนตะแคง ในท่าพุทธไสยาสน์ โดยใช้หมอนทรงสี่เหลี่ยม หนุนศรีษะขึ้นขนานกับพื้นที่จะช่วยให้หลับสบายขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b23:

เมื่อหมดแรงทำงานทำอย่างไรดี……………


ในสภาพปัจจุบันของสังคม ซึ่งอยู่ในยุคปฏิรูปนั้น ทั้งระบบราชการ ระบบสุขภาพ ระบบเศรษฐกิจ พยาบาลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาท ทำหน้าที่ให้บริการและบริหารจัดการ งานที่ได้รับหมอบหมาย ทำงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พยาบาลต้องมีความรู้ความสามารถในการดูแลสุขภาพของประชาชน ที่เปลี่ยนแปลงมีแนวโน้มที่ซับซ้อนขึ้นงานพยาบาลจึงเป็นงานที่หนัก เหนื่อย ในการที่จะตอบสนองความต้องการที่สอดคล้องกับสังคมเปลี่ยนแปลง แรงจูงใจในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านมีอาการหงุดหงิด ร่างกายอ่อนเพลีย หดหู่ นอนไม่หลับ ไม่อยากพบหน้าใคร เครียด โกรธง่าย ความอดทนต่ำ (ซึ่งพบได้บ่อย) กินไม่ได้หรือกินมาก คลื่นไส้ ตาลาย สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าท่านกำลังหมดแรง (Burn out) ในการทำงาน :b17:

วิธีการแก้อาการหมดแรง ซึ่ง อาจทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการว่าเป็นมากหรือน้อยบางคนหมดแรงเพราะการทำงาน อาจงานหนักหรือมากเกินไป แต่บางคนอาจได้รับการกระเทือนกระเทือนจิตใจ ทำให้ขาดแรงจูงใจ ไม่มีกำลังใจในการทำงาน แต่ถ้าทำงานมากไปจะออกมาในรูปเพลีย เมื่อได้รับแรงจูงใจดี ความอ่อนเพลียจะได้รับการจัดการ แต่ถ้าทำได้อย่างประเด็นหลังก็ดีสิ…ถ้าเป็นประเด็นแรกจะต้องแก้ไขด้วย

1. ลืมสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ แม้จะทำยากแต่ต้องพยายามทำ เช่น ทำงานได้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ โดนเพื่อนว่า นายตำหนิ เป็นต้น การให้อภัยคนที่ทำให้เราไม่สบายใจจะช่วยให้เราจิตใจดีขึ้น หายกลัดกลุ้ม ทำให้มีแรงที่จะทำ รวมทั้งอย่าลืมให้อภัยตัวเองด้วย ไม่ว่าจะทำอะไรผิดพลาดแค่ไหน บางคนจมปรักกับการเสียใจซ้ำซาก โดยไม่ยอมรับว่าสี่เท้ายังรู้พลาดแล้วมนุษย์สองขาอย่างเราจะไม่พลาดพลั้งไป บ้างเชียวหรือ การให้อภัยจึงเท่ากับเป็นการชำระจิตใจไม่ให้หมกหมุ่นกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าลืม เราแก้อดีตไม่ได้ แต่ทำปัจจุบันให้ดีขึ้นได้

2. หาที่พักใจเป็นมุมสงบ สามารถทำให้เรานั่งทำใจโดยไม่มีใครรบกวน อาจเป็นที่บ้าน วัดหรือที่ทำงาน

3. ไปพักผ่อนช่วงสั้น ๆ อาจเป็นชายทะเล หรือไปแคมป์หรือไปเข้าโรงแรม เป็นการหลบจากผู้คน หรือสิ่งที่ทำให้เราสงบ หลายคนพออยู่ใกล้ที่ทำงานก็อดทำงานไม่ได้อยู่ใกล้บ้านมักเอาจะเอางานกลับไป ทำที่บ้าน
> การไปจากที่คุ้นเคย โดยเฉพาะการห่างจากครอบครัว อาจทำให้เราฟื้นพละกำลังทำงานได้อย่างมีพลังวังชา และประสิทธิภาพ
>การไปอยู่ในที่ที่ใครหาไม่พบ หรือไม่พบใคร จะได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง ว่าจะทำอะไรต่อไป เพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่ไม่ใช่ไปมีภรรยาหรือสามีน้อย หรือดื่มสุรายาเสพติดเล่นการพนัน เพราะมีแต่ให้ชีวิตแย่ลงกว่าเก่า

4. ทำสิ่งที่ชอบตอนเป็นเด็ก ซึ่งจะช่วยคลายความค้างคาใจและคลายเครียดได้ แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเกินกว่าอายุที่เราจะทำได้ หากทำแล้วชาวบ้านอาจขำ แต่ถ้าเราทำแล้ว สบายใจหายเหนื่อยหมดแรงก็ทำไปเถอะ โดยไม่ต้องลังเล หรือรีรอ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นว่าว กระโด นอนกลิ่งบนพื้น กินขนมอมลูกกวาด เล่นตุ๊กตา ดูดไอศกรีม วิ่งไล่จับ เป็นต้น ถ้าอายที่จะทำก็อาจจะมาในรูปเล่นกับลูกหลานตัวเล็กทำนองเอ็นดูแก ทั้ง ๆ ที่ลูกหลานเล่นเป็นเพื่อนเรามากกว่า หรือนั่งรำลึกถึงความหลังตอนเด็ก ๆ ที่มีความสุขไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่กอดเรา ครูชมเชยในห้องเรียน จัดงานวันเกิดเพื่อน ๆ ให้ของขวัญ พ่อแม่พาไปเที่ยว เป็นต้น
ความสุขที่จะได้คิด ได้นึกถึงสิ่งดี ๆ มีแต่จะทำให้เป็นสุขมากกว่าที่คาดคิด ความอ่อนล้าจึงหมดลงได้ ขอแค่ใช้ให้ถูกทาง

5.กอดคน อื่น ให้คนอื่นกอดเราบ้าง อ้อมกอดเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา เด็กเล็ก ๆ ต้องการอ้อมกอดของพ่อแม่ พอโตขึ้นเข้าทำงาน อยากได้รับความอบอุ่นจากนาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน มนุษย์เป็นสัตว์ อยากรัก อยากถูกรัก อ้อมกอดของกันและกัน จึงทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ เราจึงควรกอดกันบ้าง โดยเฉพาะ สามี ภรรยา พ่อแม่ลูก คนที่หวังดีต่อกัน แค่แตะบ่า แตะแขน ตบหลังเบา ๆ ก็อาจทำให้ชีวิตมีความหมายโดยเฉพาะช่วงที่ไม่สบายใจ จะหมดแรงที่จะทำอย่างไร ช่วงนั้นเราเหมือนคนใกล้จมน้ำตาย ขอแค่มีอะไรลอยมา เราก็อยากจะเกาะชีวิตคงอยู่ได้ อยู่เพื่อสู้กบความท้อแท้ อยู่เพื่อจะได้รู้ว่าคนเห็นใจเรามากแค่ไหนอยู่เพื่อคบกับคนที่เรารัก และรักเรา อยู่เพื่อเป็นพลังให้กับตัวเอง ที่จะทำสิ่งที่ดี ๆ ที่อยากทำต่อไป ถ้าหาหรืออะไรที่ชอบ พลังจะฟื้นกลับคืนมา อย่าคิดว่าไร้สาระ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราคลายทุกข์ ช่วยให้มีแรงทำงานได้ เป็นไฟที่จุดพลังให้เราอยู่ได้ อยู่ดี และอยู่อย่างเป็นสุข โดยไม่รู้สึกหมดแรงหรือเหนื่อยหน่ายมีกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาทำงานต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b31:

ชีวิตในสังคมและความสุข


ทุกคนอยากมีความสุข แต่ความสุขเป็นเรื่องที่ต้องไขว่ขว้า ปัญหาคือ ความสุขแต่ละคนจะมีมุมมองแตกต่างกัน เช่น ความสุขที่ได้สามีดี ๆ สักคน ความสุขคือการได้นายดี ๆ คนเดียวก็พอ(โดยเฉพาะช่วงพิจารณาความดีความชอบ) ความสุขคือการได้บ้านใหญ่ ๆ สักหลัง ความสุขกับการอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ความสุขคือการได้ปีนเขา ท่องป่า ตกปลา ทำในสิ่งที่ชอบเพราะฉะนั้น ความสุขอยู่ที่ใจ ถ้าใจไม่เป็นสุข ต่อให้มีทรัพย์สินมหาศาลก็หาความสุขไม่ได้


ความสุขอยู่แค่เอื้อม เรา ๆ ท่าน ๆ จะเอื้อมถึงหรือไม่ หรือไม่ยอมเอื้อม แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร อยากที่จะเอื้อมให้ถึงความสุขจะต้อง :b47:


1. มีจิตใจเข้มแข็ง และระลึกเสมอว่า อาจมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้น ตอนเจอสิ่งไม่ดี เป็นการมีมุมมองหลากหลาย ไม่ใช่มองแต่สิ่งที่ไม่ดีในด้านเดียว จิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากไม่แพ้ใจตัวเอง อุปสรรคคือพลัง ถ้าเราไม่ใช่อุปสรรคเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ เราคงไม่ได้อะไรนอกจากปล่อยชีวิตให้ไร้ความหมาย การรู้จักคิดการรู้จักปรับตัว รู้จักประพฤติปฏิบัติในทางที่เสริมคุณค่าแก่ตัวเอง ทำให้ตนเองมีคุณค่า นับได้ว่าเป็นการนับถือตนเองอีกด้วยนะ


2. อ่านบางสิ่งบางอย่างเป็นแรงบัลดาลใจ เป็นการหาสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเอง ไม่ว่าเป็นหนังสือบทความของคนมีชื่อเสียง หรือไม่มีก็ได้ หากสิ่งนั้นให้ข้อคิดแก่เราแรงบัลดาลใจไขว่อ่านทุกวัน การอ่านจะทำให้เรามีท่าทีเป็นบวกในด้านความคิดและการกระทำ รู้จักใช้สติปัญญา รู้จักพูด รอบรู้ ไม่แสดงความปัญญาอ่อน ให้ผู้อื่นดูถูกดูหมิ่นในใจ เหมือนคนไม่มีกึ๋น


3. ให้อภัย การอาฆาตพยาบาท ไม่ย้อมแพ้แบบหักไม่ยอมงอ มีแต่ทำให้ใจขุ่นมัว คนที่ไม่ยอมใครชอบเอาชนะ จะหาความสุขไม่มี ทางที่ดีควรแผ่เมตตาแก่ใครก็ตาม ที่คิดชั่ว ทำร้ายหรือทำลายเรา ก็เพราะเขาอาจโง่เขลาและมีปมด้อย เราจะไปถือสาเขาทำไม บางคนเปรียบเสมือนบัวใต้โคลนตม จะช่วยให้ดีเหมือนคนอื่น เป็นไปได้อยาก ปล่อยไปตามกรรมและเวรของแต่ละคน ให้เขาไปตามทางของเขาเถอะ


4. มีคุณธรรม คนที่มีคุณธรรม จะมีจิตใจเอื้ออาทร โอบอ้อมอารีต่อคนอื่นจะไม่ห้ำหั่นเอาเป็นเอาตาย เหมือนบ้า


คนมีคุณธรรมจิตใจสบาย ไม่อิจฉาริษยาเห็นคุณค่าของคนรอบตัวมีจิตใจเมตตามองโลกในแง่ดี ไม่เห็นแก่ตัว อย่าลืมความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นเสมอในสังคม พอเห็นแก่ตัวชอบทำอะไรเพื่อตัวเองกลายเป็นคนขาดคุณธรรม ทำลายความสุขของคนอื่น


ถ้าคุณนำไปใช้ ชีวิตคงเป็นสุข แม้นำไปไม่ได้ทุกข้อ แต่ได้บางข้อก็ถือเป็นความสุขแล้วเราจะทำตัวให้ทุกข์ทำไม แล้วเมื่อไหร่จะเอื้อมไปถึงความสุขซะทีอย่าลืมความสุขอยู่แค่เอื้อม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:

ปัจจัยการอยู่รอด


ความอดทนเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
ความฉลาดเป็นเครื่องหมายของบัณฑิต
ความยั้งคิดเป็นคุณสมบัติของผู้ใหญ่
การให้อภัยเป็นสัญลักษณ์ของผู้เจริญ
:b44:


พุทธศาสนสุภาษิตทุกบทนั้นมีประโยชน์และน้อมนำใจให้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นจริง ได้ตลอดเวลาและเป็นเครื่องนำทางไปสู่เป้าหมายของชีวิตคือความสำเร็จแม้ว่าจะ มีอุปสรรคบ้างก็เป๋นเรื่องธรรมดาของชีวิตความอดทนต่ออทุกสิ่งเป็นหัวใจของ การอยู่รอด ซึ่งปัจจัยของการอยู่รอดมี 4 ประการ ได้แก่้


ความอดทน ผู้ที่แสวงหาความรู้ คนที่จะเรียนรู้สิ่งใด ๆ ได้ต้องมีอดทนเป็นที่ตั้ง จะใช้ความอยากหรือความตั้งใจเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องมีความอดทนเป็นเลิศความอดทนจึงเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์


ความอดทน ผู้ที่แสวงหาความรู้ คนที่จะเรียนรู้สิ่งใด ๆ ได้ต้องมีอดทนเป็นที่ตั้ง จะใช้ความอยากหรือความตั้งใจเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องมีความอดทนเป็นเลิศความอดทนจึงเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์


ความฉลาด ผู้ที่กระทำการใด ๆ ที่แสดงออกให้เห็นถึงความมีสติปัญญาอย่างแท้ทจริงจะเป็นผู้มีความรู้ดี ผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาบ้างพอสมควร ก็ได้ชื่อว่าบัณฑิตได้ ดังนั้นเครื่องหมายของบัณฑิตจึงไม่ได้หมายถึงปริญญาบัตร หรือเกียรติบัตรใด ๆ แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำอย่างฉลาดบนรากฐานของคุณธรรมเท่านั้น ที่เหมาะสมกับคำว่าบัณฑิตอย่างแท้จริง


ความยั้งคิด สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งใจไม่ให้ลุ่มหลงในสิ่งต่าง ๆ พระพุทธองค์ทรงพบอริยะมรรคมีองค์ 8 ก็เพราะมีความยั้งคิดถึงสิ่งที่กระทำลงไปว่าถูกต้องมากน้อยเพียงใด เมื่อระลึกรู้ว่าผิดแก้ไขใหม่ ที่สำคัญความยั้งคิดเป็นเครื่องระงับโทสะได้อย่างเยี่ยมยอด อายุประสบการณ์ของคนมีส่วนอย่างมากที่จะสร้างความยั้งคิดขึ้นมา ดังนั้นคนที่ขาดความยั้งคิด จึงถูกมองเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก หรือไม่สมวัย


การให้อภัย สังคมจะสงบสุขได้ก็เพราะมีการให้อภัยและเอื้ออาทรต่อกัน สังคมที่ขาดการให้อภัยหรือที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่าอโหสิกรรมนั้นต้องยุ่ง เหยิงไม่รู้จบ เป็นสังคมของคนเถื่อนคนป่า คิดจะพาลเข่นฆ่ากันให้ตายอย่างเดียว เป็นสังคมที่ร้อนเร้าไม่น่าอยู่ ดังนั้นสังคมของผู้เจริญ จึงต้องทำให้เย็นลงด้วยการรู้จักให้อภัยต่อกันมากที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:

วางแผนหยุดท้อ


“ท้อ” คำที่ดูสั้น ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญอะไร แต่รู้ไหมว่าแค่คำนี้คำเดียวเท่านั้นแหละสามารถบั่นทอทนกำลังใจ กำลังกาย และพลังในการดำเนินชีวิตของเราให้หมดไปได้ วิธีที่เราควรเริ่มทำเพื่อการวางแผนในการหยุดคำว่า ท้อ จากจิตใจของเราก็คือ เราควรฝึกสร้าง พละ 5 หรือ ธรรมอันเป็นกำลัง 5ประการ ให้เกิดแก่ตัวเรา ซึ่งพละ 5นั้นได้แก่

1. ศรัทธา เป็นอันดับแรกเลยที่เราควรจะทำ ควรสร้างศรัทธาให้แก่ตัวเอง วางเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการให้แน่นอน แล้วบอกกับตัวเองเสมอว่า เราต้องทำได้


2. ปัญญา ในการที่จะก้าวไปสู่จุดหมาย อะไรก็ตามจะต้องมีการศึกษาหาความรู้ วิเคราะห์ และไตร่ตรองสิ่งที่จะทำให้ละเอียดรอบคอบ เพื่อที่จะหาวิธีการที่ดีที่สุดและเหมาสมและเมื่อมีการสะดุดกับปัญหา ปัญญานี้แหละค่ะจะพาคุณข้ามปัญหาไปได้อย่างง่ายดาย


3. สมาธิ ช่วยให้คุณสงบ แจ่มใสและมีพลัง ขอเพียงคุณนั้นตั้งมั่นในสิ่งที่จะทำ รวบรวมจิตใจให้แน่วแน่ จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ก็จะทำให้สิ่งต่างๆ ลุล่วงไปด้วยดี


4. วิริยะ คงเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น” เช่นกันค่ะไม่ว่าอะไรก็ตามความขยันหรือความเพียรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยใน การทำงานทุกอย่าง ดังนั้นอย่าให้ความขี้เกียจมาเกาะกินตัวคุณได้อย่างเด็ดขาด ควรมีการกระตุ้นตัวเองให้เกิดความกระตือรือร้นในการทำงานเสมอ อย่ารีรอ หรือผลัดวันประกันพรุ่ง


5. สติ เป็นสิ่งที่สำคัญที่เลยก็ว่าได้ เพราะสติเป็นตัวเชื่อมขององค์ประกอบทั้ง 4 ที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น การที่เราตั้งสติให้มั่น จะทำให้รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ การมีสติจะช่วยให้เราควบคุมสถานการณ์ และควบคุมตัวเองไปสู่ความสำเร็จ


ทั้ง 5 ข้อ ที่กล่าวมาเราอาจทำไม่ได้ภายในวันเดียว เพราะทั้ง 5 ข้อ นั้นจะต้องใช้ความอดทนและเวลาเป็นอย่างมาก ลองฝึกหัดไปที่ละข้อ ๆ ถ้าทำสำเร็จได้ทุกข้อเชื่อได้เลยค่ะว่า “ท้อ” คงไม่กล้ากล้ำกลายจิตใจคุณทีเดียว :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b30:

หยุดตรงนี้เพื่อพักใจ
“ขอพักนิ่ง….ความรู้สึกนึกถึงตัวตนและจิตใจ”



ร่างกายและจิตใจของคนเราจะดำเนินไปพร้อมกัน มีผลกระทบซึ่งกันและกัน เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหาเกิดขึ้น การดำเนินชีวิตในแต่ละวันไม่ว่าจะเกิดขึ้น การดำเนินชีวิตในแต่ละวันไม่ว่าจะทำกิจกรรมใด ๆ แม้จำทำงานหนักได้มากมาย แต่รางกายไม่ใช่เครื่องจักรที่จะไม่รู้จักเหนื่อยล้าก็คงต้องมีการพักทั้ง ร่างกายและใจไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะจิตใจของคนเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรมากระทบก็สามารถปรุงความคิดตัวเองได้ทั้งความคิดในทางเชิงสร้าง สรรค์และความคิดเชิงเบียดเบียนตัวเองได้ เป็นต้นว่า ความอิจฉาริษยา ความคิดฟุ้งซ่าน ซึ่งความคิดเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียด รู้สึกเหนื่อยและไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ทั้งที่ในชีวิตประจำแสนจะสับสนวุ่นวายกับภาระกิจหน้าที่การงานแต่ถ้าเราทำ ชีวิตที่หนักให้เป็นชีวิตที่เบาได้ รู้จักหยุดพักผ่อนบ้างจะรู้สึกว่าสบายขึ้น สามารถรวบรวมกำลังกายและกำลังใจทำชีวิตให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นดังคำกลอนที่ กล่าวข้างต้น


การรู้จักความคิดตัวเอง เราจะทำอย่างไรจึงจะรู้และตามเห็นความคิดของตนเองเพื่อจะได้พักผ่อนเป็น ครั้งคราวที่เหน็ดเหนื่อย สิ่งที่จะช่วยให้เราตามความคิดเห็นของตนเองได้ก็คือ การมีสตินั่นเอง การปล่อยใจให้สบาย ๆ ปล่อยใจให้ปลิวไปโดยไม่มีทิศทางจะทำให้เราหลงไหลเกิดความทุกข์ในใจ การพักใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำการพักใจ คือการคอยฝึกฝนให้ใจไม่พลัดพรากจากสติซึ่งสติเปรียบเสมือนพี่เลี้ยงที่คอย คุ้มครองให้ปลอดภัยจากความโลภ และเปรียบเทียบเหมือนแขกจรที่จะพาเราไปในทิศทางที่ผิดพลาดได้ เมื่อรู้ตัวทีหลังจะหันกลับมาแก้ไขก็ไม่ได้เสียแล้ว ใจคนเราถ้าไม่มีสติก็จะถูกความโลภชักจูงให้เกิดความอยากและมีความอยากมาก ขึ้นดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไม่สามารถสนองตอบความต้องการได้ตามทำนองคลองธรรม ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยมนต์คาถา แต่กว่าจะรู้ตัวก็ถูกสังคมตำหนิว่าเป็นคนไม่ดี อาจถูกลงโทษด้วยกฎหมายและกฎแห่งสังคมทำให้จิตใจเกิดความทุกข์ได้ คนเราทำงานทั้งวัน เมื่อมีเวลาว่างมักคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แทนที่จะได้พักผ่อนเติมกำลังกายใจเพื่อวันต่อไปจะได้สดใส มีความมันใจที่จะเดินต่อไปด้วยกำลังที่แข็งแกร่ง เราต้องตั้งใจว่าวันนี้จะทำอะไรแล้วตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด และต้องไม่เกิดความเสียใจภายหลังทำให้ให้เกิดสติระลึกอยูเสมอว่ากำลังทำอะไร อะไรที่เผลอทำโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจจะด้วยความเคยชิน เราก็จะสามารถเตือนตัวเองได้ว่าถ้าเผลอทำอย่างนี้อีกต่อไปก็จะเสียใจเราจะ ต้องไม่ทำอีก ใจก็จะไม่ฟุ้งซ่าน คุณภาพงานก็จะดีตามมา


พักใจให้สงบเพื่อให้มีสติ ซึ่งเป็นเหมือนพี่เลี้ยงที่คอยประคับประคองให้ไปในทางที่ถูก ไม่หลงทิศทาง และเสติยังเป็นเหมือนทำนบกั้นใจไม่ให้รั้วไหล เตือนตัวเองไม่ให้ทำผิดซ้ำถ้าทำถูกก็ได้รับความมั่นใจปีติอิ่มเอิบ เมื่อสิ้นภาระกิจถึงเวลาพักผ่อนก็ย้อนนึกถึงสิ่งที่เราทำไปวันนี้ทั้งวันเรา ก็ชื่นใจผิดก็สงบ แม้ถูกตำหนิก็จะไม่รู้สึกโกรธหรือน้อยใจ แต่จะเอามาพินิจพิเคราะห์ห้รอบคอบแล้วเตือนตัวเองว่าดีแล้วที่รู้ในส่วนที่ ผิดพลาดของตัวเองจะได้ไม่ทำอีก ใจเราก็สบาย เวลาก็มีพัก ได้อาหารคือความปีติอิ่มเอิบหล่อเลี้ยงใจได้ความรู้สอนให้เราเฉลียวฉลาดขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b14:

จะรู้ได้อย่างไรว่าเริ่ม..แก่


คนเราตอนเป็นเด็กก็อยากจะรีบโต จะได้รู้สึกเป็นอิสระรับผิดชอบตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องมีพ่อแม่มาคอยควบคุม แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ แล้ว กลับกลัวการที่จะเติบโตต่อไปหรือไม่อยากกลายเป็นผู้อาวุโส (Sentiority) ในที่ทำงานสาเหตุลึก ๆ ก็เพราะกลัวคนเขาว่าแก่นั่นเอง แต่ก็เหมือนกันที่บางคนอายุไม่เทท่าไหร่ แต่ด้วยหน้าที่การงาน และบทบาทบังคับให้ต้องเก็กทำตัวแก่อยู่ตลอดเวลาเพราะเกรงว่าจะขาดความเชื่อ ถือ แต่ลึก ๆ ในจิตใจมนุษย์ทุกคนนั้นไซ้ร์ไม้มีใครที่อยากจะแก่เร็วหรอก ไม่เช่นนั้นจะเกิดสถานบริการเสริมความงามกันเต็มบ้านเต็มเมืองหรอกหรือแต่ อย่างที่พระท่านว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ บางคน อาจดึงเสริมแต่งไว้จนคนอื่น ๆ คาดเดาอายุไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อาจพอประเมินและสังเกตุได้บ้างก็คือพฤติกรรมที่แสดงออก


คนโบราณตั้งข้อสังเกตกิริยาอาการของคนเข้าขั้น แก่ไว้ 3 ประการ คือ “กินของขม ชมเด็กสาว และเล่าความหลัง” นั่นเพราะว่าคนทั่ว ๆ ไปรวมถึงเด็กๆ มักจะไม่ชอบของขม เพราะรู้สึกว่ารับประทานยากถึงแม้จะมีคนบอกว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ก็ตาม ดังที่เราจะสังเกตเห็นว่าคนที่เริ่มรู้สึกจะชอบของขม เช่น สะเดาลวก มะระต้ม ชะอมทอด คือคนที่เริ่มมีอายุมากขึ้นเพราะถ้ารับประทานอาหารหวานมากเกินไปก็เกรงว่าจะ เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น ดั้งนั้นใครก็ตามที่เคยไม่ชอบอาหารรสขม แต่มารู้สึกเอร็ดอร่อยเอาในตอนนี้ ก็พึงคำนึงไว้เถิดว่าท่านกำลังแก่


คนเมื่ออายุมากขึ้นเนื้อหนังก็หย่อนยาน เมื่อมองดูสังขารตัวเองไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เมื่อหันไปมองดูเด็ก ๆ รุ่นใหม่เนื้อหนังเต็งตึง ผิวพรรณสดใสดูแล้วช่างเพลิดเพลินเจริญหูเจริญตา และยิ่งถ้าเป็นมนุษย์ผู้ชายด้วยแล้วเมื่อหันกลับมามองดูมนุษย์ผู้หญิงที่ เป็นคู่เรียงเคียงหมอนของตนแล้วทำให้เกิดความรู้สึกอยากสัมผัสกับของเต่งตึง เข้าตำรา “วัวแก่อยากกินหญ้าอ่อน” มีคนกล่าวไว้ว่าผู้หญิงก็เเหมือนมะม่วง กินตอนอ่อนก็เปรี้ยวหน่อย แต่รสชาติก็ทำให้ซู่ซ่ากระชุ่มกระชวยดี ถ้ากินตอนห่าม ๆ ก็มัน ๆ อย่างเดียว กินตินสุกก็ชุ่มฉ่ำ ๆ กินตอนช้ำก็เลอะไม้เลอะมือ (ผู้ชายก็คงไม่แตกต่างกัน) ดังนั้นหลายคนจึงมักอยากจะกินมะม่วงก่อนที่มันจะช้ำคุณผู้หญิงผู้ชายทั้ง หลายคนจึงมักอยากจะกินมะม่วงก่อนที่มันจะช้ำคุณผู้หญิงผู้ชายทั้งหลาย รู้ไว้เถิดถ้าท่านเฝ้าแต่ใฝ่หาของอ่อน ๆ เอ๊าะ ๆ ละก็ รู้ไว้เถิดว่าแก่แล้วและเขาเรียกว่า “เฒ่าหัวงู”


ลักษณะของคนแก่อีกประการหนึ่ง คือ ชอบเล่าเรื่องความหลัง เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า “คนหนุ่มสาวชอบมองไปข้างหน้า คนชราชอบมองไปข้างหลัง คนหนุ่มสาวอยู่ด้วยความหวัง คนชราอยู่ด้วยความทรงจำ” ถึงแม้วันคืนจะไม่หวนกลับทิ้งไว้แต่เรื่องราวเก่า ๆ ที่ซึมซับอยู่กับรอยย่นของความชรา เรื่องเก่า ๆ ในอดีตกาลจะกลายเป็นเรื่องเล่าขานสิ่งของที่เก่าแก่แต่มีคุณค่าจะกลายเป็ฯ มรดก คนก็แก่ลงไปทุกวัน ซึ่งถ้าเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีไม่มีแถมทำร้าย ๆ ไว้เยอะอาจจะกลายเป็นคนชราอนาถาก็ได้


พึงระลึกไว้เถิดว่าหากผู้ใด มีพฤติกรรมดังที่กล่าวมา “ชอบกินของขม ชอบชมเด็กสาว และชอบเล่าความหลัง” นั่นคือสัญญาณแห่งความแก่มาเตือนนั่นเอง เวลาข้างหน้าก็เหลืออยู่น้อยเต็มที จะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครหยั่งรู้ได้ดังนั้นเราควรสร้างความดีแก่ผู้คนและ สังคมไว้เยอะๆ จะดีกว่าพระท่านว่าคนเราต้องรู้จักลดความโลภ ลดความอยาก ลงเสียบ้าง เพราะถ้าทุกคนได้ทุกอย่างดังที่คิดสิ้นชีวิตจะเอาของกองไว้ไหน จะได้บ้างเสียบ้างช่างปะไร สังขารใครสังขารมันเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b18:

สอนลูกอย่างไรให้คิดเป็น


การจะสร้างครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขในโลกทุกวันนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแรงโหมกระหน่ำจากคลื่นความเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าโหมเข้าสู่ชีวิตผู้คนจนแทบตั้งตัวไม่ติด โดยเฉพาะคลื่นของระบบทุนและเศรษฐกิจ ที่ดึงผู้หญิงออกจากบ้าน ดึงแม่ออกจากลูก พ่อแม่ต้องช่วยกันทำมาหากิน หารายได้เพื่อช่วยครอบครัวให้ผ่านมรสุมไปได้ ทำให้บางครั้ง แม่ทำงานหนักจนลืมได้ความสำคัญกับลูก การสอนลูกให้คิดเป็น เป็นวิธีหนึ่งจะช่วยให้ครอบครัวไทย ยืนอยู่ในสังคมแบบนี้ได้ และเป็นด่านแรกที่ป้องกันลูกจากภัยต่างทุก ๆ ด้าน ด้วยตนเอง ไม่รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดเปรียบเทียบ ผลดีผลเสียอย่างรอบคอบ วิธีฝึกลูกให้คิดเป็น โดยใช้เทคนิค 3 เปิด

1. เปิดใจฟังลูก ขั้นแรกอาจจะยากหน่อยสำหรับพ่อแม่ที่คุ้นเคยกับวิถีปิตา-มาตาธิปไตย (พ่อแม่เป็นใหญ่) ลองเปิดใจกว้างรับลูกวันนี้ มาให้ลูกเป็นฝ่ายแสดงความคิดเห็นจะถูกหรือผิดไม่ว่ากัน นั่นเป็นเรื่องราวที่ค่อย ๆ คุยกัน แต่การเริ่มต้นเปิดใจฟัง เปรียบเสมือนเราได้เริ่มต้นเพาะเมล็ดพันธ์ให้ลูกรู้จักคิด เพราะการที่ลูกจะพูดหรือจะแสดงความคิดเห็นออกมาได้เขาต้อวคิดก่อนหลังจาก นั้นจึงค่อยกระตุ้นให้เขาคิดกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัวอย่าถูกต้องเหมาะสม


2. เปิดประเด็น เป็นการกระตุ้นให้คิด ช่วงเวลาที่น่าเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ช่วงเวลาที่เขาอยู่หน้าจอทีวี ไม่ใช่พอรู้ว่าสื่ออิทธิพลกับลูกก็เลยปิดทีวี ปิดหูปิดตาเสียเลย ในเมื่อเรายังใช้ชีวิตอยู่กับสังคม ก็ยากที่จะปิดกั้นสิ่งเหล่านี้ ใช้วิกฤติเป็นโอกาสดีกว่านะครับ นั่งดูหนัง ดูละคร ดูโฆษณากับลูก แล้วตั้งประเด็นพูดคุยกับลูกจากสิ่งที่เห็น “ลูกรู้สึกยังไงกับโฆษณานี้ มันเป็นจริงได้มั้ย”


3. เปิดทางเลือก ค่อย ๆ ชี้ให้ลูกรู้จักวิเคราะห์ แยกแยะข่าวสารที่ได้รับมา ว่าเขาควรเชื่อหรือไม่เพราะอะไร ข้อดี ข้อเสียคืออะไร ผลที่ตามมาคืออะไร ถ้าไม่ได้เป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมช่วยกันหาทางเลือกหลาย ๆ ทาง เพื่อให้ลูกเห็นตัวอย่างของการคิด หลายแง่มุม และคิดอย่างรอบคอบและพยายามตั้งประเด็นมาถกกันเล่น ๆ อยู่เสมอ ๆ จะช่วยให้ลูกมีลักษณะการคิดที่ดีขึ้นได้


เมื่อลูกรู้จักคิดเป็น ก็เท่ากับว่าพ่อแม่สร้างเกาะกั้นภัยให้เขาชั้นหนึ่งแล้ว ไม่ว่าอิทธิพลจากสื่อ หรือเพื่อนก็ยากที่จะประชิด ฝังถึงตัวลูกได้ทันที มันอาจจะยากกว่าการปล่อยตัว ปล่อยใจไปตามแต่ใครจะพาไป แต่ผลที่ได้คุ้มค่ากว่าการตามไปเยียวยาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17:

ครอบครัว :b45: :b45: :b45:


วันครอบครัว..ซึ่งทุกท่านคงจะจำกันได้ดีกว่า เป็นวันที่มีความหมาย ซึ่งก่อนจะเป็นครอบครัวขึ้นมาได้จะต้องมีความรักเกิดขึ้นก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างหนุ่มสาว พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ถ้าหากปราศจากความรักแล้วจะเป็นครอบครัวไปไม่ได้ ฉะนั้นวันครอบครัวก็คงจะหนีไม่พ้นความรักอยู่ดี “ความรักคืออะไร” แต่ละคนคงจะให้ความหมายไปต่าง ๆ กันแล้วแต่ว่าใครจะมอบความรักแบบไหน


สำหรับครอบครัวของทุกปี ทุกท่านจะมีโปรแกรมไว้แล้วว่าจะทำอะไร อย่างไรให้กับครอบครัวของเรา ให้มีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่สมบูรณ์แข็งแรงให้สมกับคำขวัญที่ว่า “สุขภาพจิตดี เริ่มต้นที่บ้าน” บ้านคือที่อยู่อาศัยของครอบครัวซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูก หรืออาจมี คุณปู่ ย่า ตา ยาย รวมอยู่ด้วยก็ได้ ซึ่งแต่ละคนจะต้องแสดงบทบาทให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานะภาพตัวเอง เช่น พ่อ บ้านจะต้องเป็นผู้คอยให้ความรัก ความอบอุ่นแก่ครอบครัวเป็นผู้มีน้ำใจหนักแน่น มีเหตุมีผลมีอารมที่มั่นคง ประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่สมาชิกในครอบครัว ส่วนแม่บ้านค่อยดูแลเรื่องทุกข์ความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ตลอดจนด้านเศรษฐกิจใช้จ่ายต่าง ๆ ต้องจัดให้เป็นสัดส่วนคอยแนะนำ ตักเตือนสมาชิกทุกคนในครอบครัวให้เข้าใจสถานะความเป็นอยู่ของครอบครัวมิใช่ ว่า “เห็นช้างขี้ก็ขี้ตามช้าง”


สำหรับลูก ๆ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด มีหน้าที่เรียนหนังสือก็จงทำหน้าที่นั้นให้เต็มความสามารถของตนเชื่อฟังคำ สั่งสอนของพ่อแม่ ครู อาจารย์ โอกาสที่ผิดพลาด ให้ชีวิตมีน้อย


หลักในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่ง่าย ๆ คือ ใช้หลัก 5 ออ


1. อ อภัย เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำผิดพลาดไปบ้างให้นึกถึงคำว่าอภัยเสมอ และจะไม่นำเอาสิ่งที่ผิดพลาดนั้นมาพูดซ้ำเติมอีก


2. อ เอื้อเฟื้อ สมาชิกทุกคนในครอบครัว ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องของฉันไม่ใช่หน้าที่ของ ฉัน ฉันไม่เกี่ยว เช่น คุณพ่อซักผ้า แม่ถูบ้าน ลูกล้างจาน อย่าคิดว่าเป็นงานของใครคนใดคนหนึ่ง


3. อ อารมณ์ขัน ฝึกให้มีอารมณ์ขันเสียบ้าง มีการกระเช้าเย้าแหย่กันบ้างในบางโอกาสอาจเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เพื่อนและพี่สำหรับลูกก็ได้ี


4. อ อดทน อดกลั้น อดออม ชีวิตครอบครัวที่จะต้องมี 3 อ นี้ด้วย อดทนต่อความยากลำบากต่าง ๆ ในครอบครัวอดกลั้นต่อสิ่งที่มากระทบจากฝ่ายฝดฝ่ายหนึ่งหรือกิเลสที่มา กระตุ้นเราให้หลุ่มหลง และให้รู้จักอดออมเงินทองที่หามาได้แบ่งไว้ใช้เป็นสัดส่วน ส่วนที่หนึ่ง ใช้จ่ายในครอบครัวส่วนที่สองสำหรับการศึกษาของบุตร สวนที่สามสำหรับค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บไข้ ส่วนที่สี่บริจาคทานทำบุญสร้างกุศลไว้เป็นเสบียง เมื่อยามจะจากโลกนี้ไป แล้วอีกส่วนหนึ่ง เก็บออมไว้ใช้เมื่อยามแก่เฒ่า

5. อ อบอุ่น เมื่อเราปฏิบัติได้ 4 อ. ข้างต้นแล้ว อ.ที่ 5 ก็จะตามมาอย่างแน่นอน คือ อบอุ่น เมื่อสมาชิก ทุกคนรู้หน้าที่และบทบาทของตัวเองแล้ว ชีวิตครอบครัวก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “สุขภาพจิตเริ่มต้นที่บ้าน” ดังคำขวัญที่ว่าไว้อย่างแน่นอนค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: :b2:

เมื่อคุณผิดหวัง


ในชีวิตของคนเราคงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยกับความผิดหวัง เพราะความผิดหวังนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเภท ทุกวัย ทุกเศรษฐานะ เริ่มจากเด็กเมื่อพ่อแม่หรือผู้ดูแลไม่ให้ความสนใจหรือไม่ตามใจก็แสดงความ ผิดหวังโดยการร้องไห้ นอนเกลือกกลิ้งตามพื้น ความผิดหวังเป็นปฏิกิริยาของบุคคลที่ไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการตามที่ ตนคิดหวังไว้ และยิ่งเมื่อโตขึ้นบุคคลก็จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความผิดหวังเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องเกี่ยวข้องกับสังคม ตัวบุคคลเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งปรากฏการทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรักในวัยหนุ่มสาว การทำงาน ดังนั้นคงจะไม่มีใครเลยที่สุขสมหวังในทุกๆเรื่องตลอดไป


ความผิวหวังหรือล้มเหลวในเรื่องเดียวกับบุคคลอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อ เรื่องดังกล่าว แตกต่างกัน เช่น บางคนอกหักก็ทำใจได้โดยใช้ระยะเวลาสั้น แต่บางคนก็เสียใจจนต้องฆ่าตัวตายหรือแสดงความโกรธแค้น โดยทำร้ายอีกฝ่าย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผลการอบรมเลี้ยงดูบุคลิกภาพและประสบการณ์เดิมของบุคคลใน การคิดแก้ไขปัญหา คนที่ผิดหวังมากก็เพราะมีความคาดหวังหรือตั้งความหวังไว้สูง เมื่อไม่ได้รับความสมหวังหรือได้รับต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ก็จะมีปฏิกิริยา ของความผิดหวังเกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่การแสดงออกเล็กน้อย เช่น เบื่อ เซ็ง โกรธ จนถึงขั้นรุนแรงขนาดทำอันตรายถึงชีวิต


ถึงอย่างไรก็ตามก็เป็นสิ่งที่ดีที่ทุกคนมีเป้าหมายมีความคาดหวังในชีวิต ซึ่งก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่ฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่คาดหวังไว้ แต่ให้เราตระหนักไว้ว่าสางที่เราตั้งเป้าไว้อาจไม่เป็นเป็นไปตามที่หวัง เพราะอาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาขัดขวางตามความคาดหวังนั้น ไม่ให้ได้รับการตอบสนองให้บรรลุผลหรืออาจมีปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมมาเป็น อุปสรรค แต่อย่างน้อยความผิดหวังก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เรามีภูมิต้าน ทาน เกิดการเรียนรู้ มีความอดทนเพิ่มขึ้น และไม่มีเพียงเราเท่านั้นที่ประสบความผิดหวัง ฉะนั้นเราอย่ายอมแพ้ให้รู้จักเติมกำลังใจให้ดับตัวเอง ให้รู้จักคิดในสิ่งที่ดีให้รู้ว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ให้รู้จักปรับตัวปรับใจ เรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาดเมือได้อย่างนี้แล้ว ความรู้สึกผิดหวังของคนเราก็คงจะลดลงได้มากทีเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b27: :b3:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b16:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b4:

รูปภาพ
รูปภาพ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2010, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 07:17
โพสต์: 161

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b31: :b31:

รูปภาพ

รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 89 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร